จวนตระกูลหลิน
หลังจากวันที่วุ่นวายจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วม หลินเข่อซิงรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็ดีใจที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว นางนั่งอยู่บนระเบียงเล็กๆ ข้างจวน ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ค่อยๆ สงบลงหลังจากวันอันแสนวุ่นวาย ท้องฟ้ายามเย็นกลายเป็นสีส้มสวยงาม สายลมเย็นๆ พัดผ่าน นางสูดหายใจลึกๆ รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ขณะที่นางกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว อวิ๋นเฟยหลงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โดยไม่ทันตั้งตัว นางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเขาพร้อมรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ มาทำอะไรตรงนี้หรือ?" เข่อซิงถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย ทำท่าเหมือนจะไม่สนใจ แต่ก็ยังตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้ามาดูว่าเจ้ายังหายใจอยู่หรือเปล่าก็เท่านั้น” เข่อซิงยิ้มกว้าง “ท่านมาหาข้าเพราะเป็นห่วงข้าหรือ?” นางแกล้งถามเพื่อหวังดูสีหน้าคนข้างๆ เขาพลันทำหน้าเคร่งทันที “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้า ข้าแค่...ตรวจดูความเรียบร้อย ข้าไม่อยากให้เจ้าป่วยเป็นภาระต่อคนอื่นต่างหาก” “โอ้โห ท่านแม่ทัพ ข้าดูเป็นภาระขนาดนั้นเลยหรือ?” เข่อซิงหัวเราะเบาๆ อวิ๋นเฟยหลงหันหน้าหนีไปอีกทาง รู้สึกถึงความอายที่แทรกซึมเข้ามาในใจ เขาไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ว่าเป็นห่วงนาง แต่ความจริงแล้ว ตั้งแต่นางเริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องต่างๆ หัวใจของเขาก็เริ่มหวั่นไหวโดยไม่รู้ตัว หลินเข่อซิงเห็นท่าทางของเขาก็ยิ่งหัวเราะออกมา “ท่านเขินสินะ” “ข้าไม่ได้เขิน” อวิ๋นเฟยหลงตอบทันควัน แต่ใบหน้ากลับดูเคร่งเครียดขึ้นไปอีก “แน่ใจหรือ?” เข่อซิงยิ้มเจ้าเล่ห์ ขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด “เพราะข้าคิดว่า...ท่านแม่ทัพคงจะเขินจริงๆ แล้วล่ะ” อวิ๋นเฟยหลงหันมาจ้องหน้านาง สายตาของเขาคมกริบ แต่ลึกๆ ในดวงตานั้นกลับมีแววอ่อนโยนที่เขาพยายามซ่อนเอาไว้ เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลยจริงๆ หลินเข่อซิง เจ้าช่างเป็นคนที่...” เขาหยุดพูดไปชั่วครู่ เหมือนจะไม่รู้ว่าควรเลือกคำไหนมาพูดต่อ “...เจ้าแปลกไปจากผู้หญิงอื่นๆที่ข้าเคยรู้จัก” หลินเข่อซิงยิ้มขำ “ท่านหมายความว่ายังไง? แปลกแบบไหน?” “เจ้ากล้าหาญ ฉลาดหลักแหลม แล้วก็...มีความมั่นใจในตัวเองมาก” เขาตอบอย่างจริงจัง ก่อนจะเม้มริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนกำลังกลั้นคำพูดบางอย่างที่ไม่อยากพูดออกมา หลินเข่อซิงเอียงคอ มองหน้าเขาอย่างสงสัย “ฟังดูเหมือนท่านจะชมข้า?” อวิ๋นเฟยหลงหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาโดยไม่ตั้งใจ “ข้าชมเจ้า? ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้น” นางหัวเราะ “แล้วความจริงของท่านคืออะไร? ว่าข้าแปลกไปจากคนอื่น...แล้วท่านชอบความแปลกนี้หรือไม่?” อวิ๋นเฟยหลงนิ่งไปชั่วครู่ ความเงียบปกคลุมระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่สายตาของเขาที่มองนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างแผ่วเบา “ข้า...อาจจะชอบก็ได้” หลินเข่อซิงถึงกับเบิกตากว้าง นางไม่คาดคิดว่าเขาจะตอบกลับมาเช่นนี้ นางรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที นางขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด ยื่นมือไปแตะเบาๆ ที่แขนของเขา “งั้นท่านก็ยอมรับแล้วสินะว่าท่านแอบชอบข้า” นางกระซิบด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ อวิ๋นเฟยหลงเงียบไปอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไร แต่กลับเบือนหน้าหนีเล็กน้อย เขาไม่เคยยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง และตอนนี้มันยิ่งทำให้เขาสับสน แต่เขารู้ว่าหัวใจของเขามีความรู้สึกที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ในจังหวะนั้นเอง หลินเข่อซิงหัวเราะเบาๆ แล้วเอียงศีรษะพิงไหล่เขาโดยไม่ถาม นางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจโดยไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวพวกเขาเป็นไปอย่างเงียบงัน และอ่อนโยน อวิ๋นเฟยหลงนิ่งเงียบ มองดูนางที่พิงไหล่ของเขาด้วยความรู้สึกที่ทั้งสับสนและอุ่นใจในเวลาเดียวกัน แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เก่งกล้าในการต่อสู้ แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์แบบนี้ เขากลับไม่รู้วิธีรับมือเลย และที่สำคัญ...เขากลับรู้สึกว่าไม่อยากให้ช่วงเวลานี้จบลงเลยสักนิด หลินเข่อซิงหลับตาและซุกตัวพิงไหล่ของแม่ทัพหนุ่ม นางยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าขณะที่ลมเย็นพัดผ่านเบาๆ อวิ๋นเฟยหลงรู้สึกถึงความอบอุ่นจากตัวนางที่อยู่ใกล้เขามากจนเขารู้สึกได้ และแม้ว่าเขาจะพยายามห้ามใจไม่ให้รู้สึก แต่หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ข้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่? หลังจากที่หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงได้ใช้เวลาร่วมกันท่ามกลางความสงบในยามเย็น การเตรียมการช่วยเหลือชาวบ้านก็ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ท่ามกลางความสำเร็จที่นางเอกเริ่มจะได้รับ ย่อมมีบางคนที่ไม่พอใจและหาทางขัดขวางหยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของนาง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าที่สวยงามฉายแววเจ้าเล่ห์แฝงความโกรธ นางขบฟันแน่นเมื่อคิดถึงภาพหลินเข่อซิงที่ค่อยๆ ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากชาวบ้านและ...อวิ๋นเฟยหลง เธอได้รับข่าวจากสาวใช้คนสนิทเรื่องของหลินเข่อซิงที่ระยะนี้ไปช่วยชาวบ้านโดยมีอวิ๋นเฟยหลงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆตลอด “ฮึ! นางคิดว่าจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากข้าได้อย่างนั้นรึ?” หยางเฟยฮุ่ยพึมพำเบาๆ พลางมองกระจกเงาสะท้อนใบหน้าที่งดงามของตนเอง นางรู้ดีว่าความงามของตนเองเป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง “แต่ข้าจะไม่ลงมือเองหรอก นางไม่คู่ควรให้ข้าต้องเปลืองแรง” แล้วนางก็ยิ้มออกมาอย่างลำพองใจ ขณะที่วางแผนการในใจ นางรู้ว่าที่หมู่บ้านนี้ยังมีชายผู้หนึ่งที่มีอำนาจในท้องที่ และไม่ค่อยพอใจการเข้ามาแทรกแซงของหลินเข่อซิง นั่นก็คือ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอำนาจจากตระกูลพ่อค้าที่ควบคุมการค้าขายในหมู่บ้าน เขามีชื่อเสียงในเรื่องความหัวรั้นและไม่ชอบใครที่มาขัดขวางผลประโยชน์ของตนเอง หยางเฟยฮุ่ยรู้ว่า ถ้าใช้วิธีที่เหมาะสม นางส
บรรยากาศในหมู่บ้านหลังจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วมเริ่มผ่อนคลายลง หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงก็มักจะได้เจอกันบ่อยขึ้น นางสังเกตเห็นว่าอวิ๋นเฟยหลงที่เคยมีท่าทีเย็นชา ดูเหมือนจะเปิดใจกับนางมากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์แม่ทัพที่เยือกเย็นและเคร่งขรึมไว้อยู่เสมอ วันหนึ่ง ขณะที่หลินเข่อซิงกำลังนั่งเขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาลงในสมุดของนาง พลันสายตาของนางก็เหลือบเห็นเงาของใครบางคนเดินเข้ามาหา “คุณหนูหลิน” เสียงทุ้มๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังนาง นางหันกลับไปมองและพบว่าเป็นอวิ๋นเฟยหลงที่กำลังยืนอยู่ เขามีสีหน้าปกติ แต่ในดวงตาแฝงด้วยความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยแสดงออกมาก่อน “ท่านอวิ๋น ท่านรู้จักการเข้าตามตรอกออกตามประตูหรือไม่ มีอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้...เจ้าอยากไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมไฉ่หงหรือไม่?” อวิ๋นเฟยหลงพูดออกมาอย่างนิ่งๆ แต่หลินเข่อซิงก็พอจะจับความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ “โรงเตี๊ยมไฉ่หงงั้นเหรอ?” เข่อซิงยิ้มกว้างขึ้น “ข้าจำได้ว่าที่นั่นมีอาหารอร่อย ข้ากับหลิงเฉินเคยไปกินมาแล้วครั้งหนึ่ง...งั้นเราก็ไปกันเลยเ
หลังจากเดินเที่ยวเล่นกันมานาน ทั้งสองก็มาหยุดนั่งพักที่ม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางเดิน บรรยากาศยามเย็นเริ่มเข้ามาแทนที่ แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ สาดส่องผ่านต้นไม้ใบเขียว สร้างเงาสีทองที่กระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณ “ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย” เข่อซิงพูดพร้อมกับยิ้มสดใส ขณะที่มองไปยังท้องฟ้า “มันรู้สึกสงบและเป็นอิสระอย่างบอกไม่ถูก” อวิ๋นเฟยหลงที่นั่งข้างๆ นางพยักหน้าเบาๆ “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน” เข่อซิงหันมามองหน้าเขา “จริงหรือ? ท่านเองก็ดูเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวเสียมาก ข้าไม่คิดว่าท่านจะชอบบรรยากาศเช่นนี้” อวิ๋นเฟยหลงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้าอาจจะชอบอยู่คนเดียวก็จริง แต่บางครั้ง...การมีใครสักคนอยู่ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไม่ใช่หรือ” คำพูดนั้นทำให้เข่อซิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่นางจะยิ้มออกมาอย่างสดใส “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ” ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ความเงียบนี้กลับไม่อึดอัดเหมือนเคย ตรงกันข้าม มันกลับเป็นความเงียบที่ทำให้ทั้งสองรู
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวลออกมาด้วยเสียงอันดังก้องท้องพระโรง ก่อนจะพยักหน้าให้ขันทีนำของพระราชทานออกมา ขันทีเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้แกะสลักที่ดูหรูหรา ก่อนจะเปิดกล่องเผยให้เห็นเครื่องประดับหยกอันงดงามและผ้าไหมชั้นเลิศ “ข้ามอบเครื่องประดับหยกนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความชื่นชมในความสามารถและความกล้าหาญของเจ้านะคุณหนูหลิน อีกทั้งผ้าไหมนี้จะเป็นของขวัญจากข้าที่เจ้าจะใช้ได้ตามใจชอบ และมอบทองอีก 1,000 ตำลึง เจ้าพอใจรึไม่” หลินเข่อซิงมองเครื่องประดับหยกด้วยความประทับใจ นางไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับรางวัลจากฮ่องเต้เช่นนี้ นางโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันจะรักษาของพระราชทานนี้ไว้ให้ดียิ่งกว่าชีวิตน้อยๆของตัวหม่อมฉันเอง” ฮ่องเต้ทรงแย้มพระโอษฐ์ยกยิ้ม ก่อนจะตรัสปิดท้าย “เจ้ามีความสามารถและมีใจช่วยเหลือผู้อื่น เจิ้นหวังว่าเจ้าอย่าหยุดแค่นี้ และเจิ้นจะรอดูว่าเจ้าจะทำสิ่งดีๆ ต่อไปอย่างไร” หลินเข่อซิงยิ้มด้วยความดีใจและความภาคภูมิใจ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับจากฮ่องเต้ แต่ยังเป็นโอกาสที่นางจะได้แสดงความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในยุคโบ
“หลินเข่อซิง... เจ้ากำลังซ่อนอะไรจากข้ากันแน่?” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำ ขณะนั่งพิงเก้าอี้และมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เขารู้ว่าเขาจะต้องสืบหาความจริงนี้ให้ได้ และยิ่งเขาเข้าใกล้หลินเข่อซิงมากขึ้นเท่าไร ความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ก็อาจจะปรากฏขึ้นมาในที่สุด ในยามเช้าตรู่ ลานฝึกซ้อมของกองทัพเต็มไปด้วยเสียงโลหะกระทบกัน เสียงฝีเท้าหนักๆ ของทหารที่ฝึกซ้อมอย่างจริงจังดังขึ้นเป็นจังหวะ อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่กลางลานฝึก สายตาเคร่งขรึมจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของทหารทุกคน ฝีมือการต่อสู้ของเขายังยอดเยี่ยมเช่นเคย แต่ในวันนี้มีบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศดูตึงเครียดยิ่งขึ้น ที่ข้างสนาม หยางหลี่เฉิง รองแม่ทัพผู้สง่างามและเป็นพี่ชายของหยางเฟยฮุ่ย ยืนมองการฝึกซ้อมอยู่ด้วยแววตานิ่งสงบ เขาเป็นหนึ่งในผู้นำทัพที่มากฝีมือ และเป็นคนที่อวิ๋นเฟยหลงไว้ใจให้ช่วยดูแลกองทัพร่วมกับเขา แต่ทว่า วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หยางหลี่เฉิงเท่านั้นที่มาดูการฝึกซ้อม เพราะที่มุมหนึ่งของลานฝึก หยางเฟยฮุ่ยก็มาด้วย นางสวมชุดผ้าไหมบางเบาและงดงาม ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มหวาน แต่สายตาท
“ท่านอวิ๋น! ข้ามีของพิเศษมาให้ท่านลองชิมเจ้าค่ะ!” อวิ๋นเฟยหลงหันไปมอง และพบกับหลินเข่อซิงที่เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ นางมีรอยยิ้มกว้างและท่าทางมั่นใจ สายตาของนางจับจ้องมาที่อวิ๋นเฟยหลง โดยไม่ได้ใส่ใจหยางเฟยฮุ่ยที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย หยางเฟยฮุ่ยหันขวับไปมองเข่อซิงด้วยความไม่พอใจ นางคิดในใจว่า ‘หลินเข่อซิงอีกแล้ว! นางจะมาขัดขวางข้าอีกแล้วหรือ!’ “นี่คืออะไร?” อวิ๋นเฟยหลงถามขณะมองถาดอาหารที่หลินเข่อซิงยื่นมาให้ด้วยความสนใจ “นี่คือขนมสูตรพิเศษจากบ้านข้าเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจทำมาให้ท่านและทหารในกองทัพได้ลองชิม” เข่อซิงตอบอย่างสดใส “ข้าเรียกมันว่า ‘ขนมปังทอด’ เป็นขนมที่ทั้งกรอบนอกนุ่มใน และข้ามั่นใจว่าทุกคนจะต้องชอบ!” เหล่าทหารที่อยู่ใกล้ๆ พากันหันมามองด้วยความสนใจ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นอาหารหน้าตาแปลกใหม่เช่นนี้มาก่อน หลินเข่อซิงยื่นถาดขนมปังทอดให้ทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่พวกเขาจะหยิบขึ้นมาลองชิม ทันใดนั้น สีหน้าของทหารแต่ละคนก
ณ จวนตระกูลหลิน ในห้องโถงใหญ่ของจวนตระกูลหลิน หลินเจิ้นกั๋วและ ฮูหยินหลิน นั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความยินดี หลังจากที่ได้รับข่าวเรื่องพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ แต่สีหน้าของทั้งสองกลับดูเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสุขนั้น นายท่านหลินนั่งกอดอกอยู่ที่เก้าอี้ตัวใหญ่ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจางๆ แต่อีกมุมหนึ่งของดวงตาแฝงความกังวลอยู่ลึกๆ ขณะที่ฮูหยินหลินนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสนใจ เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากความเงียบปกคลุมห้องมาสักพัก “ท่านพี่...ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้หรือเจ้าคะ?” ฮูหยินหลินถามขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน แม้จะพยายามเก็บซ่อนความกังวล แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แฝงความห่วงใยชัดเจน นายท่านหลินหันมามองภรรยาของตน ก่อนจะถอนหายใจยาว “ข้าไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นี่เป็นเกียรติสูงสุดสำหรับตระกูลเรา พระราชทานสมรสจากฮ่องเต้เช่นนี้...ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน” “ใช่เจ้าค่ะ ข้าก็ยินดีเช่นกัน” ฮูหยินหลินพยักหน้า “แต่อีกใจหนึ่ง...ข้าก็อดห่วงลูกสาวของเราไม่ได้” เธอกล่าวอย่างแผ่วเบา ดวงตาของเธอหันไปมองประตูห้องที่ลูกสาวของตนเพิ่งจากไปห
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในจวนตระกูลหลินเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่แฝงไว้ด้วยความสำรวม สาวใช้หลายคนช่วยกันเตรียมอาหารและของไหว้ต่างๆ สำหรับพิธีไหว้บรรพบุรุษที่ใกล้จะเริ่มขึ้น หลินเข่อซิงในชุดสีเรียบง่าย เดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทางสำรวม วันนี้นางจะได้เห็นการไหว้บรรพบุรุษของครอบครัวตัวเองเป็นครั้งแรก ชิงหมิง…ชิงหมิง…อ๋อออ…เชงเม้งนั่นเอง หลินเข่อซิงคิดในใจ พ่อบ้านและสาวใช้ต่างเร่งมือกันจัดเตรียมอาหารและของเซ่นไหว้ เพื่อนำไปถวายบรรพบุรุษ หลินเข่อซิงยืนอยู่หน้าห้องของตน มองเห็นการเตรียมงานที่เป็นไปอย่างประณีตด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความตื่นเต้น หลินเจิ้นกั๋ว ผู้เป็นพ่อของหลินเข่อซิง เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ในชุดคลุมยาวสีเข้ม บ่งบอกถึงฐานะอันทรงเกียรติ เขายืนอยู่หน้าห้องบูชาด้วยท่าทีสงบนิ่งและเต็มไปด้วยความเคารพ ทุกคนในจวนต่างหยุดยืนเพื่อรอคอยการเริ่มพิธีการจากหัวหน้าครอบครัว “เข่อซิง” เสียงพ่อของนางเรียกเบาๆ “มานี่สิ วันนี้เจ้าจะได้ร่วมไหว้บรรพบุรุษกับพวกเรา เป็นเรื่องสำคัญที่ครอบครัวต้องทำร่วมกัน” หลินเข่อซิงพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้นและรีบเดินไปยื
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค