แม่ทัพหนุ่มยืนมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนหลังจากชัยชนะครั้งที่สอง ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาว แต่นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขหลังจากการสู้รบที่ดุเดือด แม้จะรู้สึกยินดีในชัยชนะครั้งนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าภารกิจของเขายังไม่สิ้นสุดลง
“ท่านแม่ทัพ เหล่าทหารฝ่ายข้าศึกตายหมดแล้วขอรับ มิมีผู้ใดรอดไปได้” รองแม่ทัพหยางรายงานด้วยความกระตือรือร้นอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ดี เราจะพักที่นี่คืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เราจะนำทัพเข้าไปเช็คค่ายหลักของศัตรู”ทหารทุกนายเมื่อได้ยินต่างหูร้องอย่างยินดี จิตใจพวกเขาฮึกเหิมจากการรบชนะถึง 2 ครั้ง 2 คราติดกัน และแน่นอนว่าศึกในวันพรุ่งนี้จะเป็นศึกใหญ่ที่จะตัดสินชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตของพวกเขา หากครั้งสุดท้ายนี้พวกเขารบชนะทุกคนจะได้กลับบ้านไปหาบุคคลอันเป็นที่รัก แต่หากว่ารบพ่ายแพ้แล้วล่ะก็เป็นอันว่าคงจะต้องฝังร่างอยู่ที่นี่ไม่มีวันได้กลับไปเป็นแน่ซึ่งอวิ๋นเฟยหลงก็ตระหนักรู้ถึงจิตใจของเหล่าทหารของตนเช่นกัน แต่ว่าการรบชนะ 2 ครั้งติดกันในครั้งนี้ มันทำให้เขาอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ เขามีความรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเมื่อเขาคืนนั้นอวิ๋นเฟยหลงเดินเข้าไปในกระโจมที่ไว้ใช้หารือเรื่องแผนการรบกับรองแม่ทัพและเหล่าหัวหน้านายกองทั้งหลาย เขามองแผนที่แคว้นฉางจีด้วยความมุ่งมั่น นี่คือการศึกที่สำคัญยิ่ง เขารู้ดีว่าค่ายศัตรูหลักนี้คือหัวใจของพวกมัน หากสามารถทำลายลงได้ การรุกรานจากฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจะสิ้นสุดลงทันที และแคว้นฉางจีจะกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง“เราจะจบศึกนี้ในวันพรุ่งนี้” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำกับตนเอง ก่อนจะหยิบภาพวาดเล็กๆขนาดเพียงครึ่งฝ่ามือของเขาที่เก็บไว้อกเสื้อขึ้นมาดู เป็นภาพของหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ คิ้วคาง ปาก จมูกรับกันดี ออกมาเป็นใบหน้าสวยหวานที่มีรอยยิ้มสดใสเปล่งประกายออกมา เขาแอบให้ช่างวาดฝีมือดีที่สุดช่วยวาดให้ก่อนจะออกศึกความคิดถึงถาโถมเข้าใส่ทันที เขาหวนคิดถึงรอยยิ้มสดใสของนาง และเสียงหัวเราะที่มักทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตามไปด้วยเสียทุกครั้ง“ท่านพี่เจ้าขาา~ ช่วยชิมขนมอันนี้ให้ข้าหน่อยสิเจ้าคะ ข้าตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ” หญิงสาวว่าพลางยิ้มกว้าง พร้อมกับยื่นขนมหน้าตาประหลาดมาตรงหน้าเขา“สิ่งนี้คืออะไร…กินได้หรือ?”“โธ่ ท่านพี่ พูดอย่างนี้ท
ขณะที่อวิ๋นเฟยหลงและเหล่าทหารเตรียมเดินทัพกลับเพื่อเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะในครั้งนี้ ทว่ายังมิทันได้หัวเราะเต็มที่ เสียงแตรศึกดังขึ้น แต่ครั้งนี้ดังมาจากฝั่งตรงข้าม ตามมาด้วยเสียงเดินเท้ากึกก้อง พร้อมธงรบสัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์สีแดงสดใสพื้นหลังเป็นสีขาวชูขึ้นสูง นอกจากเสียงเดินเท้ายังมีเสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่ม แผ่นดินสะท้านสะเทือน“นี่มัน…กับดัก!...แคว้นเกาเยว่งั้นรึ” อวิ๋นเฟยหลงขบกรามแน่น เมื่อเพิ่งจะมารู้ความจริงตอนนี้ว่าตนได้เพลี่ยงพล้ำติดกับของศัตรูเสียแล้ว แย่แล้ว! ข้าเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้ เช่นนั้นฝ่าบาททรงมีอันตราย พวกมันลวงข้าออกมาทำศึก ตอนนี้ในเมืองหลวงเหลือทหารประจำการไม่ถึงแสนนาย หากพวกมันยกทัพเข้ารุกราน เขาจะกลับไปช่วยทันได้อย่างไร อวิ๋นเฟยหลงยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ เขาตัดสินใจจัดการกับปัญหาตรงหน้าก่อน แล้วค่อยกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด“จัดกระบวนทัพ เตรียมตั้งรับ!” แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่ง ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็ยืนหยัดต่อสู้ให้ถึงที่สุด“รองแม่ทัพหยางล่ะ” อวิ๋นเฟยหลงถาม“ยังไม่เห็นเลยขอรับ” ทหารนายหนึ่งตอบอวิ๋นเฟยหลงมองไปยังทิศทางที่
หลินเข่อซิงนั่งอยู่ในครัว บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอมๆ ของเนื้อและสมุนไพรที่นางกำลังเตรียมมื้ออาหารให้กับท่านโหวและฮูหยินใหญ่ แต่วันนี้นางไม่ค่อยมีสมาธิ ตาทอดมองไปที่มีดในมือ นางหั่นเนื้อไปเรื่อยๆ โดยความคิดล่องลอยไปไกล แล้วจู่ๆ "ฉึก!" คมมีดเฉือนเข้าที่นิ้วชี้ของนาง“โอ๊ย!” หลินเข่อซิงร้องออกมาเบาๆ ดวงตาสั่นไหวเมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากบาดแผล แต่นางรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามากดแผลไว้ทันที แม้แผลไม่ลึกมาก แต่ความเจ็บแปลบก็ทำให้มือที่ถือมีดสั่นเทา นางหยุดหั่นเนื้อและนั่งนิ่ง รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังกดทับอยู่ที่อก‘เจ็บแปลกๆ แฮะ...’ นางคิดในใจ นางไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เหมือนมีบางอย่างผิดปกติรบกวนจิตใจของนางเอง“ฮูหยิน! ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ?” หลิงเฉินรีบเข้ามาดูเมื่อได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของหลินเข่อซิง นางเห็นเลือดที่ไหลจากนิ้วก็รีบวิ่งไปหยิบผ้าพันแผลมาพันแผลให้ทันที“ข้า...ข้าหั่นพลาดนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก แผลไม่ลึกเท่าไหร่” หลินเข่อซิงพยายามพูดปลอบใจสาวใช้ของตน แต่น้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนล้าและไม่มีชีวิตชีวา“ฮูหยินช่วงนี้ดูอ่อ
หลังจากกองทัพศัตรูจากแค้วนเกาเยว่จากไป รองแม่ทัพหยางที่หลายคนถามถึงก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพสะบักสะบอมราวกับโดนทำร้ายอย่างหนักทหารที่ติดตามเขาไปสืบข่าวด้วยอย่างตายหมดแล้ว เหลือเขารอดชีวิตเพียงคนเดียวและเดินทางกลับมาหาท่านแม่ทัพอย่างระแวดระวัง ด้วยกลัวจะโดนทหารของฝ่ายศัตรูพบเจอและฆ่าเขาแต่เมื่อมาถึงเขากลับพบเพียงซากศพมหาศาลเรียงรายทับถมกัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง และมีกลิ่นสาบที่ชวนคลื่นเหียนลอยมาตามลมเป็นระยะ เหล่านกแร้งต่างบินโฉบลงมากินซากศพ บางศพก็กำลังถูกนกแร้งหลายตัวรุมทึ้งดูน่าอเนจอนาจเหลือทน รองแม่ทัพหยางเบือนหน้าหนี เขาคอยมองหาร่องรอยที่พอจะเป็นเบาะแสของแม่ทัพหนุ่ม จนได้เห็นร่างๆหนึ่งช่างดูคุ้นตาเท้าไวกว่าความคิด รีบเร่งเดินเข้าไปใกล้“ท่านแม่ทัพ!...ไม่…เป็นไปได้อย่างไร” รองแม่ทัพหยางพึมพำ สายตาไปหยุดที่รอยเลือดขนาดใหญ่ที่เริ่มซึมลงพื้น ข้างๆร่างนั้นมีจี้หยกที่เขาจำได้ว่าเป็นของท่านแม่ทัพอวิ๋นตกอยู่ เมื่อมองไปยังร่างที่ไร้ลมหายใจนั้น มีร่างชายผู้หนึ่งที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรร่างนั้นก็คือแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง เพียงแต่ใบน้าถูกฟันจนเละแทบไมาเหลือเค้าเด
หลินเข่อซิงกำจี้หยกไว้ในมือแน่น สัมผัสเย็นเยียบของหยกที่เคยเป็นสิ่งประจำตัวของอวิ๋นเฟยหลง บัดนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้ ราวกับความเย็นเยียบจากหยกนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของนางจนรู้สึกชาไปทั้งตัวความเงียบงันในห้องโถงนั้นหนักอึ้ง นางนั่งนิ่งน้ำตาร่วงพรูไม่หยุด แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นออกมา นางมองจี้หยกที่อยู่ในมือตนอย่างเหม่อลอย ทุกภาพ ทุกถ้อยคำของอวิ๋นเฟยหลงผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพของเขาที่ยิ้มบาง ๆ ดวงตาคมที่มองนางด้วยความอบอุ่น น้ำเสียงที่เขาเคยปลอบโยน นางรู้สึกได้ถึงหัวใจที่บีบรัดจนเจ็บ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ารับความจริงอันโหดร้ายเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินใหญ่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของบ่าวไพร่ นางลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงสะอื้นขาดห้วง น้ำตาไหลเป็นสาย ริมฝีปากสั่นระริกขณะที่นางมองหลินเข่อซิงและจี้หยกในมือนาง “ซิงเอ๋อร์… ลูกเอ๋ย ข้าขอโทษที่ปล่อยเจ้าไว้เพียงลำพัง ขอโทษจริง ๆ…”หลินเข่อซิงหันไปหาฮูหยินใหญ่ที่กุมมือนางไว้แน่น นางพยายามกลั้นน้ำตา พลางกล่าวเสียงสั่น “ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า...ท่านพี่ที่มีฝีมือเก
ตำหนักบรรทมของเจ้าผู้ครองแคว้นยามนี้เงียบสงัดนักผิดกับในพระทัยของฮ่องเต้ที่ร้อนรุ่มราวไฟแผดเผาเมื่อพระอวค์ทรงนึกถึงข่าวการจากไปของแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง พระองค์ทรุดนั่งอย่างคนสิ้นหวัง สายพระเนตรเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหนักหน่วง และหัวใจของพระองค์ถูกฉีกกระชากด้วยความจริงอันโหดร้ายที่ได้รับ ความหวังที่จะได้พบหน้าบุตรชายที่พระองค์ตามหามานานนับยี่สิบปีกลับมลายลงในพริบตา ทว่าในยามที่ทุกสิ่งดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว ฮ่องเต้กลับยิ่งรู้สึกว่าบางอย่างผิดแปลกไปพระองค์หยัดกายลุกขึ้นด้วยสายตาแน่วแน่ที่กลับมาพร้อมกับประกายแห่งความมุ่งมั่น ภายในพระทัยกำลังตั้งคำถามถึงเบื้องหลังของข่าวการสิ้นชีพของบุตรชายเขาผู้นี้ ที่ดูเหมือนจะมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ควรจะเป็น"ออกมา!" พระสุรเสียงเรียกหาองครักษ์เงาเฉียบขาด พร้อมเป่าปากเสียงหวีดแหลมอย่างนกกลางคืน ชายหนุ่มในชุดดำโค้งคำนับเข้ามาด้วยความเคารพ ในเงามืดรอบตำหนักก็ปรากฏเงาของเหล่าผู้พิทักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่พร้อมจะทำภารกิจทุกอย่างเพื่อพระองค์"ข้าต้องการให้พวกเจ้าสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างอย่าให้สิ่งใดพลาดไปแม้แต่เรื่องที่เล็กยิ่ง
หลินเข่อซิงที่นับวันยิ่งกินอะไรไม่ลง แต่ละวันนางทำเพียงนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง พร่ำเขียนจดหมายที่ไม่มีผู้รับ‘ท่านพี่ วันนี้ท้องฟ้าโปร่ง แสงแดดทอประกายระยิบระยับตกต้องหยาดน้ำบนกลีบดอกโบตั๋น ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าเห็นแล้วนึกอยากให้ท่านมานั่งมองด้วยกันกับข้ายิ่งนัก’‘ท่านพี่ยังจำโรงเตี๊ยมไฉ่หงได้หรือไม่เจ้าคะ ที่เราสองสามีภรรยาไปนั่งกินด้วยกันครั้งแรก ตอนนั้นข้าและท่านยังมิได้รู้จักกันดีนัก วันนี้ข้าให้หลิงเฉินพาไปนั่งกินซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานที่ท่านชอบ แต่ข้ากลับกินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้า….อยากกินด้วยกันกับท่านอีกสักครั้ง'‘เฟยหลง ข้าคิดถึงไออุ่นของท่าน อ้อมกอดของท่าน สิ่งของของท่านข้าเก็บรักษาไว้อย่างดีไม่ต้องกังวลใจไป ส่วนเสื้อผ้าของท่านข้าซักให้สะอาดและพับเก็บไว้อย่างดี เมื่อท่านกลับมาจะได้มีเสื้อผ้านุ่มหอมกรุ่นไว้ใส่'‘ท่านพี่…วันนี้ข้า…' ร่างบางจรดพู่กันไปได้เพียงไม่กี่คำ ก็ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไว หลิงเฉินรู้งานยิ่ง รีบนำกระโถนมารองรับอย่างไว หลินเข่อซิงอาเจียนออกมา หนึ่งเดือนมานี้นางอาเจียนเช่นนี้บ่อยๆ อีกทั้งยังกินอะไรไม่ได้มาก ทำให้ร่างกายยิ่งผ่ายผอมยิ่งกว่าแต่ก่อนมากนัก ร
หลังจากที่มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป องค์ชายห้าหานเจี๋ยได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูและปราบคนชั่วปกป้องคนดี กอปรกับที่มีพระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ทรงแต่งตั้งองค์ชายห้าให้เป็นองค์รัชทายาทแทนองค์เดิมที่อกตัญญู ริษยาพี่น้องของตน เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนนัก การขึ้นครองราชย์ขององค์ชายห้าจึงมิมีผู้ใดคัดค้าน แม้แต่ท่านโหวผู้เป็นพ่อของอวิ๋นเฟยหลง แม้ในใจจะค้านแต่ก็ทำได้เพียงเห็นชอบด้วย หากทำตัวกระด้างกระเดื่องเสียแต่ตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นภัยมาสู่คนในตระกูลอวิ๋นเสียมากกว่า ยิ่งสะใภ้กำลังตั้งครรภ์ด้วย เขายิ่งมิกล้ากระทำการสิ่งใดโดยมิยั้งคิด“ท่านโหวดูเคร่งเครียดยิ่งนัก หรือจะไม่พอใจข้าหรือ” องค์ชายห้าหรือต่อไปต้องเรียกว่าฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นกลางท้องพระโรง“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงกังวลถึงคนที่บ้านเท่านั้น ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย” ท่านโหวชราว่าพลางคุกเข่าลงทันใด“อ้อ เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ข้าคงคิดมากไปเอง เจ้าลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้ปรายหางพระเนตรมองก่อนมองไปทางอื่น“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโหวค่อยๆลุกขึ้นยืนจากนั้นบรรย
“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา
กลางดึกคืนหนึ่งใต้ฟ้าสีดำสนิท อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่นั่งปรึกษาแผนการกันภายในกระท่อมร้างที่พวกเขาหลบซ่อนอยู่“นายท่าน ครั้งนี้เราจะไม่ยอมให้พลาดอีก” เจิ้งจู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สายตาแน่วแน่มองผู้เป็นนายอวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่ง ตากลมคมปลาบจ้องมองแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะไม้เก่า เขามองเส้นทางเข้าออกวังหลวงด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม“พลาดไม่ได้อีก เจิ้งจู่” เสียงทุ้มของเขาแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ครั้งนี้เราต้องเอาตัวซิงเอ๋อร์ออกมาให้ได้”อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ มองไปยังเจิ้งจู่“แล้วเรื่องที่ข้าสั่งไปถึงไหนแล้ว?”“เรียบร้อยดีขอรับ เรารวบรวมกำลังพลได้มากถึงห้าหมื่นนายที่ยังคงภักดีต่อฮ่องเต้องค์ก่อน แต่ก็ยังนับว่าน้อยนักหากเทียบกับทหารที่ประจำการภายในพระราชวัง”“ดี! ดีมาก ขอบใจเจ้ามากเจิ้งจู่ ผลแพ้ชนะมิได้วัดกันเพียงจำนวนทหาร มีกำลังพลมากแล้วอย่างไร หากเขาเหล่านั้นขาดแรงใจและศรัทธาในผู้นำ” อวิ๋นเฟยหลงยืนเหยียดหลังตรงสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง เหม่อมองไปยังจันทราบนฟากฟ้า“ข้าดีใจที่ในที่สุด ท่านก็เลือกจะเปิดเผยตั
ค่ำคืนอันมืดมิดปกคลุมไปทั่ววังหลวง แสงจันทร์ซีดจางลอดผ่านหน้าต่างห้อง หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยใบหน้าหม่นหมอง สายตาของนางทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวกลับไม่ได้ช่วยให้นางรู้สึกสงบใจเลยแม้แต่น้อย“คุณหนู...อย่ามัวแต่คิดมากเลยเจ้าค่ะ” หลิงเฉินยกถ้วยชามาวางบนโต๊ะ ใบหน้าของสาวใช้เต็มไปด้วยความเป็นห่วง “พักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านจะได้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป”หลินเข่อซิงถอนหายใจยาว นางก้มมองท้องที่นูนเด่นของตนด้วยสายตาอ่อนล้า “ข้าห่วงเขาเหลือเกิน เฉินเอ๋อร์ เจ้าว่าตอนนี้เขาจะปลอดภัยไหม?”หลิงเฉินนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพเป็นคนที่แข็งแกร่งและฉลาด ท่านต้องหาทางรอดได้แน่เจ้าค่ะ”หลินเข่อซิงเม้มริมฝีปากแน่น สองมือประสานกันแน่นจนสั่น “ข้าไม่อยากนั่งรออยู่อย่างนี้อีกแล้ว เฉินเอ๋อร์ ข้าควรทำอะไรสักอย่าง”หลิงเฉินมองเจ้านายของนางด้วยความตกใจ “คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ?”หลินเข่อซิงเบือนสายตามองไปทางประตู “ข้าจะหนีออกไปตามหาเขา ข้าจะต้องหาทางช่วยเขาให้ได้”คำพูดนั้นทำให้ห
แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านรอยแยกเล็กๆ บนเพดานห้องขัง เสียงน้ำหยดลงพื้นดังเป็นจังหวะก้องในความเงียบ อวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง โซ่ที่ล่ามข้อมือและข้อเท้าของเขายังคงกดทับแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด ร่างกายอ่อนแรงเต็มที แต่หัวใจยังคงเต็มไปด้วยความหวังทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางเดินไกลๆ เสียงโลหะกระทบกันดังแว่ว อวิ๋นเฟยหลงเงยหน้าขึ้น สายตาคมกริบจ้องไปยังประตูเหล็กตรงหน้าเสียงดาบกระทบกันดังสนั่น เสียงร้องของทหารที่รักษาคุกดังตามมา อวิ๋นเฟยหลงลุกขึ้นยืน แม้ว่าโซ่จะพันธนาการเขาไว้ แต่เขายังคงตั้งใจเฝ้ารอฟัง ทันใดนั้น เสียงทุบประตูเหล็กก็ดังลั่น“นายท่าน! ข้ามาแล้ว!” เสียงที่คุ้นเคยตะโกนขึ้นประตูเหล็กพังลง เผยให้เห็นเจิ้งจู่ที่ยืนหอบหายใจอยู่ เขาสวมชุดดำสนิทพร้อมดาบเปื้อนเลือดในมือ“เจิ้งจู่...” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว“ข้าขอโทษที่มาช้า แต่เราจะพาท่านออกไปเดี๋ยวนี้!”เจิ้งจู่เข้าไปแก้โซ่ที่ล่ามอวิ๋นเฟยหลงอย่างรวดเร็ว ทหารในชุดดำอีกสิบกว่าคนเข้ามาเสริมกำลังกันที่ทางเดิน เสียงต่อสู้ยังคงดังมาจ