หลินเข่อซิงนิ่งเงียบ นางกลั้นความรู้สึกทุกอย่างไว้ในอก สายตาของนางสั่นไหวเล็กน้อยแต่ไม่อยากให้เขาเห็น นางรู้ดีว่าอวิ๋นเฟยหลงเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับหน้าที่และความรับผิดชอบ แต่ในใจของนางเต็มไปด้วยความห่วงหาและกลัวการจากลาที่ไม่รู้ว่าจะยาวนานแค่ไหน
“ข้าเข้าใจท่าน” นางเอ่ยเบาๆ พลางยิ้มอ่อนๆ แต่ความเศร้ากลับแฝงอยู่ในแววตา “ข้าจะรอท่านกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นเฟยหลงมองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เสี่ยงอันตราย และเขาเองก็ไม่อยากทิ้งนางไว้ลำพัง เขาเดินเข้าไปจับมือนางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม“ข้าสัญญา...ว่าข้าจะกลับมา” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ว่าสงครามไม่มีคำว่าง่าย และทุกครั้งที่ออกไปรบเขาก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับทุกสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลินเข่อซิงจ้องตาเขา ใจหนึ่งอยากร้องไห้แต่อีกใจก็อยากเข้มแข็ง นางปล่อยมือเขาออกช้าๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวัง “ข้าจะรอท่านที่นี่...ข้ารู้ว่าท่านจะทำทุกอย่างให้สำเร็จได้แน่นอน”อวิ๋นเฟยหลงโอบกอดนางเบาๆ ราวกับไม่อยากปล่อยมือจนับจากวันที่อวิ๋นเฟยหลงเดินทัพไปปราบศัตรู หลินเข่อซิงผู้ที่เคยร่าเริง รอยยิ้มสดใสมักแต่งแต้มใบหน้าเสมอ ยามนี้กลับมีสีหน้าหม่นหมอง บางคราก็มีหยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วยตา ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นทุกข์ใจด้วยสงสารนางเป็นที่สุด“ฮูหยิน ท่านก็กินอะไรสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ สองวันมานี้ท่านไม่กินอะไรเลย จิบเพียงน้ำชาและขนมเล็กน้อยเท่านั้น เช่นนี้ร่างกายท่านจะแย่เอาได้นะเจ้าคะ” หลิงเฉินคุกเข่าขอร้อง เจ้านายของนางนับแต่วันที่ท่านแม่ทัพจากไป ก็เอาแต่นั่งเศร้าซึม เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตามองออกไปจริง แต่ก็เหมือนไม่ได้มองภาพตรงหน้า คล้ายอยู่ในภวังค์ความคิดคำนึง นางเป็นเพียงบ่าว ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ทำได้เพียงดูแลสุขภาพของนางไม่ให้เจ็บไข้เป็นพอ“เจ้าออกไปเถอะ เดี๋ยวข้าหิวแล้วจะเรียกเอง ข้าอยากอยู่คนเดียว” หลินเข่อซิงพูดเพียงเท่านั้น และเบือนหน้ากลับไปเช่นเดิม“เจ้าค่ะ แต่หากท่านต้องการอะไรต้องเรียกข้านะเจ้าคะ ข้าจะไม่ไปไหนไกล จะเฝ้าอยู่หน้าห้องของท่านเจ้าค่ะ เวลาท่านเรียกขานข้าจะได้เข้ามาได้ทัน” หลิงเฉินร่ายยาว แต่ร่างบางของเจ้านายเพียงนั่งนิ่ง ไม่มีปฎิกริยา
ในที่สุดหลินเข่อซิงและหลิงเฉินก็มาถึงตลาด สองนายบ่าวลงจากรถม้าของจวน“เปาจื่อ เจ้าก็หาอะไรกินแถวนี้ก่อนนะ ข้าคงใช้เวลาเดินกินเดินเที่ยวสักสองชั่วยาม นี่เงินของเจ้า” ว่าพลางยื่นเงินให้คนขับรถม้าหนึ่งตำลึง“ขอบคุณขอรับฮูหยิน” บ่าวชายรับเงินไปก่อนจะคำนับนางอย่างนอบน้อมหลินเข่อซิงเดินทอดน่องไปตามทางที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ กลิ่นหอมของอาหารและเสียงตะโกนของพ่อค้าแม่ค้าก็พอจะทำให้นางยิ้มได้บ้างแต่ในขณะที่นางกำลังเลือกซื้อขนมอยู่ จู่ๆ ก็มีชายร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินชนหลินเข่อซิงจนเซ นางตกใจและล้มลงเกือบไปชนแผงลอยข้างๆ โชคดีที่มีคนเข้ามาคว้าข้อมือนางไว้ทัน“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” เสียงทุ้มเย็นแต่สุภาพดังขึ้นหลินเข่อซิงเงยหน้าขึ้นและพบว่าเป็นองค์ชายห้า นางรู้สึกประหลาดใจที่ได้พบเขาในสถานที่เช่นนี้“องค์ชายห้า!” นางอุทาน “เอ่อ…หม่อมฉันไม่เป็นไร ขอบคุณพระองค์ที่ช่วยเหลือเพคะ” สิ้นเสียงหญิงสาวย่อตัวทำความเคารพชายหนุ่มสูงศักดิ์“ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้า” หานเจี๋ยกล่าวพลางยิ้มบางๆ ให้ “เจ้าดูตกใจมาก นั่งพักสักหน่อยดีไหม?”
ทางด้านหยางเฟยฮุ่ย เมื่อรู้ข่าวว่าอวิ๋นเฟยหลงต้องออกศึกก็กระวนกระวายใจ นางไม่สามารถนั่งนิ่งเฉยได้ นับตั้งแต่วันที่รู้ว่าอวิ๋นเฟยหลงและหลินเข่อซิงมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอย่างมาก หัวใจของหยางเฟยฮุ่ยก็แทบแตกสลาย นางรู้ดีว่าโอกาสที่จะได้ครอบครองอวิ๋นเฟยหลงแทบไม่มีหวังแต่เมื่อรู้ว่าอวิ๋นเฟยหลงต้องออกไปรบ ความคิดใหม่ก็แทรกเข้ามาในหัวของนาง นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะลงมือเล่นงานหลินเข่อซิง เมื่อไม่มีอวิ๋นเฟยหลงอยู่เคียงข้าง นางจะจัดการหลินเข่อซิงอย่างไร้ทางหนี นางรู้ว่าถ้าอยากให้แผนสำเร็จ นางต้องวางแผนให้รัดกุมและไม่ให้มีใครสงสัยในขณะที่หยางเฟยฮุ่ยนั่งครุ่นคิดอยู่ในห้อง นางก็เรียกสาวใช้คนสนิทเข้ามา พร้อมสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม"ข้าต้องการให้เจ้าจัดการบางอย่างเพื่อข้า" หยางเฟยฮุ่ยพูดด้วยสายตาเย็นชา "ข้าจะไม่ปล่อยให้หลินเข่อซิงได้อยู่อย่างมีความสุขอีกต่อไป เจ้าต้องคอยติดตามนางทุกย่างก้าว และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะบอกให้เจ้าลงมือ"สาวใช้พยักหน้าอย่างว่องไว นางรู้ว่าหยางเฟยฮุ่ยกำลังวางแผนบางอย่าง และแผนนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่หน้าที่ของนางคือทำตามคำสั่งโดยไม่ถาม นางจึงรั
“อุบ… ฮ่าาา ข้าล้อเจ้าเล่นน่ะ ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ” องค์ชายห้าหัวเราะราวกับเห็นเรื่องที่น่าขำที่สุดในชีวิตในขณะที่หลินเข่อซิงตัวแข็งค้างไปแล้วนั้น เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะลั่นก็หน้าร้อนผ่าวหนอย หานเจี๋ย ไอ้คนน่าตาย กล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นได้ยังไง หลินเข่อซิงโมโหมาก ในขณะที่คิดวางแผนจะเอาคืนอยู่นั้น“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยากทำให้เจ้าโกรธเคืองหรอกนะ เพียงเห็นเจ้าแล้วรู้สึกอยากแกล้งก็เท่านั้น เห็นสีหน้าเจ้าเช่นนั้นแล้ว น่ามองยิ่งนัก”หลินเข่อซิงระแวงระวังทันใด องค์ชายห้าผู้นี้ เมื่อครั้งที่เธออ่านนิยาย เขาเป็นคนที่ร่วมมือกับองค์รัชทายาทโค่นล้มบัลลังก์บิดาของตนเอง เพราะในขณะนั้นมีข่าวแว่วมาว่า บุตรชายที่หายสาบสูญไปนานนับสิบกว่าปีของพระองค์ได้หวนคืนมาแล้ว ฉะนั้นพระองค์จึงทรงจะแต่งตั้งบุตรชายคนนี้ขึ้นเป็นองค์รัชาทายาทแทนข่าวนี้ทำให้พวกเขาไม่สบายใจอย่างมาก จึงเป็นที่มาของแผนก่อกบฏ สังหารบิดาของตนเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ และสังหารผู้เป็นพี่ชายซึ่งก็คืออดีตรัชทายาทนั้นเอง แต่ในเรื่อง หลินเข่อซิงกับองค์ชายห้าผู้นี้มิมี
ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มราวกับเป็นลางบอกเหตุ หลินเข่อซิงเดินก้าวช้าๆ ผ่านตลาดกลางเมือง หัวใจของหญิงสาวที่เคยสดใสกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ข้างกายนาง หลิงเฉินสาวใช้คนสนิทเดินตามอย่างเงียบๆ แต่ใบหน้าของหลิงเฉินเองก็เต็มไปด้วยความกังวลไม่แพ้กัน ตั้งแต่ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว นางรับรู้ได้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนในเมืองจะมองเจ้านายของตนด้วยความเคารพและนับถือเหมือนเดิมอีกต่อไป ข่าวลือที่หลินเข่อซิงมีสัมพันธ์ลับกับองค์ชายห้าถูกปั่นจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในหมู่ชาวบ้าน การที่หญิงนางหนึ่งเป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่ที่กำลังทำศึกอยู่ แต่กลับถูกกล่าวหาว่าสวมหมวกเขียวให้สามี มันทำให้นางกลายเป็นเป้าหมายของเสียงซุบซิบและสายตาเหยียดหยามไปทั่ว แม้ว่าหลินเข่อซิงจะเดินผ่านแผงขายผลไม้ แผงขายผัก หรือร้านรวงต่างๆ ที่นางเคยซื้อของเป็นประจำ แต่วันนี้บรรยากาศดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เจ้าของร้านที่เคยยิ้มต้อนรับกลับทำหน้าบูดบึ้ง มีทั้งพ่อค้าแม่ค้าที่กระซิบกระซาบพร้อมกับชี้มาที่หญิงสาวยืนอยู่ “นั่นไงล่ะนาง...หลินเข่อซิง...” “ข้าล่ะไม่เข้าใจเลย ท่านแม่ทัพอวิ๋นต
ในที่สุด หลินเข่อซิงก็กลับมาถึงจวน แต่ยังมิทันก้าวพ้นประตูเข้ามาในจวนตระกูลอวิ๋น ใจของเธอยังไม่ทันสงบดี ก็มีสาวใช้นางหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานว่านายท่านและฮูหยินใหญ่ต้องการพบ หลินเข่อซิงที่ตอนนี้เหนื่ิอยล้าทั้งกายใจกลับต้องพบกับท่านโหว และฮูหยินใหญ่ที่นั่งรออยู่ในห้องโถง ทันทีที่นางก้าวเข้ามา บรรยากาศในห้องก็ดูตึงเครียดขึ้นทันตา อวิ๋นเหอ ผู้เป็นบิดาของอวิ๋นเฟยหลง นั่งตัวตรงและแสดงท่าทีเคร่งขรึม สายตาของเขาจ้องมองตรงมาที่หลินเข่อซิง ดวงตาคมของเขามีแววตำหนิที่ไม่อาจปิดบังได้ รังสีอำมหิตกดดันอย่างผู้ที่เคยเป็นแม่ทัพกรำศึกในสนามรบแผ่ออกมาคุกคามหญิงสาวเต็มที่ ทำเอาหลินเข่อซิงไมากล้าสบตา ได้แต่ยืนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ส่วนฮูหยินใหญ่ก็ไม่แม้แต่จะยิ้มให้เหมือนเคย นางมองหลินเข่อซิงด้วยสายตาเย็นชา ราวกับไม่พอใจในตัวเธออย่างมาก หลินเข่อซิงรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับความไม่พอใจของทั้งสองคน นางพยายามรวบรวมความกล้าและก้าวเข้าไปใกล้ พร้อมคำนับท่านโหวและฮูหยินใหญ่ตามธรรมเนียม "คารวะท่านพ่อ คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ" หลินเข่อซิงกล่าวเสียงเ
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบของพระราชวัง ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูสงบสุข แต่ภายในพระทัยของฮ่องเต้กลับไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ประทับนั่งอยู่ภายในห้องทรงงาน สายพระเนตรทอดยาวไปที่แผนที่แคว้นฉางจีซึ่งแขวนอยู่บนผนัง ริมพระโอษฐ์ยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ความคิดในพระทัยเต็มไปด้วยความซับซ้อน หลายวันก่อน ฮ่องเต้ทรงได้รับรายงานจากทหารยอดฝีมือคนสนิทที่พระองค์ส่งไปสืบหาข่าวบุตรชายที่สาบสูญไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ข้อความในรายงานนั้นทำให้พระทัยของฮ่องเต้เต้นระรัวด้วยความประหลาดใจ บุตรชายที่พระองค์ตามหามาตลอดหลายปีที่แท้กลับอยู่ใกล้เพียงปรายหางพระเนตรมองก็พอ เพียงแค่พระองค์ไม่เคยคาดคิดมาก่อน "บุตรชายของข้า..." ฮ่องเต้พึมพำกับตนเองเบา ๆ สายพระเนตรเต็มไปด้วยความคาดหวังและความรู้สึกที่หลายหลาก บุตรชายที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ยังเป็นทารก ครั้งนั้นพระองค์ยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท ที่พระบิดาประทานสมรสให้แต่งกับบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีให้เป็นชายาเอกของพระองค์ ซึ่งก็คือฮองเฮาองค์ปัจจุบันนั่นเอง หากแต่ครั้งนั้นเกิดศึกนองเลือดขึ้นระหว่างสายเลือด เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ พร
คืนนี้เช่นกัน เมื่อได้รับคำสั่งให้จัดการกับองค์รัชทายาท เจิ้งจู่กลับไม่ถามคำถามสักคำ เขาแค่ยิ้มเย็น ๆ ภายใต้หน้ากากเหล็กบางที่ปกปิดใบหน้าของเขา ก่อนจะลอบออกจากวังหลวงอย่างเงียบงัน ทะยานหายเข้าไปในความมืดเป้าหมายของเจิ้งจู่ไม่ใช่การสังหาร แต่คือการทำให้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็น "เหตุบังเอิญ" เหวินหลงต้องแนบเนียนพอที่ทุกคนในวังจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดขึ้น เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจที่ต้องใช้ทักษะและความรอบคอบสูงสุดยามกลางดึก เขาเร้นกายอยู่ในมุมหนึ่งของห้องลับในวัง ท่ามกลางเสียงลมพัดเบาๆ ที่แฝงไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ยามค่ำคืน ในความมืด เจิ้งจู่นั่งคุกเข่ารออย่างอดทน รอจนกระทั่งคนในห้องด้านหน้าพากันแยกย้ายกลับที่พัก เหลือเพียงเสียงขององค์รัชทายาทที่ยังไม่ได้นอน"องค์รัชทายาท ดึกมากแล้ว ท่านไม่ควรใช้หัวมากเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ" เหลียงกงกง ขันทีคนสนิทขององค์รัชทายาท กล่าวขึ้นพร้อมกับพับหนังสือราชการในมือและพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายของเขาพักผ่อน"ไม่ ข้ามีเรื่องต้องทำอีกมาก หากข้าจะเป็นจักรพรรดิที่ดี ข้าจะต้องเข้าใ
“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา
กลางดึกคืนหนึ่งใต้ฟ้าสีดำสนิท อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่นั่งปรึกษาแผนการกันภายในกระท่อมร้างที่พวกเขาหลบซ่อนอยู่“นายท่าน ครั้งนี้เราจะไม่ยอมให้พลาดอีก” เจิ้งจู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สายตาแน่วแน่มองผู้เป็นนายอวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่ง ตากลมคมปลาบจ้องมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า เขามองเส้นทางเข้าออกวังหลวงด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม“พลาดไม่ได้อีก เจิ้งจู่” เสียงทุ้มของเขาแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ครั้งนี้เราต้องเอาตัวซิงเอ๋อร์ออกมาให้ได้”อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ มองไปยังเจิ้งจู่“แล้วเรื่องที่ข้าสั่งไปถึงไหนแล้ว?”“เรียบร้อยดีขอรับ เรารวบรวมกำลังพลได้มากถึงห้าหมื่นนายที่ยังคงภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ก็ยังนับว่าน้อยนักหากเทียบกับทหารที่ประจำการภายในพระราชวัง”“ดี! ดีมาก ขอบใจเจ้ามากเจิ้งจู่ ผลแพ้ชนะมิได้วัดกันเพียงจำนวนทหาร มีกำลังพลมากแล้วอย่างไร หากเขาเหล่านั้นขาดแรงใจและศรัทธาในผู้นำ” อวิ๋นเฟยหลงยืนเหยียดหลังตรงสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง เหม่อมองไปยังจันทราบนฟากฟ้า“ข้าดีใจที่ในที่สุด ท่านก็เลือกจะเปิดเผยตั
ค่ำคืนอันมืดมิดปกคลุมไปทั่ววังหลวง แสงจันทร์ซีดจางลอดผ่านหน้าต่างห้อง หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าหม่นหมอง สายตาของนางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวกลับไม่ได้ช่วยให้นางรู้สึกสงบใจเลยแม้แต่น้อย“คุณหนู...อย่ามัวแต่คิดมากเลยเจ้าค่ะ” หลิงเฉินยกถ้วยชามาวางบนโต๊ะ ใบหน้าของสาวใช้เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “พักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านจะได้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว นางก้มมองท้องที่นูนเด่นของตนด้วยสายตาอ่อนล้า “ข้าห่วงเขาเหลือเกิน เฉินเอ๋อร์ เจ้าว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยไหม?”หลิงเฉินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพเป็นคนที่แข็งแกร่งและฉลาด ท่านต้องหาทางรอดได้แน่เจ้าค่ะ”หลินเข่อซิงเม้มริมฝีปากแน่น สองมือประสานกันแน่นจนสั่น “ข้าไม่อยากนั่งรออยู่อย่างนี้อีกแล้ว เฉินเอ๋อร์ ข้าควรทำอะไรสักอย่าง”หลิงเฉินมองเจ้านายของนางด้วยความตกใจ “คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ?”หลินเข่อซิงเบือนสายตามองไปทางประตู “ข้าจะหนีออกไปตามหาเขา ข้าจะต้องหาทางช่วยเขาให้ได้”คำพูดนั้นทำให้ห
แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านรอยแยกเล็กๆ บนเพดานห้องขัง เสียงน้ำหยดลงพื้นดังเป็นจังหวะก้องในความเงียบ อวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง โซ่ที่ล่ามข้อมือและข้อเท้าของเขายังคงกดทับแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด ร่างกายอ่อนแรงเต็มที แต่หัวใจยังคงเต็มไปด้วยความหวังทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางเดินไกลๆ เสียงโลหะกระทบกันดังแว่ว อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบจ้องไปยังประตูเหล็กตรงหน้าเสียงดาบกระทบกันดังสนั่น เสียงร้องของทหารที่รักษาคุกดังตามมา อวิ๋นเฟยหลงลุกขึ้นยืน แม้ว่าโซ่จะพันธนาการเขาไว้ แต่เขายังคงตั้งใจเฝ้ารอฟัง ทันใดนั้น เสียงทุบประตูเหล็กก็ดังลั่น“นายท่าน! ข้ามาแล้ว!” เสียงที่คุ้นเคยตะโกนขึ้นประตูเหล็กพังลง เผยให้เห็นเจิ้งจู่ที่ยืนหอบหายใจอยู่ เขาสวมชุดดำสนิทพร้อมดาบเปื้อนเลือดในมือ“เจิ้งจู่...” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว“ข้าขอโทษที่มาช้า แต่เราจะพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้!”เจิ้งจู่เข้าไปแก้โซ่ที่ล่ามอวิ๋นเฟยหลงอย่างรวดเร็ว ทหารในชุดดำอีกสิบกว่าคนเข้ามาเสริมกำลังกันที่ทางเดิน เสียงต่อสู้ยังคงดังมาจ