หลังจากที่หลินเข่อซิงสั่งตัดชุดเสร็จ ทั้งเธอและหลิงเฉินก็เดินออกจากร้านผ้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะหลินเข่อซิงที่อดใจรอชุดใหม่ไม่ไหวเลยสักนิด
"ข้าคิดว่าชุดกี่เพ้าของข้าต้องออกมาสวยแน่ๆ!" หลินเข่อซิงพูดพร้อมยิ้มกว้าง "ข้าก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ คุณหนู จะต้องโดดเด่นไม่เหมือนใครแน่ๆ" หลิงเฉินพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวขึ้น "คุณหนู เจ้าคะ เมื่อครู่เราเดินผ่านโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลง ท่านสนใจลองไปทานอาหารที่นั่นไหม? ข้าได้ยินว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเป็ดย่างกับซุปเนื้อ" “ดีเลย! ข้ากำลังหิวพอดี ลองดูซักหน่อยเถอะ!” หลินเข่อซิงตอบทันทีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทั้งสองเดินไปยังโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลง บรรยากาศในร้านคึกคักเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาแตะจมูก หลินเข่อซิงนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับสั่งเมนูที่หลิงเฉินแนะนำ "ข้าขอเป็ดย่างกับซุปเนื้ออย่างที่เจ้าแนะนำละกัน ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้ว!" เธอพูดพร้อมกับหัวเราะ ไม่นานนัก อาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมอบอวลของเป็ดย่างทำให้หลินเข่อซิงอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล "โอ้โห! หอมเหลือเกิน ข้าว่านี่ต้องอร่อยแน่ๆ!" เธอตักซุปเนื้อขึ้นมาชิมแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “อืม... รสชาติดีมาก! เนื้อไม่เหนียวเลย นุ่มละมุนแทบละลายในปาก ส่งนซุปก็เข้มข้นมากๆ กลิ่นหอมของเนื้อหอมวนอยู่ในปากขึ้นไปที่จมูกเลยทีเดียว” หลิงเฉินขำพรืด “คุณหนูพูดอะไรประหลาดอีกแล้ว ฮ่าๆ” ทั้งสองเพลิดเพลินกับมื้ออาหารกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของโรงเตี๊ยมที่คึกคัก หลังจากอิ่มหนำสำราญ ทั้งคู่ก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อเดินกลับไปขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลจากตลาด ระหว่างที่หลินเข่อซิงกับหลิงเฉินเดินกลับ พวกเธอได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากซอยข้างหน้า คนสองกลุ่มกำลังตะโกนเถียงกันอย่างรุนแรง เสียงดังก้องไปทั่วตลาด ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างพากันหลบเลี่ยง แต่หลินเข่อซิงที่กำลังมองเหตุการณ์อยู่ก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัวทันที “เดี๋ยวนะ! ฉากนี้...มันเหมือนในนิยายเลยนี่นา!” เธอพึมพำออกมาอย่างตื่นเต้นและตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน “นี่มันคือฉากที่นางเอกเกือบจะโดนลูกหลงจากการทะเลาะวิวาท แล้วพระเอกก็มาช่วยนางได้ทันเวลา...” “คุณหนู? ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ?” หลิงเฉินถามอย่างงุนงง ขณะที่ทั้งคู่หยุดยืนห่างจากกลุ่มคนทะเลาะกัน หลินเข่อซิงยังคงจ้องมองเหตุการณ์ข้างหน้า หัวใจเธอเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและความกังวล เพราะเธอรู้ว่าถ้าเรื่องดำเนินไปตามนิยายที่เธอเคยอ่าน เธอเองอาจจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเหมือนนางเอกในเรื่อง “หลิงเฉิน เราต้องถอยไปไกลกว่านี้... ข้าจำได้ว่ามีคนโดนลูกหลงจากการทะเลาะกัน!” หลินเข่อซิงพูดด้วยความรีบเร่ง ขณะที่พยายามพาหลิงเฉินเดินถอยหลัง แต่ยังไม่ทันที่พวกเธอจะหลบออกไปไกลพอ เสียงตะโกนและการทะเลาะกันก็ดังสนั่นยิ่งขึ้น เศษหินเศษอิฐลอยมากลางอากาศ และในขณะนั้น หลินเข่อซิงเห็นว่ามีวัตถุบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาทางเธออย่างรวดเร็ว “อ๊า!” เธออุทานเสียงดัง หัวใจเต้นรัวอย่างตกใจ ไม่ทันที่เธอจะคิดทำอะไร เสี้ยววินาทีต่อมา ร่างสูงของใครบางคนก็ก้าวเข้ามาขวางหน้าพร้อมกับใช้มือปัดวัตถุนั้นออกไปทันที หลินเข่อซิงเบิกตากว้างมองผู้ที่ช่วยชีวิตเธอ ในใจนึกว่าจะต้องเป็นอวิ๋นเฟยหลง แต่เมื่อเธอมองหน้าเขาอย่างใกล้ชิด หัวใจของเธอกลับพลิกผันไป “ท่าน... หานเจี๋ย?” เธอพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่อวิ๋นเฟยหลงอย่างที่เธอคิด แต่กลับเป็นองค์ชายห้าหานเจี๋ยที่มีท่าทีสงบนิ่งและเยือกเย็น เขามองเธอด้วยแววตาแฝงความสนใจเล็กน้อย ราวกับกำลังสำรวจว่าหลินเข่อซิงเป็นใคร “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หานเจี๋ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงด้วยความห่วงใยเล็กน้อย หลินเข่อซิงยิ้มแห้งๆ และพยักหน้า “ข้าสบายดี ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า” ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและแปลกใจ ทำไมเรื่องถึงไม่เป็นไปตามที่เธอคาดไว้? แล้วทำไมคนที่มาช่วยเธอถึงเป็นหานเจี๋ยแทนที่จะเป็นอวิ๋นเฟยหลง? หานเจี๋ยเพียงพยักหน้าเล็กน้อย “ดีแล้ว ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้ต่อ” จากนั้นเขาก็หันกลับไปจัดการกับกลุ่มคนทะเลาะกัน ด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ ขณะที่หลินเข่อซิงยืนมองอย่างอึ้งๆ "องค์ชายห้าช่างสง่างามเหลือเกิน..." หลิงเฉินกระซิบเบาๆ ข้างๆ หลินเข่อซิงที่ยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "อืม... ข้าก็คิดอย่างนั้น" หลินเข่อซิงตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่ในใจเธอก็ยังคงตั้งคำถามว่าทำไมฉากนี้ถึงไม่เป็นไปตามนิยายที่เธอจำได้ "บางที... ชีวิตในโลกนี้อาจไม่ได้เหมือนในนิยายทุกอย่าง" เธอคิดในใจ ขณะเดินตามหลิงเฉินกลับไปยังรถม้า คืนนั้น หลินเข่อซิงนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง ความคิดในหัวของเธอวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เธอทะลุมิติมายังโลกนี้ หลายสิ่งหลายอย่างดูจะผิดไปจากนิยายที่เธอเคยอ่าน ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เธอจำได้อย่างแม่นยำ 'ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปหมด' เธอคิดในใจพลางถอนหายใจยาว ดวงตาจ้องมองเพดานห้องขณะที่พลิกตัวไปมา “ในนิยาย พระเอกน่าจะเริ่มสนใจนางเอกแล้วสิ... ทำไมแทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขากลับดูสนิทกับหยางเฟยฮุ่ยมากกว่า? แล้วนางร้ายก็ยังเงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยสักอย่าง หรือว่านางวางแผนบางอย่างอยู่?” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ คิ้วขมวดแน่นด้วยความสงสัย และยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ในวันนี้ก็ทำให้เธอสับสนยิ่งขึ้น เมื่อคิดถึงฉากการทะเลาะวิวาทที่เธอจำได้ว่า นางเอกในนิยายจะโดนลูกหลง และอวิ๋นเฟยหลงจะเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย “แล้วทำไมคนที่มาช่วยข้ากลับกลายเป็นหานเจี๋ยไปได้ล่ะ?” หลินเข่อซิงนั่งผุดลุกขึ้นบนเตียงทันทีด้วยความงุนงง เธอนึกถึงท่าทางสงบนิ่งของหานเจี๋ยและรู้สึกแปลกใจ ทำไมเรื่องราวถึงไม่เป็นไปตามที่เธอเคยอ่าน? "หรือว่า...โลกนี้มันเปลี่ยนไปเพราะข้า?" เธอพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง ขณะที่ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ความคิดต่างๆ ยังคงรุมเร้าไม่หยุด เธอนอนพลิกไปมา พยายามหาคำตอบให้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ที่บนกิ่งไม้ใหญ่ใกล้หน้าต่างห้องนอนของหลินเข่อซิง อวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด ดวงตาคมของเขาจ้องมองไปยังห้องของเธอ แสงจันทร์ส่องลอดผ่านกิ่งไม้และใบไม้ทำให้เห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนขึ้น เขามองทุกการกระทำของหลินเข่อซิงอย่างเงียบๆ “คนอะไร... ทำท่าพิลึก” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำกับตัวเองเบาๆ ขณะที่มองดูหลินเข่อซิงพลิกตัวไปมา นอนลุกนั่งอย่างกระวนกระวาย ใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเริ่มแอบมาดูเธอทุกคืน หวังว่าจะได้พบเบาะแสบางอย่างว่าเธอเป็นใครกันแน่ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ หรือว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในตัวเธอที่เขายังไม่เข้าใจ “ข้าต้องหาคำตอบให้ได้” อวิ๋นเฟยหลงคิดในใจพลางมองไปยังหลินเข่อซิงที่ยังคงนอนพลิกไปพลิกมาอย่างไม่สบายใจในห้องของเธอ และคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขายังคงมองดูเธอจากบนต้นไม้ โดยไม่รู้ตัวว่าในใจของเขาเองก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด...สองสัปดาห์ต่อมา หลินเข่อซิงได้รับเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนป๋อโดยลูกสาวคนโตของภริยาเอก ตลอดทั้งวัน เธอรู้สึกได้ถึงความกดดันที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับคนมากมายในงาน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันอื่นๆ เพราะเธอเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่กับชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิงที่เธอตั้งใจตัดขึ้นมาเพื่อแสดงความเป็นตัวตนใหม่ของเธอเถ้าแก่ร้านผ้าทำงานไวมาก นางจึงให้เงินเพิ่มไปอีกมาก เขาโค้งตัวแล้วโค้งตัวอีก ยิ้มรับหน้าบานแถมยังบอกนางอีกว่า หากคราวหน้าจะให้ตัดชุดอะไรสามารถมาหาเขาได้ เขาจะรีบทำให้นางก่อนใคร“ท่านพร้อมไหมเจ้าคะ คุณหนู?” หลิงเฉินถามขณะช่วยปรับชุดให้หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ มองตัวเองในกระจก ชุดกี่เพ้ารัดรูปที่ทำให้เธอดูสง่างามและทรงพลัง ไม่ใช่แค่สีแดงที่ดึงดูดสายตา แต่ความมั่นใจที่แสดงออกทางท่าทางและบุคลิกของเธอทำให้เธอดูโดดเด่น“พร้อมสิ! วันนี้ข้าจะไม่ใช่คุณหนูหลินคนเดิมอีกต่อไป” เธอตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องที่จวนป๋อ งานเลี้ยงเต็มไปด้วยผู้คนจากตระกูลสูงศักดิ์มากมาย เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาเป็นระยะๆ ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น หยางเฟยฮุ่ยก้าวเข้ามาในงานด้วยความสง่างาม ทุกสายตาต่างจ
หลังจากการปะทะคารมกับหลินเข่อซิง หยางเฟยฮุ่ยเดินจากไปด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ความพ่ายแพ้ในการปะทะคารมกันทำให้นางยิ่งรู้สึกเสียหน้า นางจะไม่ยอมปล่อยให้หลินเข่อซิงเดินลอยนวลไปโดยไม่ได้รับบทเรียน นางคิดแผนการร้ายในหัวทันที นางกระซิบสั่งการกับสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไปจัดการตามที่ข้าบอก แล้วทำให้แนบเนียนที่สุด อย่าให้ใครสงสัย ข้าไม่ต้องการความผิดพลาด เข้าใจหรือไม่?” สาวใช้พยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะรีบเดินออกไปเตรียมการตามแผน หยางเฟยฮุ่ยมองตามด้วยรอยยิ้มเย็น นางรู้ดีว่าแผนนี้จะทำให้หลินเข่อซิงต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ในขณะที่หลินเข่อซิงกำลังพูดคุยกับหลิงเฉิน สาวใช้จากจวนป๋อก็เข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มสุภาพ “คุณหนูหลินเจ้าคะ คุณหนูใหญ่จวนป๋ออยากเชิญท่านไปดูสมบัติล้ำค่าที่เก็บไว้ในห้องลับเจ้าค่ะ ของพวกนี้มีเพียงคนพิเศษเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ดู” หลินเข่อซิงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอตอบรับคำเชิญนั้น “สมบัติล้ำค่า? ข้าสนใจนะ พาข้าไปสิ” “ข้าจะไปกับท่านเจ้า
ไม่ช้า คนที่ตรวจสอบเสร็จก็ประกาศออกมา “ไม่มีสิ่งใดหายไป ของทุกชิ้นอยู่ครบเจ้าค่ะ” เสียงซุบซิบเงียบลงทันที สายตาของคนในจวนเริ่มหันไปทางหยางเฟยฮุ่ยแทน ใบหน้าของนางเริ่มซีดลงเล็กน้อย หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ “ดูเหมือนว่าข้าจะพูดความจริงมาตลอด ข้าไม่เคยคิดจะขโมยอะไร ข้าแค่ถูกพามาที่นี่เพื่อชมของล้ำค่าเท่านั้น... แต่ถ้าใครคิดจะใส่ร้ายข้า ก็คงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้” แม้ว่าคนในจวนจะตรวจสอบของในห้องแล้วและไม่พบว่ามีอะไรหายไป แต่หยางเฟยฮุ่ยก็ยังไม่ยอมแพ้ นางกัดฟันแน่นและยิ้มเย็นออกมา “ก็แน่อยู่แล้ว... ของยังอยู่ครบ เพราะเจ้าโดนจับได้ก่อนน่ะสิ! หากไม่มีใครมาพบ เจ้าคงฉวยโอกาสขโมยไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรหายไปบ้าง” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวจบพลางยิ้มเย้ย ดูซิว่านางจะแก้ตัวยังไง ถึงจะผิดคาดที่ตอนแรกนางกล้าเถียงก็เถอะ คำพูดของหยางเฟยฮุ่ยทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มพยักหน้าเห็นด้วย เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง หลายคนมองไปทางหลินเข่อซิงด้วยสายตาที่สงสัย สถานการณ์เริ่มกลับมากดดันอีกครั้ง หลินเข่อซิงรู้สึกถึงความกดดันจากส
ค่ำวันนั้น ภายในเรือนของตระกูลหลิน กลิ่นหอมของอาหารจานโปรดลอยอบอวลไปทั่ว หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับท่านพ่อและท่านแม่ ทั้งสองท่านยิ้มแย้มและดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดในบรรยากาศอันอบอุ่นนี้อาหารที่ถูกจัดวางบนโต๊ะเต็มไปด้วยเมนูโปรดของครอบครัวหลิน ทั้งซุปไก่ตุ๋นโสม ผัดผักน้ำมันหอย และขนมเปี๊ยะไส้ถั่วที่หลินเข่อซิงชอบที่สุด“วันนี้เจ้าดูสดใสจังนะซิงเอ๋อร์” ท่านแม่เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ขณะตักซุปไก่ตุ๋นโสมใส่ถ้วยให้หลินเข่อซิง “ตั้งแต่เจ้าฟื้นจากเหตุการณ์ตกน้ำมา ข้าเห็นว่าเจ้าดูเปลี่ยนไปมาก ทั้งบุคลิก ความมั่นใจ ดูเจ้ามีความสุขและพูดเก่งขึ้นมากเลย”หลินเข่อซิงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส “ข้าแค่รู้สึกว่าชีวิตมันควรจะมีความสนุกและความตื่นเต้นมากกว่านี้เจ้าค่ะท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าอาจจะกังวลและคิดมากเกินไป แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...บางทีชีวิตก็ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น เราควรมีความสุขในทุกๆ วันใช่ไหมเจ้าคะ?”ท่านแม่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ขณะที่ท่านพ่อของหลินเข่อซิงก็นั่งมองลูกสาวด้วยแววตาภาคภูมิใจ เขาวางตะเกียบลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “ซิงเอ็อร์ ข้าก็รู้สึกเหมือนแม่เจ้า เจ้าเปลี
ในเช้าวันหนึ่ง หลินเข่อซิงและหลิงเฉินออกจากจวนตระกูลหลินเพื่อไปเดินตลาด แม้จะอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย แต่หลินเข่อซิงก็เริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว และเธอก็อยากใช้เวลาว่างในการเรียนรู้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้"คุณหนู ท่านอยากได้อะไรจากตลาดหรือเจ้าคะ?" หลิงเฉินถามขณะมองไปรอบๆ"ข้าแค่อยากสำรวจดูของที่ยังไม่เคยเห็น และ...หาบางอย่างที่ข้าอาจนำไปใช้ได้" หลินเข่อซิงยิ้มให้สาวใช้ของตนทั้งสองเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานตลาดขนาดใหญ่ ที่นั่นกลุ่มชาวบ้านยืนล้อมวงกันอยู่รอบๆ บางคนทำหน้าตื่นตกใจ บางคนมีสีหน้าเครียด เหตุการณ์ในลานตลาดดึงดูดความสนใจของหลินเข่อซิงทันที"เกิดอะไรขึ้นหรือ?" หลินเข่อซิงถามหลิงเฉินด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา"ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น" หลิงเฉินตอบพลางมองไปยังกลุ่มชาวบ้านหลินเข่อซิงเดินเข้าไปใกล้ฝูงชน และได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากคนรอบข้างเกี่ยวกับปัญหาการทำเกลือ ชาวบ้านหลายคนกำลังคุยกันเรื่องวิธีการต้มเกลือที่ไม่ได้ผลดีนัก เกลือที่ได้มามีปัญหามาก เช่น เป็นก้อนแข็งเกินไปหรือมีสีหม่นหมอง"เกลือทั้งหมดที่ได้มานั้นเสียหายไปเกือบครึ่ง ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่า
ภายในจวนตระกูลหยาง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหลวงของแคว้น มีบรรยากาศที่ไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก แม้ด้านนอกจะดูโอ่อ่า หรูหรา และมีอำนาจล้นฟ้า แต่ภายในจวนกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นกันระหว่างบรรดาลูกๆ และภรรยา พ่อของหยางเฟยฮุ่ย ผู้มีบรรดาศักดิ์ “ป๋อ” เป็นคนที่เคร่งขรึมและมีอำนาจ แต่กลับโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอกอย่างเห็นได้ชัดหยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง ใบหน้าที่เคยแสดงความหยิ่งยโสบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด นางเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพ่อของนางเดินอยู่กับภรรยารองและลูกๆ ท่าทางของท่านพ่อดูผ่อนคลายและมีความสุขอย่างที่หยางเฟยฮุ่ยไม่เคยเห็นเวลาที่อยู่กับนางและท่านแม่“ทำไมท่านพ่อไม่เคยสนใจข้าเลย...” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาส่อแววไม่พอใจ “ข้าเป็นลูกสาวของภรรยาเอกแท้ๆ แต่เขากลับเอาใจใส่นางพวกนั้นมากกว่า”พ่อของหยางเฟยฮุ่ย หยางอวี่ถง แม้จะมีความสามารถในฐานะผู้นำตระกูล แต่เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขารักและโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอก ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของหยางเฟยฮุ่ย ต้องอยู่ในสถานะที่ถูกลดความสำคัญลง นางถูกปล่อยให้อยู่ในจวนอย่างโดดเดี่ยว ขณะที่ภรรยารองได้อยู่ใน
เช้านี้ หลินเข่อซิงกำลังเตรียมตัวสำหรับแผนการขั้นต่อไป นางตั้งใจจะเข้าไปใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงมากขึ้น แต่แน่นอนว่าแผนนี้ต้องไม่ใช่การวางท่าเหมือนนางเอกทั่วไปที่ยอมอ่อนให้แล้วกลับไปร้องไห้ หลินเข่อซิงคิดว่าเธอต้องเปลี่ยนวิธีเข้าหาให้ได้ผลกว่านั้นหลังจากคิดไปคิดมา นางตัดสินใจทำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อเอาไปให้อวิ๋นเฟยหลง เธอตั้งใจจะใช้ความรู้ด้านการทำอาหารจากโลกปัจจุบันมาทำให้เขาประทับใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นยุคไหน “เสน่ห์ปลายจวัก” ก็เป็นเรื่องสำคัญ“หลิงเฉิน! จัดแจงของให้ข้าเร็วเข้า” หลินเข่อซิงสั่งสาวใช้คนสนิทที่ตอนนี้กำลังจัดจานอาหารที่ถูกทำไว้อย่างประณีต “ข้าต้องการให้ทุกอย่างออกมาดูดี ไม่มีที่ติ”หลิงเฉินยิ้มขันๆ พลางจัดอาหารตามที่คุณหนูสั่ง “คุณหนูนี่ดูจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเลยนะเจ้าคะ”“แน่นอน! ข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนางเอกเจ้าน้ำตาแน่” เข่อซิงตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะพาอาหารที่เตรียมไว้ออกเดินทางตรงไปยังจวนของอวิ๋นเฟยหลงเมื่อหลินเข่อซิงมาถึงจวนของอวิ๋นเฟยหลง นางก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ค้นหูอย่างมาก นางเดินเข้า
หลังจากเหตุการณ์ที่เข่อซิงเพิ่งปะทะกับหยางเฟยฮุ่ย เธอก็กลับมาที่จวนของตน นั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และนึกถึงเรื่องราวในนิยายที่เธอได้อ่านไป ว่าตอนนี้เหตุการณ์ที่เธอพบ มันไปถึงจุดไหนของเรื่องและจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งก็พลันแวบขึ้นมาในหัว “น้ำท่วม!” หลินเข่อซิงจำได้ชัดเจนว่า ในช่วงเวลานี้ของนิยายที่เธอเคยอ่านซึ่งเป็นกลางถึงปลายเดือนมีนาคม จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ทำให้เมืองนี้ตกอยู่ในความเดือดร้อน ชาวบ้านจำนวนมากต้องสูญเสียทรัพย์สินและบ้านเรือน ชีวิตของพวกเขาจะพลิกผันเพราะภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด “ถ้าข้าจำไม่ผิด อีกไม่เกิน 7 วันจะเกิดน้ำท่วม...นี่มันโอกาสของข้านี่นา!” เข่อซิงพึมพำกับตัวเอง ในนิยาย เหตุการณ์นี้เป็นจุดที่ทำให้อวิ๋นเฟยหลงและกองทัพต้องลงมือช่วยชาวบ้าน ทว่านางเอกเดิมกลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเลย เพราะนางเพียงยืนอยู่ข้างๆ อย่างไร้พลัง แต่ตอนนี้ หลินเข่อซิงในฐานะผู้ที่รู้อนาคต จะไม่ยอมให้เรื่องราวเป็นแบบนั้น! เธอตัดสินใจว่าจะใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันเพื่อหาทางช่วยชาวบ้านก่อนที
“กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ และละอายใจยิ่ง หากองค์ชายเจ็บแค้นและอยากสังหาร กระหม่อมก็พร้อมยินดีมอบชีวิตให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ว่าพลางยื่นกระบี่ในมือให้กับอวิ๋นเฟยหลงชายร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำสนิท นั่งนิ่งหลับตาแน่น รอรับโทษทัณฑ์ฟิ้ววว เสียงโลหะแหวกอากาศจนเกือบฟันคอของเจิ้งจู่ขาด เจิ้งจู่รู้สึกถึงความเย็นของดาบที่แตะเบาๆที่คอ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำเอาเลือดสดไหลซึมออกมาเล็กน้อยเคร้ง!ดาบถูกโยนทิ้งลงพื้น“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หากเจ้ารู้สึกเช่นนั้นก็จงร่วมเดินทางไปกับข้าเถอะ”“องค์ชาย กระหม่อมขอขอบพระทัยในความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เจิ้งจู่ลุกขึ้นมาคำนับอวิ๋นเฟยหลง“แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องที่ต้องทำก่อนไป” อวิ๋นเฟยหลงว่าพลางขมวดคิ้วแน่น........แสงอาทิตย์แผดแสงเจิดจ้าส่องเข้ามายังลานบ้านสกุลซุย อวิ๋นเฟยหลงยืนอยู่ในห้องพักอย่างเงียบสงบ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกสับสน แต่มั่นคง เขารู้ดีว่าวันนี้เขาต้องบอกลาผู้คนที่นี่ คนที่ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คนที่คอยช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาที่เขาความทรงจำขาดห
นับจากวันที่เขาประสบเหตุในวันที่ไปเก็บเห็ดกับนายท่านซุย จิ่นสือมักมีภาพเหตุการณ์โผล่ขึ้นมาให้เขาได้เห็น บางคราก็สั้นๆ บางคราก็เป็นเรื่องเป็นราวผุ้เฒ่าสกุลซุยทั้งสองลงความเห็นกันว่าควรให้เขาได้พักผ่อนให้มากหน่อยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและพักฟื้นร่างกายให้ดี รวมถึงกันซุยลี่อินไม่ให้มารบกวนจิ่นสืออีกด้วย นับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เขารุ้สึกสงบสุขมากที่สุดนับแต่ได้มาอยุ่ที่บ้านสกุลซุยก็ว่าได้สายลมวสันต์ฤดูพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำเอาจิ่นสือต้องยกมือขึ้นมาป้องปากและจมูกที่เย็นจนชาแทบไร้ความรู้สึกวันนี้ยังคงเป็นไปตามปกติเพียงแต่เขาไม่ต้องไปคอยตัดฟืนแบกหามอย่างเช่นทุกที ตามร่างกายยังคงเจ็บระบม ชายหนุ่มร่างกำยำที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงไปนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอน ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่สมาธิเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าแสงสุริยันลับขอบฟ้าไปแล้ว บนโต๊ะในห้องนอนมีสำรับกับข้าววางไว้ให้ เขาค่อยๆลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดเอวซ้ายทีขวาที ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆมีอาหารเพียงสองอย่าง ผัดไข่ใส่ใบเซียงชุนและซุปเนื้อหอมกรุ่นที่ตอนน
ในห้วงอันเงียบสงบของค่ำคืน หยางเฟยฮุ่ยนั่งลงท่ามกลางแสงเทียนในห้องบรรทม นางประมวลผลทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งความไม่ไว้วางใจระหว่างตนกับหานเจี๋ย และสถานการณ์ในวังที่ตึงเครียด นางยิ้มมุมปาก ก่อนจะตัดสินใจวางแผนสร้างเครือข่ายพันธมิตรของตนเองขึ้นมา“ข้าจะไม่อยุ่รอวันตาย ไม่ฝากชีวิตไว้กับเสือที่ไม่รุ้ว่าจะแว้งกัดข้าตอนไหน” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวกับตนเองพลางยิ้มเย็นหยางเฟยฮุ่ยหันไปเริ่มต้นแผนด้วยการพบปะกับเหล่าสนมนางในบุตรีตระกูลผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เพื่อเสริมฐานพันธมิตรให้กว้างขวางมากขึ้น“ข้าอยากให้พวกท่านมาร่วมงานในตำหนักของข้า พวกเราสามารถแบ่งปันความคิดเห็นและสนับสนุนกันและกันได้... จะว่าไปก็นับว่าข้ามีโชคยิ่งนัก ที่ได้พบสตรีชั้นสูงที่มีความสามารถและรู้จักวางตัวอย่างท่านทั้งหลาย”“ฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงเพียงนี้ พวกข้าก็ยินดีที่จะมาพบปะกับท่านบ่อย ๆ เพคะ” ฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้น นางเป็นบุตรีของเสนาบดีเจ้ากรมโยธา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเรียบเรื่อยราวสายธารยามสงบนิ่ง“ข้าก็ยินดีเช่นกัน สตรีอย่างพวกเราย่อมต้องพึ่งพากันบ้าง พ
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค
ในท้องพระโรงอันโอ่อ่า เสียงประโคมกลองและฉาบดังขึ้น ประกาศเริ่มต้นพิธีอภิเษกสมรสของหานเจี๋ย ผู้ครองบัลลังก์มังกร และสตรีที่ทรงเลือกขึ้นเป็นฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน พื้นผิวของโถงหลวงถูกปูด้วยพรมผืนใหญ่สีแดงฉาน ขับเน้นให้บรรยากาศยิ่งเต็มไปด้วยความสง่างาม บนโต๊ะยาวด้านหน้าถูกจัดเรียงเครื่องบรรณาการ เครื่องหอม และบรรดาของมีค่าจากทั่วสารทิศที่นำมาถวายแด่คู่บ่าวสาวทางเดินทอดยาวไปยังบัลลังก์ทองคำที่ตั้งตระหง่าน ที่นั่นเอง ฮ่องเต้หนุ่มทรงสวมฉลองพระองค์จักรพรรดิเต็มยศ ผ้าคลุมไหล่ปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรอันงดงาม เสื้อคลุมทอด้วยไหมชั้นดีจากแดนไกล ที่แขนยาวปักลายพยัคฆ์ทองคำอีกชั้น มือซ้ายของพระองค์วางบนที่วางแขน ขณะที่มือขวาทรงวางนิ่งสงบเบื้องหน้าเขาคือเจ้าสาวในชุดสีแดงสด ประดับด้วยผ้าคลุมหน้าแพรบาง สะท้อนแสงไฟจากโคมทองระยิบระยับ ผ้าคลุมไหล่ยาวลากตามราวสายธารสีแดงที่ไหลริน สะท้อนความงามอันบริสุทธิ์ สตรีนางนี้มาพร้อมกับสายตาที่หวั่นไหวและความรู้สึกอันหลากหลายที่มิได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดหลังจากนั้น เสียงของหัวหน้าพิธีการดังกังวานขึ้น “ถวายคำนับแรกแด่ฟ้าและดิน!”