“อุบ… ฮ่าาา ข้าล้อเจ้าเล่นน่ะ ดูเจ้าทำหน้าเข้าสิ” องค์ชายห้าหัวเราะราวกับเห็นเรื่องที่น่าขำที่สุดในชีวิตในขณะที่หลินเข่อซิงตัวแข็งค้างไปแล้วนั้น เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะลั่นก็หน้าร้อนผ่าวหนอย หานเจี๋ย ไอ้คนน่าตาย กล้าเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นได้ยังไง หลินเข่อซิงโมโหมาก ในขณะที่คิดวางแผนจะเอาคืนอยู่นั้น“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้อยากทำให้เจ้าโกรธเคืองหรอกนะ เพียงเห็นเจ้าแล้วรู้สึกอยากแกล้งก็เท่านั้น เห็นสีหน้าเจ้าเช่นนั้นแล้ว น่ามองยิ่งนัก”หลินเข่อซิงระแวงระวังทันใด องค์ชายห้าผู้นี้ เมื่อครั้งที่เธออ่านนิยาย เขาเป็นคนที่ร่วมมือกับองค์รัชทายาทโค่นล้มบัลลังก์บิดาของตนเอง เพราะในขณะนั้นมีข่าวแว่วมาว่า บุตรชายที่หายสาบสูญไปนานนับสิบกว่าปีของพระองค์ได้หวนคืนมาแล้ว ฉะนั้นพระองค์จึงทรงจะแต่งตั้งบุตรชายคนนี้ขึ้นเป็นองค์รัชาทายาทแทนข่าวนี้ทำให้พวกเขาไม่สบายใจอย่างมาก จึงเป็นที่มาของแผนก่อกบฏ สังหารบิดาของตนเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ และสังหารผู้เป็นพี่ชายซึ่งก็คืออดีตรัชทายาทนั้นเอง แต่ในเรื่อง หลินเข่อซิงกับองค์ชายห้าผู้นี้มิมี
ท้องฟ้าวันนี้มืดครึ้มราวกับเป็นลางบอกเหตุ หลินเข่อซิงเดินก้าวช้าๆ ผ่านตลาดกลางเมือง หัวใจของหญิงสาวที่เคยสดใสกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ข้างกายนาง หลิงเฉินสาวใช้คนสนิทเดินตามอย่างเงียบๆ แต่ใบหน้าของหลิงเฉินเองก็เต็มไปด้วยความกังวลไม่แพ้กัน ตั้งแต่ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว นางรับรู้ได้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนในเมืองจะมองเจ้านายของตนด้วยความเคารพและนับถือเหมือนเดิมอีกต่อไป ข่าวลือที่หลินเข่อซิงมีสัมพันธ์ลับกับองค์ชายห้าถูกปั่นจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในหมู่ชาวบ้าน การที่หญิงนางหนึ่งเป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่ที่กำลังทำศึกอยู่ แต่กลับถูกกล่าวหาว่าสวมหมวกเขียวให้สามี มันทำให้นางกลายเป็นเป้าหมายของเสียงซุบซิบและสายตาเหยียดหยามไปทั่ว แม้ว่าหลินเข่อซิงจะเดินผ่านแผงขายผลไม้ แผงขายผัก หรือร้านรวงต่างๆ ที่นางเคยซื้อของเป็นประจำ แต่วันนี้บรรยากาศดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เจ้าของร้านที่เคยยิ้มต้อนรับกลับทำหน้าบูดบึ้ง มีทั้งพ่อค้าแม่ค้าที่กระซิบกระซาบพร้อมกับชี้มาที่หญิงสาวยืนอยู่ “นั่นไงล่ะนาง...หลินเข่อซิง...” “ข้าล่ะไม่เข้าใจเลย ท่านแม่ทัพอวิ๋นต
ในที่สุด หลินเข่อซิงก็กลับมาถึงจวน แต่ยังมิทันก้าวพ้นประตูเข้ามาในจวนตระกูลอวิ๋น ใจของเธอยังไม่ทันสงบดี ก็มีสาวใช้นางหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงานว่านายท่านและฮูหยินใหญ่ต้องการพบ หลินเข่อซิงที่ตอนนี้เหนื่ิอยล้าทั้งกายใจกลับต้องพบกับท่านโหว และฮูหยินใหญ่ที่นั่งรออยู่ในห้องโถง ทันทีที่นางก้าวเข้ามา บรรยากาศในห้องก็ดูตึงเครียดขึ้นทันตา อวิ๋นเหอ ผู้เป็นบิดาของอวิ๋นเฟยหลง นั่งตัวตรงและแสดงท่าทีเคร่งขรึม สายตาของเขาจ้องมองตรงมาที่หลินเข่อซิง ดวงตาคมของเขามีแววตำหนิที่ไม่อาจปิดบังได้ รังสีอำมหิตกดดันอย่างผู้ที่เคยเป็นแม่ทัพกรำศึกในสนามรบแผ่ออกมาคุกคามหญิงสาวเต็มที่ ทำเอาหลินเข่อซิงไมากล้าสบตา ได้แต่ยืนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ส่วนฮูหยินใหญ่ก็ไม่แม้แต่จะยิ้มให้เหมือนเคย นางมองหลินเข่อซิงด้วยสายตาเย็นชา ราวกับไม่พอใจในตัวเธออย่างมาก หลินเข่อซิงรู้ทันทีว่าตนกำลังเผชิญกับความไม่พอใจของทั้งสองคน นางพยายามรวบรวมความกล้าและก้าวเข้าไปใกล้ พร้อมคำนับท่านโหวและฮูหยินใหญ่ตามธรรมเนียม "คารวะท่านพ่อ คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ" หลินเข่อซิงกล่าวเสียงเ
ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบของพระราชวัง ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูสงบสุข แต่ภายในพระทัยของฮ่องเต้กลับไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ประทับนั่งอยู่ภายในห้องทรงงาน สายพระเนตรทอดยาวไปที่แผนที่แคว้นฉางจีซึ่งแขวนอยู่บนผนัง ริมพระโอษฐ์ยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ความคิดในพระทัยเต็มไปด้วยความซับซ้อน หลายวันก่อน ฮ่องเต้ทรงได้รับรายงานจากทหารยอดฝีมือคนสนิทที่พระองค์ส่งไปสืบหาข่าวบุตรชายที่สาบสูญไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ข้อความในรายงานนั้นทำให้พระทัยของฮ่องเต้เต้นระรัวด้วยความประหลาดใจ บุตรชายที่พระองค์ตามหามาตลอดหลายปีที่แท้กลับอยู่ใกล้เพียงปรายหางพระเนตรมองก็พอ เพียงแค่พระองค์ไม่เคยคาดคิดมาก่อน "บุตรชายของข้า..." ฮ่องเต้พึมพำกับตนเองเบา ๆ สายพระเนตรเต็มไปด้วยความคาดหวังและความรู้สึกที่หลายหลาก บุตรชายที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ยังเป็นทารก ครั้งนั้นพระองค์ยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท ที่พระบิดาประทานสมรสให้แต่งกับบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีให้เป็นชายาเอกของพระองค์ ซึ่งก็คือฮองเฮาองค์ปัจจุบันนั่นเอง หากแต่ครั้งนั้นเกิดศึกนองเลือดขึ้นระหว่างสายเลือด เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ พร
คืนนี้เช่นกัน เมื่อได้รับคำสั่งให้จัดการกับองค์รัชทายาท เจิ้งจู่กลับไม่ถามคำถามสักคำ เขาแค่ยิ้มเย็น ๆ ภายใต้หน้ากากเหล็กบางที่ปกปิดใบหน้าของเขา ก่อนจะลอบออกจากวังหลวงอย่างเงียบงัน ทะยานหายเข้าไปในความมืดเป้าหมายของเจิ้งจู่ไม่ใช่การสังหาร แต่คือการทำให้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็น "เหตุบังเอิญ" เหวินหลงต้องแนบเนียนพอที่ทุกคนในวังจะเชื่อว่ามันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มีใครตั้งใจให้เกิดขึ้น เรื่องนี้ถือเป็นภารกิจที่ต้องใช้ทักษะและความรอบคอบสูงสุดยามกลางดึก เขาเร้นกายอยู่ในมุมหนึ่งของห้องลับในวัง ท่ามกลางเสียงลมพัดเบาๆ ที่แฝงไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ยามค่ำคืน ในความมืด เจิ้งจู่นั่งคุกเข่ารออย่างอดทน รอจนกระทั่งคนในห้องด้านหน้าพากันแยกย้ายกลับที่พัก เหลือเพียงเสียงขององค์รัชทายาทที่ยังไม่ได้นอน"องค์รัชทายาท ดึกมากแล้ว ท่านไม่ควรใช้หัวมากเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ" เหลียงกงกง ขันทีคนสนิทขององค์รัชทายาท กล่าวขึ้นพร้อมกับพับหนังสือราชการในมือและพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายของเขาพักผ่อน"ไม่ ข้ามีเรื่องต้องทำอีกมาก หากข้าจะเป็นจักรพรรดิที่ดี ข้าจะต้องเข้าใ
ภายในห้องพักอันหรูหราแต่ทึบทึมขององค์รัชทายาท บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายของยาสมุนไพรคละคลุ้งไปหมด แสงอาทิตย์ส่องผ่านผ้าม่านเนื้อหนาเข้ามาเพียงเล็กน้อย ทำให้ห้องนั้นดูเหมือนจะยิ่งทึบทึมลงไปอีก องค์รัชทายาทซึ่งนั่งอยู่บนเตียงไม้สูง เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกายของตนเอง อาการอ่อนแรงที่ไม่สามารถอธิบายได้ยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนก และความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้าสู่จิตใจของเขาร่างกายที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งแรง มาบัดนี้กลับซูบเซียว ใบหน้างามที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยสีสัน กลับซีดเผือดครั้งหนึ่งใครๆก็ต่างชื่นชมว่าองค์รัชทายาทรูปงามนัก มีทั้งความสง่าผ่าเผยดั่งชายชาตรี และความสวยสะกดใจของอิสตรี ด้วยรูปโฉมที่งดงาม ดวงเนตรหงส์เรียวงาม ใบหน้ารูปไข่ขาวอมชมพูนวลเนียน จมูกเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากบางนั้นอมสีแดงระเรื่อ กอปรกับเมื่อทรงปล่อยพระเกศาดกดำเงางามลงมา ราวกับได้พบเทพธิดามาเยือนยังโลกมนุษย์ แต่ยามใดที่พระองค์จับดาบแกว่งไกว ก็ราวกับเทพสงครามมาจุติ ท่าทีองอาจสง่าผ่าเผย ต่อให้ศัตรูมาร้อยรึพัน พระองค์มิเคยหวั่นแต่ด้านจิตใจ พระองค์กลับอ่อนไหวและอ่อนโยนอย่าง
ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา เสียงเกือกม้าของทัพอวิ๋นเฟยหลงดังกระหึ่มก้องกังวาลปิดทั่วบริเวณ ขณะที่แม่ทัพหนุ่มนำทัพเคลื่อนพลอย่างเร่งรีบ เพื่อเตรียมรับมือกับเหล่าชนพื้นเมืองที่เตรียมโจมตีทัพของพวกเขา “ท่านแม่ทัพ พวกเขาตั้งค่ายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” รองแม่ทัพหยางหลี่เฉิงรายงาน อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า ดวงตาคมเรียบนิ่งมองออกไปไกล เขามีแผนการในหัวแล้ว ก่อนจะมองไปยังเหล่าทหารเรือนแสนที่อยู่เบื้องหลัง “พวกมันมีกำลังพลเท่าไหร่” อวิ๋นเฟยหลงเอ่ยถาม “ตามที่สายรายงาน ตอนนี้มีกำลังพลไม่เกิน 5,000 คน ส่วนใหญ่เป็นทหารราบอาวุธมีเพียงหน้าไม้และดาบขอรับ” รองแม่ทัพหนุ่มตอบ อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ดี เช่นนั้นเราจะหาโอกาสโจมตีในช่วงที่พวกมันเผลอ เช่นนี้เราก็สูญเสียเลือดเนื้อน้อยลง” เมื่อได้ฟังแผนการจากท่านแม่ทัพแล้ว รองแม่ทัพหยางหลี่เฉิงก็นำไปเผยแพร่ให้แก่เหล่าหัวหน้านายกอง เพื่อคัดเลือกกำลังพลมาบางส่วนเพื่อทำตามแผนนี้ให้สำเร็จ เหล่าหัวหน้านายกองหลังคัดเลือกทหารออกมา เพียง 2,000 นายเท่านั้น ทหารทั้งห
แม่ทัพหนุ่มยืนมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนหลังจากชัยชนะครั้งที่สอง ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาว แต่นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุขหลังจากการสู้รบที่ดุเดือด แม้จะรู้สึกยินดีในชัยชนะครั้งนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าภารกิจของเขายังไม่สิ้นสุดลง“ท่านแม่ทัพ เหล่าทหารฝ่ายข้าศึกตายหมดแล้วขอรับ มิมีผู้ใดรอดไปได้” รองแม่ทัพหยางรายงานด้วยความกระตือรือร้นอวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ดี เราจะพักที่นี่คืนนี้ แล้วพรุ่งนี้เราจะนำทัพเข้าไปเช็คค่ายหลักของศัตรู”ทหารทุกนายเมื่อได้ยินต่างหูร้องอย่างยินดี จิตใจพวกเขาฮึกเหิมจากการรบชนะถึง 2 ครั้ง 2 คราติดกัน และแน่นอนว่าศึกในวันพรุ่งนี้จะเป็นศึกใหญ่ที่จะตัดสินชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตของพวกเขา หากครั้งสุดท้ายนี้พวกเขารบชนะทุกคนจะได้กลับบ้านไปหาบุคคลอันเป็นที่รัก แต่หากว่ารบพ่ายแพ้แล้วล่ะก็เป็นอันว่าคงจะต้องฝังร่างอยู่ที่นี่ไม่มีวันได้กลับไปเป็นแน่ซึ่งอวิ๋นเฟยหลงก็ตระหนักรู้ถึงจิตใจของเหล่าทหารของตนเช่นกัน แต่ว่าการรบชนะ 2 ครั้งติดกันในครั้งนี้ มันทำให้เขาอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ เขามีความรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เมื่อเขา
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค