คืนนี้เช่นกัน เมื่อได้รับคำสั่งให้จัดการกับองค์รัชทายาท เจิ้งจู่กลับไม่ถามคำถามสักคำ เขาแค่ยิ้มเย็น ๆ ภายใต้หน้ากากเหล็กบางที่ปกปิดใบหน้าของเขา ก่อนจะลอบออกจากวังหลวงอย่างเงียบงัน ทะยานหายเข้าไปในความมืด
เป้าหมายของเจิ้งจู่ไม่ใช่การสังหาร แต่คือการทำให้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็น "เหตุบังเอิญ" เหวินหลงต้องแนบเนียนพอที่ทุกคนในวังจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดขึ้น เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจที่ต้องใช้ทักษะและความรอบคอบสูงสุดยามกลางดึก เขาเร้นกายอยู่ในมุมหนึ่งของห้องลับในวัง ท่ามกลางเสียงลมพัดเบาๆ ที่แฝงไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ยามค่ำคืน ในความมืด เจิ้งจู่นั่งคุกเข่ารออย่างอดทน รอจนกระทั่งคนในห้องด้านหน้าพากันแยกย้ายกลับที่พัก เหลือเพียงเสียงขององค์รัชทายาทที่ยังไม่ได้นอน"องค์รัชทายาท ดึกมากแล้ว ท่านไม่ควรใช้หัวมากเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ" เหลียงกงกง ขันทีคนสนิทขององค์รัชทายาท กล่าวขึ้นพร้อมกับพับหนังสือราชการในมือและพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายของเขาพักผ่อน"ไม่ ข้ามีเรื่องต้องทำอีกมาก หากข้าจะเป็นจักรพรรดิที่ดี ข้าจะต้องเข้าใภายในห้องพักอันหรูหราแต่ทึบทึมขององค์รัชทายาท บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของยาสมุนไพรคละคลุ้งไปหมด แสงอาทิตย์ส่องผ่านผ้าม่านเนื้อหนาเข้ามาเพียงเล็กน้อย ทำให้ห้องนั้นดูเหมือนจะยิ่งทึบทึมลงไปอีก องค์รัชทายาทซึ่งนั่งอยู่บนเตียงไม้สูง เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกายของตนเอง อาการอ่อนแรงที่ไม่สามารถอธิบายได้ยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนก และความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้าสู่จิตใจของเขาร่างกายที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งแรง มาบัดนี้กลับซูบเซียว ใบหน้างามที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยสีสัน กลับซีดเผือดครั้งหนึ่งใครๆก็ต่างชื่นชมว่าองค์รัชทายาทรูปงามนัก มีทั้งความสง่าผ่าเผยดั่งชายชาตรี และความสวยสะกดใจของอิสตรี ด้วยรูปโฉมที่งดงาม ดวงเนตรหงส์เรียวงาม ใบหน้ารูปไข่ขาวอมชมพูนวลเนียน จมูกเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากบางนั้นอมสีแดงระเรื่อ กอปรกับเมื่อทรงปล่อยพระเกศาดกดำเงางามลงมา ราวกับได้พบเทพธิดามาเยือนยังโลกมนุษย์ แต่ยามใดที่พระองค์จับดาบแกว่งไกว ก็ราวกับเทพสงครามมาจุติ ท่าทีองอาจสง่าผ่าเผย ต่อให้ศัตรูมาร้อยรึพัน พระองค์มิเคยหวั่นแต่ด้านจิตใจ พระองค์กลับอ่อนไหวและอ่อนโยนอย่าง
ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา เสียงเกือกม้าของทัพอวิ๋นเฟยหลงดังกระหึ่มก้องกังวาลปิดทั่วบริเวณ ขณะที่แม่ทัพหนุ่มนำทัพเคลื่อนพลอย่างเร่งรีบ เพื่อเตรียมรับมือกับเหล่าชนพื้นเมืองที่เตรียมโจมตีทัพของพวกเขา “ท่านแม่ทัพ พวกเขาตั้งค่ายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” รองแม่ทัพหยางหลี่เฉิงรายงาน อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า ดวงตาคมเรียบนิ่งมองออกไปไกล เขามีแผนการในหัวแล้ว ก่อนจะมองไปยังเหล่าทหารเรือนแสนที่อยู่เบื้องหลัง “พวกมันมีกำลังพลเท่าไหร่” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยถาม “ตามที่สายรายงาน ตอนนี้มีกำลังพลไม่เกิน 5,000 คน ส่วนใหญ่เป็นทหารราบอาวุธมีเพียงหน้าไม้และดาบขอรับ” รองแม่ทัพหนุ่มตอบ อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ดี เช่นนั้นเราจะหาโอกาสโจมตีในช่วงที่พวกมันเผลอ เช่นนี้เราก็สูญเสียเลือดเนื้อน้อยลง” เมื่อได้ฟังแผนการจากท่านแม่ทัพแล้ว รองแม่ทัพหยางหลี่เฉิงก็นำไปเผยแพร่ให้แก่เหล่าหัวหน้านายกอง เพื่อคัดเลือกกำลังพลมาบางส่วนเพื่อทำตามแผนนี้ให้สำเร็จ เหล่าหัวหน้านายกองหลังคัดเลือกทหารออกมา เพียง 2,000 นายเท่านั้น ทหารทั้งห
แม่ทัพหนุ่มยืนมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนหลังจากชัยชนะครั้งที่สอง ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาว แต่นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขหลังจากการสู้รบที่ดุเดือด แม้จะรู้สึกยินดีในชัยชนะครั้งนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าภารกิจของเขายังไม่สิ้นสุดลง“ท่านแม่ทัพ เหล่าทหารฝ่ายข้าศึกตายหมดแล้วขอรับ มิมีผู้ใดรอดไปได้” รองแม่ทัพหยางรายงานด้วยความกระตือรือร้นอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ดี เราจะพักที่นี่คืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เราจะนำทัพเข้าไปเช็คค่ายหลักของศัตรู”ทหารทุกนายเมื่อได้ยินต่างหูร้องอย่างยินดี จิตใจพวกเขาฮึกเหิมจากการรบชนะถึง 2 ครั้ง 2 คราติดกัน และแน่นอนว่าศึกในวันพรุ่งนี้จะเป็นศึกใหญ่ที่จะตัดสินชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตของพวกเขา หากครั้งสุดท้ายนี้พวกเขารบชนะทุกคนจะได้กลับบ้านไปหาบุคคลอันเป็นที่รัก แต่หากว่ารบพ่ายแพ้แล้วล่ะก็เป็นอันว่าคงจะต้องฝังร่างอยู่ที่นี่ไม่มีวันได้กลับไปเป็นแน่ซึ่งอวิ๋นเฟยหลงก็ตระหนักรู้ถึงจิตใจของเหล่าทหารของตนเช่นกัน แต่ว่าการรบชนะ 2 ครั้งติดกันในครั้งนี้ มันทำให้เขาอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ เขามีความรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อเขา
คืนนั้นอวิ๋นเฟยหลงเดินเข้าไปในกระโจมที่ไว้ใช้หารือเรื่องแผนการรบกับรองแม่ทัพและเหล่าหัวหน้านายกองทั้งหลาย เขามองแผนที่แคว้นฉางจีด้วยความมุ่งมั่น นี่คือการศึกที่สำคัญยิ่ง เขารู้ดีว่าค่ายศัตรูหลักนี้คือหัวใจของพวกมัน หากสามารถทำลายลงได้ การรุกรานจากฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจะสิ้นสุดลงทันที และแคว้นฉางจีจะกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง“เราจะจบศึกนี้ในวันพรุ่งนี้” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำกับตนเอง ก่อนจะหยิบภาพวาดเล็กๆขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือของเขาที่เก็บไว้อกเสื้อขึ้นมาดู เป็นภาพของหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ คิ้วคาง ปาก จมูกรับกันดี ออกมาเป็นใบหน้าสวยหวานที่มีรอยยิ้มสดใสเปล่งประกายออกมา เขาแอบให้ช่างวาดฝีมือดีที่สุดช่วยวาดให้ก่อนจะออกศึกความคิดถึงถาโถมเข้าใส่ทันที เขาหวนคิดถึงรอยยิ้มสดใสของนาง และเสียงหัวเราะที่มักทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตามไปด้วยเสียทุกครั้ง“ท่านพี่เจ้าขาา~ ช่วยชิมขนมอันนี้ให้ข้าหน่อยสิเจ้าคะ ข้าตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ” หญิงสาวว่าพลางยิ้มกว้าง พร้อมกับยื่นขนมหน้าตาประหลาดมาตรงหน้าเขา“สิ่งนี้คืออะไร…กินได้หรือ?”“โธ่ ท่านพี่ พูดอย่างนี้ท
ขณะที่อวิ๋นเฟยหลงและเหล่าทหารเตรียมเดินทัพกลับเพื่อเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะในครั้งนี้ ทว่ายังมิทันได้หัวเราะเต็มที่ เสียงแตรศึกดังขึ้น แต่ครั้งนี้ดังมาจากฝั่งตรงข้าม ตามมาด้วยเสียงเดินเท้ากึกก้อง พร้อมธงรบสัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์สีแดงสดใสพื้นหลังเป็นสีขาวชูขึ้นสูง นอกจากเสียงเดินเท้ายังมีเสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่ม แผ่นดินสะท้านสะเทือน“นี่มัน…กับดัก!...แคว้นเกาเยว่งั้นรึ” อวิ๋นเฟยหลงขบกรามแน่น เมื่อเพิ่งจะมารู้ความจริงตอนนี้ว่าตนได้เพลี่ยงพล้ำติดกับของศัตรูเสียแล้ว แย่แล้ว! ข้าเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้ เช่นนั้นฝ่าบาททรงมีอันตราย พวกมันลวงข้าออกมาทำศึก ตอนนี้ในเมืองหลวงเหลือทหารประจำการไม่ถึงแสนนาย หากพวกมันยกทัพเข้ารุกราน เขาจะกลับไปช่วยทันได้อย่างไร อวิ๋นเฟยหลงยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ เขาตัดสินใจจัดการกับปัญหาตรงหน้าก่อน แล้วค่อยกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด“จัดกระบวนทัพ เตรียมตั้งรับ!” แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่ง ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็ยืนหยัดต่อสู้ให้ถึงที่สุด“รองแม่ทัพหยางล่ะ” อวิ๋นเฟยหลงถาม“ยังไม่เห็นเลยขอรับ” ทหารนายหนึ่งตอบอวิ๋นเฟยหลงมองไปยังทิศทางที่
หลินเข่อซิงนั่งอยู่ในครัว บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอมๆ ของเนื้อและสมุนไพรที่นางกำลังเตรียมมื้ออาหารให้กับท่านโหวและฮูหยินใหญ่ แต่วันนี้นางไม่ค่อยมีสมาธิ ตาทอดมองไปที่มีดในมือ นางหั่นเนื้อไปเรื่อยๆ โดยความคิดล่องลอยไปไกล แล้วจู่ๆ "ฉึก!" คมมีดเฉือนเข้าที่นิ้วชี้ของนาง“โอ๊ย!” หลินเข่อซิงร้องออกมาเบาๆ ดวงตาสั่นไหวเมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากบาดแผล แต่นางรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามากดแผลไว้ทันที แม้แผลไม่ลึกมาก แต่ความเจ็บแปลบก็ทำให้มือที่ถือมีดสั่นเทา นางหยุดหั่นเนื้อและนั่งนิ่ง รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังกดทับอยู่ที่อก‘เจ็บแปลกๆ แฮะ...’ นางคิดในใจ นางไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เหมือนมีบางอย่างผิดปกติรบกวนจิตใจของนางเอง“ฮูหยิน! ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ?” หลิงเฉินรีบเข้ามาดูเมื่อได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของหลินเข่อซิง นางเห็นเลือดที่ไหลจากนิ้วก็รีบวิ่งไปหยิบผ้าพันแผลมาพันแผลให้ทันที“ข้า...ข้าหั่นพลาดนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก แผลไม่ลึกเท่าไหร่” หลินเข่อซิงพยายามพูดปลอบใจสาวใช้ของตน แต่น้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนล้าและไม่มีชีวิตชีวา“ฮูหยินช่วงนี้ดูอ่อ
หลังจากกองทัพศัตรูจากแค้วนเกาเยว่จากไป รองแม่ทัพหยางที่หลายคนถามถึงก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพสะบักสะบอมราวกับโดนทำร้ายอย่างหนักทหารที่ติดตามเขาไปสืบข่าวด้วยอย่างตายหมดแล้ว เหลือเขารอดชีวิตเพียงคนเดียวและเดินทางกลับมาหาท่านแม่ทัพอย่างระแวดระวัง ด้วยกลัวจะโดนทหารของฝ่ายศัตรูพบเจอและฆ่าเขาแต่เมื่อมาถึงเขากลับพบเพียงซากศพมหาศาลเรียงรายทับถมกัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง และมีกลิ่นสาบที่ชวนคลื่นเหียนลอยมาตามลมเป็นระยะ เหล่านกแร้งต่างบินโฉบลงมากินซากศพ บางศพก็กำลังถูกนกแร้งหลายตัวรุมทึ้งดูน่าอเนจอนาจเหลือทน รองแม่ทัพหยางเบือนหน้าหนี เขาคอยมองหาร่องรอยที่พอจะเป็นเบาะแสของแม่ทัพหนุ่ม จนได้เห็นร่างๆหนึ่งช่างดูคุ้นตาเท้าไวกว่าความคิด รีบเร่งเดินเข้าไปใกล้“ท่านแม่ทัพ!...ไม่…เป็นไปได้อย่างไร” รองแม่ทัพหยางพึมพำ สายตาไปหยุดที่รอยเลือดขนาดใหญ่ที่เริ่มซึมลงพื้น ข้างๆร่างนั้นมีจี้หยกที่เขาจำได้ว่าเป็นของท่านแม่ทัพอวิ๋นตกอยู่ เมื่อมองไปยังร่างที่ไร้ลมหายใจนั้น มีร่างชายผู้หนึ่งที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรร่างนั้นก็คือแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง เพียงแต่ใบน้าถูกฟันจนเละแทบไมาเหลือเค้าเด
หลินเข่อซิงกำจี้หยกไว้ในมือแน่น สัมผัสเย็นเยียบของหยกที่เคยเป็นสิ่งประจำตัวของอวิ๋นเฟยหลง บัดนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้ ราวกับความเย็นเยียบจากหยกนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของนางจนรู้สึกชาไปทั้งตัวความเงียบงันในห้องโถงนั้นหนักอึ้ง นางนั่งนิ่งน้ำตาร่วงพรูไม่หยุด แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นออกมา นางมองจี้หยกที่อยู่ในมือตนอย่างเหม่อลอย ทุกภาพ ทุกถ้อยคำของอวิ๋นเฟยหลงผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพของเขาที่ยิ้มบาง ๆ ดวงตาคมที่มองนางด้วยความอบอุ่น น้ำเสียงที่เขาเคยปลอบโยน นางรู้สึกได้ถึงหัวใจที่บีบรัดจนเจ็บ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ารับความจริงอันโหดร้ายเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินใหญ่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของบ่าวไพร่ นางลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงสะอื้นขาดห้วง น้ำตาไหลเป็นสาย ริมฝีปากสั่นระริกขณะที่นางมองหลินเข่อซิงและจี้หยกในมือนาง “ซิงเอ๋อร์… ลูกเอ๋ย ข้าขอโทษที่ปล่อยเจ้าไว้เพียงลำพัง ขอโทษจริง ๆ…”หลินเข่อซิงหันไปหาฮูหยินใหญ่ที่กุมมือนางไว้แน่น นางพยายามกลั้นน้ำตา พลางกล่าวเสียงสั่น “ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า...ท่านพี่ที่มีฝีมือเก
“แม่ทัพอวิ๋น ข้าคงต้องยอมรับว่าท่านมีฝีมือดียิ่งนัก แต่น่าเสียดาย ท่านก็คงจะมาได้เพียงแค่นี้” ชายหนุ่มแปลกหน้าว่าพลางชักดาบด้ามยาวออกมา อวิ๋นเฟนหลงเห็นดังนี้นเพียงหยักยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นก็เข้ามา”การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเริ่มต้นขึ้น อวิ๋นเฟยหลงตวัดดาบออกไป ชายในชุดคลุมก็เสือกดาบออกมาต้านรับ เสียงดาบกระทบกันดังขึ้นเสียจนเกิดเสียงวิ้งในหู การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วและเฉียบคม ผลัดกันรุกผลัดกันรับชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร เจิ้งจู่คอยสอดส่องมองไปทางอวิ๋นเฟนหลง ขณะที่เขาก็กำลังเผชิญกับชายชุดดำที่เหลือหลังจากรุกรับกะนมาหลายกระบวนท่า ในที่สุดชายชุดดำก็พลาดท่าถูกดาบของอวิ๋นเฟยหลงแทงเข้าที่ลำตัว แต่ก่อนที่เขาจะล้มลงเขาได้กล่าวถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน“ข้าจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่มาขัดขวางท่าน ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ แม่ทัพอวิ๋น!”กล่าวจบ ร่างในชุดคลุมก็ล้มลงกับพื้น อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจ ดาบในมือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด“ท่านแม่ทัพ ท่านบาดเจ็บหรือไม่?” เจิ้งจู่รีบวิ่งเข้ามาถามไถ่อวิ๋นเฟยหลงส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะก่อ
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่