เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อย
เขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้
เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้น
หลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจากห้องประชุม ไปยังห้องส่วนตัวของเขา
เอรอสเดินผ่านทางเดินยาวที่ปกคลุมด้วยความเงียบสงัดของพื้นที่ บรรยากาศภายในบริเวณนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังที่ทั้งหนักอึ้งและน่าเกรงขาม เขาหยุดชั่วครู่หน้าประตูบานใหญ่ของห้องผู้นำองกรณ์ บานประตูไม้สลักลวดลายละเอียดอ่อนแสดงถึงอำนาจและบทบาทสำคัญของเจ้าของห้อง
ในขณะที่เขาก้าวผ่านหน้าประตู ความรู้สึกหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายมีสายตาจับจ้องจากอีกมิติ พลังจากดันเจี้ยนแห่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงการเฝ้ามองของคาร์ลินอย่างชัดเจน แม้เธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆแต่ความคิดของเธอเหมือนจะสื่อมาถึงเขา
"ดูเหมือนเธอจะมีอะไรจะพูดด้วย แต่ก็ลังเลที่จะถามสิน่ะ" เอรอสคิดในใจ สายตาสีแดงฉานของเขาหันไปมองบานประตูอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะส่ายหัวเบาๆ
เขาเคยคิดว่าอารมณ์อ่อนไหวของคาร์ลินที่มีต่อเขาในตอนวัยเยาว์นั้นจะเป็นเพียงความหลงใหลเพียงชั่ววูบ แต่ความจริงกลับไม่ใช่ เธอยังคงแสดงความสนใจต่อเขาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะพยายามรักษาระยะห่างก็ตาม แต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่ได้ลดลงเลย ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะในสายตาของเธอ เขาคือเรย์นาร์ค ไม่ใช่ เอรอส ตัวตนที่แท้จริงของเขา
"ไว้ครั้งหน้า...ตอนนี้ไม่มีเวลา"เอรอสคิดในใจอย่างเย็นชา ความคิดที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้เกิดขึ้นครู่หนึ่ง แต่เขาก็ปัดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
เขามีเวลาอีกเพียงแค่สามชั่วโมงก่อนที่จะต้องกลับไปยังคฤหาสน์ของตระกูล ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยเรื่องใดๆกับเธอ เอรอสตัดสินใจก้าวต่อไปยังห้องของตัวเองซึ่งอยู่ถัดไป
เมื่อประตูบานใหญ่แกะสลักลวดลายซับซ้อนถูกผลักออก ห้องส่วนตัวที่ซ่อนอยู่หลังมัน ก็เผยให้เห็นภาพของสถานที่ที่สะท้อนความทรงพลังและลึกลับของผู้เป็นเจ้าของ ผนังทั้งสี่ด้านถูกปกคลุมด้วยชั้นหนังสือที่บรรจุทั้งตำราโบราณ คัมภีร์ต้องห้าม และบันทึกการวิจัยที่เขาเป็นคนเขียน และ ตีความขึ้นมาใหม่เพื่อใช้สำหรับตัวเอง
ตรงกลางห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ ซึ่งแต่ละชิ้นมีกลิ่นอายของพลังที่คละคลุ้ง บางชิ้นยังดูเหมือนกำลังปลดปล่อยพลังงานเบาบางออกมา เศษกระดาษและแผ่นแปลนเวทมนตร์ถูกจัดเรียงแบบลวกๆ พร้อมด้วยแท่นบูชาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ด้านข้าง พื้นห้องมีลวดลายวงเวทย์ซึ่งถูกสลักไว้ เปื้อนด้วยรอยคราบจางๆของสิ่งที่ดูเหมือนเลือดแห้ง มันเป็นเลือดของเขาจากการวิจัย และ ทดลองบางอย่างกับร่างกายนี้
ด้านหนึ่งของห้อง ตู้กระจกตั้งเรียงราย ในแต่ละตู้จัดแสดงอาร์ติแฟกต์โบราณที่เปล่งประกายเรืองรอง บางชิ้นถูกแกะสลักด้วยอักษรโบราณที่ไม่มีใครอ่านออก บางชิ้นดูราวกับสามารถขยับเขยื้อนได้เอง
เอรอสก้าวเข้าไปในห้อง เสียงรองเท้าของเขากระทบพื้นอย่างมั่นคง เขาวางเอกสารในมือไว้บนโต๊ะที่รกด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ แล้วหันไปยังชั้นวางด้านหนึ่ง
มือสีคล้ำของเขาหยิบแฟ้มเอกสารที่มีหัวข้อเกี่ยวกับวิญญาณจากชั้นวาง เอกสารเล่มนี้เป็นหนึ่งในบันทึกการทดลองที่ได้มาจากอาชญากรรมไร้มนุษยธรรมของนักโทษในองค์กร นักวิจัยคนนี้เคยใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนเพื่อสร้างเวทมนตร์ที่ช่วยส่งวิญญาณของตนเข้าสู่ร่างใหม่เพื่อยืดอายุของตัวเอง แม้การทดลองนี้จะถูกหยุดยั้ง แต่ความเสียหายที่มันก่อไว้ยังไม่อาจลืมเลือนได้
อย่างไรก็ตาม ผลงานการวิจัยเหล่านี้ไม่ได้ถูกทำลายไปอย่างไร้ค่า เขามองมันในฐานะเครื่องมือที่ยังมีศักยภาพ การปล่อยให้มันสูญเปล่าจะยิ่งทำให้การตายของผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นไร้ความหมาย
เขาเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน วางเอกสารลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องมือสำหรับการปรุงยา และ วงแหวนเวทมนตร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ เขาเริ่มอ่านเนื้อหาในเอกสารอย่างตั้งใจ
เขาตั้งใจจะใช้ผลงานวิจัยนี้เพื่อทำลายวิญญาณพร้อมๆกับความทรงจำของผู้ที่เขาจะใช้พลังกลืนกิน เหลือไว้แค่วงแหวนแวทมนตร์ เพื่อที่จะได้ไม่รับผลกระทบจากความทรงจำของพวกมัน การทำเช่นนี้จะช่วยให้เขาได้รับวงแหวนมานาโดยไร้ความเสี่ยง เพราะหัวใจของเขา และ เรย์นาร์คถูกทำลายจนไม่อาจฟื้นคืน เหลือเพียงหัวใจของจอมปราชญ์ไรอัสที่ถูกแม่มดนั้นฝังเข้ามาแทน มันเป็นพลังที่เขาไม่สามารถควบคุมหรือใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ เป้าหมายของเขาคือการสร้างวงแหวนมานาขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง หรือ ชิงมันมาจากอาชญากรที่อยู่ในคุกแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เมื่ออ่านไปได้สักระยะ เขาก็ถอนหายใจหนักหน่วง ลุกขึ้นช้าๆ ก่อนจะวางหนังสือกลับไปยังชั้นเดิม แล้วหยิบแฟ้มงานวิจัยจำนวนมากขึ้นมาวางแทน น้ำเสียงของกระดาษที่พลิกไปมาดังขึ้นในห้องที่เงียบงัน ขณะเขากลับมานั่งที่โต๊ะเพื่อเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง กองแฟ้มงานที่สะสมอยู่บนโต๊ะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทว่าบนใบหน้าของเอรอสกลับเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ริมฝีปากของเขาขบเม้มแน่น ขณะที่มือพลิกกระดาษหน้าต่อหน้าอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแฟ้มงานเล่มสุดท้ายถูกปิดลงและวางซ้อนลงบนกองอย่างแรง ราวกับต้องการปลดปล่อยความอึดอัดในใจ
เขายกมือขึ้นทั้งสองข้าง กุมใบหน้าของตนไว้แน่น ดวงตาปิดสนิท ความเหนื่อยล้าและผิดหวังสะท้อนออกมาผ่านอากัปกิริยาเหมือนผู้ที่ไร้ทางออก
“เสียเวลาชะมัด... สุดท้ายแล้วก็ต้องใช้พลังกลืนไปทั้งแบบนั้น ใช่ไหม…” เสียงบ่นของเขาแผ่วเบา ราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน แต่กลับเต็มไปด้วยความขมขื่น
แน่นอนว่าเอกสารบางส่วนมีแนวทางไปยังที่เขาหวังได้บ้าง หากเพียงแต่มันไปขัดกับหลักฐานความเป็นจริงที่เกิดขึ้น นั้นก็คือตัวของเขาเอง
มือข้างหนึ่งเลื่อนไปสัมผัสที่หน้าอกบริเวณหัวใจของเขา สัมผัสนั้นเจือไปด้วยความลังเล เหมือนเขาพยายามยืนยันสิ่งที่รู้ดีอยู่แล้ว นั่นคือหัวใจที่เต้นอยู่ภายใน มันเป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการขโมยเพียงแคา วงแหวน มันเป็นไปไม่ได้
โครงสร้างพลังงานที่ถูกถักทอไว้อย่างซับซ้อนระหว่างหัวใจ และ วงแหวนนั้น ถูกเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง เป็นระบบทั่วร่างกาย ไม่สามารถแยกออกจากกันได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง แม้ดูเหมือนพลังทั้งหมดจะวนเวียนอยู่ที่หัวใจ แต่ในความเป็นจริง มันกระจายตัว และผสานกับทุกส่วนของร่างกายอย่างสมบูรณ์
การแยกหัวใจจากวงแหวนนั้นไม่ใช่แค่เรื่องยาก แต่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง การแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกมาเหมือนกับการทำลายแกนหลักที่คอยหล่อเลี้ยงทั้งระบบ ตัวอย่างเช่น หัวใจของเรย์นาร์ค เมื่อหัวใจถูกโจมตี วงแหวนก็ได้รับผลกระทบจนพังทลายไปด้วย แม้ว่าวงแหวนนั้นไม่ได้ถูกทำลายโดยตรง
นอกจากนี้ แม้จะพยายามแยกหัวใจออกมา วงแหวนก็ไม่ติดตามมาด้วย เพราะมันเชื่อมโยงลึกซึ้งกับร่างกายของเจ้าของเดิมอย่างสมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถถอดแยกออกจากกันได้.
เขาเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เวลาค่อยๆใกล้จะหมดลงเรื่อยๆ เขาต้องรีบกลับไปที่คฤหาสน์ในฐานะอาร์วิน เพื่อรักษาบทบาทและแผนการของตน เขาลุกขึ้นรีบหยิบอาร์ติแฟกต์และของจำเป็นติดตัวไป แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างในตู้โชว์
มันเป็นสิ่งเล็กๆที่ดูคล้ายกระดุมเม็ดหนึ่ง วางอยู่ในมุมของตู้กระจกเก่าๆ สิ่งนั้นทำให้เขานึกถึงอาร์ติแฟกต์ชิ้นหนึ่ง—อาร์ติแฟกต์ที่นำเขาไปพบกับอาร์วินในวันสุดท้ายของชีวิตผู้ชายคนนั้น ภาพความทรงจำผุดขึ้นในหัวทันที วันนั้นที่เขาพบอาร์วินนอนรอความตายอยู่เพียงลำพังในคุกใต้ดินที่หนาวเหน็บ เสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายยังคงก้องในหัว ความเดียวดายและความสิ้นหวังของอาร์วินยังติดตรึงในใจเขา
ความหนาวเหน็บจากความทรงจำเริ่มแทรกซึมเข้ามา ความรู้สึกผิดที่เขาไม่อยากยอมรับค่อยๆ ทวีความชัดเจนขึ้น หากวันนั้นเขาไม่ออกเดินทางไปจากเมืองในช่วงเวลานั้นพอดี หากเขาไม่ละเลยความวุ่นวายในเมือง อาร์วินก็อาจจะยังมีชีวิต และเอเลน่าก็อาจจะไม่ต้องสูญเสียเขาไป
เอรอสถอนหายใจหนักๆ ความลังเลกัดกินใจจนเขาแทบไม่อาจมองหาทางออกอื่นได้ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับความจริง
“บางที...อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากหมอนั่น” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหยิบแล้วมองดูมันใกล้ๆ มันเป็นอุปกรณ์สื่อสารขององค์กร ซึ่งทำเลียนแบบสินค้าคู่รักที่ขายทั่วไป เพียงแต่มันจะทำงานก็ต่อเมื่อมีอาร์ติแฟกต์ที่เหมือนกันเปิดใช้งานอยู่ใกล้ๆ สัญลักษณ์ใบโคลเวอร์สีดำบนพื้นผิวของมันดูเหมือนจะขับดันความลังเลในจิตใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก การขอความช่วยเหลือจากโจชัว อาจเป็นทางออกเดียว แต่ก็เสี่ยงเกินไปหากความลับของเขาถูกเปิดเผย
มือของเขากำอาร์ติแฟกต์แน่น ความคิดฟุ้งซ่านในหัวว่า ถ้าโจชัวเอาพลังของเขาไปบอกคนอื่น—พลังที่สามารถกลืนกินและแปลงร่างเป็นใครก็ได้—จะเกิดอะไรขึ้น? หากโจชัวช่วยเขาได้ นั่นอาจเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในสถานการณ์ที่มืดมน แต่หากเขาทรยศ เรื่องนี้อาจกลายเป็นหายนะสำหรับตัวเขาเอง และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งกับองค์กรที่เขาอยู่
“ถ้าจำเป็นจริงๆ...” เขาพึมพำเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยความกังวล “ก็คงต้องจัดการ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการเป็นศัตรูกับองค์กรก็ตาม”
เอรอสลุกขึ้นอย่างช้าๆ เก็บอาร์ติแฟกต์กลับเข้าไปในกระเป๋า เขาหยิบของจำเป็นติดตัวและหันหลังเดินออกจากห้อง เส้นทางข้างหน้ามีเพียงแต่ความไม่แน่นอน แต่เขารู้ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงอีกแล้ว
เขามุ่งหน้าไปหาโจชัว เรนฮาร์ท ชายที่อาจเป็นทั้งความหวังสุดท้าย หรือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด.
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
ภายในห้องทำงานแผนกสืบสวนของกิลด์นักผจญภัย ความเงียบอันแผ่ปกคลุมบรรยากาศทั่วทั้งห้อง แม้แสงอาทิตย์จะส่องลอดหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย เงาไม้ สลับกับ แสงสลัวของห้อง สร้างความรู้สึกกดดันและขัดแย้งกับความสงบที่ควรมี เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากมุมห้อง ขุนนางร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีดุดันราวกับจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า น้ำเสียงดุดันของเขาก้องกังวาน ดั่งพายุที่พร้อมจะถาโถมลงมา“นี่พวกแกทำอะไรกันอยู่!!” เสียงเขาดังลั่นเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง ดวงตาแดงก่ำจากความโกรธจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวน ซึ่งยืนก้มหน้าอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของผู้จัดการแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อย มือกำหมัดแน่นเพื่อระงับความหวาดกลัวที่ตีตื้นขึ้นมา“ขออภัยจริงๆ ครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด…” เขาพูดเสียงแผ่ว แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสุภาพ ในแววตาของเขามีแต่ความวิตกกังวลขุนนางชายหันขวับมามองด้วยแววตาเย็นชา ร่างของเขาสูงใหญ่ และ ทรงอำนาจราวกับจะบดขยี้ชายเบื้องหน้าด้วยสายตาเพี
เด็กชายเดินโซเซผ่านช่องแคบในกำแพงหินออกมา หลังจากการต่อสู้ในความมืด เขาพบกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ทาบลงบนใบหน้า ความอุ่นและความสว่างของแสงทำให้เขาต้องหยีตา แต่ไม่นาน เขาก็เริ่มมองเห็นภาพรอบตัวอย่างชัดเจนตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งชายและหญิงหลากหลายวัย ท่าทางของพวกเขาเคร่งเครียด สายตาจับจ้องไปยังกลุ่มนักผจญภัยและเจ้าหน้าที่ที่ยืนปรึกษากันด้วยสีหน้าวิตกกังวล ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเขา ซึ่งดูเล็กและไร้เสียงในท่ามกลางความโกลาหลนี้ขณะที่เด็กชายพยายามก้าวไปข้างหน้า ร่างกายที่อ่อนล้าก็ค่อยๆสูญเสียพละกำลัง ความเหนื่อยล้ากดทับเขา ราวกับไม่อาจพยุงตัวได้อีกต่อไป ในที่สุด ขาของเขาอ่อนแรงจนต้องทรุดลงกับพื้น เสียงเบาๆ ของเขาที่กระแทกพื้นเรียกความสนใจจากฝูงชน บรรยากาศเคร่งเครียดหยุดลงชั่วขณะ ผู้คนเริ่มหันมามองที่เขา ทันใดนั้น เด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชนร้องออกมาด้วยความตกใจ"นั่นเขาใช่ไหม!?" เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นสะท้าน ก่อนจะรีบแหวกฝูงชนเข้ามาหาเด็กชายเด็กหญิงในชุดเสื้อผ้าที่ดูหรูหรา วิ่งเข้ามาใกล้เขา ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเป็นห่วง ดวงตาสีเขียวมรก
เอรอสเดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดที่เหมาะสมสำหรับการทำงานในฐานะผู้สืบสวนออกมา สายตากวาดมองตรวจสอบเครื่องแบบสีดำเรียบที่ถูกออกแบบให้ดูคล่องตัวและเหมาะสมกับภารกิจภาคสนาม เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทตัดเย็บเรียบร้อยพอดีตัว เสริมด้วยเสื้อโค้ทยาวที่ชายเสื้อถึงสะโพก ซึ่งมีซับในที่สามารถกันอากาศหนาวได้ แม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็ยังมีกระเป๋าเล็กๆ ซ่อนอยู่หลายจุดสำหรับเก็บเครื่องมือที่จำเป็น กระดุมสีดำล้วนเรียงรายตลอดเสื้อทำให้ชุดนี้ดูสะอาดตาและไม่หวือหวาเกินไป ไม่มีหมวกเพิ่มมาให้ยุ่งยาก ชุดนี้ให้ความรู้สึกทะมัดทะแมง พร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้ทันทีหลังจากสวมใส่เรียบร้อย เขารู้สึกถึงความกระฉับกระเฉงและมั่นใจขึ้น เอรอสเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขวดออกมาดื่มแก้กระหาย แต่เมื่อสัมผัสกับขวดกลับพบว่าอุณหภูมิของมันอุ่นกว่าปกติ น้ำดื่มไม่ได้เย็นตามที่ควรจะเป็น เขาเลิกคิ้วสงสัย ก่อนจะตรวจดูภายในตู้เย็นเล็กๆ และพบช่องเล็กๆ ที่เป็นแหล่งพลังงานของมันเอรอสเปิดช่องนั้นออกมา ข้างในมีแก่นมานาขนาดเล็กจิ๋วที่เคยเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนให้พลังงานตู้เย็น แต่ตอนนี้กลับซีดจางจนเกือบไ
เอเลน่านั่งอยู่บนเตียง จ้องมองอาร์วินที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กับเตียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย ดวงตาสีเทาที่มองมาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่ความลึกที่อธิบายไม่ได้ มีบางสิ่งในแววตานั้นที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว แต่เธออ่านมันไม่ออกบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด เสียงลมเบาๆ จากหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ดังก้องในห้องที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เธอสัมผัสได้ถึงความเย็นของผ้าปูที่นอนใต้ฝ่ามือ พยายามดึงสติกลับมา แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนถูกตรึงด้วยแรงบางอย่างที่มองไม่เห็นอาร์วินเงยหน้าขึ้นมองเธอ ท่าทางของเขาดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา"เอเลน่า... ฉันไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่ฉันจะพยายามเล่าให้เธอฟัง"เสียงของเขานุ่มลึก แต่สั่นเครือเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขากำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่หนักหนา ทว่าในใจของเธอเองก็เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่รู้จบ เอเลน่านิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงให้เขาพูดต่อ แม้ในใจจะปั่นป่วนจนแทบระเบิดอาร์วินถอนหายใจยาว เสียงนั้นเหมือนลมหายใจที่พยายามปลดปล่อยความกดดันบางอย่าง"ตอนที่ฉันถูกจับอยู่ในคุก... ฉ
แสงแดดอ่อนในยามสายลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านสีขาว ลำแสงบางตกกระทบบนเตียงนุ่ม ส่งไออุ่นที่สัมผัสได้ เอเลน่าค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงนกร้องจากต้นไม้ไกลๆ กลืนไปกับบรรยากาศเงียบสงบในห้อง เธอพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน ความอบอุ่นของผ้าห่มราวกับกักเก็บเธอไว้ในห้วงความฝันที่ไม่อยากตื่นจากมันเธอค่อยๆยืดเส้นยืดสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่จู่ๆหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ เมื่อสายตาเธอกวาดมองไปรอบห้องและสะดุดเข้ากับร่างของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงชายหนุ่มนั่งหลับพิงเก้าอี้อยู่ ใบหน้าสงบนิ่งในเงามืด เส้นผมสีทองของเขาดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อต้องแสงที่ลอดเข้ามา เอเลน่าจ้องมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา ช่วงเวลานี้เผยให้เห็นอีกด้านของเขา—ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเหมือนจะซ่อนเร้นก่อนหน้า ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาของเธอสบเข้ากับใบหน้าอ่อนล้าของเขา ความรู้สึกปะปนกันระหว่างความสับสนและความอบอุ่นไหลเวียนในอก“อาร์วิน...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆเหมือนจะยืนยันว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ ก่อนที่แก้มของเธอจะร้อนวูบวาบเมื่อเหลือบมองตัวเองที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เตียงของเธอ แต่เป็นของเขา“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงข
เอรอสก้าวออกจากป่าทึบในรูปลักษณ์ของอาร์วิน สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดผ่านตัวเขาอย่างแผ่วเบา แสงจันทร์ยังคงสลัวทำให้เห็นเงาของคฤหาสน์ตระกูลวัลธอเรนลางๆ อยู่ไม่ไกล จุดที่เขามุ่งหน้าไปคือบริเวณใต้หน้าต่างห้องพักของเขาเองก่อนหน้านี้ ในจุดลึกที่สุดของป่า เขาได้ซ่อนสิ่งของเอาไว้ใต้รากไม้เก่าแก่ บริเวณนั้นมีการวางอาคมพิเศษที่เรียนรู้จากชายคนหนึ่งที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อหลายปีก่อนชายแปลกหน้าที่เอรอสช่วยเหลือไว้ปรากฏตัวในชุดยาวสีฟ้าอมเทา ตกแต่งด้วยลวดลายเมฆและคลื่นน้ำปักด้วยด้ายเงิน เสื้อตัวนั้นพาดสาบทับกันอย่างประณีต แขนเสื้อกว้างและชายผ้าปล่อยยาวราวกับหยิบยกมาจากยุคโบราณ ชายคนนี้ดูเหมือนนักเดินทางที่หลงยุค เขาอ้างว่ากำลังเดินทางรอบโลกแต่กลับถูกปล้นระหว่างทาง สูญเสียเงินทองและข้าวของมีค่าทั้งหมด แม้เอรอสจะช่วยจับตัวคนร้ายไว้ได้ แต่เนื่องจากสิ่งของที่ถูกขโมยมามีเยอะ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและคืนทรัพย์สินยังคงใช้เวลาหลายวันแทนการตอบแทนด้วยทรัพย์สินที่เขาไม่มี ชายคนนั้นกลับยื่นหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ถูกขโมยมาให้ หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยตัวอักษรและภาพสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นศาสตร์โบราณ ซึ
คลินิกของโจชัว ตั้งอยู่ในเขตสามัญชน ตัวอาคารหินสีซีดดูเรียบง่ายแฝงความล้าสมัย ท่ามกลางความเงียบสงัดของยามดึก หน้าต่างกระจกสีชั้นล่างสะท้อนแสงไฟริบหรี่จากเสาไฟถนนที่อยู่ห่างออกไป ลวดลายบนกระจกดูเหมือนจะพร่ามัวในแสงสลัว คลินิกนี้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนโรงพยาบาล แต่เพียงพอสำหรับรองรับผู้ป่วยประมาณสิบคน เหมาะสำหรับการดูแลแบบส่วนตัวยามตีสี่ ลมหนาวพัดโชยไปทั่วบริเวณ ความเงียบรอบตัวแทบจะทำให้ได้ยินเสียงใบไม้ร่วงกระทบพื้น เอรอสยืนพิงกำแพงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามคลินิก แม้ลมหนาวจะพัดแรง แต่ร่างกายของเอรอสกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาต่อความเย็น ราวกับความหนาวนั้นไม่อาจแตะต้องเขาได้ ดวงตาสีแดงจับจ้องไปยังหน้าต่างชั้นสองที่ปิดสนิท นั่นเป็นห้องทำงานของโจชัว ซึ่งเขาใช้สำหรับจัดการเอกสารในช่วงกลางวัน แต่ในยามนี้ ไม่มีแสงไฟส่องลอดออกมา“ไม่ใช่เวลามาลังเลแล้ว ตัดสินใจไปแล้วนี่…” เขาพึมพำเสียงเบา ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงนั้นแทบชัดเจนในสายลม เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไร้สุ้มเสียง กระโดดขึ้นเกาะขอบหน้าต่างชั้นสอง เสียงลมแผ่วเบาและใบไม้ไหวกลบการเคลื่อนไหวของเขา ดวงตาสีแดงสังเกตการณ์ในห้องอีกครั้งเพื่อยืนยันว่
คาร์ลีนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผ่อนลมหายใจยาว เส้นผมดำขลับทิ้งตัวแนบกับไหล่ราวเงามืดที่เกาะกุมตัวเธอ ผิวขาวซีดราวหินอ่อนสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟบนโต๊ะ ขับเน้นชุดยาวสีดำที่พลิ้วไหวดุจเงามืดในสถานที่แห่งนี้ในดันเจี้ยนที่ผสานเขากับเขตแดนของเธอ ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกับเธอ ความสัมพันธ์ลึกลับนี้ ทำให้คาร์ลีนรับรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่จุดใดในสถานที่แห่งนี้ เธอก็สามารถสัมผัสถึงตัวตนของเขาได้เสมอเรย์นาร์ค—หรือเอรอสในร่างของชายที่มีฉายาว่า จอมเชือด เรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับตัวตนและพลังของเขานั้นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้มาเนิ่นนาน แต่สิ่งที่เธอปรารถนากลับไม่ใช่การค้นพบด้วยตัวเอง หากแต่เป็นการได้ยินคำตอบจากปากของเขาโดยตรงเธอเฝ้ารอให้เขาเปิดเผยความลับนี้กับเธอ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ ไม่มีท่าทีที่จะบอกเธอ ราวกับคำพูดนั้นหนักเกินกว่าจะเปล่งออกมาดวงตาสีม่วงเข้มของเธอสะท้อนแสงจากโคมไฟ เธอนั่งนิ่งราวกับขบคิด แต่ในความเป็นจริง เธอกำลังต่อสู้กับความรู้สึกในใจ ความหนักใจเหมือนสายลมหนาวที่แผ่วผ่านกลับถูกเติมเต็มด้วยความหวังอันเปราะบาง เธออยากให้เขามาหา อยากได
เอรอสค่อยๆตื่นขึ้นในห้องประชุมท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงริบหรี่ที่ส่องลอดเข้ามาจากขอบประตู ร่องรอยของเวทมนตร์เก่าก่อนยังคงอบอวลอยู่ในอากาศจางๆ แม้แสงจากเทียนเวทมนตร์ที่เคยให้ความสว่างจะดับไปจากการตัดการเชื่อมต่อกับเวทมนตร์ทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกและว่างเปล่า แต่กลิ่นอายของพลังที่เหลืออยู่ยังคงสร้างแรงกดดันให้ผู้ที่อยู่ภายในเล็กน้อยเขาขยับตัวกึ่งลุกกึ่งนั่งจากเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะทำให้เขาหลับไปลึกเกินคาด โต๊ะยาวตรงหน้าเขามีแฟ้มเอกสารเล็กๆวางไว้อยู่ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่เขาจะรับปากจะจัดการให้เขาหยิบแฟ้มเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะมาตรวจสอบ ใช้มือสีคล้ำที่มีกล้ามเนื้อชัดเจนลูบเส้นผมสีเทาของตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกความกระปรี้กระเปร่า สายตาสีแดงฉานของเขากวาดมองไปทั่วห้องเล็กๆที่ยังคงอบอวลด้วยบรรากาศที่ชวนให้รู้สึกพิศวง พลางเหลือบมองเวลาที่บอกเขาว่านี้เป็นเวลาตี 1 ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปแค่ชั่วโมงเดียว ยังดีที่เสียเวลาแค่นั้นหลังจากตรวจดูเอกสารครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใจความสำคัญอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ และก้าวออกจาก
เสียงกระซิบแห่งเวทมนตร์ แผ่วเบา แต่ทรงพลัง ดังก้องอยู่ในอากาศอันเย็นเยียบ ริบบิ้นสีดำ ที่ราวกับเงาแห่งความมืดจากอีกโลกหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิต เลื้อยวนรอบร่างของ เอรอส ซ้อนชั้นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับงูพิษที่กำลังจู่โจมเหยื่อ ความแน่นหนาของริบบิ้นทำให้แม้แต่ลมหายใจยังรู้สึกตึงเครียด แขนขาถูกตรึงแน่น ริบบิ้นเลื้อยขึ้นสูง ปิดริมฝีปาก และบดบังดวงตาของเขาไว้อย่างมิดชิด ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือใช้พลังทั้งหมดที่มี พันธนาการเหล่านั้นยังคงรัดแน่น น้ำหนักของเวทมนตร์ที่โอบล้อมร่างเขาเหมือนโซ่ตรวนหนักอึ้งที่ไม่มีวันปลดได้จอมเวทย์ผู้ร่ายมนตรามองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา รอยยิ้มที่มุมปากของเขา แฝงความพอใจอย่างปิดไม่มิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งในกลุ่มของเขาเดินเข้ามาใกล้ กระชากคอเสื้อของเอรอสอย่างรุนแรง พร้อมๆกับลากเขาไปกับพื้น ราวกับเป็นเพียงสิ่งของไร้ค่าไม่ไกลออกไป ไอลีน ยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ก่อนที่วิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความแน่วแน่ แล้วตะโกนเสียงดังลั่น"หยุดเดี๋ยวนี้! คุณตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหน?"น้ำเสียง
เมื่อเอรอสเฝ้ามองไอลีนอยู่นาน สีหน้าเย็นชาของเขาเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ"ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ช่วยหลบไปหน่อย"เขาเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เตรียมเดินผ่าน แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ไอลีนก็ยื่นมือออกมาคว้าข้อมือเขาไว้ ดวงตาของเธอที่เคยลังเลกลับแน่วแน่ขึ้น"ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว" ไอลีนพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามเก็บความกังวลเอรอสหยุดชะงัก แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นไม่พอใจชัดเจนยิ่งขึ้น เขาหันไปมองรอบๆ เห็นสายตาของเด็กบางคนที่อาจกำลังแอบมองอยู่จากหน้าต่าง และหญิงชราที่ครัวกำลังหันมามองเช่นกันหลังจากที่ประเมินสถานการณ์ เขาเลื่อนสายตาไปยังมุมโล่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก"ตามมา" เขาเอ่ยสั้นๆก่อนจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเธอ และเดินนำไปยังที่ที่เขาเลือกไว้ไอลีนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินตามเขาไป ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเบาๆ ท่ามกลางความเงียบที่อึดอัด ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน เอรอสกอดอกและเอนตัวพิงต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา"พูดมา จะพูดอะไรก็รีบพูด" เขาเร่งด้วยน้ำเสียงที่ราวกับไม่สนใจ แต่ก
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น