ภายในจวนตระกูลหยาง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหลวงของแคว้น มีบรรยากาศที่ไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก แม้ด้านนอกจะดูโอ่อ่า หรูหรา และมีอำนาจล้นฟ้า แต่ภายในจวนกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นกันระหว่างบรรดาลูกๆ และภรรยา พ่อของหยางเฟยฮุ่ย ผู้มีบรรดาศักดิ์ “ป๋อ” เป็นคนที่เคร่งขรึมและมีอำนาจ แต่กลับโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอกอย่างเห็นได้ชัด
หยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง ใบหน้าที่เคยแสดงความหยิ่งยโสบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด นางเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพ่อของนางเดินอยู่กับภรรยารองและลูกๆ ท่าทางของท่านพ่อดูผ่อนคลายและมีความสุขอย่างที่หยางเฟยฮุ่ยไม่เคยเห็นเวลาที่อยู่กับนางและท่านแม่ “ทำไมท่านพ่อไม่เคยสนใจข้าเลย...” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาส่อแววไม่พอใจ “ข้าเป็นลูกสาวของภรรยาเอกแท้ๆ แต่เขากลับเอาใจใส่นางพวกนั้นมากกว่า” พ่อของหยางเฟยฮุ่ย หยางอวี่ถง แม้จะมีความสามารถในฐานะผู้นำตระกูล แต่เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขารักและโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอก ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของหยางเฟยฮุ่ย ต้องอยู่ในสถานะที่ถูกลดความสำคัญลง นางถูกปล่อยให้อยู่ในจวนอย่างโดดเดี่ยว ขณะที่ภรรยารองได้อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับหยางอวี่ถงเสมอ หยางเฟยฮุ่ยมีน้องสาวสองคนที่เกิดจากภรรยารอง หยางลี่เฟยและหยางเหมยหลิน ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นที่โปรดปรานของท่านพ่อมากกว่า โดยเฉพาะหยางลี่เฟย น้องสาวคนรองที่สวยและสง่างามไม่แพ้นาง ความสามารถทั้งดีด สี ตี เป่า ขับร้อง ล้วนทำได้ดีเยี่ยม ส่วนเหมยหลินนั้นยังเด็กและซุกซน แต่ก็มีความน่ารักสดใส ทำให้ใครๆ ต่างก็เอ็นดู แม้แต่พ่อของนางเอง ในห้องโถงใหญ่ หยางอวี่ถงกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร พร้อมกับภรรยารองและลูกๆ ของนาง หยางเฟยฮุ่ยที่เพิ่งมาถึงก้าวเข้าไปในห้องนั้น แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความเงียบงัน เมื่อพ่อของนางแทบไม่ชายตามองนางเลย “ท่านพ่อ” หยางเฟยฮุ่ยเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แฝงความขมขื่น “อืม” หยางอวี่ถงตอบกลับสั้นๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หยางลี่เฟย ลูกสาวของภรรยารองที่นั่งอยู่ข้างๆ “วันนี้เจ้าได้ไปที่ไหนมาบ้างล่ะ เฟยเอ๋อร์?” หยางลี่เฟยยิ้มหวานและตอบอย่างร่าเริง “ข้าเพิ่งกลับจากเยี่ยมญาติฝ่ายแม่เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านลุงมอบของฝากมาให้ท่านด้วย ข้าจะนำมาให้ท่านในภายหลังนะเจ้าคะ” หยางอวี่ถงยิ้มอย่างอบอุ่นและพยักหน้า “ดีมาก ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามาก เจ้าเป็นเด็กที่รู้จักกตัญญูและเอาใจใส่ครอบครัวเสมอ” หยางเฟยฮุ่ยมองภาพนั้นด้วยแววตาขุ่นเคือง เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่ถูกนับรวมในครอบครัวของตัวเอง ขณะที่น้องสาวสองคนกำลังพูดคุยหยอกล้อกัน หยางเฟยฮุ่ยได้ยินเสียงหัวเราะที่สดใสของหยางเหมยหลิน ผู้ที่มักจะได้รับความเอ็นดูจากท่านพ่อเสมอ “ท่านพ่อ ท่านจะไปขี่ม้ากับพวกเราพรุ่งนี้ไหมเจ้าคะ? พี่ลี่เฟยบอกว่าอยากไปชมทุ่งดอกไม้ ท่านไปกับพวกเราได้หรือไม่?” “ได้สิลูก ข้าจะไปกับพวกเจ้า” หยางอวี่ถงตอบด้วยรอยยิ้ม หยางเฟยฮุ่ยรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดออกไปโดยสิ้นเชิง นางพยายามจะพูดแทรก แต่ไม่มีใครสนใจฟัง พ่อของนางมองข้ามนางไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง ความรู้สึกโดดเดี่ยวในใจนางทวีขึ้นทุกขณะ หลังจากทนไม่ไหว หยางเฟยฮุ่ยก็ยืดตัวขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านพ่อ ข้าเองก็มีเรื่องที่อยากจะปรึกษา” หยางอวี่ถงหันมามองเพียงแวบเดียว ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าไม่ว่างตอนนี้ ไว้คราวหน้าก็แล้วกัน” คำตอบนั้นทำให้หยางเฟยฮุ่ยโกรธจนแทบระเบิด นางกำหมัดแน่น พยายามระงับความไม่พอใจและความน้อยใจที่ท่วมท้นอยู่ในใจ นางเหลือบไปเห็นพี่ชายคนโต หยางหลี่เฉิง รองแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่โปรดปรานของบิดา เขาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของอวิ๋นเฟยหลง ทั้งแข็งแกร่งและมีความสามารถในการรบ แต่เขาเองก็แทบไม่เคยสนใจหยางเฟยฮุ่ยเหมือนกัน เขามักใช้เวลาอยู่กับบิดาหรือฝึกซ้อมกับทหารมากกว่า “พี่หลี่เฉิง” หยางเฟยฮุ่ยเอ่ยเรียกพี่ชายด้วยความหวังว่าเขาอาจจะให้ความสนใจนางบ้าง แต่หยางหลี่เฉิงเพียงหันมามองนางด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะพยักหน้าสั้นๆ “ข้ามีธุระ ต้องกลับไปฝึกซ้อมกับท่านแม่ทัพ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันเถอะ” หยางเฟยฮุ่ยมองตามแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินจากไป ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความน้อยใจและโกรธเคือง พี่น้องไม่มีความรักหรือความสามัคคีในจวนนี้ มีแต่การแก่งแย่งชิงดี และนางก็คือผู้ที่ถูกทอดทิ้งในครอบครัวของตัวเอง หลังจากที่หยางเฟยฮุ่ยเห็นทั้งพ่อและพี่ชายไม่สนใจนาง นางก็กัดฟันแน่น รู้สึกว่าตัวเองต้องลุกขึ้นมาแย่งชิงสิ่งที่ควรเป็นของนางด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความรักของพ่อ หรือความสำเร็จในชีวิต นางจะไม่ยอมถูกมองข้ามอีกต่อไป ในช่วงบ่ายที่บรรยากาศในจวนตระกูลหยางยังคงอบอวลด้วยความเงียบงัน หยางเฟยฮุ่ยถูกเรียกตัวให้ไปพบหยางอวี่ถง บิดาของนางที่ห้องโถงใหญ่ นางรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ต้องจำใจเดินไปพบตามคำสั่ง เมื่อหยางเฟยฮุ่ยก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ บิดาของนางนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเคร่งเครียด สายตาคมของเขาจับจ้องไปที่นางเมื่อเดินเข้ามา นางหยุดยืนตรงหน้าเขา ก่อนจะค่อยๆ โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อ ท่านเรียกข้ามาหรือเจ้าคะ?” หยางเฟยฮุ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แฝงความกังวล หยางป๋อมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกดดัน เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้ทักทาย และไม่มีความอบอุ่นในสายตานั้นแม้แต่น้อย “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและเย็นชา “เรื่องของเจ้าและอวิ๋นเฟยหลง” หยางเฟยฮุ่ยสะดุ้งเล็กน้อย ใจเริ่มเต้นแรง นางรู้ว่าคำถามนี้จะต้องมาในสักวัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะถูกถามตรงๆ เช่นนี้ “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? หรือว่าข้าเลี้ยงเจ้ามาให้เสียชื่อเสียงของตระกูลหยาง?” หยางอวี่ถงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากำลังพยายามทำตัวใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลง แต่กลับล้มเหลว แค่ผู้ชายคนเดียว เจ้าก็ควบคุมเขาให้อยู่ในกำมือไม่ได้” หยางเฟยฮุ่ยรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง นางยืนนิ่ง น้ำตาแทบจะไหลออกมา แต่พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้แสดงออกมา นางรู้สึกถึงความอายและความเสียใจที่พ่อของนางพูดแบบนี้กับนาง “ท่านพ่อ ข้า...ข้าพยายามแล้วเจ้าค่ะ” นางพยายามตอบเสียงสั่น “แต่อวิ๋นเฟยหลงเป็นคนที่เย็นชาและ...” “เย็นชางั้นหรือ?” หยางอวี่ถงพูดขัดทันที น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เจ้ากำลังแก้ตัวอยู่ใช่ไหม? ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าอวิ๋นเฟยหลงเป็นคนสำคัญ เขาเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของตระกูลหยาง และข้าต้องการให้เจ้าสร้างสายสัมพันธ์กับเขา” หยางเฟยฮุ่ยรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา นางพยายามจะอธิบาย แต่หยางอวี่ถงไม่ให้โอกาส “ข้าไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเย็นชาหรือไม่ ข้าสั่งให้เจ้าไปใกล้ชิด หาโอกาสล้วงความลับมาให้มากที่สุด แต่เจ้ากลับล้มเหลว ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ!” เขากล่าวอย่างเฉียบขาด สายตาของเขาจ้องนางอย่างกดดัน “ถ้าเจ้ายังทำหน้าที่นี้ไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกตัวเองว่าลูกของข้า!” น้ำเสียงเย็นชาของหยางอวี่ถงทำให้หยางเฟยฮุ่ยรู้สึกเหมือนถูกบีบคอ นางพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา “ท่านพ่อ...ข้าไม่ได้ล้มเหลว ข้าจะพยายามอีกครั้ง...” นางพยายามพูดเสียงสั่น แต่หยางอวี่ภงกลับส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่อยากฟังข้อแก้ตัวของเจ้าอีกต่อไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ออกไป! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก” หยางเฟยฮุ่ยชะงัก นางรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากความเป็นครอบครัว ความเจ็บปวดในใจท่วมท้น แต่นางก็รู้ว่าการโต้เถียงในตอนนี้จะทำให้นางลำบากมากขึ้น นางกล้ำกลืนน้ำตา และค่อยๆ โค้งคำนับอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องโถงนั้น เมื่อก้าวออกมานอกห้อง น้ำตาที่นางพยายามกลั้นไว้ก็เริ่มไหลออกมา นางเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองด้วยหัวใจที่บอบช้ำ หยางเฟยฮุ่ยรู้สึกทั้งเจ็บใจ ทั้งอาย และเสียใจ นางรู้สึกว่าพ่อของนางไม่เคยเห็นคุณค่าของนางเลย ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน หยางอวี่ถงก็สนใจแค่ผลประโยชน์ของตระกูลเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของนาง “ข้าจะไม่ยอมแพ้...” หยางเฟยฮุ่ยกัดฟันแน่น พูดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น “ข้าจะทำให้ทุกคนเห็น ว่าข้าคือคนที่มีค่ามากกว่าที่พวกเขาคิด!”เช้านี้ หลินเข่อซิงกำลังเตรียมตัวสำหรับแผนการขั้นต่อไป นางตั้งใจจะเข้าไปใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น แต่แน่นอนว่าแผนนี้ต้องไม่ใช่การวางท่าเหมือนนางเอกทั่วไปที่ยอมอ่อนให้แล้วกลับไปร้องไห้ หลินเข่อซิงคิดว่าเธอต้องเปลี่ยนวิธีเข้าหาให้ได้ผลกว่านั้นหลังจากคิดไปคิดมา นางตัดสินใจทำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อเอาไปให้อวิ๋นเฟยหลง เธอตั้งใจจะใช้ความรู้ด้านการทำอาหารจากโลกปัจจุบันมาทำให้เขาประทับใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นยุคไหน “เสน่ห์ปลายจวัก” ก็เป็นเรื่องสำคัญ“หลิงเฉิน! จัดแจงของให้ข้าเร็วเข้า” หลินเข่อซิงสั่งสาวใช้คนสนิทที่ตอนนี้กำลังจัดจานอาหารที่ถูกทำไว้อย่างประณีต “ข้าต้องการให้ทุกอย่างออกมาดูดี ไม่มีที่ติ”หลิงเฉินยิ้มขันๆ พลางจัดอาหารตามที่คุณหนูสั่ง “คุณหนูนี่ดูจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเลยนะเจ้าคะ”“แน่นอน! ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนางเอกเจ้าน้ำตาแน่” เข่อซิงตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะพาอาหารที่เตรียมไว้ออกเดินทางตรงไปยังจวนของอวิ๋นเฟยหลงเมื่อหลินเข่อซิงมาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลง นางก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ค้นหูอย่างมาก นางเดินเข้า
หลังจากเหตุการณ์ที่เข่อซิงเพิ่งปะทะกับหยางเฟยฮุ่ย เธอก็กลับมาที่จวนของตน นั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอได้อ่านไป ว่าตอนนี้เหตุการณ์ที่เธอพบ มันไปถึงจุดไหนของเรื่องและจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันแวบขึ้นมาในหัว “น้ำท่วม!” หลินเข่อซิงจำได้ชัดเจนว่า ในช่วงเวลานี้ของนิยายที่เธอเคยอ่านซึ่งเป็นกลางถึงปลายเดือนมีนาคม จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้เมืองนี้ตกอยู่ในความเดือดร้อน ชาวบ้านจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินและบ้านเรือน ชีวิตของพวกเขาจะพลิกผันเพราะภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด “ถ้าข้าจำไม่ผิด อีกไม่เกิน 7 วันจะเกิดน้ำท่วม...นี่มันโอกาสของข้านี่นา!” เข่อซิงพึมพำกับตัวเอง ในนิยาย เหตุการณ์นี้เป็นจุดที่ทำให้อวิ๋นเฟยหลงและกองทัพต้องลงมือช่วยชาวบ้าน ทว่านางเอกเดิมกลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเลย เพราะนางเพียงยืนอยู่ข้างๆ อย่างไร้พลัง แต่ตอนนี้ หลินเข่อซิงในฐานะผู้ที่รู้อนาคต จะไม่ยอมให้เรื่องราวเป็นแบบนั้น! เธอตัดสินใจว่าจะใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันเพื่อหาทางช่วยชาวบ้านก่อนที
“ขอรับ คุณหนูหลิน!” หัวหน้ากลุ่มทหารอาสาโค้งคำนับอย่างเคารพ ก่อนจะออกคำสั่งให้ลูกน้องเริ่มจัดการตามที่หลินเข่อซิงบอก นางเดินต่อไปยังจุดที่ชาวบ้านกำลังรวมตัวกันพลางถามไถ่สถานการณ์เบื้องต้นจากผู้ดูแล “พวกท่านเตรียมตัวอพยพหรือยัง?” “ข้าเตรียมแล้ว แต่ยังมีบางบ้านที่ไม่ยอมย้ายเจ้าค่ะ บางคนกลัวว่าจะทิ้งทรัพย์สินของตนไว้ไม่ได้” หญิงชราผู้ดูแลชาวบ้านกล่าวด้วยความกังวล หลินเข่อซิงพยักหน้าแล้วหันไปยังกลุ่มชาวบ้านที่ยังดูสับสนและไม่แน่ใจว่าควรทำอะไรต่อไป นางตัดสินใจเดินไปข้างหน้า ยืนอยู่บนแท่นสูงๆ เล็กน้อยแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังพอให้ทุกคนได้ยิน “ทุกท่าน! ข้าคือหลินเข่อซิง! วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกท่านเตรียมการป้องกันน้ำท่วม ข้าเข้าใจว่าพวกท่านกังวลเรื่องทรัพย์สินของตน แต่อย่าลืมว่าชีวิตสำคัญที่สุด! ข้าขอให้พวกท่านเริ่มจัดเตรียมของมีค่าที่จำเป็น และรีบย้ายขึ้นที่สูงให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้สิ่งของผูกมัดเราไว้กับความเสี่ยง เพราะสิ่งของแม้เสียหายหรือสูญไป ยังมีโอกาสหาใหม่ได้ แต่ชีวิตหากดับสิ้นแล้ว
จวนตระกูลหลิน หลังจากวันที่วุ่นวายจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วม หลินเข่อซิงรู้สึกเหนื่อยล้าแต่ก็ดีใจที่ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว นางนั่งอยู่บนระเบียงเล็กๆ ข้างจวน ทอดสายตาไปยังทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ค่อยๆ สงบลงหลังจากวันอันแสนวุ่นวาย ท้องฟ้ายามเย็นกลายเป็นสีส้มสวยงาม สายลมเย็นๆ พัดผ่าน นางสูดหายใจลึกๆ รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ขณะที่นางกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว อวิ๋นเฟยหลงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โดยไม่ทันตั้งตัว นางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเขาพร้อมรอยยิ้ม "ท่านแม่ทัพ มาทำอะไรตรงนี้หรือ?" เข่อซิงถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วเล็กน้อย ทำท่าเหมือนจะไม่สนใจ แต่ก็ยังตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้ามาดูว่าเจ้ายังหายใจอยู่หรือเปล่าก็เท่านั้น” เข่อซิงยิ้มกว้าง “ท่านมาหาข้าเพราะเป็นห่วงข้าหรือ?” นางแกล้งถามเพื่อหวังดูสีหน้าคนข้างๆ เขาพลันทำหน้าเคร่งทันที “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้า ข้าแค่...ตรวจดูความเรียบร้อย ข้าไม่อยากให้เจ้าป่วยเป็นภาระต่อคนอื่นต่างหาก” “โอ้โห ท่านแม่ทัพ ข้าดู
หยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของนาง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าที่สวยงามฉายแววเจ้าเล่ห์แฝงความโกรธ นางขบฟันแน่นเมื่อคิดถึงภาพหลินเข่อซิงที่ค่อยๆ ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากชาวบ้านและ...อวิ๋นเฟยหลง เธอได้รับข่าวจากสาวใช้คนสนิทเรื่องของหลินเข่อซิงที่ระยะนี้ไปช่วยชาวบ้านโดยมีอวิ๋นเฟยหลงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆตลอด “ฮึ! นางคิดว่าจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากข้าได้อย่างนั้นรึ?” หยางเฟยฮุ่ยพึมพำเบาๆ พลางมองกระจกเงาสะท้อนใบหน้าที่งดงามของตนเอง นางรู้ดีว่าความงามของตนเองเป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง “แต่ข้าจะไม่ลงมือเองหรอก นางไม่คู่ควรให้ข้าต้องเปลืองแรง” แล้วนางก็ยิ้มออกมาอย่างลำพองใจ ขณะที่วางแผนการในใจ นางรู้ว่าที่หมู่บ้านนี้ยังมีชายผู้หนึ่งที่มีอำนาจในท้องที่ และไม่ค่อยพอใจการเข้ามาแทรกแซงของหลินเข่อซิง นั่นก็คือ เฉินอี้เฉียง ชายผู้มีอำนาจจากตระกูลพ่อค้าที่ควบคุมการค้าขายในหมู่บ้าน เขามีชื่อเสียงในเรื่องความหัวรั้นและไม่ชอบใครที่มาขัดขวางผลประโยชน์ของตนเอง หยางเฟยฮุ่ยรู้ว่า ถ้าใช้วิธีที่เหมาะสม นางส
บรรยากาศในหมู่บ้านหลังจากการเตรียมการป้องกันน้ำท่วมเริ่มผ่อนคลายลง หลินเข่อซิงและอวิ๋นเฟยหลงก็มักจะได้เจอกันบ่อยขึ้น นางสังเกตเห็นว่าอวิ๋นเฟยหลงที่เคยมีท่าทีเย็นชา ดูเหมือนจะเปิดใจกับนางมากขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์แม่ทัพที่เยือกเย็นและเคร่งขรึมไว้อยู่เสมอ วันหนึ่ง ขณะที่หลินเข่อซิงกำลังนั่งเขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาลงในสมุดของนาง พลันสายตาของนางก็เหลือบเห็นเงาของใครบางคนเดินเข้ามาหา “คุณหนูหลิน” เสียงทุ้มๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังนาง นางหันกลับไปมองและพบว่าเป็นอวิ๋นเฟยหลงที่กำลังยืนอยู่ เขามีสีหน้าปกติ แต่ในดวงตาแฝงด้วยความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยแสดงออกมาก่อน “ท่านอวิ๋น ท่านรู้จักการเข้าตามตรอกออกตามประตูหรือไม่ มีอะไรกับข้าหรือเจ้าคะ?” หลินเข่อซิงถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้...เจ้าอยากไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมไฉ่หงหรือไม่?” อวิ๋นเฟยหลงพูดออกมาอย่างนิ่งๆ แต่หลินเข่อซิงก็พอจะจับความตื่นเต้นที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นได้ “โรงเตี๊ยมไฉ่หงงั้นเหรอ?” เข่อซิงยิ้มกว้างขึ้น “ข้าจำได้ว่าที่นั่นมีอาหารอร่อย ข้ากับหลิงเฉินเคยไปกินมาแล้วครั้งหนึ่ง...งั้นเราก็ไปกันเลยเ
หลังจากเดินเที่ยวเล่นกันมานาน ทั้งสองก็มาหยุดนั่งพักที่ม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางเดิน บรรยากาศยามเย็นเริ่มเข้ามาแทนที่ แสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆ สาดส่องผ่านต้นไม้ใบเขียว สร้างเงาสีทองที่กระจายอยู่ทั่วทั้งบริเวณ “ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้จังเลย” เข่อซิงพูดพร้อมกับยิ้มสดใส ขณะที่มองไปยังท้องฟ้า “มันรู้สึกสงบและเป็นอิสระอย่างบอกไม่ถูก” อวิ๋นเฟยหลงที่นั่งข้างๆ นางพยักหน้าเบาๆ “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน” เข่อซิงหันมามองหน้าเขา “จริงหรือ? ท่านเองก็ดูเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวเสียมาก ข้าไม่คิดว่าท่านจะชอบบรรยากาศเช่นนี้” อวิ๋นเฟยหลงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้าอาจจะชอบอยู่คนเดียวก็จริง แต่บางครั้ง...การมีใครสักคนอยู่ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไม่ใช่หรือ” คำพูดนั้นทำให้เข่อซิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่นางจะยิ้มออกมาอย่างสดใส “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ” ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ความเงียบนี้กลับไม่อึดอัดเหมือนเคย ตรงกันข้าม มันกลับเป็นความเงียบที่ทำให้ทั้งสองรู
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ทรงพระสรวลออกมาด้วยเสียงอันดังก้องท้องพระโรง ก่อนจะพยักหน้าให้ขันทีนำของพระราชทานออกมา ขันทีเดินออกมาพร้อมกับกล่องไม้แกะสลักที่ดูหรูหรา ก่อนจะเปิดกล่องเผยให้เห็นเครื่องประดับหยกอันงดงามและผ้าไหมชั้นเลิศ “ข้ามอบเครื่องประดับหยกนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความชื่นชมในความสามารถและความกล้าหาญของเจ้านะคุณหนูหลิน อีกทั้งผ้าไหมนี้จะเป็นของขวัญจากข้าที่เจ้าจะใช้ได้ตามใจชอบ และมอบทองอีก 1,000 ตำลึง เจ้าพอใจรึไม่” หลินเข่อซิงมองเครื่องประดับหยกด้วยความประทับใจ นางไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับรางวัลจากฮ่องเต้เช่นนี้ นางโค้งคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันจะรักษาของพระราชทานนี้ไว้ให้ดียิ่งกว่าชีวิตน้อยๆของตัวหม่อมฉันเอง” ฮ่องเต้ทรงแย้มพระโอษฐ์ยกยิ้ม ก่อนจะตรัสปิดท้าย “เจ้ามีความสามารถและมีใจช่วยเหลือผู้อื่น เจิ้นหวังว่าเจ้าอย่าหยุดแค่นี้ และเจิ้นจะรอดูว่าเจ้าจะทำสิ่งดีๆ ต่อไปอย่างไร” หลินเข่อซิงยิ้มด้วยความดีใจและความภาคภูมิใจ นี่ไม่เพียงแต่เป็นการยอมรับจากฮ่องเต้ แต่ยังเป็นโอกาสที่นางจะได้แสดงความสามารถและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในยุคโบ
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค
ในท้องพระโรงอันโอ่อ่า เสียงประโคมกลองและฉาบดังขึ้น ประกาศเริ่มต้นพิธีอภิเษกสมรสของหานเจี๋ย ผู้ครองบัลลังก์มังกร และสตรีที่ทรงเลือกขึ้นเป็นฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน พื้นผิวของโถงหลวงถูกปูด้วยพรมผืนใหญ่สีแดงฉาน ขับเน้นให้บรรยากาศยิ่งเต็มไปด้วยความสง่างาม บนโต๊ะยาวด้านหน้าถูกจัดเรียงเครื่องบรรณาการ เครื่องหอม และบรรดาของมีค่าจากทั่วสารทิศที่นำมาถวายแด่คู่บ่าวสาวทางเดินทอดยาวไปยังบัลลังก์ทองคำที่ตั้งตระหง่าน ที่นั่นเอง ฮ่องเต้หนุ่มทรงสวมฉลองพระองค์จักรพรรดิเต็มยศ ผ้าคลุมไหล่ปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรอันงดงาม เสื้อคลุมทอด้วยไหมชั้นดีจากแดนไกล ที่แขนยาวปักลายพยัคฆ์ทองคำอีกชั้น มือซ้ายของพระองค์วางบนที่วางแขน ขณะที่มือขวาทรงวางนิ่งสงบเบื้องหน้าเขาคือเจ้าสาวในชุดสีแดงสด ประดับด้วยผ้าคลุมหน้าแพรบาง สะท้อนแสงไฟจากโคมทองระยิบระยับ ผ้าคลุมไหล่ยาวลากตามราวสายธารสีแดงที่ไหลริน สะท้อนความงามอันบริสุทธิ์ สตรีนางนี้มาพร้อมกับสายตาที่หวั่นไหวและความรู้สึกอันหลากหลายที่มิได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดหลังจากนั้น เสียงของหัวหน้าพิธีการดังกังวานขึ้น “ถวายคำนับแรกแด่ฟ้าและดิน!”