เข่อซิงฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในความเชื่อที่ซับซ้อนและลึกซึ้งของผู้คนในยุคนี้ ขณะที่นางเดินผ่านร้านขายอาหาร นางก็เริ่มได้กลิ่นหอมของอาหารหลายชนิดที่ลอยมาจากร้านข้างทาง
“นี่เป็นขนมอะไรน่ะ หลิงเฉิน?” เข่อซิงถามเมื่อเห็นขนมรูปร่างกลมๆ ทำจากแป้งสีเขียวและมีกลิ่นหอมหวาน “อ๋อ นั่นคือขนม ‘ชิงถวนจื่อ’ เจ้าค่ะ” หลิงเฉินอธิบาย “เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำอ้ายเฉ่า ซึ่งเป็นพืชที่มีสีเขียว พวกเขาจะปั้นเป็นก้อนกลมและนำมานึ่ง ขนมชนิดนี้นิยมรับประทานกันในเทศกาลชิงหมิงเจ้าค่ะ” “น่าสนใจจริงๆ” เข่อซิงพึมพำ “ข้าอยากลองชิมดูบ้าง” ในขณะที่เข่อซิงและหลิงเฉินเดินต่อไป นางเห็นเด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนกำลังวิ่งเล่นกับว่าวที่ลอยขึ้นไปในอากาศ ว่าวหลากสีสันถูกปล่อยให้โบยบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าสีคราม “การเล่นว่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลชิงหมิงด้วยหรือ?” หลิงเข่อซิงถามด้วยความสงสัย “ใช่เจ้าค่ะ” หลิงเฉินตอบ “การเล่นว่าวเป็นกิจกรรมที่นิยมกันในเทศกาลชิงหมิง นอกจากการไหว้บรรพบุรุษแล้ว ชาวบ้านยังใช้เวลาช่วงนี้ไปกับกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การเตะบอลชู่จวี หรือการเล่นว่าว พวกเขาเชื่อว่าการปล่อยว่าวขึ้นฟ้าเป็นการปล่อยสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิต และนำสิ่งดีๆ เข้ามาแทน” เข่อซิงมองไปที่ว่าวที่ลอยอยู่ในอากาศด้วยความสนใจ นางรู้สึกว่าบรรยากาศของเทศกาลชิงหมิงนี้เป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางศาสนาและความสนุกสนานของผู้คนในยุคนี้ได้อย่างลงตัว ในขณะที่นางเดินต่อไป นางเห็นชาวบ้านบางคนพกกิ่งหลิวติดตัวหรือเสียบไว้ที่ประตูบ้าน “หลิงเฉิน ทำไมบางบ้านถึงเสียบกิ่งหลิวไว้ที่ประตูบ้านล่ะ?” เข่อซิงถามด้วยความสงสัย “กิ่งหลิวมีความหมายพิเศษในเทศกาลชิงหมิงเจ้าค่ะ” หลิงเฉินอธิบาย “พวกเขาเชื่อว่ากิ่งหลิวมีพลังในการขับไล่สิ่งชั่วร้าย และนำความเป็นสิริมงคลเข้ามาในบ้าน การพกกิ่งหลิวติดตัวหรือเสียบไว้ที่ประตูบ้านเป็นสัญลักษณ์ของความโชคดีและการปกป้องจากอันตรายเจ้าค่ะ” หลินเข่อซิงพยักหน้า “น่าสนใจจริงๆ ข้าไม่เคยรู้เรื่องแบบนี้มาก่อนเลย” “คุณหนูจะไม่รู้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ คุณหนูก็เห็นอยู่ทุกปี แต่ทำราวกับเคยเห็นครั้งแรกเสียทุกอย่าง” “โอ๊ยย…ปวดหัวจัง นี่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าหัวข้ากระแทกตอนตกน้ำน่ะ บางอย่างก็จำไม่ค่อยจะได้” หลินเข่อซิงว่าพลางทำท่ายกมือยกไม้กุมศีรษะตนเองราวเจ็บปวดเหลือเกิน “เช่นนั้นคุณหนูนั่งพักสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ แล้วเราค่อยเดินต่อ” หลังจากนั้น หลินเข่อซิงและหลิงเฉินก็แวะที่ร้านขายขนมอีกครั้ง คราวนี้นางเห็นขนมที่ทำจากแป้งขาวๆ มีไส้สีเขียวอ่อน “แล้วนี่คือขนมอะไรเหรอ?” หลินเข่อซิงถาม “นี่คือ ‘จูชังเปี๊ยะ’ เจ้าค่ะ เป็นขนมที่ทำสำหรับเทศกาลชิงหมิงโดยเฉพาะ ขนมนี้มีไส้เป็นต้นหอม มันหมู และงา ห่อด้วยแป้งสีขาว นุ่มๆ รสชาติหอมมัน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งขนมที่นิยมทำในช่วงเทศกาลนี้เจ้าค่ะ” หลินเข่อซิงฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งกับขนมที่มีหลากหลาย นางตัดสินใจซื้อขนมทั้ง ‘ชิงถวนจื่อ’ และ ‘จูชังเปี๊ยะ’ เพื่อเอาไปลองชิมดู แม่ค้าร้านขนมเห็นสองสาวสนใจขนมของตนก็รีบยื่นขนมให้ทันที “เชิญลองชิมได้นะเจ้าคะ ขนมเพิ่งย่างเสร็จใหม่ๆ หอมอร่อยแน่นอน” หลินเข่อซิงรับขนมมาอย่างไม่ลังเล นางกัดเข้าไปคำแรก แล้วก็ต้องหลุดยิ้มออกมา “อร่อยมาก! ขนมนี้นอกจากจะหอมแล้วยังมีรสชาติเค็มๆ มันๆ จากไส้ด้วย ข้าชอบมาก!” หลิงเฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะชิมขนมตามหลินเข่อซิง “ข้าก็ว่าอร่อยเช่นกันเจ้าค่ะ คุณหนูมีเท…เอ่ออะไรนะเจ้าคะที่คุณหนูชอบพูดบ่อยๆ” “อ๋ออ…เทสต์น่ะ เทสต์ดี” หหลินเข่อซิงว่าพลางแอบยิ้มขำ “นั่นแหละเจ้าค่ะ คุณหนูเทสต์ดีเสมอ” หลิงเฉินพูดไปก็กระมิดกระเมี้ยนเอามือปิดปากตัวเองขำคิกคัก ขณะที่นางเดินต่อไปในตลาด หลินเข่อซิงก็สังเกตเห็นว่าชาวบ้านทุกคนดูมีความสุขและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา นางเห็นครอบครัวต่างๆ พากันออกไปไหว้บรรพบุรุษ และบางคนก็นั่งอยู่ตามลานกว้างเพื่อพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน “เทศกาลนี้ทำให้ทุกคนมีโอกาสได้กลับมารวมตัวกัน ได้ไหว้บรรพบุรุษและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว นี่คงเป็นเหตุผลที่เทศกาลชิงหมิงยังคงสำคัญมาจนถึงยุคปัจจุบัน” หลินเข่อซิงว่าพลางยิ้มบางๆ ชื่นชมกับภาพอันสวยงามและอบอุ่นใจตรงหน้า หลังจากเดินเที่ยวและลองขนมอีกหลายชนิด เข่อซิงและหลิงเฉินก็ตัดสินใจเรียกรถม้ากลับจวน ขณะที่นางกำลังเดินทาง นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจกับภาพที่เห็นในวันนี้ พ่อกับแม่ตอนนี้จะร้อนใจขนาดไหนกันนะ ฉันไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาเป็นยังไง และร่างของฉันในตอนนี้จะอยู่ในสภาพไหนกัน ขอให้เหมือนในนิยายหลายๆเรื่องที่เคยอ่านทีเถอะ ที่แบบเราแค่ฝันไป หรือในโลกจริงผ่านไปแค่ไม่นานด้วยเถอะ เฮ้ออ~ หลินเข่อซิงคิดแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตลอดทางกลับจวนเป็นไปด้วยความเงียบ หลิงเฉินผู้ที่ปกติเห็นเจ้านายตนจะร่าเริง พูดคุยไม่หยุด เมื่อเห็นสีหน้าแล้วก็ไม่กล้าถาม จึงก้มหน้าเงียบๆเช่นกันหลังจากช่วงกู๋อวี่ที่ฝนตกหนักไม่หยุด แม่น้ำและลำธารรอบจวนก็เอ่อจนล้นตลิ่ง ชาวบ้านต่างพากันกังวลถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจกลับมาอีกครั้ง อวิ๋นเฟยหลงในฐานะแม่ทัพต้องออกตรวจแนวป้องกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายซ้ำรอย ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวออกเดินทาง หลินเข่อซิงก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับคำขอที่เขาไม่คาดคิด "ข้าไปด้วย!" หลินเข่อซิงประกาศเสียงดังพลางเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสุกใสของนางสะท้อนความมุ่งมั่นชัดเจน “เจ้าจะไปทำไม?” อวิ๋นเฟยหลงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฝนที่ตกหนักจะทำให้ทางเดินลื่นและอันตรายอย่างมาก เขาไม่อยากให้หลินเข่อซิงต้องไปเสี่ยงเช่นนี้ “ข้ามีความรู้เรื่องนี้ ข้าสามารถช่วยท่านได้!” หลินเข่อซิงยืนยัน “ข้าเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว การเตรียมการล่วงหน้าสำคัญมาก ท่านเองก็รู้” อวิ๋นเฟยหลงจ้องหน้าหลินเข่อซิงด้วยสายตาเคร่งขรึม นางเป็นคนดื้อดึง และเขาเองก็รู้ว่าการปฏิเสธคงไม่ได้ผลในครั้งนี้เป็นแน่ “ข้าไม่เห็นด้วย” เขาพูดช้าๆ แต่เข่อซิงกลับไม่ฟัง “ข้าไม่สน! ข้าจะไป!” นางตอบเสียงแข็ง ก่อนจะเดินขึ้นไปยังรถม้าอย่างไม่รอคำตอบ ทำให้อวิ๋นเ
ริมฝีปากหนาแนบชิดกับริมฝีปากบางราวกับปีกผีเสื้อกระทบผิว แตะเพียงแผ่วเบาแต่กลับหวามไหวในช่องท้อง หลินเข่อซิงรีบหันหน้าไปอีกทาง ใบหน้าร้าวผ่าว “เอ่อ… เจ้าหิวหรือไม่ ข้าพอมีของกินติดตัวอยู่บ้าง” ชายหนุ่มว่าพลางลูบท้ายทอยพลาง ลอบมองร่างบางก่อนจะเสมองไปทางอื่น เพื่อหาที่นั่งพักผ่อน “ข้ายังไม่หิ..ว โครก~ คราก~” ‘โอ๊ยยย ไอ้กระเพาะทรยศ ทำฉันขายหน้าอีกแล้ว' “ข้าว่า ท้องของเจ้าคงไม่คิดเช่นนั้นนะ กินอะไรก่อนเถอะ” อวิ๋นเฟยหลงหัวเราะหึ แล้วยื่นอาหารแห้งที่เขานำตัวมาด้วย ทั้งสองนั่งกินอาหารขณะมองเปลวไฟที่ลุกไหม้ในเตา “นี่ท่านเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยไหม?” เข่อซิงถามขึ้นหลังจากเงียบกันอยู่สักพัก “การเดินทางกลางฝนและติดอยู่ในป่าน่ะหรือ? ใช่ ข้าเจอมาหลายครั้งแล้ว” อวิ๋นเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “ข้าคิดว่ามันต้องเหนื่อยมากแน่ๆ” เข่อซิงพูดอย่างเข้าใจ “แต่ท่านก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเสมอ ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ไหน” อวิ๋นเฟยหลงย
แสงสีทองสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างห้องนอนของหยางเฟยฮุ่ย นางยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องส่วนตัวของนาง ดวงตาคมกริบของนางสะท้อนความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจอย่างชัดเจน ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บใจและความอับอายที่ อวิ๋นเฟยหลง เริ่มสนใจหลินเข่อซิงมากขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ที่นางเคยเป็นหญิงเดียวที่เข้าออกจวนของอวิ๋นเฟยหลงได้อย่างอิสระ แต่ตอนนี้...กลับมีหญิงอื่นเข้ามาแทรกซ้อน ทั้งที่หลินเข่อซิงเคยเป็นแค่คนจืดชืด นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอวิ๋นเฟยหลงถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบแบบนี้แน่นอน!” หยางเฟยฮุ่ยพูดกับตัวเอง ขณะที่นางบีบมือตัวเองแน่นราวกับจะบีบความรู้สึกเกรี้ยวกราดนั้นออกไปองค์ชายห้าที่นางคิดว่าจะช่วยให้นางได้ใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น กลับดูเหมือนจะมีใจให้กับหลินเข่อซิงเสียอีก นางรู้ดีว่าถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะเสียทุกอย่างที่นางพยายามสร้างมาตลอด ทั้งการเป็นภรรยาของอวิ๋นเฟยหลงและตำแหน่งสูงส่งในตระกูลอวิ๋นนางต้องทำอะไรสักอย่าง และครั้งนี้นางจะไม่ปล่อยให้หลินเข่อซิงรอดไปได้อีก“ถ้าข้าไม่สามารถทำให้อวิ๋นเฟยหลงกลับมาหาข้าได้ ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่มีท
ในจวนตระกูลหลินเช้านี้กลับไม่ได้สดใสอย่างที่ควรจะเป็น บรรยากาศเคร่งเครียดปกคลุมไปทั่วจวนตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่หลินเข่อซิงออกจากบ้านไปพร้อมกับท่านแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง โดยบอกว่าจะไปช่วยงานบางอย่างเกี่ยวกับการป้องกันภัยน้ำท่วม แต่นับจากนั้นจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ กลับมาที่บ้านเลยหลินเจิ้นกั๋วยืนอยู่หน้าจวน มือกุมหลังพลางเดินไปเดินมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจน เขาหันไปมองทางเข้าออกของจวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคาดหวังว่าลูกสาวของเขาจะปรากฏตัวขึ้นจากทางนั้นทุกเมื่อ แต่ก็ยังคงไม่มีวี่แวว"นางไปไหนกันแน่ ทำไมถึงหายเงียบไปทั้งคืนแบบนี้" ชายวัยกลางคนพูดกับตัวเองเบาๆ อย่างร้อนใจขณะนั้นมารดาของหลินเข่อซิง ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขก กำลังพัดใบหน้าของตนอย่างใจลอย นางเองก็ร้อนใจไม่ต่างจากสามี แต่ก็พยายามสงบใจไม่ให้แสดงความกังวลออกมามากเกินไป"ท่านพี่..." นางพูดขึ้นเบาๆ ขณะที่มองออกไปยังประตูจวน "เราส่งคนออกไปตามหาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีข่าวอะไรกลับมาเลย ข้ากลัวว่าซิงเอ๋อร์จะเป็นอะไรไป"หลินเจิ้นกั๋วหันกลับ
บรรยากาศในจวนตระกูลหลินกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หลังจากที่ความกังวลเมื่อเช้าได้หายไป พ่อแม่ของหลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับลูกสาวและอวิ๋นเฟยหลง ที่ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันตามคำเชิญของผู้นำตระกูล อาหารหลากหลายจานถูกจัดเรียงไว้อย่างงดงาม มีทั้งผักสดเนื้อสัตว์และซุปหอมกรุ่น กลิ่นหอมของอาหารลอยไปทั่วห้อง หลินเข่อซิงที่ยังรู้สึกเหนื่อยจากการเดินทางมาก่อนหน้านี้เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นหลังจากได้อยู่ในบรรยากาศที่อบอุ่นเช่นนี้ หลินเจิ้นกั๋วตักอาหารใส่จานลูกสาว พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “เจ้าคงเหนื่อยมาทั้งวัน กินซะลูก จะได้มีแรง” หลินเข่อซิงยิ้มขอบคุณบิดาของนาง ขณะที่มารดานั่งมองลูกสาวและอวิ๋นเฟยหลงอยู่ไม่ไกล “ท่านเองก็ควรพักผ่อนให้มากท่านแม่ทัพ ข้ารู้ว่าท่านเหน็ดเหนื่อยกับการดูแลชาวบ้าน แต่สุขภาพของท่านก็สำคัญเช่นกัน” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า “ข้าขอบคุณท่านมาก ข้าจะระวังตัวมากขึ้น ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” หลินเข่อซิงมองไปที่อวิ๋นเฟยหลงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใย “ท่านแม่ทัพแน่ใจหรือ? ข้าเห็นท่านทำงานหนักมาตลอดวัน ท่านควรจะพักผ่อนบ้าง” อวิ๋นเฟยหลงหันมามองหลิน
หยางเฟยฮุ่ยนั่งสง่างามอยู่ตรงข้ามกับ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยแววตาที่เย็นชาและแฝงความอำมหิต แม้รอยยิ้มหวานบนใบหน้าจะยังคงประดับไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ความน่ากลัวของนางกลับทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกเฉินอี้เฉียงนั่งตัวแข็ง ท่าทางระมัดระวังขณะจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เขารู้ดีว่าหยางเฟยฮุ่ยไม่ใช่คนที่จะมาเยี่ยมเยียนใครโดยไม่มีแผนการร้ายบางอย่าง นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าเขาต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะตามมา“ข้าต้องการให้เจ้าทำให้นาง...ไม่สามารถอยู่ในสังคมนี้ได้อีกต่อไป” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวเรียบๆ ขณะที่ตักน้ำชาขึ้นจิบ “ข้าไม่สนว่าจะใช้วิธีใด แต่ข้าต้องการเห็นนางถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หรือสิ่งที่นางมีอยู่ตอนนี้”เฉินอี้เฉียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ท่าน...ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ? นางเป็นคนที่แม่ทัพอวิ๋นให้ความสำคัญ หากข้าทำอะไรรุนแรงเกินไป ท่านแม่ทัพคงจะไม่ปล่อยข้าไว้แน่”หยางเฟยฮุ่ยหัวเราะเบาๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าอวิ๋นเฟยหลงจะปกป้องนางได้ตลอดหรือ? ข้าต้องการให้เจ้าทำลายชื่อเสียงของหลินเข่อซิงให้ย่อยยั
หลังจากที่ข่าวลือเกี่ยวกับหลินเข่อซิงแพร่กระจายไปทั่วเมือง ความเงียบสงบในจวนท่านโหวก็เต็มไปด้วยความกังวล อวิ๋นเฟยหลงเดินวนไปวนมาในห้องทำงาน หน้านิ่วคิวขมวด บรรดาทหารในสังกัดต่างรู้สึกว่าแม่ทัพของพวกเขาช่วงนี้หงุดหงิดง่ายเสียเหลือเกิน รวมถึงบรรดาบ่าวไพร่ต่างทำงานด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง อวิ๋นเฟยหลงรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยให้ดำเนินต่อไปได้โดยที่เขาไม่ทำอะไร ในห้องหนังสือ หลินเข่อซิงนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางจ้องมองหนังสือที่เปิดอยู่บนตัก แต่ความคิดล่องลอยไปไกล ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้น ทำให้นางเงยหน้ามอง "ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดกับเจ้า" อวิ๋นเฟยหลงพูดขึ้น "ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวน เพื่อให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาตัวเองว่าเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือกล่าวอ้าง" หลินเข่อซิงมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจ “งานเลี้ยงงั้นหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า "ใช่ ข้าจะเชิญบรรดาคุณหนูและผู้มีอำนาจในเมือง รวมถึงเหล่าขุนนางที่มีชื่อเสียงให้มาเข้าร่วมงานนี้ เจ้าจะมีโอกาสแสดงตัวต่อหน้าพวกเขา ให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นใครจริงๆ ไม่ใช่ตามที่ข่าวลือพูดถึง" หลินเข่อซิงคิดตามแล้วพยั
“เจ้าคิดจริงๆ เหรอว่าอวิ๋นเฟยหลงจะสนใจผู้หญิงที่จืดชืดและไม่มีอะไรน่าสนใจแบบเจ้า?” หยางเฟยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้ามันก็แค่เงาของคนอื่น เขาไม่มีวันรักเจ้า ข้าเป็นคนเดียวที่เหมาะสมกับเขา”หลินเข่อซิงหัวเราะออกมาด้วยความเย็นชา “ข้าคงไม่ต้องบอกเจ้าให้หยุดทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ใช่ไหม? ข่าวลือที่เจ้าแพร่กระจายไป มันทำให้ทุกคนเห็นความริษยาในตัวเจ้าเองมากกว่าที่จะทำลายข้า”หยางเฟยฮุ่ยหน้าแดงก่ำ กำหมัดแน่น “เจ้ามันก็แค่คนที่ไม่มีวันอยู่ในระดับเดียวกับข้า ข้าเพียงแค่ต้องการทำให้ทุกคนเห็นความจริง ว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งภรรยาแม่ทัพ!”หลินเข่อซิงก้าวเข้าไปใกล้หยางเฟยฮุ่ย พลางกระซิบเบาๆ “แผนไร้สมองของเจ้า มันไม่มีผลหรอก ข้าจะแสดงให้ดู ว่าเขาจะเลือกใคร”หลินเข่อซิงแสร้งล้มลงไปอย่างแรง โดยไม่ลืมที่จะดึงเอาหยางเฟยฮุ่ยลงมาด้วยทันใดนั้นเอง อวิ๋นเฟยหลงพร้อมเหล่าขุนนางและคุณหนูทั้งหลายก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากเงามืดของสวน ทุกคนหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของหยางเฟยฮุ่ยที่กำลังสารภาพถึงการกระทำของตนเองหยางเฟยฮุ่ยหันไปเห็นทุกคนที่ยืนอ
“แม่ทัพอวิ๋น ข้าคงต้องยอมรับว่าท่านมีฝีมือดียิ่งนัก แต่น่าเสียดาย ท่านก็คงจะมาได้เพียงแค่นี้” ชายหนุ่มแปลกหน้าว่าพลางชักดาบด้ามยาวออกมา อวิ๋นเฟนหลงเห็นดังนี้นเพียงหยักยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นก็เข้ามา”การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเริ่มต้นขึ้น อวิ๋นเฟยหลงตวัดดาบออกไป ชายในชุดคลุมก็เสือกดาบออกมาต้านรับ เสียงดาบกระทบกันดังขึ้นเสียจนเกิดเสียงวิ้งในหู การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วและเฉียบคม ผลัดกันรุกผลัดกันรับชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร เจิ้งจู่คอยสอดส่องมองไปทางอวิ๋นเฟนหลง ขณะที่เขาก็กำลังเผชิญกับชายชุดดำที่เหลือหลังจากรุกรับกะนมาหลายกระบวนท่า ในที่สุดชายชุดดำก็พลาดท่าถูกดาบของอวิ๋นเฟยหลงแทงเข้าที่ลำตัว แต่ก่อนที่เขาจะล้มลงเขาได้กล่าวถ้อยคำออกมาด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน“ข้าจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่มาขัดขวางท่าน ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ แม่ทัพอวิ๋น!”กล่าวจบ ร่างในชุดคลุมก็ล้มลงกับพื้น อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจ ดาบในมือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด“ท่านแม่ทัพ ท่านบาดเจ็บหรือไม่?” เจิ้งจู่รีบวิ่งเข้ามาถามไถ่อวิ๋นเฟยหลงส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะก่อ
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่