หลังจากกองทัพศัตรูจากแค้วนเกาเยว่จากไป รองแม่ทัพหยางที่หลายคนถามถึงก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพสะบักสะบอมราวกับโดนทำร้ายอย่างหนัก
ทหารที่ติดตามเขาไปสืบข่าวด้วยอย่างตายหมดแล้ว เหลือเขารอดชีวิตเพียงคนเดียวและเดินทางกลับมาหาท่านแม่ทัพอย่างระแวดระวัง ด้วยกลัวจะโดนทหารของฝ่ายศัตรูพบเจอและฆ่าเขาแต่เมื่อมาถึงเขากลับพบเพียงซากศพมหาศาลเรียงรายทับถมกัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง และมีกลิ่นสาบที่ชวนคลื่นเหียนลอยมาตามลมเป็นระยะ เหล่านกแร้งต่างบินโฉบลงมากินซากศพ บางศพก็กำลังถูกนกแร้งหลายตัวรุมทึ้งดูน่าอเนจอนาจเหลือทน รองแม่ทัพหยางเบือนหน้าหนี เขาคอยมองหาร่องรอยที่พอจะเป็นเบาะแสของแม่ทัพหนุ่ม จนได้เห็นร่างๆหนึ่งช่างดูคุ้นตาเท้าไวกว่าความคิด รีบเร่งเดินเข้าไปใกล้“ท่านแม่ทัพ!...ไม่…เป็นไปได้อย่างไร” รองแม่ทัพหยางพึมพำ สายตาไปหยุดที่รอยเลือดขนาดใหญ่ที่เริ่มซึมลงพื้น ข้างๆร่างนั้นมีจี้หยกที่เขาจำได้ว่าเป็นของท่านแม่ทัพอวิ๋นตกอยู่ เมื่อมองไปยังร่างที่ไร้ลมหายใจนั้น มีร่างชายผู้หนึ่งที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรร่างนั้นก็คือแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง เพียงแต่ใบน้าถูกฟันจนเละแทบไมาเหลือเค้าเดหลินเข่อซิงกำจี้หยกไว้ในมือแน่น สัมผัสเย็นเยียบของหยกที่เคยเป็นสิ่งประจำตัวของอวิ๋นเฟยหลง บัดนี้เป็นสิ่งเดียวที่เขาทิ้งไว้ให้ ราวกับความเย็นเยียบจากหยกนั้นค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของนางจนรู้สึกชาไปทั้งตัวความเงียบงันในห้องโถงนั้นหนักอึ้ง นางนั่งนิ่งน้ำตาร่วงพรูไม่หยุด แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นออกมา นางมองจี้หยกที่อยู่ในมือตนอย่างเหม่อลอย ทุกภาพ ทุกถ้อยคำของอวิ๋นเฟยหลงผุดขึ้นมาในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพของเขาที่ยิ้มบาง ๆ ดวงตาคมที่มองนางด้วยความอบอุ่น น้ำเสียงที่เขาเคยปลอบโยน นางรู้สึกได้ถึงหัวใจที่บีบรัดจนเจ็บ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ารับความจริงอันโหดร้ายเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินใหญ่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของบ่าวไพร่ นางลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงสะอื้นขาดห้วง น้ำตาไหลเป็นสาย ริมฝีปากสั่นระริกขณะที่นางมองหลินเข่อซิงและจี้หยกในมือนาง “ซิงเอ๋อร์… ลูกเอ๋ย ข้าขอโทษที่ปล่อยเจ้าไว้เพียงลำพัง ขอโทษจริง ๆ…”หลินเข่อซิงหันไปหาฮูหยินใหญ่ที่กุมมือนางไว้แน่น นางพยายามกลั้นน้ำตา พลางกล่าวเสียงสั่น “ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า...ท่านพี่ที่มีฝีมือเก
ตำหนักบรรทมของเจ้าผู้ครองแคว้นยามนี้เงียบสงัดนักผิดกับในพระทัยของฮ่องเต้ที่ร้อนรุ่มราวไฟแผดเผาเมื่อพระอวค์ทรงนึกถึงข่าวการจากไปของแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง พระองค์ทรุดนั่งอย่างคนสิ้นหวัง สายพระเนตรเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหนักหน่วง และหัวใจของพระองค์ถูกฉีกกระชากด้วยความจริงอันโหดร้ายที่ได้รับ ความหวังที่จะได้พบหน้าบุตรชายที่พระองค์ตามหามานานนับยี่สิบปีกลับมลายลงในพริบตา ทว่าในยามที่ทุกสิ่งดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว ฮ่องเต้กลับยิ่งรู้สึกว่าบางอย่างผิดแปลกไปพระองค์หยัดกายลุกขึ้นด้วยสายตาแน่วแน่ที่กลับมาพร้อมกับประกายแห่งความมุ่งมั่น ภายในพระทัยกำลังตั้งคำถามถึงเบื้องหลังของข่าวการสิ้นชีพของบุตรชายเขาผู้นี้ ที่ดูเหมือนจะมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ควรจะเป็น"ออกมา!" พระสุรเสียงเรียกหาองครักษ์เงาเฉียบขาด พร้อมเป่าปากเสียงหวีดแหลมอย่างนกกลางคืน ชายหนุ่มในชุดดำโค้งคำนับเข้ามาด้วยความเคารพ ในเงามืดรอบตำหนักก็ปรากฏเงาของเหล่าผู้พิทักษ์ผู้ซื่อสัตย์ที่พร้อมจะทำภารกิจทุกอย่างเพื่อพระองค์"ข้าต้องการให้พวกเจ้าสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างอย่าให้สิ่งใดพลาดไปแม้แต่เรื่องที่เล็กยิ่ง
หลินเข่อซิงที่นับวันยิ่งกินอะไรไม่ลง แต่ละวันนางทำเพียงนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง พร่ำเขียนจดหมายที่ไม่มีผู้รับ‘ท่านพี่ วันนี้ท้องฟ้าโปร่ง แสงแดดทอประกายระยิบระยับตกต้องหยาดน้ำบนกลีบดอกโบตั๋น ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าเห็นแล้วนึกอยากให้ท่านมานั่งมองด้วยกันกับข้ายิ่งนัก’‘ท่านพี่ยังจำโรงเตี๊ยมไฉ่หงได้หรือไม่เจ้าคะ ที่เราสองสามีภรรยาไปนั่งกินด้วยกันครั้งแรก ตอนนั้นข้าและท่านยังมิได้รู้จักกันดีนัก วันนี้ข้าให้หลิงเฉินพาไปนั่งกินซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานที่ท่านชอบ แต่ข้ากลับกินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้า….อยากกินด้วยกันกับท่านอีกสักครั้ง'‘เฟยหลง ข้าคิดถึงไออุ่นของท่าน อ้อมกอดของท่าน สิ่งของของท่านข้าเก็บรักษาไว้อย่างดีไม่ต้องกังวลใจไป ส่วนเสื้อผ้าของท่านข้าซักให้สะอาดและพับเก็บไว้อย่างดี เมื่อท่านกลับมาจะได้มีเสื้อผ้านุ่มหอมกรุ่นไว้ใส่'‘ท่านพี่…วันนี้ข้า…' ร่างบางจรดพู่กันไปได้เพียงไม่กี่คำ ก็ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไว หลิงเฉินรู้งานยิ่ง รีบนำกระโถนมารองรับอย่างไว หลินเข่อซิงอาเจียนออกมา หนึ่งเดือนมานี้นางอาเจียนเช่นนี้บ่อยๆ อีกทั้งยังกินอะไรไม่ได้มาก ทำให้ร่างกายยิ่งผ่ายผอมยิ่งกว่าแต่ก่อนมากนัก ร
หลังจากที่มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป องค์ชายห้าหานเจี๋ยได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูและปราบคนชั่วปกป้องคนดี กอปรกับที่มีพระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ทรงแต่งตั้งองค์ชายห้าให้เป็นองค์รัชทายาทแทนองค์เดิมที่อกตัญญู ริษยาพี่น้องของตน เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนนัก การขึ้นครองราชย์ขององค์ชายห้าจึงมิมีผู้ใดคัดค้าน แม้แต่ท่านโหวผู้เป็นพ่อของอวิ๋นเฟยหลง แม้ในใจจะค้านแต่ก็ทำได้เพียงเห็นชอบด้วย หากทำตัวกระด้างกระเดื่องเสียแต่ตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นภัยมาสู่คนในตระกูลอวิ๋นเสียมากกว่า ยิ่งสะใภ้กำลังตั้งครรภ์ด้วย เขายิ่งมิกล้ากระทำการสิ่งใดโดยมิยั้งคิด“ท่านโหวดูเคร่งเครียดยิ่งนัก หรือจะไม่พอใจข้าหรือ” องค์ชายห้าหรือต่อไปต้องเรียกว่าฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นกลางท้องพระโรง“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงกังวลถึงคนที่บ้านเท่านั้น ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย” ท่านโหวชราว่าพลางคุกเข่าลงทันใด“อ้อ เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ข้าคงคิดมากไปเอง เจ้าลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้ปรายหางพระเนตรมองก่อนมองไปทางอื่น“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ” ท่านโหวค่อยๆลุกขึ้นยืนจากนั้นบรรย
บ่ายวันนี้หลินเข่อซิงนั่งนิ่ง จมจ่อมอยู่ในความคิดมากมายหลังได้รับข่าวจากหลิงเฉิน ขณะนี้ทั่วทั้งแคว้นกำลังโห่ร้องสรรเสริญฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ทุกข่าวคราวที่เข้ามาล้วนบ่งบอกว่า เขาสามารถควบคุมราชสำนักได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขุนนางผู้มีอำนาจเก่าแก่ที่เคยต่อต้าน บัดนี้ต่างก้มหัวลงยอมรับอำนาจใหม่อย่างราบคาบ ชื่อเสียงความสามารถในการบริหารและควบคุมราชสำนักของเขากำลังเป็นที่เลื่องลือ และยังได้รับการยอมรับจากชาวบ้านมากมายในช่วงเวลาสั้น ๆ "ในที่สุด...เขาก็ทำมันจริงๆ" หลินเข่อซิงพึมพำเบา ๆ น้ำเสียงปนไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งชื่นชมและกังวล “ฮูหยินเจ้าคะ คิดว่าองค์ชายห้าจะทรงทำได้ดีขนาดนี้หรือไม่เจ้าคะ” หลิงเฉินถามด้วยแววตาสงสัย หลินเข่อซิงถอนหายใจ “ข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะมาไกลถึงเพียงนี้ จริงอยู่ที่หานเจี๋ยฉลาดและเจ้าแผนการ แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถทำทุกอย่างได้อย่างเด็ดขาดและ...โหดเหี้ยมเช่นนี้” นางรู้ว่าหานเจี๋ยมีความทะเยอทะยานมากเพียงใด และรู้อีกด้วยว่าเบื้องหลังรอยยิ้มเย็นชานั้น เขาอาจไม่รีรอที่จะใช้วิธีใด ๆ เพื่อให้ได้มาซ
ท่านโหวและฮูหยินใหญ่ตกใจเป็นอันมาก“เจ้าเข้าใจอะไรผิดรึไม่ ข้ามิเคยทำเรื่องเช่นนั้น” อีกฝ่ายแสยะยิ้มไม่น่ามอง “ทำหรือไม่หลักฐานก็มีอยู่”สิ้นเสียงทหารที่เข้าค้นจวนต่างโยนกระดาษจดหมายที่เขียนตอบโต้กับสายลับแคว้นเกาเยว่ บนนั้นคือลายมือท่านโหวชัดเจน“ไม่ ข้าไม่ได้ทำ ข้าถูกใส่ร้าย ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”“ช้าก่อน ท่านคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน คิดจะพบหน้าฝ่าบาท ก็พบได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ อีกอย่างฝ่าบาททรงตัดสินโทษพวกเจ้าตระกูลอวิ๋นแล้ว”ในขณะที่ดาบกำลังจะฟาดฟันลงมาสวบ! เสียงดาบแทงทะลุอก ฮูหยินใหญ่ทรุดลงไปกองกับพื้น ท่านโหวตะโกนออกมาสุดเสียง ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กินกันมานาน เอาตัวเข้ารับดาบแทนเขา “ได้โปรดปล่อยสามีข้าไปเถิดนะท่านเขาบริสุทธิ์” ฮูหยินใหญ่ยื่นมือไขว้คว้าจับข้อท้าของทหารนายนั้น “ข้าขอร้องท่าน อย่างน้อยก็คิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน ท่านโหวเมื่อครั้งเป็นแม่ทัพก็ปฎิบัติต่อท่านอย่างดีมิใช่หรือ อึ่ก”ฮูหยินใหญ่กระอักเลือดออกมาคำโต ท่านโหวตรงเข้าไปดึงตัวภรรยาออกมาโอบกอดไว้แนบอก
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี” หลินเข่อซิงย่อตัวลงทำความเคารพฮ่องเต้ “ไม่ต้องมากพิธี คนกันเองทั้งนั้น” หายเจี๋ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางนั่งที่โต๊ะน้ำชา “พระองค์ทรงให้คนพาหม่อมฉันมาที่นี่ด้วยเหตุใดเพคะ” หลินเข่เซิงถามเสียงเรียบ แต่แววตาแสดงความไม่พอใจแจ่มชัด “ข้าว่าตำหนักที่เจ้าอยู่ดูจะแคบไปนะ เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าย้ายไปตำหนักที่ใกล้ข้าดีหรือไม่ จะได้มีที่กว้างขวาง ซ้ำยังมีสวนสวยงามและน้ำตกเล็กๆให้เจ้าดูอีกด้วย” หานเจี๋ยเฉไฉพูดเรื่องอื่น ทำราวกับไม่ได้ยินที่นางถาม “ฝ่าบาท เหตุใดจึงกระทำการโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก ท่านโหวจงรักภักดีต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน จนถึงตอนที่ท่านขึ้นครองบัลลังก์มังกรนี้เขามิเคยตั้งคำถาม มีแต่ตั้งใจทำงานของตนอย่างสุดความสามารถ ท่านตอบแทนตระกูลที่ภักดีกับท่านเช่นนี้น่ะหรือ” หลินเข่อซิงถามออกไปอย่างสุดกลั้น คราแรกนางตั้งใจไว้ว่าจะควบคุมอารมณ์ตนเอง เพราะตอนนี้นางไม่มีอำนาจใดๆจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อเห็นใบหน้านี้ นางกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมา เลือดของคนตระกูล
เมื่อลองคิดใคร่ครวญกลับไป นางพบว่าเขาแทบไม่พูดหวานกับนางสักเท่าใด คำบอกรักก็แทบนับครั้งได้ หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่แม้นางกับเขาเป็นสามีภรรยากันแล้วมีสัมพันธ์ทางกายจนตอนนี้นางตั้งภรรค์ลูกของเขา แต่นางก็ยังกลับปัจจุบันไม่ได้ จนเกิดเรื่องที่เขาไปรบ หรือแท้ที่จริงใจเขามิเคยรักนางจริงสิ สมรสพระราชทาน ใครจะกล้าปฎิเสธคำของฮ่องเต้กัน หลินเข่อซิงคิดอย่างเศร้าสร้อย“นี่ข้าคงรักท่านอย่างสุดหัวใจเข้าแล้วจริงๆ ถึงกับตามืดบอดหลงลืมไปว่าท่านและนางเคยผูกพันกันมานานเพียงใด ยึดติดกับเนื้อเรื่องในนิยายหลงคิดว่าตนเองคือนางเอก แท้ที่จริงข้าต่างหากที่เป็นนางร้ายมาแยกพวกท่านออกจากกัน”หลินเข่อซิงร่ำไห้ปานใจจะขาด ลูกน้อยในท้องราวกับรับรู้ได้ ทั้งเตะทั้งถีบรุนแรง แต่กลับเป็นการกระตุ้นให้หลินเข่อซิงยิ่งหดหู่“เขามิได้ต้องการข้าแล้ว ถ้าหากเขารับรู้ว่าข้ามีเจ้า เขาคง…”คืนนั้นหลิงเฉินก็ยังมิกลับมา แต่หลินเข่อซิงที่จมจ่อมในห้วงคำนึงของตนเองจนมิสนใจสิ่งใดรอบกาย ปล่อยให้นางกำนัลจัดการทุกสิ่งให้นาง จนถึงเวลาเข้านอน หญิงสาวทำเพียงจ้องมองไปบนเพดาน น้ำตาระลอ
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค
ในท้องพระโรงอันโอ่อ่า เสียงประโคมกลองและฉาบดังขึ้น ประกาศเริ่มต้นพิธีอภิเษกสมรสของหานเจี๋ย ผู้ครองบัลลังก์มังกร และสตรีที่ทรงเลือกขึ้นเป็นฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน พื้นผิวของโถงหลวงถูกปูด้วยพรมผืนใหญ่สีแดงฉาน ขับเน้นให้บรรยากาศยิ่งเต็มไปด้วยความสง่างาม บนโต๊ะยาวด้านหน้าถูกจัดเรียงเครื่องบรรณาการ เครื่องหอม และบรรดาของมีค่าจากทั่วสารทิศที่นำมาถวายแด่คู่บ่าวสาวทางเดินทอดยาวไปยังบัลลังก์ทองคำที่ตั้งตระหง่าน ที่นั่นเอง ฮ่องเต้หนุ่มทรงสวมฉลองพระองค์จักรพรรดิเต็มยศ ผ้าคลุมไหล่ปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรอันงดงาม เสื้อคลุมทอด้วยไหมชั้นดีจากแดนไกล ที่แขนยาวปักลายพยัคฆ์ทองคำอีกชั้น มือซ้ายของพระองค์วางบนที่วางแขน ขณะที่มือขวาทรงวางนิ่งสงบเบื้องหน้าเขาคือเจ้าสาวในชุดสีแดงสด ประดับด้วยผ้าคลุมหน้าแพรบาง สะท้อนแสงไฟจากโคมทองระยิบระยับ ผ้าคลุมไหล่ยาวลากตามราวสายธารสีแดงที่ไหลริน สะท้อนความงามอันบริสุทธิ์ สตรีนางนี้มาพร้อมกับสายตาที่หวั่นไหวและความรู้สึกอันหลากหลายที่มิได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดหลังจากนั้น เสียงของหัวหน้าพิธีการดังกังวานขึ้น “ถวายคำนับแรกแด่ฟ้าและดิน!”