ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวลออกมาด้วยเสียงอันดังก้องท้องพระโรง ก่อนจะพยักหน้าให้ขันทีนำของพระราชทานออกมา
ขันทีเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้แกะสลักที่ดูหรูหรา ก่อนจะเปิดกล่องเผยให้เห็นเครื่องประดับหยกอันงดงามและผ้าไหมชั้นเลิศ “ข้ามอบเครื่องประดับหยกนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความชื่นชมในความสามารถและความกล้าหาญของเจ้านะคุณหนูหลิน อีกทั้งผ้าไหมนี้จะเป็นของขวัญจากข้าที่เจ้าจะใช้ได้ตามใจชอบ และมอบทองอีก 1,000 ตำลึง เจ้าพอใจรึไม่” หลินเข่อซิงมองเครื่องประดับหยกด้วยความประทับใจ นางไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับรางวัลจากฮ่องเต้เช่นนี้ นางโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันจะรักษาของพระราชทานนี้ไว้ให้ดียิ่งกว่าชีวิตน้อยๆของตัวหม่อมฉันเอง” ฮ่องเต้ทรงแย้มพระโอษฐ์ยกยิ้ม ก่อนจะตรัสปิดท้าย “เจ้ามีความสามารถและมีใจช่วยเหลือผู้อื่น เจิ้นหวังว่าเจ้าอย่าหยุดแค่นี้ และเจิ้นจะรอดูว่าเจ้าจะทำสิ่งดีๆ ต่อไปอย่างไร” หลินเข่อซิงยิ้มด้วยความดีใจและความภาคภูมิใจ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับจากฮ่องเต้ แต่ยังเป็นโอกาสที่นางจะได้แสดงความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในยุคโบราณนี้ “ส่วนเจ้า อวิ๋นเฟยหลง ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ” “ปีนี้กระหม่อมจะอายุ 21ปีเต็มในเดือนพฤษภาคมนี้พะย่ะค่ะ” อวิ๋นเฟยหลงตอบอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก เหงื่อกาฬเต็มหน้าผาก ไหลลงมาตามขมับ ราวกับคาดเดาบางสิ่งได้ “เช่นนั้นหรอกรึ ข้าได้ยินว่าเจ้ากับคุณหนูตระกูลหยาง รู้จักกันมาแต่เด็ก นางอายุ 16 แล้วนี่ สนิทสนมถึงเพียงนั้น เมื่อไหร่จะมีข่าวดีล่ะ” ผู้มีอำนาจล้นฟ้ามองลงมายังอวิ๋นเฟยหลง สีหน้าครุ่นคิด “กระหม่อมเห็นคุณหนูหยางเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น มิเคยคิดเป็นอื่นพะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงหนักแน่น หลินเข่อซิงลอบเงยหน้ามองเห็นฮองเฮาโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบริมหูของฮ่องเต้ พร้อมปรายตามามองนาง ทำเอานางรีบก้มหน้าลงต่ำทันใด “อย่างนั้นหรอกรึ เจ้าไม่มีใจให้คุณหนูตระกูลหยาง เช่นนั้น ข้าว่าคนที่นั่งข้างๆเจ้าก็ไม่เลว ข้ากับฮองเฮาเห็นตรงกันว่า พวกเจ้าดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง ข้าจะให้เจ้าสองคนแต่งงานกัน เป็นอย่างไร ฮ่าๆๆ” “หม่อมฉันก็เห็นควรยิ่งเพคะ ฝ่ายชายก็ชาติตระกูลสูงศักดิ์และเป็นถึงแม่ทัพของแคว้น ส่วนฝ่ายหญิงแม้ชาติตระกูลจะด้อยกว่าไปบ้าง แต่ก็ไม่ต่ำต้อย พระองค์มีสายพระเนตรเฉียบแหลมยิ่งเพคะ” ฮองเฮาตรัสพลางแย้มพระโอษฐ์ยิ้มพราย “ฮ่องเต้เพคะ…หม่อมฉัน…อุ้บ..อื้อ..” หลินเข่อซิงโดนฝ่ามือหนาของชายข้างกายปิดปากไว้แน่น เธอได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ออกมา “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพะย่ะค่ะ” อวิ๋นเฟยหลงตอบรับคำพร้อมคำนับอย่างนอบน้อม แล้วกดตัวนางให้ทำตามด้วย แรงน้อยหรือจะสู้แรงมาก ยอมโอนอ่อนไปก่อน ค่อยจัดการทีหลัง ‘แต่เดี๋ยวนะ แบบนี้ก็ดีน่ะสิ เรื่องคงจะใกล้จบแล้วล่ะ ฮิฮิ เพราะตอนจบในเรื่องพระนางแต่งงานกันครองรักสุขสันต์ แต่ทำไมข้ากลับจำไม่ได้นะว่า เขาแต่งงานกันได้ยังไง?’ หลินเข่อซิงคิดในใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด หลังจากรับพระราชทานรางวัลจากฮ่องเต้ หลินเข่อซิงเดินออกมาก่อน เพราะอวิ๋นเฟยหลงถูกรั้งตัวไว้ เพื่อจะหารือเรื่องกองทัพ นางเดินออกจากพระราชวังด้วยหัวใจที่พองโต ความรู้สึกตื่นเต้นและดีใจยังคงวนเวียนในหัวของนาง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่า การทะลุมิติมาในโลกนิยายนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่คิด และนางก็เข้าใกล้วันที่จะได้กลับบ้านแล้ว “โอ้โห...วังหลวงนี่ช่างงดงามจริงๆ” หลินเข่อซิงพึมพำกับตัวเอง ขณะเดินไปพลาง มองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทึ่ง นางมองไปยังสวนดอกไม้สวยงาม ต้นไม้สูงใหญ่ที่รายล้อมทั่วบริเวณ ทำให้นางรู้สึกตื่นตาตื่นใจ นางเดินเพลินจนลืมดูทาง “โอ๊ะ!” ทันใดนั้น นางก็ชนเข้ากับใครบางคนอย่างแรง ร่างของนางเซไปข้างหลังเกือบจะล้ม “ว้าย”แต่มีบางสิ่งโอบรัดเอวนางไว้อย่างแนบแน่น หลินเข่อซิงหลับตาปี๋ แต่เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นมา สิ่งที่นางเห็นคือใบหน้าคมคายของชายหนุ่มในชุดยาวสีเข้ม บุคลิกสง่างาม ดวงตาคมที่มองนางอย่างสงบนิ่ง คิ้วกระบี่เลิกขึ้น ริมฝีปากหนาสีแดงเรื่อ ชายหนุ่มผู้นี้คือองค์ชายห้า หานเจี๋ย! เข่อซิงกลืนน้ำลายเล็กน้อย ใจเต้นแรงเพราะความตกใจ ไม่ใช่แค่เพราะนางชนเขา แต่เพราะชายคนนี้คือหนึ่งในตัวละครสำคัญในนิยายที่นางอ่านมา! หานเจี๋ยไม่ได้พูดอะไรทันที เขาเพียงมองนางนิ่งๆ ซึ่งยิ่งทำให้หลินเข่อซิงรู้สึกอึดอัด นางพยายามจะทำให้สถานการณ์ดูผ่อนคลาย “ขะ...ข้าคงเดินไม่ดูทางเพราะมัวแต่มองความงดงามของวังหลวงเจ้าค่ะ..เอ่ออ เพคะ” เข่อซิงพูดพลางหัวเราะแห้งๆ “ข้า…เอ่อ หม่อมฉันเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ก็เลยเผลอมองเพลินไปหน่อย ท่านคงไม่ถือโทษโกรธข้าหม่อมฉันนะเพคะ?” หานเจี๋ยมองนางด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เป็นไร” จวนตระกูลอวิ๋น ค่ำคืนนี้ ในห้องทำงานส่วนตัวของอวิ๋นเฟยหลง บรรยากาศเงียบสงบแต่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เขานั่งอยู่ที่โต๊ะไม้แกะสลัก สายตาจับจ้องไปที่รายงานที่ได้รับจากหน่วยลับที่เขาส่งไปสืบข่าว ข้อมูลที่เขาได้รับนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับตัวเขา แต่ยังเกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่รอบตัวเขา โดยเฉพาะสองคนที่เขาต้องการรู้มากที่สุดองค์ชายห้า หานเจี๋ย และหลินเข่อซิง อวิ๋นเฟยหลงเปิดรายงานทีละหน้า เริ่มจากเรื่องขององค์ชายห้า “องค์ชายห้าหานเจี๋ย...” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคมเข้มไล่อ่านข้อมูลที่หน่วยลับสืบมา รายงานเกี่ยวกับองค์ชายห้าค่อนข้างน้อย ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติขององค์ชายที่ใช้ชีวิตในวังหลวง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ที่น่าสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางการเมืองหรือการเคลื่อนไหวที่มีเจตนาร้าย “ยังไม่มีอะไรน่าสงสัย...” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำ ขณะวางรายงานขององค์ชายห้าลงบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็หยิบรายงานเกี่ยวกับหลินเข่อซิงขึ้นมาอ่าน ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยเริ่มมีแววสนใจขึ้นมาทันที หลินเข่อซิง ผู้หญิงที่เขาเคยคิดว่าจืดชืดและไร้สีสัน แต่หลังจากเหตุการณ์ที่นางช่วยเหลือชาวบ้านจากน้ำท่วม และท่าทีที่เปลี่ยนไปมาก เขาก็เริ่มสงสัยในตัวนางมากขึ้น ดวงตาคมเข้มของเขาไล่อ่านรายงานอย่างละเอียด หน่วยลับรายงานเกี่ยวกับชีวิตของนาง ตั้งแต่นางยังเด็กจนถึงปัจจุบัน รายงานระบุว่า หลินเข่อซิงเป็นบุตรสาวที่มาจากครอบครัวที่เพียบพร้อม แต่มีเรื่องหนึ่งที่ดึงความสนใจของเขาอย่างมาก “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางประสบอุบัติเหตุทางน้ำ...” เขาอ่านต่อด้วยความสงสัย “และหลังจากเหตุการณ์นั้น นิสัยใจคอหลายอย่างของนางก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด” อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยที่ยิ่งทวีขึ้น ตอนแรกหลินเข่อซิงเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่อ่อนหวานและสงบเสงี่ยม แต่หลังจากเหตุการณ์ตกน้ำ ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป นางกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจ แปลกใหม่ และยังมีความเฉลียวฉลาดที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อน “เปลี่ยนไปหลังจากตกน้ำหรือ?” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำ เขารู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล เหมือนมีเงื่อนงำซ่อนอยู่ที่เขายังไม่สามารถไขได้ ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจของอวิ๋นเฟยหลงทำให้เขายิ่งอยากรู้เรื่องของหลินเข่อซิงมากขึ้น เขาต้องการรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ซ่อนอะไรอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนั้น นางมีความลับอะไรที่เขาไม่รู้หรือไม่? หรือการตกน้ำนั้นมีอะไรมากกว่าที่เห็น?“หลินเข่อซิง... เจ้ากำลังซ่อนอะไรจากข้ากันแน่?” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำ ขณะนั่งพิงเก้าอี้และมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เขารู้ว่าเขาจะต้องสืบหาความจริงนี้ให้ได้ และยิ่งเขาเข้าใกล้หลินเข่อซิงมากขึ้นเท่าไร ความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ก็อาจจะปรากฏขึ้นมาในที่สุด ในยามเช้าตรู่ ลานฝึกซ้อมของกองทัพเต็มไปด้วยเสียงโลหะกระทบกัน เสียงฝีเท้าหนักๆ ของทหารที่ฝึกซ้อมอย่างจริงจังดังขึ้นเป็นจังหวะ อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่กลางลานฝึก สายตาเคร่งขรึมจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของทหารทุกคน ฝีมือการต่อสู้ของเขายังยอดเยี่ยมเช่นเคย แต่ในวันนี้มีบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศดูตึงเครียดยิ่งขึ้น ที่ข้างสนาม หยางหลี่เฉิง รองแม่ทัพผู้สง่างามและเป็นพี่ชายของหยางเฟยฮุ่ย ยืนมองการฝึกซ้อมอยู่ด้วยแววตานิ่งสงบ เขาเป็นหนึ่งในผู้นำทัพที่มากฝีมือ และเป็นคนที่อวิ๋นเฟยหลงไว้ใจให้ช่วยดูแลกองทัพร่วมกับเขา แต่ทว่า วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่หยางหลี่เฉิงเท่านั้นที่มาดูการฝึกซ้อม เพราะที่มุมหนึ่งของลานฝึก หยางเฟยฮุ่ยก็มาด้วย นางสวมชุดผ้าไหมบางเบาและงดงาม ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มหวาน แต่สายตาท
“ท่านอวิ๋น! ข้ามีของพิเศษมาให้ท่านลองชิมเจ้าค่ะ!” อวิ๋นเฟยหลงหันไปมอง และพบกับหลินเข่อซิงที่เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารในมือ นางมีรอยยิ้มกว้างและท่าทางมั่นใจ สายตาของนางจับจ้องมาที่อวิ๋นเฟยหลง โดยไม่ได้ใส่ใจหยางเฟยฮุ่ยที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย หยางเฟยฮุ่ยหันขวับไปมองเข่อซิงด้วยความไม่พอใจ นางคิดในใจว่า ‘หลินเข่อซิงอีกแล้ว! นางจะมาขัดขวางข้าอีกแล้วหรือ!’ “นี่คืออะไร?” อวิ๋นเฟยหลงถามขณะมองถาดอาหารที่หลินเข่อซิงยื่นมาให้ด้วยความสนใจ “นี่คือขนมสูตรพิเศษจากบ้านข้าเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจทำมาให้ท่านและทหารในกองทัพได้ลองชิม” เข่อซิงตอบอย่างสดใส “ข้าเรียกมันว่า ‘ขนมปังทอด’ เป็นขนมที่ทั้งกรอบนอกนุ่มใน และข้ามั่นใจว่าทุกคนจะต้องชอบ!” เหล่าทหารที่อยู่ใกล้ๆ พากันหันมามองด้วยความสนใจ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นอาหารหน้าตาแปลกใหม่เช่นนี้มาก่อน หลินเข่อซิงยื่นถาดขนมปังทอดให้ทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก่อนที่พวกเขาจะหยิบขึ้นมาลองชิม ทันใดนั้น สีหน้าของทหารแต่ละคนก
ณ จวนตระกูลหลิน ในห้องโถงใหญ่ของจวนตระกูลหลิน หลินเจิ้นกั๋วและ ฮูหยินหลิน นั่งอยู่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความยินดี หลังจากที่ได้รับข่าวเรื่องพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ แต่สีหน้าของทั้งสองกลับดูเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสุขนั้น นายท่านหลินนั่งกอดอกอยู่ที่เก้าอี้ตัวใหญ่ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจางๆ แต่อีกมุมหนึ่งของดวงตาแฝงความกังวลอยู่ลึกๆ ขณะที่ฮูหยินหลินนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสนใจ เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากความเงียบปกคลุมห้องมาสักพัก “ท่านพี่...ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้หรือเจ้าคะ?” ฮูหยินหลินถามขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน แม้จะพยายามเก็บซ่อนความกังวล แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แฝงความห่วงใยชัดเจน นายท่านหลินหันมามองภรรยาของตน ก่อนจะถอนหายใจยาว “ข้าไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นี่เป็นเกียรติสูงสุดสำหรับตระกูลเรา พระราชทานสมรสจากฮ่องเต้เช่นนี้...ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน” “ใช่เจ้าค่ะ ข้าก็ยินดีเช่นกัน” ฮูหยินหลินพยักหน้า “แต่อีกใจหนึ่ง...ข้าก็อดห่วงลูกสาวของเราไม่ได้” เธอกล่าวอย่างแผ่วเบา ดวงตาของเธอหันไปมองประตูห้องที่ลูกสาวของตนเพิ่งจากไปห
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรยากาศในจวนตระกูลหลินเต็มไปด้วยความเงียบสงบ แต่ก็มีความเคลื่อนไหวที่แฝงไว้ด้วยความสำรวม สาวใช้หลายคนช่วยกันเตรียมอาหารและของไหว้ต่างๆ สำหรับพิธีไหว้บรรพบุรุษที่ใกล้จะเริ่มขึ้น หลินเข่อซิงในชุดสีเรียบง่าย เดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทางสำรวม วันนี้นางจะได้เห็นการไหว้บรรพบุรุษของครอบครัวตัวเองเป็นครั้งแรก ชิงหมิง…ชิงหมิง…อ๋อออ…เชงเม้งนั่นเอง หลินเข่อซิงคิดในใจ พ่อบ้านและสาวใช้ต่างเร่งมือกันจัดเตรียมอาหารและของเซ่นไหว้ เพื่อนำไปถวายบรรพบุรุษ หลินเข่อซิงยืนอยู่หน้าห้องของตน มองเห็นการเตรียมงานที่เป็นไปอย่างประณีตด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความตื่นเต้น หลินเจิ้นกั๋ว ผู้เป็นพ่อของหลินเข่อซิง เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ในชุดคลุมยาวสีเข้ม บ่งบอกถึงฐานะอันทรงเกียรติ เขายืนอยู่หน้าห้องบูชาด้วยท่าทีสงบนิ่งและเต็มไปด้วยความเคารพ ทุกคนในจวนต่างหยุดยืนเพื่อรอคอยการเริ่มพิธีการจากหัวหน้าครอบครัว “เข่อซิง” เสียงพ่อของนางเรียกเบาๆ “มานี่สิ วันนี้เจ้าจะได้ร่วมไหว้บรรพบุรุษกับพวกเรา เป็นเรื่องสำคัญที่ครอบครัวต้องทำร่วมกัน” หลินเข่อซิงพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้นและรีบเดินไปยื
เข่อซิงฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในความเชื่อที่ซับซ้อนและลึกซึ้งของผู้คนในยุคนี้ ขณะที่นางเดินผ่านร้านขายอาหาร นางก็เริ่มได้กลิ่นหอมของอาหารหลายชนิดที่ลอยมาจากร้านข้างทาง “นี่เป็นขนมอะไรน่ะ หลิงเฉิน?” เข่อซิงถามเมื่อเห็นขนมรูปร่างกลมๆ ทำจากแป้งสีเขียวและมีกลิ่นหอมหวาน “อ๋อ นั่นคือขนม ‘ชิงถวนจื่อ’ เจ้าค่ะ” หลิงเฉินอธิบาย “เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำอ้ายเฉ่า ซึ่งเป็นพืชที่มีสีเขียว พวกเขาจะปั้นเป็นก้อนกลมและนำมานึ่ง ขนมชนิดนี้นิยมรับประทานกันในเทศกาลชิงหมิงเจ้าค่ะ” “น่าสนใจจริงๆ” เข่อซิงพึมพำ “ข้าอยากลองชิมดูบ้าง” ในขณะที่เข่อซิงและหลิงเฉินเดินต่อไป นางเห็นเด็กๆ กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนกำลังวิ่งเล่นกับว่าวที่ลอยขึ้นไปในอากาศ ว่าวหลากสีสันถูกปล่อยให้โบยบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้าสีคราม “การเล่นว่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลชิงหมิงด้วยหรือ?” หลิงเข่อซิงถามด้วยความสงสัย “ใช่เจ้าค่ะ” หลิงเฉินตอบ “การเล่นว่าวเป็นกิจกรรมที่นิยมกันในเทศกาลชิงหมิง นอกจากการไหว้บรรพบุรุษแล้ว ชาวบ้านยั
หลังจากช่วงกู๋อวี่ที่ฝนตกหนักไม่หยุด แม่น้ำและลำธารรอบจวนก็เอ่อจนล้นตลิ่ง ชาวบ้านต่างพากันกังวลถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจกลับมาอีกครั้ง อวิ๋นเฟยหลงในฐานะแม่ทัพต้องออกตรวจแนวป้องกันเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายซ้ำรอย ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวออกเดินทาง หลินเข่อซิงก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับคำขอที่เขาไม่คาดคิด "ข้าไปด้วย!" หลินเข่อซิงประกาศเสียงดังพลางเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสุกใสของนางสะท้อนความมุ่งมั่นชัดเจน “เจ้าจะไปทำไม?” อวิ๋นเฟยหลงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฝนที่ตกหนักจะทำให้ทางเดินลื่นและอันตรายอย่างมาก เขาไม่อยากให้หลินเข่อซิงต้องไปเสี่ยงเช่นนี้ “ข้ามีความรู้เรื่องนี้ ข้าสามารถช่วยท่านได้!” หลินเข่อซิงยืนยัน “ข้าเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว การเตรียมการล่วงหน้าสำคัญมาก ท่านเองก็รู้” อวิ๋นเฟยหลงจ้องหน้าหลินเข่อซิงด้วยสายตาเคร่งขรึม นางเป็นคนดื้อดึง และเขาเองก็รู้ว่าการปฏิเสธคงไม่ได้ผลในครั้งนี้เป็นแน่ “ข้าไม่เห็นด้วย” เขาพูดช้าๆ แต่เข่อซิงกลับไม่ฟัง “ข้าไม่สน! ข้าจะไป!” นางตอบเสียงแข็ง ก่อนจะเดินขึ้นไปยังรถม้าอย่างไม่รอคำตอบ ทำให้อวิ๋นเ
ริมฝีปากหนาแนบชิดกับริมฝีปากบางราวกับปีกผีเสื้อกระทบผิว แตะเพียงแผ่วเบาแต่กลับหวามไหวในช่องท้อง หลินเข่อซิงรีบหันหน้าไปอีกทาง ใบหน้าร้าวผ่าว “เอ่อ… เจ้าหิวหรือไม่ ข้าพอมีของกินติดตัวอยู่บ้าง” ชายหนุ่มว่าพลางลูบท้ายทอยพลาง ลอบมองร่างบางก่อนจะเสมองไปทางอื่น เพื่อหาที่นั่งพักผ่อน “ข้ายังไม่หิ..ว โครก~ คราก~” ‘โอ๊ยยย ไอ้กระเพาะทรยศ ทำฉันขายหน้าอีกแล้ว' “ข้าว่า ท้องของเจ้าคงไม่คิดเช่นนั้นนะ กินอะไรก่อนเถอะ” อวิ๋นเฟยหลงหัวเราะหึ แล้วยื่นอาหารแห้งที่เขานำตัวมาด้วย ทั้งสองนั่งกินอาหารขณะมองเปลวไฟที่ลุกไหม้ในเตา “นี่ท่านเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยไหม?” เข่อซิงถามขึ้นหลังจากเงียบกันอยู่สักพัก “การเดินทางกลางฝนและติดอยู่ในป่าน่ะหรือ? ใช่ ข้าเจอมาหลายครั้งแล้ว” อวิ๋นเฟยหลงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “ข้าคิดว่ามันต้องเหนื่อยมากแน่ๆ” เข่อซิงพูดอย่างเข้าใจ “แต่ท่านก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเสมอ ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ไหน” อวิ๋นเฟยหลงย
แสงสีทองสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างห้องนอนของหยางเฟยฮุ่ย นางยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องส่วนตัวของนาง ดวงตาคมกริบของนางสะท้อนความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจอย่างชัดเจน ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บใจและความอับอายที่ อวิ๋นเฟยหลง เริ่มสนใจหลินเข่อซิงมากขึ้นทุกวัน ตั้งแต่ที่นางเคยเป็นหญิงเดียวที่เข้าออกจวนของอวิ๋นเฟยหลงได้อย่างอิสระ แต่ตอนนี้...กลับมีหญิงอื่นเข้ามาแทรกซ้อน ทั้งที่หลินเข่อซิงเคยเป็นแค่คนจืดชืด นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอวิ๋นเฟยหลงถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบแบบนี้แน่นอน!” หยางเฟยฮุ่ยพูดกับตัวเอง ขณะที่นางบีบมือตัวเองแน่นราวกับจะบีบความรู้สึกเกรี้ยวกราดนั้นออกไปองค์ชายห้าที่นางคิดว่าจะช่วยให้นางได้ใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น กลับดูเหมือนจะมีใจให้กับหลินเข่อซิงเสียอีก นางรู้ดีว่าถ้ายังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะเสียทุกอย่างที่นางพยายามสร้างมาตลอด ทั้งการเป็นภรรยาของอวิ๋นเฟยหลงและตำแหน่งสูงส่งในตระกูลอวิ๋นนางต้องทำอะไรสักอย่าง และครั้งนี้นางจะไม่ปล่อยให้หลินเข่อซิงรอดไปได้อีก“ถ้าข้าไม่สามารถทำให้อวิ๋นเฟยหลงกลับมาหาข้าได้ ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่มีท
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาบนเส้นทางที่ทอดยาวผ่านป่าเขาและทุ่งหญ้า อวิ๋นเฟยหลงและเจิ้งจู่องครักษ์เงาคู่ใจอยู่บนหลังม้า ทั้งสองเดินทางร่วมกันมานานนับเดือน นับตั้งแต่จากบ้านสกุลซุย เส้นทางที่ผ่านไม่ได้ราบเรียบ มีทั้งความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ความร้อนระอุในบางวัน และความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนม้าสีดำตัวใหญ่ของอวิ๋นเฟยหลงย่ำเท้าลงบนพื้นอย่างมั่นคง ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังเส้นทางข้างหน้า ส่วนเจิ้งจู่ที่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง ใช้มือปัดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมกับพูดกลั้วหัวเราะ “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะดูเหมือนว่าแม้แต่แดดแรงขนาดนี้ยังไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย ข้าสิแทบจะละลายอยู่ตรงนี้แล้ว”อวิ๋นเฟยหลงหันมามองเจิ้งจู่ด้วยแววตาขำขัน “เจ้าคิดว่าการบ่นจะช่วยให้เย็นลงหรือ? อีกอย่างเลิกเรียกข้าว่าองค์ชายเสียที เรียกคุณชายจะดีกว่า ยิ่งเข้าใกล้แคว้นฉางจีเท่าไหร่เรายิ่งต้องปกปิดตัวตนมิให้ผู้ใดล่วงรู้”“เข้าใจแล้วขอรับ คุณชาย” เจิ้งจู่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่บางทีข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมท่านถึงเลือกเส้นทางนี้ ทั้งที่ทางหลักก็น่าจะปลอดภัยกว่า”อวิ๋นเฟย
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค