หลินเข่อซิงปูเสื่อกกนั่งอยู่ในสวนใต้ต้นไม้ใหญ่ สายลมเย็นแผ่วๆพัดพาปอยผมคลอเคลียดวงหน้าหวาน ดวงตากลมโตดำขลับยามนี้กำลังปิดเปลือกตาลง ดื่มด่ำกับบบรยากาศยามเช้าที่สดชื่น
นี่ฉันก็มาอยู่ในโลกนี้ได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ความสัมพันธ์กับอีตาพระเอกก็ไม่คืบหน้าไปไหนเลย แถมยังมีก้างชิ้นใหญ่ขวางคอเสียด้วย เฮ้ออ~ คิดแล้วหญิงสาวก็ล้มตัวลงนอน มองท้องฟ้า ก้อนเมฆเล็กใหญ่ลอยผ่านหน้าเธอไป คงต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนยัยตัวร้ายจะทำคะแนนไปก่อน คิดได้อย่างนั้น หลินเข่อซิงก็ผุดลุกขึ้นมา เธอปัดๆชายกระโปรงตัวเอง และเดินกลับไปที่ห้องของเธอ “หลิงเฉิง ปกติถ้าฉันอยากตัดชุด ต้องทำยังไงเหรอ” “คุณหนูสามารถไปที่ร้านผ้าในตลาด และบอกกับเถ้าแก่ว่าอยากได้แบบไหนเจ้าค่ะ” หลิงเฉิงตอบ “โอเค งั้นเจ้าไปเตรียมรถม้านะ เดี๋ยวเราออกไปตลาดกัน จะได้ถือโอกาสเที่ยวด้วยซะเลย” หลินเข่อซิงยิ้มแก้มปริ เมื่อจะได้ออกไปเที่ยวนอกจวน ตั้งแต่มาที่โลกนี้ เธอยังไม่เคยไปที่ไหนเลย นอกจากจวนตระกูลอวิ๋น แต่ก็ไปเพียงครั้งเดียว นอกนั้นก็นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในจวนตระกูลหลิน จนเธอจะเฉาตายด้วยความเบื่อหน่ายอยู่แล้ว เมื่อทั้งสองนายบ่าวมาถึงตลาดแล้ว เธอก็รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา “โอ้โห! ตลาดที่นี่ช่างคึกคักจริงๆ!” หลินเข่อซิงตื่นเต้นออกหน้าออกตา ขณะที่มองไปรอบๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย เสียงพ่อค้าแม่ขายดังระงมไปทั่วตลาด “มาซื้อผ้าไหมคุณภาพดี! ลดราคาเพียงวันนี้วันเดียว!” “เนื้อตุ๋นร้อนๆ สดใหม่จากเตา!” “เหล้าชั้นดี! กลั่นมาสดๆ ไม่เจือจาง!” ตลาดเต็มไปด้วยเสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากทุกทิศทาง พ่อค้าแม่ค้ายืนข้างๆ ร้านของตน พยายามดึงดูดลูกค้าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลัง หญิงสาวที่เดินผ่านไปมาต่างหันมาดูสินค้าที่ถูกนำเสนอด้วยท่าทางสนใจ บางคนหยุดชิม บางคนต่อรองราคาอย่างจริงจัง บรรยากาศที่นี่ดูจอแจและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน หลินเข่อซิงหันซ้ายหันขวาด้วยความตื่นเต้น “หลิงเฉิน ดูนั่นสิ! เหลาสุรานั่นดูเหมือนจะขายดีนะ ข้ารู้สึกว่าได้กลิ่นเหล้าหอมๆ มาตั้งแต่ไกลแล้ว” หลิงเฉินหัวเราะคิก “ท่านนี่ขี้เล่นจริงๆเจ้าค่ะ คุณหนู เดินผ่านมาตั้งหลายร้านแต่กลับหันมาพูดถึงเรื่องสุราก่อนเลย” ทั้งสองเดินผ่านหน้าเหลาสุรา เสียงพ่อค้าหน้าร้านตะโกนเรียกลูกค้าดังลั่น “เหล้าชั้นดี! เหล้าชั้นดี! ขวดนี้จากหุบเขาหลวง รสชาตินุ่มลิ้น ดื่มแล้วคลายร้อนอย่างดี!” ขณะที่ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งนั่งดื่มเหล้ากันอย่างร่าเริงภายในร้าน เมื่อเดินต่อไปอีกหน่อย ทั้งสองก็เห็นโรงเตี๊ยมที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางตลาด ข้างหน้ามีป้ายสีแดงขนาดใหญ่เขียนว่า “โรงเตี๊ยมไฉ่หง” หลินเข่อซิงอดไม่ได้ที่จะหยุดมองดูบรรยากาศภายในโรงเตี๊ยม เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของลูกค้าที่ยืนรอเข้าไปทานอาหารภายในร้านดังเซ็งแซ่ “ที่นี่คงเป็นที่ยอดนิยมในตลาดสินะ มีคนเยอะจริงๆ” หลินเข่อซิงพูดพลางหัวเราะเบาๆ ขณะที่หลิงเฉินพยักหน้าเห็นด้วย “ที่นี่เขาทำอาหารอร่อยมากเจ้าค่ะ โดยเฉพาะเป็ดย่างและซุปเนื้อ ข้าว่าพวกเราน่าจะลองมากินที่นี่บ้างนะเจ้าคะ” หลิงเฉินเอ่ยแนะนำ “แน่นอน! ข้าจะไม่พลาดแน่!” หลินเข่อซิงพูดอย่างมั่นใจ แล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไปยังร้านผ้าที่อยู่ถัดไป เมื่อพวกเธอมาถึงร้านตัดชุดซึ่งตั้งอยู่ในมุมสงบของตลาด ภายในร้านมีผ้าไหมหลากสีสันถูกพับวางเรียงกันอย่างสวยงามบนชั้นวาง ผ้าแต่ละผืนแวววาวและดูนุ่มน่าสัมผัส หลินเข่อซิงอดไม่ได้ที่จะเอามือลูบไปบนผ้าสีแดงที่เธอชอบ “ผ้านี้ช่างนุ่มละมุนเหลือเกิน ข้าอยากได้ชุดจากผ้าผืนนี้จริงๆ” เธอพูดพลางหันไปยิ้มให้หลิงเฉิน “เจ้าค่ะคุณหนู ผ้าสีนี้เหมาะกับท่านมากทีเดียว” หลิงเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เจ้าของร้านผ้าเดินเข้ามาต้อนรับ เขาโค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “คุณหนูต้องการตัดชุดแบบไหนหรือขอรับ ข้ามีช่างฝีมือเยี่ยมที่จะช่วยออกแบบให้ได้ตามใจท่าน” หลินเข่อซิงยิ้มให้เถ้าแก่ร้านผ้าพร้อมกับความคิดที่แวบขึ้นมาในหัว เธอนึกถึงชุดกี่เพ้าที่เห็นคนใส่ในโลกปัจจุบัน แสนจะเซ็กซี่และดูสง่างาม เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากลองตัดชุดแบบนั้นสักครั้ง “ข้าคิดอยากได้ชุดแบบพิเศษเจ้าค่ะ” หลินเข่อซิงพูดขึ้น น้ำเสียงสดใสจนเถ้าแก่ร้านผ้าชะงักไปเล็กน้อย “เป็นชุดที่มีรูปแบบไม่ซับซ้อน แต่ขอให้ดูโดดเด่น ข้าอยากได้ชุดที่คล้ายกับชุดที่เรียกว่า ‘กี่เพ้า’ เป็นชุดยาวรัดรูปถึงข้อเท้า สีแดงเพลิง แขนเสื้อยาวมาถึงข้อศอก ไม่ดีกว่า เอายาวถึงข้อมือ ส่วนกระโปรงให้ผ่าข้างขึ้นมาถึงเข่าก็พอ ขอแบบนี้สักสามชุดนะคะเถ้าแก่” เถ้าแก่ร้านผ้าฟังด้วยความงุนงง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความสงสัย “กี่เพ้า? ข้าขอโทษนะขอรับคุณหนู แต่ข้าไม่เคยได้ยินชุดแบบนี้มาก่อน” หลินเข่อซิงยิ้มขำ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไรๆ ข้าจะวาดให้ท่านดูคร่าวๆ ว่าหน้าตามันเป็นยังไง” เธอหยิบกระดาษและดินสอจากหลิงเฉินที่ยื่นส่งให้ แล้ววาดภาพคร่าวๆ ลงบนกระดาษ เส้นสายของเธอดูเรียบง่าย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เถ้าแก่เข้าใจ ชุดที่เธอวาดเป็นชุดยาวเข้ารูปที่มีคอสูงพอประมาณ ผ่าข้างขึ้นมานิดหน่อยเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก ส่วนเสื้อคลุมตัวยาวจะช่วยปกปิดให้ดูสง่างามไม่เกินไป เถ้าแก่ร้านผ้ามองภาพที่หลินเข่อซิงวาดด้วยความทึ่ง “อืม... ชุดนี้ดูแปลกใหม่จริงๆ ข้าไม่เคยทำชุดแบบนี้มาก่อน แต่ข้าว่าข้าทำได้เจ้าค่ะ คุณหนูต้องการเป็นสีแดงเพลิงเช่นนี้หรือ?” “ใช่ สีแดงเพลิงเท่านั้น!” หลินเข่อซิงตอบกลับอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกาย “ข้าอยากได้ชุดที่ดูร้อนแรงและทรงพลัง!” เถ้าแก่พยักหน้าและยิ้มออกมาเล็กน้อย “ดีเจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่ท่านต้องการ ข้าคิดว่ามันจะเป็นชุดที่น่าจดจำมากแน่นอน” หลินเข่อซิงยิ้มกว้าง “ข้ารอไแทบม่ไหวแล้ว!” หลิงเฉินที่ยืนข้างๆ ก็มองเจ้านายของตนด้วยความประทับใจ “ท่านช่างมีความคิดกว้างขวางจริงๆ คุณหนู ข้าไม่เคยเห็นใครสั่งตัดชุดแบบนี้เลยเจ้าค่ะ” “ข้าอยากลองเปลี่ยนลุค เอ๊ย! ข้าหมายถึงเปลี่ยนการแต่งตัวดูน่ะ ” หลินเข่อซิงพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเถ้าแก่ “ข้าจะรอดูผลงานของท่านนะเจ้าคะ” เถ้าแก่หัวเราะเบาๆ ด้วยความนับถือ “แน่นอนขอรับข้าจะทำให้สุดฝีมือ”ค่ำวันนั้น บรรยากาศในจวนตระกูลอวิ๋นถูกประดับประดาด้วยโคมไฟสวยงามและการจัดเตรียมโต๊ะอาหารอย่างประณีต ตระกูลหยางได้รับเชิญมาร่วมรับประทานอาหารค่ำเป็นการส่วนตัว ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยมิตรภาพ แต่กลับซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้ง่ายๆอวิ๋นเฟยหลงและท่านโหวนั่งอยู่ฝั่งซ้าย ขณะที่หยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอวิ๋นเฟยหลง เธอมีรอยยิ้มบางๆ ที่ดูสุภาพแต่เยือกเย็น พ่อของหยางเฟยฮุ่ย หยางเฉิง เป็นชายผู้สง่างามในชุดผ้าไหมลายมังกร เขานั่งอยู่หัวโต๊ะตรงข้ามกับท่านโหว ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเป็นมิตร แต่ในแววตากลับแฝงความจริงจัง“ตระกูลอวิ๋นและตระกูลหยางรู้จักกันมานานหลายชั่วอายุคน” หยางเฉิงเริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน แต่เรียบๆ ทำลายความเงียบที่ปกคลุมโต๊ะอาหาร “ข้าเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลของเราคงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก”ท่านโหวยิ้มรับอย่างสุภาพ "แน่นอน ท่านหยาง ตระกูลของท่านกับตระกูลข้าเป็นดั่งพี่น้อง"หยางเฟยฮุ่ยหันมายิ้มหวานให้กับอวิ๋นเฟยหลง ขณะที่เขานั่งเงียบ ใบหน้าเย็นชาเหมือนเดิม แต่แววตากลับดูอึดอัดเล็กน้อย “ท่านอวิ๋น ข้ายังจำได้เสมอถึงตอนที่เรายัง
หลังจากที่หลินเข่อซิงสั่งตัดชุดเสร็จ ทั้งเธอและหลิงเฉินก็เดินออกจากร้านผ้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะหลินเข่อซิงที่อดใจรอชุดใหม่ไม่ไหวเลยสักนิด"ข้าคิดว่าชุดกี่เพ้าของข้าต้องออกมาสวยแน่ๆ!" หลินเข่อซิงพูดพร้อมยิ้มกว้าง"ข้าก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ คุณหนู จะต้องโดดเด่นไม่เหมือนใครแน่ๆ" หลิงเฉินพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวขึ้น "คุณหนู เจ้าคะ เมื่อครู่เราเดินผ่านโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลง ท่านสนใจลองไปทานอาหารที่นั่นไหม? ข้าได้ยินว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเป็ดย่างกับซุปเนื้อ"“ดีเลย! ข้ากำลังหิวพอดี ลองดูซักหน่อยเถอะ!” หลินเข่อซิงตอบทันทีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทั้งสองเดินไปยังโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลง บรรยากาศในร้านคึกคักเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาแตะจมูก หลินเข่อซิงนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับสั่งเมนูที่หลิงเฉินแนะนำ "ข้าขอเป็ดย่างกับซุปเนื้ออย่างที่เจ้าแนะนำละกัน ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้ว!" เธอพูดพร้อมกับหัวเราะไม่นานนัก อาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมอบอวลของเป็ดย่างทำให้หลินเข่อซิงอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล "โอ้โห! หอมเหลือเกิน ข้าว่านี่ต้องอร
สองสัปดาห์ต่อมา หลินเข่อซิงได้รับเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนป๋อโดยลูกสาวคนโตของภริยาเอก ตลอดทั้งวัน เธอรู้สึกได้ถึงความกดดันที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับคนมากมายในงาน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันอื่นๆ เพราะเธอเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่กับชุดกี่เพ้าสีแดงเพลิงที่เธอตั้งใจตัดขึ้นมาเพื่อแสดงความเป็นตัวตนใหม่ของเธอเถ้าแก่ร้านผ้าทำงานไวมาก นางจึงให้เงินเพิ่มไปอีกมาก เขาโค้งตัวแล้วโค้งตัวอีก ยิ้มรับหน้าบานแถมยังบอกนางอีกว่า หากคราวหน้าจะให้ตัดชุดอะไรสามารถมาหาเขาได้ เขาจะรีบทำให้นางก่อนใคร“ท่านพร้อมไหมเจ้าคะ คุณหนู?” หลิงเฉินถามขณะช่วยปรับชุดให้หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ มองตัวเองในกระจก ชุดกี่เพ้ารัดรูปที่ทำให้เธอดูสง่างามและทรงพลัง ไม่ใช่แค่สีแดงที่ดึงดูดสายตา แต่ความมั่นใจที่แสดงออกทางท่าทางและบุคลิกของเธอทำให้เธอดูโดดเด่น“พร้อมสิ! วันนี้ข้าจะไม่ใช่คุณหนูหลินคนเดิมอีกต่อไป” เธอตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องที่จวนป๋อ งานเลี้ยงเต็มไปด้วยผู้คนจากตระกูลสูงศักดิ์มากมาย เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาเป็นระยะๆ ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรานั้น หยางเฟยฮุ่ยก้าวเข้ามาในงานด้วยความสง่างาม ทุกสายตาต่างจ
หลังจากการปะทะคารมกับหลินเข่อซิง หยางเฟยฮุ่ยเดินจากไปด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ความพ่ายแพ้ในการปะทะคารมกันทำให้นางยิ่งรู้สึกเสียหน้า นางจะไม่ยอมปล่อยให้หลินเข่อซิงเดินลอยนวลไปโดยไม่ได้รับบทเรียน นางคิดแผนการร้ายในหัวทันที นางกระซิบสั่งการกับสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไปจัดการตามที่ข้าบอก แล้วทำให้แนบเนียนที่สุด อย่าให้ใครสงสัย ข้าไม่ต้องการความผิดพลาด เข้าใจหรือไม่?” สาวใช้พยักหน้ารับคำสั่ง ก่อนจะรีบเดินออกไปเตรียมการตามแผน หยางเฟยฮุ่ยมองตามด้วยรอยยิ้มเย็น นางรู้ดีว่าแผนนี้จะทำให้หลินเข่อซิงต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ในขณะที่หลินเข่อซิงกำลังพูดคุยกับหลิงเฉิน สาวใช้จากจวนป๋อก็เข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มสุภาพ “คุณหนูหลินเจ้าคะ คุณหนูใหญ่จวนป๋ออยากเชิญท่านไปดูสมบัติล้ำค่าที่เก็บไว้ในห้องลับเจ้าค่ะ ของพวกนี้มีเพียงคนพิเศษเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ดู” หลินเข่อซิงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอตอบรับคำเชิญนั้น “สมบัติล้ำค่า? ข้าสนใจนะ พาข้าไปสิ” “ข้าจะไปกับท่านเจ้า
ไม่ช้า คนที่ตรวจสอบเสร็จก็ประกาศออกมา “ไม่มีสิ่งใดหายไป ของทุกชิ้นอยู่ครบเจ้าค่ะ” เสียงซุบซิบเงียบลงทันที สายตาของคนในจวนเริ่มหันไปทางหยางเฟยฮุ่ยแทน ใบหน้าของนางเริ่มซีดลงเล็กน้อย หลินเข่อซิงยิ้มบางๆ “ดูเหมือนว่าข้าจะพูดความจริงมาตลอด ข้าไม่เคยคิดจะขโมยอะไร ข้าแค่ถูกพามาที่นี่เพื่อชมของล้ำค่าเท่านั้น... แต่ถ้าใครคิดจะใส่ร้ายข้า ก็คงต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้” แม้ว่าคนในจวนจะตรวจสอบของในห้องแล้วและไม่พบว่ามีอะไรหายไป แต่หยางเฟยฮุ่ยก็ยังไม่ยอมแพ้ นางกัดฟันแน่นและยิ้มเย็นออกมา “ก็แน่อยู่แล้ว... ของยังอยู่ครบ เพราะเจ้าโดนจับได้ก่อนน่ะสิ! หากไม่มีใครมาพบ เจ้าคงฉวยโอกาสขโมยไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรหายไปบ้าง” หยางเฟยฮุ่ยกล่าวจบพลางยิ้มเย้ย ดูซิว่านางจะแก้ตัวยังไง ถึงจะผิดคาดที่ตอนแรกนางกล้าเถียงก็เถอะ คำพูดของหยางเฟยฮุ่ยทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มพยักหน้าเห็นด้วย เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง หลายคนมองไปทางหลินเข่อซิงด้วยสายตาที่สงสัย สถานการณ์เริ่มกลับมากดดันอีกครั้ง หลินเข่อซิงรู้สึกถึงความกดดันจากส
ค่ำวันนั้น ภายในเรือนของตระกูลหลิน กลิ่นหอมของอาหารจานโปรดลอยอบอวลไปทั่ว หลินเข่อซิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับท่านพ่อและท่านแม่ ทั้งสองท่านยิ้มแย้มและดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดในบรรยากาศอันอบอุ่นนี้อาหารที่ถูกจัดวางบนโต๊ะเต็มไปด้วยเมนูโปรดของครอบครัวหลิน ทั้งซุปไก่ตุ๋นโสม ผัดผักน้ำมันหอย และขนมเปี๊ยะไส้ถั่วที่หลินเข่อซิงชอบที่สุด“วันนี้เจ้าดูสดใสจังนะซิงเอ๋อร์” ท่านแม่เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ขณะตักซุปไก่ตุ๋นโสมใส่ถ้วยให้หลินเข่อซิง “ตั้งแต่เจ้าฟื้นจากเหตุการณ์ตกน้ำมา ข้าเห็นว่าเจ้าดูเปลี่ยนไปมาก ทั้งบุคลิก ความมั่นใจ ดูเจ้ามีความสุขและพูดเก่งขึ้นมากเลย”หลินเข่อซิงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส “ข้าแค่รู้สึกว่าชีวิตมันควรจะมีความสนุกและความตื่นเต้นมากกว่านี้เจ้าค่ะท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าอาจจะกังวลและคิดมากเกินไป แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า...บางทีชีวิตก็ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น เราควรมีความสุขในทุกๆ วันใช่ไหมเจ้าคะ?”ท่านแม่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ขณะที่ท่านพ่อของหลินเข่อซิงก็นั่งมองลูกสาวด้วยแววตาภาคภูมิใจ เขาวางตะเกียบลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “ซิงเอ็อร์ ข้าก็รู้สึกเหมือนแม่เจ้า เจ้าเปลี
ในเช้าวันหนึ่ง หลินเข่อซิงและหลิงเฉินออกจากจวนตระกูลหลินเพื่อไปเดินตลาด แม้จะอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย แต่หลินเข่อซิงก็เริ่มปรับตัวได้บ้างแล้ว และเธอก็อยากใช้เวลาว่างในการเรียนรู้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้"คุณหนู ท่านอยากได้อะไรจากตลาดหรือเจ้าคะ?" หลิงเฉินถามขณะมองไปรอบๆ"ข้าแค่อยากสำรวจดูของที่ยังไม่เคยเห็น และ...หาบางอย่างที่ข้าอาจนำไปใช้ได้" หลินเข่อซิงยิ้มให้สาวใช้ของตนทั้งสองเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานตลาดขนาดใหญ่ ที่นั่นกลุ่มชาวบ้านยืนล้อมวงกันอยู่รอบๆ บางคนทำหน้าตื่นตกใจ บางคนมีสีหน้าเครียด เหตุการณ์ในลานตลาดดึงดูดความสนใจของหลินเข่อซิงทันที"เกิดอะไรขึ้นหรือ?" หลินเข่อซิงถามหลิงเฉินด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา"ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น" หลิงเฉินตอบพลางมองไปยังกลุ่มชาวบ้านหลินเข่อซิงเดินเข้าไปใกล้ฝูงชน และได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากคนรอบข้างเกี่ยวกับปัญหาการทำเกลือ ชาวบ้านหลายคนกำลังคุยกันเรื่องวิธีการต้มเกลือที่ไม่ได้ผลดีนัก เกลือที่ได้มามีปัญหามาก เช่น เป็นก้อนแข็งเกินไปหรือมีสีหม่นหมอง"เกลือทั้งหมดที่ได้มานั้นเสียหายไปเกือบครึ่ง ข้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่า
ภายในจวนตระกูลหยาง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหลวงของแคว้น มีบรรยากาศที่ไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก แม้ด้านนอกจะดูโอ่อ่า หรูหรา และมีอำนาจล้นฟ้า แต่ภายในจวนกลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ชิงเด่นกันระหว่างบรรดาลูกๆ และภรรยา พ่อของหยางเฟยฮุ่ย ผู้มีบรรดาศักดิ์ “ป๋อ” เป็นคนที่เคร่งขรึมและมีอำนาจ แต่กลับโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอกอย่างเห็นได้ชัดหยางเฟยฮุ่ยนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง ใบหน้าที่เคยแสดงความหยิ่งยโสบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด นางเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพ่อของนางเดินอยู่กับภรรยารองและลูกๆ ท่าทางของท่านพ่อดูผ่อนคลายและมีความสุขอย่างที่หยางเฟยฮุ่ยไม่เคยเห็นเวลาที่อยู่กับนางและท่านแม่“ทำไมท่านพ่อไม่เคยสนใจข้าเลย...” นางพึมพำกับตัวเอง ดวงตาส่อแววไม่พอใจ “ข้าเป็นลูกสาวของภรรยาเอกแท้ๆ แต่เขากลับเอาใจใส่นางพวกนั้นมากกว่า”พ่อของหยางเฟยฮุ่ย หยางอวี่ถง แม้จะมีความสามารถในฐานะผู้นำตระกูล แต่เขาก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขารักและโปรดปรานภรรยารองมากกว่าภรรยาเอก ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ของหยางเฟยฮุ่ย ต้องอยู่ในสถานะที่ถูกลดความสำคัญลง นางถูกปล่อยให้อยู่ในจวนอย่างโดดเดี่ยว ขณะที่ภรรยารองได้อยู่ใน
จิ่นสือพยักหน้ารับ ขณะที่ลูบใบเทียนเฉ่าเบาๆ กลิ่นหอมฉุนของมันลอยออกมาแตะจมูก สมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณล้ำค่า และเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงการแพทย์แผนโบราณถัดมาไม่นาน พวกเขาก็เจอพุ่มไม้ที่ออกดอกเป็นช่อสีขาวเล็กๆ กลีบดอกดูเปราะบางและชุ่มชื่น“นี่คือไป่ฮวา หรือหญ้าพันงู ขึ้นชื่อในสรรพคุณสมานแผลและหยุดเลือดทันทีเมื่อมีแผลสด ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในยาสำหรับทหารหรือผู้ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย”จิ่นสือสังเกตพุ่มไม้ไป่ฮวาด้วยความสนใจ“น่าสนใจนัก ยามศึกสงคราม สมุนไพรนี้คงช่วยได้มากจริงๆ”พวกเขาเดินต่อจนถึงลำธารเล็กๆ ที่ไหลเย็นสบาย สองข้างของลำธารมีต้นไม้เล็กๆ ออกผลเล็กๆ สีแดงจัดเต็มพุ่ม“ต้นนี้เรียกว่าซานจาหรือพุทราจีน ผลสีแดงของมันนี้กินได้ มีรสหวานอมเปรี้ยว ช่วยย่อยอาหารและบำรุงหัวใจเป็นเลิศ” นายท่านซุยหยิบผลซานจามาส่งให้จิ่นสือ“ลองชิมดูสิ หวานอมเปรี้ยวนี่ล่ะช่วยให้รู้สึกสดชื่นยิ่ง”จิ่นสือรับผลซานจามา ลองกัดเบาๆ รสชาติสดชื่นทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าทันที สมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นยาบำรุงแต่ยังเสริมพลังได้เป็นอย่างดี
ซุยลี่อินใจเต้นรัว ใบหน้าเล็กร้อนผ่าว มือน้อยๆ ยกขึ้นไปจับตรงตำแหน่งที่มือใหญ่ได้วางไว้ก่อนหน้าเบาๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มแย้มยิ้มออกมาเสียจนแทบฉีกถึงใบหุ “ข้าจะรอท่านพี่กลับมานะเจ้าคะ” สาวน้อยตะโกนไล่หลังร่างสุงใหญ่ที่เดินทิ้งห่างไปไกล ซุยลี่อินยืนส่งชายในดวงใจจนร่างเขาหายลับไปจากสายตา จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน จิ่นสือได้ยินเสียงใสแว่วๆ แต่เขาไม่ได้หันกลับไป ทำเพียงเร่งฝีเท้าให้ทันนายท่านซุยเพียงเท่านั้น แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านยอดไม้หนาทึบลงมาเป็นลำ จิ่นสือก้าวเดินตามผู้เฒ่าอย่างตั้งใจ แม้พื้นดินจะชื้นแฉะ แต่ในความชื้นนั้นกลับทำให้ป่าแห่งนี้อุดมไปด้วยพืชสมุนไพรอันหลากหลาย จิ่นสือมองสำรวจอย่างตั้งอกตั้งใจ "ดูเหมือนป่านี้จะซ่อนสมุนไพรล้ำค่าไว้มิใช่น้อย...ข้าสงสัยว่าเหตุใดต้นไม้เหล่านี้จึงเติบโตได้งดงามนัก" นายท่านซุยยิ้มอย่างยินดีที่ชายหนุ่มถามในเรื่องที่เขามีความรู้เป็นอย่างดี และยินดีแบ่งปันอย่างยิ่ง “ต้นไม้ในป่านี้ได้รับการดูแลจากธรรมชาติ และคนในหมู่บ้านของเราได้ช่วยกันร
จิ่นสือมาอยุ่กับครอบครัวสกุลซุยมาได้พักใหญ่แล้ว เขามักจะไปตักน้ำตัดฟืนมาไว้ในบ้านเสมอ รวมถึงการออกไปจับจ่ายซื้อของแทนผุ้เฒ่าซุยอยุ่บ่อยครั้งและแน่นอนว่าเขามักจะมีดรุณีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มตามติดไปด้วยอยุ่เสมอ จนผุ้ที่ได้พบเห็นต่างนึกเอ็นดุและชื่นชมในรุปลักษณ์ที่ดีงามของทั้งสองคนจิ่นสือมักมีอาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมักมีอาการไม่นานมาก เพียงชั่วใบไม้ร่วงหล่นลงสุ่พื้น แต่ก็ทำให้เขาเจ็บร้าวในหัวจนแทบทรงตัวไม่อยุ่ในทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า เฝ้าเรียกหาเขาด้วยน้ำเสียงอาทรและห่วงหาคืนนี้ก็เช่นกัน…“ท่านพี่…ท่านพี่…”“…”“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรกันแน่” เขาถามออกไปแต่ร่างบอบบางในชุดสีฟ้าอ่อน ผมยาวตรงสยายพลิ้วไหวตามแรงลมที่ไม่ทราบมาจากที่ใด เขาเพ่งมองไปยังใบหน้านั้น แต่แสงสีขาวสว่างจ้าเกินไปจนเขาตาพร่าไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปหาร่างนั้น แต่ยิ่งเดินยิ่งห่างไกล ราวกับร่างนั้นเคลื่อนถอยหลังหนีเขาอยุ่ร่ำไป“ได้โปรดเถิด ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าสักนิด”จื
บนพื้นที่ห่างไกลออกไปทางเหนือใกล้กับชายแดนแคว้นเกาเยว่ เสียงตัดไม้ดังก้องไปทั่วป่า เมื่อมองลึกเข้าไปจะพบกับชายร่างสูงใหญ่ล่ำสัน เครื่องแต่งกายมีเพียงเสื้อตัวบางทับด้วยเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามสองแขนแกร่ง กำลังตัดไม้อย่างขมักเขม้น หยาดเหงื่อไหลรินผ่านขมับ ชายหนุ่มขบกรามแน่นยามออกแรงยกขวาน ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา หนวดเครารกครึ้ม ส่งให้ใบหน้าคมเข้มไม่ไกลกันนัก มีสาวน้อยวัยกำดัดนั่งเท้าคางมองชายหนุ่มที่กำลังตัดไม้ด้วยแววตาหลงใหล สาวน้อยร่างบางสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน ดูน่ารักน่าทะนุถนอมยิ่งนัก ข้างๆมีตระกร้าใส่อาหารและผลไม้ ดูไปก็คล้ายคู่รักที่ดูรักกันดียิ่ง แต่ความเป็นจริงนั้น…“จิ่นสือ วันนี้อากาศดีมาก ข้าว่าพอแค่นี้ดีไหม แล้วเราไปเดินเล่นในเมืองด้วยกัน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเอ่ยชวนแต่ชายร่างกำยำกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียงนาง ยังคงตัดไม้ต่อไปอย่างไม่ลดละ“นี่ เมื่อไหร่ท่านจะยอมคุยกับข้าสักที นี่ก็ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วนะ นับจากวันที่ท่านพ่อกับท่านแม่พาท่านมาอยู่ด้วยกัน”“…”“สมแล้วที่ท่านพ่อตั้งชื่อให้ท่านว่าจิ่
หลังผ่านค่ำคืนอันแสนร้อนเร่ากับเจ้าผู้ครองแคว้น หยางเฟยฮุ่ยกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ กว่านางจะฝ่าด่านคัดเลือกสตรีนับพัน ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคุณหนูในห้องหอที่ต่างก็เพียบพร้อมไปด้วยความงามและความสามารถ แต่ที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการต้องวางแผนสกปรกทำให้น้องรองต้องเสียโฉมตัดโอกาสที่จะมาแย่งชิงกับนาง เพื่อที่นางจะได้เป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล หยางลี่เฟย จะโทษก็โทษที่ชาติกำเนิดตัวเองเถอะ เจ้ามันก็แค่ลุกอนุ แต่อยากจะมาเทียบเคียงข้า อย่าได้โทษข้าเลย ที่ข้าไม่ยั้งมือ หยางเฟยฮุ่ยคิดในใจหยางเฟยฮุ่ยนั่งมองใบหน้าของตนเองในกระจก ดวงหน้างามพิลาส ดวงตาราวรีรุปหงส์ให้ความรุ้สึกหยิ่งผยองยามปรายหางตามอง จมุกเล็กเชิดรั้น ริมฝีปากยามแย้มยิ้มก็เย้ายวนมีเสน่ห์อย่างยิ่ง ใบหน้านี้ไม่ว่าใครได้มองย่อมตกหลุมนางทั้งนั้น มีแต่เจ้าคนน่าตายอวิ๋นเฟยหลงนั่นคนเดียว ตั้งแต่หลินเข่อซิงโผล่มาก็ไม่มองนางอีกเลย ทั้งที่แต่เล็กทั้งสองตระกุลต่างหมายหมั้นให้พวกนางได้ร่วมหอลงโลง หึ อวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้ท่านก็คงจะได้แต่นึกเสียใจเป็นแน่ มาบัดนี้ข้ากลับดีใจที่ไม่ได้แต่งให้ท่าน ไม่เช่นนั้นค
ในท้องพระโรงอันโอ่อ่า เสียงประโคมกลองและฉาบดังขึ้น ประกาศเริ่มต้นพิธีอภิเษกสมรสของหานเจี๋ย ผู้ครองบัลลังก์มังกร และสตรีที่ทรงเลือกขึ้นเป็นฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน พื้นผิวของโถงหลวงถูกปูด้วยพรมผืนใหญ่สีแดงฉาน ขับเน้นให้บรรยากาศยิ่งเต็มไปด้วยความสง่างาม บนโต๊ะยาวด้านหน้าถูกจัดเรียงเครื่องบรรณาการ เครื่องหอม และบรรดาของมีค่าจากทั่วสารทิศที่นำมาถวายแด่คู่บ่าวสาวทางเดินทอดยาวไปยังบัลลังก์ทองคำที่ตั้งตระหง่าน ที่นั่นเอง ฮ่องเต้หนุ่มทรงสวมฉลองพระองค์จักรพรรดิเต็มยศ ผ้าคลุมไหล่ปักดิ้นทองเป็นลวดลายมังกรอันงดงาม เสื้อคลุมทอด้วยไหมชั้นดีจากแดนไกล ที่แขนยาวปักลายพยัคฆ์ทองคำอีกชั้น มือซ้ายของพระองค์วางบนที่วางแขน ขณะที่มือขวาทรงวางนิ่งสงบเบื้องหน้าเขาคือเจ้าสาวในชุดสีแดงสด ประดับด้วยผ้าคลุมหน้าแพรบาง สะท้อนแสงไฟจากโคมทองระยิบระยับ ผ้าคลุมไหล่ยาวลากตามราวสายธารสีแดงที่ไหลริน สะท้อนความงามอันบริสุทธิ์ สตรีนางนี้มาพร้อมกับสายตาที่หวั่นไหวและความรู้สึกอันหลากหลายที่มิได้แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดหลังจากนั้น เสียงของหัวหน้าพิธีการดังกังวานขึ้น “ถวายคำนับแรกแด่ฟ้าและดิน!”
เมื่อลองคิดใคร่ครวญกลับไป นางพบว่าเขาแทบไม่พูดหวานกับนางสักเท่าใด คำบอกรักก็แทบนับครั้งได้ หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่แม้นางกับเขาเป็นสามีภรรยากันแล้วมีสัมพันธ์ทางกายจนตอนนี้นางตั้งภรรค์ลูกของเขา แต่นางก็ยังกลับปัจจุบันไม่ได้ จนเกิดเรื่องที่เขาไปรบ หรือแท้ที่จริงใจเขามิเคยรักนางจริงสิ สมรสพระราชทาน ใครจะกล้าปฎิเสธคำของฮ่องเต้กัน หลินเข่อซิงคิดอย่างเศร้าสร้อย“นี่ข้าคงรักท่านอย่างสุดหัวใจเข้าแล้วจริงๆ ถึงกับตามืดบอดหลงลืมไปว่าท่านและนางเคยผูกพันกันมานานเพียงใด ยึดติดกับเนื้อเรื่องในนิยายหลงคิดว่าตนเองคือนางเอก แท้ที่จริงข้าต่างหากที่เป็นนางร้ายมาแยกพวกท่านออกจากกัน”หลินเข่อซิงร่ำไห้ปานใจจะขาด ลูกน้อยในท้องราวกับรับรู้ได้ ทั้งเตะทั้งถีบรุนแรง แต่กลับเป็นการกระตุ้นให้หลินเข่อซิงยิ่งหดหู่“เขามิได้ต้องการข้าแล้ว ถ้าหากเขารับรู้ว่าข้ามีเจ้า เขาคง…”คืนนั้นหลิงเฉินก็ยังมิกลับมา แต่หลินเข่อซิงที่จมจ่อมในห้วงคำนึงของตนเองจนมิสนใจสิ่งใดรอบกาย ปล่อยให้นางกำนัลจัดการทุกสิ่งให้นาง จนถึงเวลาเข้านอน หญิงสาวทำเพียงจ้องมองไปบนเพดาน น้ำตาระลอ
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี” หลินเข่อซิงย่อตัวลงทำความเคารพฮ่องเต้ “ไม่ต้องมากพิธี คนกันเองทั้งนั้น” หายเจี๋ยโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพลางนั่งที่โต๊ะน้ำชา “พระองค์ทรงให้คนพาหม่อมฉันมาที่นี่ด้วยเหตุใดเพคะ” หลินเข่เซิงถามเสียงเรียบ แต่แววตาแสดงความไม่พอใจแจ่มชัด “ข้าว่าตำหนักที่เจ้าอยู่ดูจะแคบไปนะ เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าย้ายไปตำหนักที่ใกล้ข้าดีหรือไม่ จะได้มีที่กว้างขวาง ซ้ำยังมีสวนสวยงามและน้ำตกเล็กๆให้เจ้าดูอีกด้วย” หานเจี๋ยเฉไฉพูดเรื่องอื่น ทำราวกับไม่ได้ยินที่นางถาม “ฝ่าบาท เหตุใดจึงกระทำการโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก ท่านโหวจงรักภักดีต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน จนถึงตอนที่ท่านขึ้นครองบัลลังก์มังกรนี้เขามิเคยตั้งคำถาม มีแต่ตั้งใจทำงานของตนอย่างสุดความสามารถ ท่านตอบแทนตระกูลที่ภักดีกับท่านเช่นนี้น่ะหรือ” หลินเข่อซิงถามออกไปอย่างสุดกลั้น คราแรกนางตั้งใจไว้ว่าจะควบคุมอารมณ์ตนเอง เพราะตอนนี้นางไม่มีอำนาจใดๆจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แต่เมื่อเห็นใบหน้านี้ นางกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมา เลือดของคนตระกูล
ท่านโหวและฮูหยินใหญ่ตกใจเป็นอันมาก“เจ้าเข้าใจอะไรผิดรึไม่ ข้ามิเคยทำเรื่องเช่นนั้น” อีกฝ่ายแสยะยิ้มไม่น่ามอง “ทำหรือไม่หลักฐานก็มีอยู่”สิ้นเสียงทหารที่เข้าค้นจวนต่างโยนกระดาษจดหมายที่เขียนตอบโต้กับสายลับแคว้นเกาเยว่ บนนั้นคือลายมือท่านโหวชัดเจน“ไม่ ข้าไม่ได้ทำ ข้าถูกใส่ร้าย ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”“ช้าก่อน ท่านคิดว่าตนเองเป็นผู้ใดกัน คิดจะพบหน้าฝ่าบาท ก็พบได้ง่ายๆเช่นนั้นหรือ อีกอย่างฝ่าบาททรงตัดสินโทษพวกเจ้าตระกูลอวิ๋นแล้ว”ในขณะที่ดาบกำลังจะฟาดฟันลงมาสวบ! เสียงดาบแทงทะลุอก ฮูหยินใหญ่ทรุดลงไปกองกับพื้น ท่านโหวตะโกนออกมาสุดเสียง ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กินกันมานาน เอาตัวเข้ารับดาบแทนเขา “ได้โปรดปล่อยสามีข้าไปเถิดนะท่านเขาบริสุทธิ์” ฮูหยินใหญ่ยื่นมือไขว้คว้าจับข้อท้าของทหารนายนั้น “ข้าขอร้องท่าน อย่างน้อยก็คิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน ท่านโหวเมื่อครั้งเป็นแม่ทัพก็ปฎิบัติต่อท่านอย่างดีมิใช่หรือ อึ่ก”ฮูหยินใหญ่กระอักเลือดออกมาคำโต ท่านโหวตรงเข้าไปดึงตัวภรรยาออกมาโอบกอดไว้แนบอก