คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัว
ยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา
“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครอยู่
เมื่อแน่ใจแล้ว เขาดึงจดหมายจากกระเป๋าออกมา มันเป็นเศษกระดาษที่เขาเก็บได้แถวนี้ จดหมายนั้นเขียนด้วยลายมือรีบเร่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสืบถึงตัวตนของเขาได้ เนื้อความสั้นๆระบุเพียงเวลาและสถานที่ในตอนที่คลินิกปิด ไม่ได้ถึงความต้องการอย่างอื่นไว้ชัดเจน
เอรอสวางจดหมายลงบนขอบหน้าต่างอย่างเบามือ ก่อนจะหยิบเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กคล้ายกระดุมวางทับไว้ จากนั้นเขาเติมพลังเวทมนตร์ลงไปเล็กน้อย ทำให้มันมีน้ำหนักมากกว่าที่ตาเห็น เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกลมพัดปลิว หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาค่อยๆ หย่อนตัวลงจากหน้าต่าง ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นดินอย่างไร้เสียง นุ่มนวลราวแมวป่า
ขณะที่เดินกลับเข้าสู่เงามืด ความคิดบางอย่างพลันผุดขึ้นในใจ เขาหวนคิดถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับโจชัว เกี่ยวกับการให้อิสระในการตัดสินใจว่าจะเก็บหรือทำลายงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตายของภรรยาของเขา แม้เอรอสจะพูดว่าให้โจชัวตัดสินใจเอง แต่เขาก็แอบคัดลอกข้อมูลสำคัญไว้ล่วงหน้าโดยไม่ได้บอกกับเจ้าตัว เพราะเขาไม่อาจปล่อยให้อารมณ์ของโจชัวมาทำลายงานวิจัยที่มีศักยภาพต่อยอดไปสู่การพัฒนาด้านอื่นได้ ถึงอย่างนั้น ในท้ายที่สุดโจชัวก็ไม่ได้ทำลายมันอยู่ดี
"ก็นะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้วนี้น่า……." เอรอสคิดกับตัวเอง ความรู้สึกผิดที่เคยตัดสินโจชัวแบบนั้นผุดขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดหัวเบาๆ 'มันจบไปแล้ว ไม่มีประโยชน์จะคิดถึง'"
ในตอนแรก เขาไม่ได้คาดหวังหรือไว้ใจโจชัวเลย สำหรับเอรอสนั้น โจชัวเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่เคยเดินทางร่วมกันในช่วงเวลาสั้นๆ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่คลุมเครือเกินกว่าจะนิยามได้ หลังจากที่โจชัวตามเขามายังเมืองนี้ และ เข้าร่วมกับองกรณ์เมื่อสามปีก่อน พวกเขาก็แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
“จะมารู้สึกผิดตอนนี้ก็สายไปแล้ว...ช่วยไม่ได้ จะเสี่ยงให้มันถูกทำลายไม่ได้นี้น่า” เอรอสพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงปนหงุดหงิดราวกับยังขุ่นเคืองเรื่องในอดีต
ถึงแม้จะอยู่ในร่างของเรย์นาร์ค แต่ดูเหมือนผลกระทบจากวิญญาณของอาร์วินที่หลอมรวมกับตัวเขาจะทำให้เอรอสเริ่มคิดเล็กคิดน้อยมากขึ้น ความทรงจำพาเขาย้อนกลับไปถึงวันที่เขา รุ่นพี่ และทีมบุกทำลายองค์กรลับตามคำสั่งของกิล ภายหลังจากภารกิจสิ้นสุด รุ่นพี่ของเขาเลือกเผาเอกสารงานวิจัยทั้งหมดทิ้ง เพราะกลัวว่ามันจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด แม้เอรอสจะเห็นศักยภาพของมัน แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
“เสียดายชะมัด…” เขาพึมพำเสียงเบา บ่นถึงโอกาสที่สูญเสียไป ก่อนจะดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน เอรอสลับหายไปในความมืด พลางเร่งฝีเท้ากลับไปยังคฤหาสน์วัลธอเรนที่รออยู่ปลายทาง
เขาก้าวผ่านเงามืดระหว่างซอกตึก ถนนสายเล็กที่ทอดไปยังคฤหาสน์วัลธอเรนเงียบงันราวกับไร้สิ่งมีชีวิต ลมหนาวยังคงพัดโชยอย่างต่อเนื่อง แต่ร่างของเขาไม่ไหวติงต่ออากาศที่เย็นจัด ดวงตาสีแดงลอบมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง
ในจังหวะที่เขากำลังจะเลี้ยวเข้าสู่ทางเดินอีกสายหนึ่ง เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่วิ่งมาแต่ไกลดึงความสนใจของเขา หัวใจของเขาเต้นช้าลงในทันที เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
“คุณเรย์นาร์ค!” เสียงใสดังขึ้นอย่างคาดไม่ถึง
เอรอสชะงัก ดวงตาของเขาหันไปยังต้นเสียงทันที เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดออกกำลังกายวิ่งตรงเข้ามาหาเขา ใบหน้าของเด็กหนุ่มมีรอยยิ้มสดใส ผมสีทองที่สว่างไสวและเห็นชัดแม้จะเป็นตอนกลางคืน ดวงตาสีฟ้าประกายราวกับท้องฟ้าในยามเช้าสะท้อนแสงจันทร์บนท้องถนน
“อาเธอร์...” เอรอสพึมพำเบาๆ
อาเธอร์เป็นนักเรียนใหม่ในสถาบันของหอคอยเวทย์ ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาได้เข้าเรียน หลังจากที่เขาได้รับการสนับสนุนจากเอรอสในรูปลักษณ์ปกติ และ ไอลีนในช่วงที่เขายังอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า ความพยายามของทั้งสองช่วยให้เด็กหนุ่มคนนี้มีโอกาสสร้างอนาคตใหม่
อาเธอร์นั้นเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์สะดุดตา ใบหน้าของเขามีความคล้ายคลึงกับอาร์วินอย่างน่าประหลาด เว้นเพียงแต่ความสดใสในดวงตาสีฟ้าที่เปล่งประกายราวกับท้องฟ้าตอนเช้า ขณะที่อาร์วินให้ความรู้สึกลึกลับเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน ร่างกายของอาเธอร์ยังมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากรูปร่างที่สง่างามแต่ไม่เน้นพละกำลังของอาร์วิน แม้ทั้งสองจะดูคล้ายกันในบางมุม แต่บุคลิกและพลังงานที่แผ่ออกมากลับแตกต่างออกไป
“ตัวตนของอาเธอร์... มันเหมือนเป็นเจตนารมณ์สุดท้ายของไอลีน มันเป็นหลักฐานไม่กี่อย่างที่บ่งบอกว่าเธอเคยมีตัวตนอยู่หลังจากที่เธอหายไป แม้ว่าฉันจะไม่อยากมองมันแบบนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลย...”เอรอสคิดในใจ
อาเธอร์หยุดหอบอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่คล้ายคลึงกับอาร์วินจนแทบทำให้เอรอสต้องเบือนสายตาเพราะนึกถึงวันที่อาร์วินตาย ทว่าความสดใสในแววตานั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าโลกของอาเธอร์ยังคงเต็มไปด้วยความหวัง
“ผมไม่คิดเลยว่าจะเจอคุณที่นี่” อาเธอร์พูดพลางยิ้มกว้าง “นี่คุณออกมาวิ่งตอนเช้าเหมือนกันเหรอครับ?”
“ประมาณนั้น”เอรอสตอบสั้นๆพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นกลาง
“ผมทำตามที่คุณบอกเลยนะ วิ่งทุกเช้า ตั้งแต่ที่คุณช่วยผมไว้คราวนั้น” อาเธอร์พูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
“ถึงตอนนั้นคุณจะบอกว่าไม่ต้องจริงจัง แต่ผมก็คิดว่ามันช่วยผมได้เยอะมากเลย”
“เหรอ” เอรอสยิ้มบางๆแต่ในใจกลับปั่นป่วนเล็กน้อย เด็กคนนี้ช่างเหมือนกับอาร์วินในบางมุม แต่ก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในอีกหลายอย่าง จนทำให้เขารู้สึกขนลุกเล็กน้อย
อาเธอร์เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ "เมื่อวานนี้ผมไปเจออันธพาลขู่ไถเงินคุณยายคนหนึ่งครับ ผมเข้าไปช่วย คุณยายปลอดภัยดีแล้ว ผมจับเขาส่งตำรวจไปเรียบร้อย"
เอรอสฟังจบ พลางยิ้มบางๆ "ก็ดีนี่ แต่ครั้งหน้าอย่าเสี่ยงมากเกินไป เข้าใจไหม? ไม่ใช่ทุกครั้งที่นายจะเจอกับพวกกระจอกหรอกน่ะ"
อาเธอร์หัวเราะเบาๆ "ครับ ผมจะระวัง... แต่ถ้าเป็นคุณ คุณก็คงทำเหมือนกันใช่ไหม?"
คำถามนั้นทำให้เอรอสชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"นั้นเพราะว่าฉันมีประสบการณ์มาเยอะต่างหาก ถึงสามารถเข้าไปช่วยได้ แต่ก็ยังต้องระวังตัวอยู่ดี"
อาเธอร์พยักหน้าเบาๆ สีหน้าเริ่มครุ่นคิด "นั่นสินะครับ... ผมยังต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย"อาเธอพูด ก่อนจะสังเกตุเห็นถึงท่าทางของเขา
“ว่าแต่คุณดูแปลกๆไปนะครับวันนี้ มีอะไรหรือเปล่า?” อาเธอร์ถามพลางเอียงศีรษะ
“เปล่า” เอรอสตอบ “นายเองก็ไม่น่าจะออกมาวิ่งตอนตีสี่แบบนี้”
“ผมก็แค่...อยากใช้เวลาคิดอะไรเงียบๆ บ้างน่ะครับ” อาเธอร์หัวเราะเบาๆ “แล้วคุณล่ะ? หรือว่าคุณก็กำลังคิดอะไรอยู่เหมือนกัน?”
คำถามนั้นทำให้เอรอสหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เขามองอาเธอร์ตรงๆ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ก็น่ะ ช่วงนี้มีอะไรให้คิดเยอะ” เขาตอบเสียงเรียบ
“ถ้าอย่างนั้น...” อาเธอร์เริ่มพูด แต่ก็ชะงักเหมือนลังเล
“ถ้าคุณต้องการคนช่วยให้คำปรึกษา ผมยินดีช่วยนะครับ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมอาจจะไม่เข้าใจเลยก็ตาม”
คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้เอรอสยิ้มจางๆ ความรู้สึกอุ่นวาบบางอย่างผุดขึ้นในใจ แม้ว่าเขาจะยังไม่ไว้ใจใครเต็มร้อย แต่ความจริงใจในน้ำเสียงของอาเธอร์ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย
“ขอบใจ” เขาตอบสั้นๆก่อนจะมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า “แต่ตอนนี้ นายควรกลับไปพักผ่อน ก่อนที่จะไม่มีแรงไปเรียนในตอนเช้าน่ะ”
อาเธอร์หัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะพูดตอบ“เข้าใจแล้วครับ ผมจะทำตามที่คุณบอก” เขาพูดพลางยิ้ม
“งั้นผมไม่รบกวนแล้วนะครับ ไว้เจอกันใหม่!”
เด็กหนุ่มโบกมือลาก่อนจะวิ่งจากไปในทิศทางตรงข้าม เอรอสยืนมองแผ่นหลังของอาเธอร์ที่ลับสายตาไปชั่วครู่ก่อนจะหมุนตัวเดินต่อ
“เด็กคนนั้น...” เขาพึมพำเบาๆรอยยิ้มจางๆยังไม่เลือนหายจากใบหน้าของเขา “คล้ายกันจนน่าขนลุกเลย ความรู้สึกอะไรกันเนี่ย”
เอรอสหันหลังเตรียมที่จะเดินต่อ แต่ในตอนนั้น ก็รู้สึกเจ็บจี้ดราวกับมีบางสิ่งหลุดออกจากร่างกาย ความเจ็บนั้นไม่ใช่ทางกายภาพ แต่เป็นความรู้สึกแปลบปลาบในส่วนลึกของวิญญาณ ดวงตาสีแดงหันขวับไปมองเด็กหนุ่มที่ยังคงวิ่งอยู่ไกลออกไป ดูเหมือนอาเธอร์ไม่ได้สังเกตสิ่งผิดปกติใดๆ
“แปลก...” เอรอสพึมพำกับตัวเองพลางจับมือที่หน้าอกเบาๆ ความเจ็บค่อยๆ จางหายไปอย่างรวดเร็ว
เขายืนนิ่งอยู่อีกสักครู่ ก่อนจะปล่อยความสงสัยไว้เบื้องหลัง และเดินมุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์วัลธอเรนต่อ ความเงียบและความมืดยังคงเป็นเพื่อนร่วมทางเพียงลำพังของเขา
หลังจากวิ่งเสร็จ อาเธอร์กลับมาถึงห้องพักในหอพักของสถาบันเวทมนตร์ เขาถอดเสื้อออกและโยนลงตะกร้า เสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อส่งกลิ่นอ่อนๆของความเหนื่อยล้า เด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำเย็นล้างตัวจนสะอาด ก่อนจะพันผ้าเช็ดตัวรอบเอวไว้แบบลวกๆ
เมื่อออกจากห้องน้ำ เขาเดินมาหยุดหน้ากระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ดวงตาสีฟ้าจับจ้องภาพสะท้อนของตนเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองกล้ามเนื้อที่เริ่มพัฒนาจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่แล้วสายตาของเขาก็หยุดนิ่งที่บางสิ่งบนร่างกาย
“อะไรเนี่ย? รอยสักมาจากไหน?” อาเธอร์พูดออกมาอย่างตกใจ มือแตะลงไปยังบริเวณเอวด้านขวา ใกล้กับส่วนท้องหน้า สัมผัสได้ถึงพื้นผิวเรียบลื่นของผิวหนัง แต่กลับมีสัญลักษณ์ปรากฏชัดเจน
มันเป็นสัญลักษณ์ประหลาด รูปดาบสามเล่มไขว้กัน เล่มหนึ่งพุ่งลงดิน สองเล่มพุ่งเฉียงขึ้นฟ้า ในภาพนั้น ดาบทุกเล่มเปล่งแสงสีทองริบหรี่ ก่อนที่แสงจะมืดดับ และกลายเป็นรอยสักสีดำสนิทที่ฝังแน่น
“แถมตรานี้มัน...” เขาเพ่งมองรายละเอียดของสัญลักษณ์ อาเธอร์นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นตรานี้ในข่าวเมื่อวก่อนที่เขาอ่านจากหนังสือพิมพ์ มันคือ ตราประจำตระกูลแคร์นัส ตระกูลของ อาร์วิน แคร์นัส ชายผู้เป็นคู่หมั้นของตระกูลวัลธอเรน ซึ่งหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อหลายวันก่อน แต่เพิ่งปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อวานนี้
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
ภายในห้องทำงานแผนกสืบสวนของกิลด์นักผจญภัย ความเงียบอันแผ่ปกคลุมบรรยากาศทั่วทั้งห้อง แม้แสงอาทิตย์จะส่องลอดหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย เงาไม้ สลับกับ แสงสลัวของห้อง สร้างความรู้สึกกดดันและขัดแย้งกับความสงบที่ควรมี เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากมุมห้อง ขุนนางร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีดุดันราวกับจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า น้ำเสียงดุดันของเขาก้องกังวาน ดั่งพายุที่พร้อมจะถาโถมลงมา“นี่พวกแกทำอะไรกันอยู่!!” เสียงเขาดังลั่นเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง ดวงตาแดงก่ำจากความโกรธจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวน ซึ่งยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของผู้จัดการแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย มือกำหมัดแน่นเพื่อระงับความหวาดกลัวที่ตีตื้นขึ้นมา“ขออภัยจริงๆ ครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด…” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสุภาพ ในแววตาของเขามีแต่ความวิตกกังวลขุนนางชายหันขวับมามองด้วยแววตาเย็นชา ร่างของเขาสูงใหญ่ และ ทรงอำนาจราวกับจะบดขยี้ชายเบื้องหน้าด้วยสายตาเพี
เด็กชายเดินโซเซผ่านช่องแคบในกำแพงหินออกมา หลังจากการต่อสู้ในความมืด เขาพบกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทาบลงบนใบหน้า ความอุ่นและความสว่างของแสงทำให้เขาต้องหยีตา แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจนตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชายและหญิงหลากหลายวัย ท่าทางของพวกเขาเคร่งเครียด สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มนักผจญภัยและเจ้าหน้าที่ที่ยืนปรึกษากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ซึ่งดูเล็กและไร้เสียงในท่ามกลางความโกลาหลนี้ขณะที่เด็กชายพยายามก้าวไปข้างหน้า ร่างกายที่อ่อนล้าก็ค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความเหนื่อยล้ากดทับเขา ราวกับไม่อาจพยุงตัวได้อีกต่อไป ในที่สุด ขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น เสียงเบาๆ ของเขาที่กระแทกพื้นเรียกความสนใจจากฝูงชน บรรยากาศเคร่งเครียดหยุดลงชั่วขณะ ผู้คนเริ่มหันมามองที่เขา ทันใดนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชนร้องออกมาด้วยความตกใจ"นั่นเขาใช่ไหม!?" เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบแหวกฝูงชนเข้ามาหาเด็กชายเด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา วิ่งเข้ามาใกล้เขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง ดวงตาสีเขียวมรก
เอรอสเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดที่เหมาะสมสำหรับการทำงานในฐานะผู้สืบสวนออกมา สายตากวาดมองตรวจสอบเครื่องแบบสีดำเรียบที่ถูกออกแบบให้ดูคล่องตัวและเหมาะสมกับภารกิจภาคสนาม เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทตัดเย็บเรียบร้อยพอดีตัว เสริมด้วยเสื้อโค้ทยาวที่ชายเสื้อถึงสะโพก ซึ่งมีซับในที่สามารถกันอากาศหนาวได้ แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ยังมีกระเป๋าเล็กๆ ซ่อนอยู่หลายจุดสำหรับเก็บเครื่องมือที่จำเป็น กระดุมสีดำล้วนเรียงรายตลอดเสื้อทำให้ชุดนี้ดูสะอาดตาและไม่หวือหวาเกินไป ไม่มีหมวกเพิ่มมาให้ยุ่งยาก ชุดนี้ให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง พร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้ทันทีหลังจากสวมใส่เรียบร้อย เขารู้สึกถึงความกระฉับกระเฉงและมั่นใจขึ้น เอรอสเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขวดออกมาดื่มแก้กระหาย แต่เมื่อสัมผัสกับขวดกลับพบว่าอุณหภูมิของมันอุ่นกว่าปกติ น้ำดื่มไม่ได้เย็นตามที่ควรจะเป็น เขาเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะตรวจดูภายในตู้เย็นเล็กๆ และพบช่องเล็กๆ ที่เป็นแหล่งพลังงานของมันเอรอสเปิดช่องนั้นออกมา ข้างในมีแก่นมานาขนาดเล็กจิ๋วที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนให้พลังงานตู้เย็น แต่ตอนนี้กลับซีดจางจนเกือบไ
เอรอสยังคงก้าวยาวไปตามถนนสายที่คุ้นเคย พลางคิดในใจถึงอำนาจและผู้ทรงอิทธิพลที่มีบทบาทครอบงำเมืองนี้ รู้ดีว่าเบื้องหลังความสงบสุขที่เห็นจากภายนอก เมืองนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลสำคัญสามตระกูลใหญ่ ซึ่งแต่ละตระกูลมีอิทธิพลและอำนาจแตกต่างกันไป และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเมืองอันดับแรก ตระกูลวัลธอเรน ตระกูลผู้สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุด แม้อำนาจของพวกเขาจะไม่รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งในอดีต แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากและค้ำจุนเมืองนี้ไว้ ตระกูลนี้สืบทอดพลังแห่งสายลมมาเป็นเวลานาน พลังที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การควบคุมธรรมชาติ แต่ยังแฝงด้วยการเชื่อมโยงถึงจิตวิญญาณและความสง่างามบางอย่างที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ วัลธอเรนเป็นตระกูลที่เคยปกครองเมืองด้วยความสงบและยุติธรรม แต่เหตุการณ์ในอดีตได้สั่นคลอนอำนาจและทำให้ฐานอำนาจของตระกูลนี้อ่อนแอลงไปเล็กน้อย กระนั้นพวกเขาก็ยังมีอิทธิพลอยู่ และได้รับการยอมรับในฐานะผู้ครองอำนาจอันดับหนึ่งจากนั้นก็เป็น ตระกูลดราโกร์น ตระกูลที่มีเชื้อสายของมังกรโบราณอันเก่าแก่ บุคคลในตระกูลดราโกร์นมีเอกลักษณ์ชัดเจน ผมสีแดงดุจเปลวเพลิงที่เป็นเหมือนตราสัญลักษณ์ พวกเขาได้รับ
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ ควา
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น