เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเอง
ก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อน
ชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวัน
แทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าเป็นสิ่งที่หายสาบสูญไปแล้วในดินแดนของตน หนังสือเล่มนี้บันทึกศาสตร์เกี่ยวกับการปกปิดและซ่อนเร้น โดยใช้พลังที่ผสานระหว่างธรรมชาติและเจตจำนง
เอรอสรับหนังสือเก่าเล่มนั้นมาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ ทว่ามันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและทรงพลังในแบบที่เขาไม่เคยคาดคิด ศาสตร์ลึกลับในหนังสือแตกต่างจากเวทมนตร์ที่เขาเคยรู้จักโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่เขตแดนที่สร้างขึ้นด้วยอักษรรูนซึ่งเป็นที่คุ้นเคยในทวีปของเขา แต่ใช้อักขระที่แปลกใหม่ ละเอียดอ่อน และแทบจะมองไม่ออกว่าเป็นเวทมนตร์
พลังของศาสตร์นี้ไม่ได้ดึงแก่นเวทมนตร์จากมอนสเตอร์หรือพลังเวทในตัวผู้ร่ายอย่างที่เขาคุ้นเคย แต่กลับใช้มานาที่อยู่ในธรรมชาติรอบตัว ดึงออกมาบิดเบือนและหล่อหลอมให้กลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของมันเอง ความยากในการตรวจจับทำให้ศาสตร์นี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการซ่อนสิ่งสำคัญโดยไม่ทิ้งร่องรอยที่ใครจะตามเจอ
เมื่อเขาก้าวพ้นขอบป่า กลิ่นอายของความชื้นในอากาศแผ่วผ่านราวกับย้ำเตือนถึงความลับที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง สายตาของเขาสอดส่องขึ้นไปยังหน้าต่างห้องของตัวเอง แววตาเรียบนิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าหน้าต่างถูกเปิดอ้าออกมากกว่าที่เขาทิ้งไว้ก่อนออกมา
ในตอนนั้นเขาจงใจแง้มหน้าต่างไว้เพียงเล็กน้อย เพื่อระบายกลิ่นเครื่องหอมที่ใช้ทำให้อัศวินและสาวใช้หลับสนิทตลอดคืน แต่นี่...มันไม่ใช่สภาพที่ควรจะเป็น
ความตื่นตัวทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ขณะที่เขาก้าวเข้าหาพื้นที่ใต้หน้าต่าง การเร่งรีบทำให้เขาตัดสินใจดึงพลังเวทย์ที่ยังเหลือเพียงเล็กน้อยในร่างของอาร์วินเพื่อช่วยย่นระยะเวลา แม้ร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จะแผ่ความเจ็บปวดเป็นระลอก เขากลับไม่ปล่อยให้มันเป็นอุปสรรค
พลังเวทย์ถูกส่งผ่านเข้าสู่กล้ามเนื้อขาและข้อเท้า เสริมแรงให้เขาทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ร่างกายของเขาพลิ้วไหวราวกับลมขณะที่เท้าสัมผัสขอบหน้าต่าง และก้าวเข้าสู่ห้องที่ยังคงมืดสลัว ปลายเท้าแตะพื้นไม้เบาๆ โดยไม่ทำให้เกิดเสียง
เอรอสในร่างของอาร์วินหยุดยืนนิ่ง ประเมินบรรยากาศโดยรอบ ห้องของเขายังดูปกติ อัศวินยังคงยืนหลับในตำแหน่งเดิม สาวใช้คนหนึ่งนอนหลับพิงกำแพงใกล้กัน ดูเหมือนเครื่องหอมที่เขาใช้จะยังมีผลอย่างสมบูรณ์
แต่สิ่งที่ทำให้เขาขมวดคิ้ว คือร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่นอนอยู่ตรงปลายเตียงของเขา ผมสีทองสว่างราวแสงแรกของวันกระจายอยู่บนพื้นเตียง และเมื่อมองใกล้ๆ เขาจำได้ทันทีว่าเธอคือ เอเลน่า
เอรอสขยับเข้าไปใกล้ คุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อสังเกตเธออย่างละเอียด ลมหายใจของเธอสม่ำเสมอแต่แฝงความเหนื่อยล้าจนเห็นได้ชัด ใบหน้าของเธอยังคงตึงเครียด แม้จะอยู่ในสภาพหลับสนิท เขาสังเกตได้ว่าร่างกายของเธอพยายามฝืนตัวเองให้ตื่น แต่คงไม่อาจต้านทานฤทธิ์ของเครื่องหอมที่เขาเพิ่มความเข้มข้นไว้กว่าปกติ
"เซ้นของผู้หญิงน่ากลัวจริงๆ" เขาบ่นออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเธอด้วยความสงสัยที่ปะปนกับความระแวดระวัง
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงกลับมาที่นี้ ทั้งที่เขาบอกให้เธอกลับไปพักที่ห้องของตัวเองแล้ว
ชุดของเอเลน่ายังคงเป็นชุดเดิมกับตอนที่เธอเฝ้าเขาไว้ มันเป็นชุดกระโปรงยาวเรียบง่ายสีอ่อน ตกแต่งด้วยลายปักเล็กๆ ที่ขอบเสื้อและแขนเสื้อ บ่งบอกถึงความประณีตของตระกูลขุนนาง แต่ในขณะเดียวกันก็เหมาะสำหรับการพักผ่อนมากกว่าการออกงานสำคัญ
"ดูเหมือนเธอจะไม่ได้กลับไปที่ห้องของตัวเอง... บางทีอาจแวะไปหาใครบางคนก่อน แล้วรีบกลับมาที่นี่ในสภาพเหนื่อยล้าเกินกว่าจะต้านทานเครื่องหอมที่ฉันทำเอาไว้ จนสุดท้ายล้มลงตรงนี้.….. ส่วนหน้าต่างที่เปิดออก อาจเป็นเพราะเธอพยายามใช้เวทมนตร์ขจัดกลิ่น ก่อนที่สติจะหลุดลอยไป"
เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากระเป๋ากางเกง หยิบแก่นมอนสเตอร์ขนาดเท่านิ้วก้อยออกมา วัตถุทรงกลมเปล่งแสงอ่อนจางในมือของเขา เขาหลับตาลงเพียงครู่ เพื่อดึงพลังเวทย์ที่เก็บสะสมไว้ออกมาเติมเต็มให้กับตัวเอง แสงในแก่นนั้นลดลงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเก็บมันกลับไปในกระเป๋า
เมื่อความอ่อนล้าจากการขาดแคลนพลังเวทย์ค่อยๆถูกบรรเทา เอรอสจึงค่อยๆเสริมพลังเวทย์ให้ทั่วร่างกายอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก้มลงช้อนร่างของเอเลน่าขึ้นอุ้มไว้ในอ้อมแขน
เขาก้าวอย่างเบามือไปยังเตียงที่เขาเคยนอน ใช้หลังมือเลื่อนม่านเบาๆเพื่อปิดหน้าต่าง แสงจันทร์สาดผ่านเข้ามาเป็นเส้นริ้วจางๆ ก่อนวางเธอลงบนเตียงที่อยู่ใกล้หน้าต่าง ร่างของเธอขยับเล็กน้อย แต่ไม่ตื่น
ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความเงียบเชียบ และระแวดระวัง ราวกับกลัวว่าสิ่งเล็กน้อยที่สุดอาจปลุกให้เธอลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาที่เขายังไม่พร้อมตอบคำถาม
ในตอนที่เขากำลังจะเดินออกไปนั่งบนโซฟาที่อยู่ไม่ห่างจากเตียงมากนัก มือของเธอกลับคว้าแขนเขาไว้แน่นจนไม่อาจดึงตัวออกได้ เมื่อเขาพยายามจะแกะมือออกจากแขน กลับได้ยินเสียงละเมอแผ่วเบาจากเธอ
"อย่าหายไปนะ...ขอร้องล่ะ..."
คำพูดนั้นทำให้เขาชะงัก ความรู้สึกบางอย่างที่ถูกเฉนเมยมาตลอดพุ่งเข้ามาในใจ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆอย่างจำยอม เอรอสเลือกที่จะไม่แกะมือเธอออกอีกต่อไป
การที่คู่หมั้นของเธอหายตัวไปตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับเธอเลย ใจของเธอคงว้าวุ่น เต็มไปด้วยความสงสัยและกังวลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาเห็นได้จากสีหน้าเหนื่อยล้าของเธอ รวมถึงการที่เธอพยายามอยู่ใกล้เขามากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ตัวเขาเองเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา เขาใช้เวลาไปกับการตามหาไอลีนทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ความว่างเปล่าและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการรอคอยอย่างไร้จุดหมาย ยังคงกัดกินหัวใจของเขาอยู่ทุกวัน
เพราะเหตุนี้เอง เขาไม่อยากให้หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาต้องรู้สึกแบบเดียวกับที่เขารู้สึก ไม่อยากให้เธอต้องจมอยู่กับความกังวลที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เอรอสมองมือเล็กที่ยังกุมแขนเขาไว้แน่น ความรู้สึกบางอย่างแล่นผ่านเข้ามาในใจของเขา มันไม่ใช่แค่ความเห็นใจหรือความรู้สึกผิดปกติทั่วไป แต่เป็นอารมณ์ที่เขาไม่คุ้นเคย และมันกำลังเบียดตัวเข้ามาอย่างช้าๆ
เขาขยับตัวเล็กน้อย คว้าเก้าอี้ข้างโต๊ะหัวเตียงมานั่งลงใกล้เธอ ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าของเธอที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจของเธอสม่ำเสมอ แต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าจนเขาสัมผัสได้
ในช่วงเวลานั้นเอง เอรอสปล่อยให้อารมณ์ของอาร์วินที่ซ่อนอยู่ลึกในตัวเขาค่อยๆ ครอบงำ มืออีกข้างของเขายื่นไปกุมมือเธอที่จับเขาเอาไว้เบาๆ ความอุ่นจากผิวสัมผัสนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกที่โดดเดี่ยว แม้เอเลน่าจะยังคงหลับสนิท เอรอสสังเกตเห็นเปลือกตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังต่อสู้กับฝันร้ายบางอย่าง
"ฉันอยู่ตรงนี้... ไม่เป็นไร..." เสียงของเขาเบาแต่มั่นคง ราวกับพยายามยืนยันกับเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินคำเหล่านั้น
"ฉันไม่หายไปไหนหรอก..."
คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ ราวกับเป็นสัญญาที่ไม่ได้มีไว้เพื่อใคร แต่กลับกลายเป็นถ้อยคำย้ำเตือนต่อตัวเอง
ทันทีที่เสียงของเขาจางหายไป ท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ลมหายใจที่เคยหนักหน่วงเริ่มผ่อนเบาลง ดวงหน้าที่เคยขมวดแน่นดูผ่อนคลายมากขึ้น มือที่เคยจับแขนเขาแน่นคลายแรงลงเล็กน้อย เอรอสมองดูด้วยความรู้สึกโล่งใจ ก่อนจะค่อยๆ ประคองมือของเธออย่างแผ่วเบา วางลงข้างลำตัวอย่างทะนุถนอม
แต่ในขณะที่สัมผัสนั้นเกิดขึ้น มันไม่ได้ช่วยปลอบประโลมเธอเพียงอย่างเดียว หากยังส่งผลลึกเข้าไปในใจของเขาเอง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านระหว่างกันเหมือนจะปลดเปลื้องความหนักอึ้งที่เกาะกุมในใจเขามาเนิ่นนาน แสงริ้วเล็กๆ ที่เอรอสไม่เคยคาดหวังกลับปรากฏขึ้นในความรู้สึก ทำให้โลกที่เขาเคยคิดว่ามืดมนเริ่มมีความหวัง
ความนิ่งสงบค่อยๆ เข้าครอบงำห้องนั้นอีกครั้ง มีเพียงแสงจันทร์จางๆ ที่ลอดผ่านม่าน สร้างบรรยากาศอันนุ่มนวลและเงียบงัน ความเงียบที่ไม่ได้ว่างเปล่า หากเต็มไปด้วยความเข้าใจที่ไม่ต้องการคำพูด
เมื่อเวลาล่วงเลยจนเข้าใกล้รุ่งสาง แสงแรกของวันเริ่มเผยประกายจากขอบฟ้า เสียงนกร้องแผ่วเบาอยู่ที่กิ่งไม้ใกล้หน้าต่าง สายลมยามเช้าพัดเข้ามาแตะผิวเบาๆ เอรอสยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ดวงตาไม่ละจากใบหน้าของเธอ ราวกับกำลังเฝ้ารอช่วงเวลาที่เธอจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับความหวังใหม่ในวันรุ่ง.
ความรู้สึกเหนื่อยล้าเริ่มเล่นงานเขา แต่ความตั้งใจที่จะเฝ้าดูเธอกลับยังคงมั่นคง แม้มือของเขาจะวางอยู่ข้างตัว โดยไม่ได้แตะต้องเธอเลยสักนิด ราวกับเขากลัวว่าการสัมผัสจะทำลายความสงบในช่วงเวลานี้ไป
ดวงตาของเขามองผ่านม่านบางเบาที่พลิ้วไหวเบาๆ ไปยังความเงียบสงบของยามรุ่ง ก่อนจะเลื่อนกลับมามองใบหน้าเธออีกครั้ง เอรอสกระซิบเบา เกือบไม่ได้ยิน ราวกับเป็นคำมั่นที่มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่เข้าใจ
"ฉันจะอยู่ตรงนี้...จนกว่าเธอจะตื่น"
อย่างไรก็ตาม เขาย้ำเตือนกับตัวเองในความเงียบสงบนั้น นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของเขา—มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอารมณ์ที่หลงเหลือจากอาร์วิน ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะต้องเลือนหายไปในวันหนึ่ง รูปลักษณ์นี้ไม่อาจเติบโตตามกาลเวลาได้ และในที่สุดอาร์วินก็ต้องจากไป
แต่ในตอนนี้…เขาเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ อยู่เคียงข้างเธอในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ จนกว่าวันนั้นจะมาถึง
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
ภายในห้องทำงานแผนกสืบสวนของกิลด์นักผจญภัย ความเงียบอันแผ่ปกคลุมบรรยากาศทั่วทั้งห้อง แม้แสงอาทิตย์จะส่องลอดหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย เงาไม้ สลับกับ แสงสลัวของห้อง สร้างความรู้สึกกดดันและขัดแย้งกับความสงบที่ควรมี เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากมุมห้อง ขุนนางร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีดุดันราวกับจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า น้ำเสียงดุดันของเขาก้องกังวาน ดั่งพายุที่พร้อมจะถาโถมลงมา“นี่พวกแกทำอะไรกันอยู่!!” เสียงเขาดังลั่นเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง ดวงตาแดงก่ำจากความโกรธจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวน ซึ่งยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของผู้จัดการแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย มือกำหมัดแน่นเพื่อระงับความหวาดกลัวที่ตีตื้นขึ้นมา“ขออภัยจริงๆ ครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด…” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสุภาพ ในแววตาของเขามีแต่ความวิตกกังวลขุนนางชายหันขวับมามองด้วยแววตาเย็นชา ร่างของเขาสูงใหญ่ และ ทรงอำนาจราวกับจะบดขยี้ชายเบื้องหน้าด้วยสายตาเพี
เด็กชายเดินโซเซผ่านช่องแคบในกำแพงหินออกมา หลังจากการต่อสู้ในความมืด เขาพบกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทาบลงบนใบหน้า ความอุ่นและความสว่างของแสงทำให้เขาต้องหยีตา แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจนตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชายและหญิงหลากหลายวัย ท่าทางของพวกเขาเคร่งเครียด สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มนักผจญภัยและเจ้าหน้าที่ที่ยืนปรึกษากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ซึ่งดูเล็กและไร้เสียงในท่ามกลางความโกลาหลนี้ขณะที่เด็กชายพยายามก้าวไปข้างหน้า ร่างกายที่อ่อนล้าก็ค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความเหนื่อยล้ากดทับเขา ราวกับไม่อาจพยุงตัวได้อีกต่อไป ในที่สุด ขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น เสียงเบาๆ ของเขาที่กระแทกพื้นเรียกความสนใจจากฝูงชน บรรยากาศเคร่งเครียดหยุดลงชั่วขณะ ผู้คนเริ่มหันมามองที่เขา ทันใดนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชนร้องออกมาด้วยความตกใจ"นั่นเขาใช่ไหม!?" เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบแหวกฝูงชนเข้ามาหาเด็กชายเด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา วิ่งเข้ามาใกล้เขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง ดวงตาสีเขียวมรก
เอรอสเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดที่เหมาะสมสำหรับการทำงานในฐานะผู้สืบสวนออกมา สายตากวาดมองตรวจสอบเครื่องแบบสีดำเรียบที่ถูกออกแบบให้ดูคล่องตัวและเหมาะสมกับภารกิจภาคสนาม เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทตัดเย็บเรียบร้อยพอดีตัว เสริมด้วยเสื้อโค้ทยาวที่ชายเสื้อถึงสะโพก ซึ่งมีซับในที่สามารถกันอากาศหนาวได้ แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ยังมีกระเป๋าเล็กๆ ซ่อนอยู่หลายจุดสำหรับเก็บเครื่องมือที่จำเป็น กระดุมสีดำล้วนเรียงรายตลอดเสื้อทำให้ชุดนี้ดูสะอาดตาและไม่หวือหวาเกินไป ไม่มีหมวกเพิ่มมาให้ยุ่งยาก ชุดนี้ให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง พร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้ทันทีหลังจากสวมใส่เรียบร้อย เขารู้สึกถึงความกระฉับกระเฉงและมั่นใจขึ้น เอรอสเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขวดออกมาดื่มแก้กระหาย แต่เมื่อสัมผัสกับขวดกลับพบว่าอุณหภูมิของมันอุ่นกว่าปกติ น้ำดื่มไม่ได้เย็นตามที่ควรจะเป็น เขาเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะตรวจดูภายในตู้เย็นเล็กๆ และพบช่องเล็กๆ ที่เป็นแหล่งพลังงานของมันเอรอสเปิดช่องนั้นออกมา ข้างในมีแก่นมานาขนาดเล็กจิ๋วที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนให้พลังงานตู้เย็น แต่ตอนนี้กลับซีดจางจนเกือบไ
เอรอสยังคงก้าวยาวไปตามถนนสายที่คุ้นเคย พลางคิดในใจถึงอำนาจและผู้ทรงอิทธิพลที่มีบทบาทครอบงำเมืองนี้ รู้ดีว่าเบื้องหลังความสงบสุขที่เห็นจากภายนอก เมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลสำคัญสามตระกูลใหญ่ ซึ่งแต่ละตระกูลมีอิทธิพลและอำนาจแตกต่างกันไป และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเมืองอันดับแรก ตระกูลวัลธอเรน ตระกูลผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุด แม้อำนาจของพวกเขาจะไม่รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งในอดีต แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากและค้ำจุนเมืองนี้ไว้ ตระกูลนี้สืบทอดพลังแห่งสายลมมาเป็นเวลานาน พลังที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การควบคุมธรรมชาติ แต่ยังแฝงด้วยการเชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณและความสง่างามบางอย่างที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วัลธอเรนเป็นตระกูลที่เคยปกครองเมืองด้วยความสงบและยุติธรรม แต่เหตุการณ์ในอดีตได้สั่นคลอนอำนาจและทำให้ฐานอำนาจของตระกูลนี้อ่อนแอลงไปเล็กน้อย กระนั้นพวกเขาก็ยังมีอิทธิพลอยู่ และได้รับการยอมรับในฐานะผู้ครองอำนาจอันดับหนึ่งจากนั้นก็เป็น ตระกูลดราโกร์น ตระกูลที่มีเชื้อสายของมังกรโบราณอันเก่าแก่ บุคคลในตระกูลดราโกร์นมีเอกลักษณ์ชัดเจน ผมสีแดงดุจเปลวเพลิงที่เป็นเหมือนตราสัญลักษณ์ พวกเขาได้รับ
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ ควา
เอรอสเดินงัวเงียผ่านซอกซอยในย่านเมืองหลวง หลังจากที่ไปพบกับกลุ่มผู้เสียหายที่เพิ่งถูกพบตัวไม่นาน หลายคนให้ความร่วมมือกับเขาด้วยท่าทางอ่อนล้า เหมือนยังไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เต็มที่ บางคนแม้จะมองเห็นเขาอยู่ตรงหน้า แต่ก็เหมือนสายตาล่องลอยออกไปที่อื่นขณะที่เอรอสคุยกับพวกเขา เขาสังเกตได้ว่าความทรงจำที่ขาดหายไปนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ช่วงเวลาที่พวกเขาหายตัวไปเท่านั้น แต่ยังมีบางส่วนของเหตุการณ์ก่อนการหายตัวที่ดูเหมือนจะถูกลบออกไปด้วย ผู้เสียหายแต่ละคนต่างจำเหตุการณ์หรือสถานการณ์ก่อนหน้าของตัวเองได้เพียงลางๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ทำให้พวกเขาสูญเสียช่วงเวลาสำคัญของตัวเองไปแม้ว่าการสอบปากคำจะไม่ได้ให้ข้อมูลใหม่ๆ ที่สำคัญ แต่เอรอสยังพอจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง—ร่องรอยของมานาที่ดูแปลกประหลาด แผ่กระจายอำนาจและพลังที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของโลก ในนั้นมีความรู้สึกอันรุนแรงบางอย่างที่เขาสัมผัสได้ชัดเจน ราวกับเป็นอำนาจที่สามารถหักล้างทุกกฎที่เคยรู้จักหนึ่งในตัวตนที่เขานึกถึงก็คือแม่มด ผู้ที่ลือกันว่าเป็นผู้เดียวที่มีพลังสามารถดัดแปลงและฝืนกฏเกณฑ์ของโลกได้ เอรอสจดบันทึกข้อมูลนี้ไว้ในใจ พลางเดินเปร
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น