กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศ
พื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว
“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้
เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ
“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้
ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ
“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้าง
เสียงสนทนาแผ่วเบาดังมาจากภายนอก กลุ่มนักเวทย์ห้าคนในชุดคลุมสีเข้มที่ประดับตราสัญลักษณ์แห่งหอคอยหยุดอยู่ใกล้ๆ เสียงพูดคุยของพวกเขาแว่วมาถึงไอลีน รอยยิ้มของพวกเขาเย็นเยียบราวกับไม่เห็นคุณค่าของชีวิตใดๆเลย
“เขตแดนแบบนี้...” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เสียงของเขาแหบต่ำ แต่แฝงความกดดัน
“ขาดความสมบูรณ์ มันใช้แค่วงแหวนสามวงเท่านั้น แต่กลับสร้างพลังได้ขนาดนี้... เหลือเชื่อ”
“ไม่ใช่แค่เหลือเชื่อหรอก” ชายอีกคนพูดแทรก เขาเป็นชายผมยาวสีเงิน ดวงตาสีฟ้าฉายแววระแวดระวัง“มันคือจอมเชือด... ไอ้สัตว์ประหลาดนั่น”
ไอลีนที่ซ่อนตัวอยู่หลังซากไม้เบิกตากว้างทันทีเมื่อได้ยินชื่อ "จอมเชือด" เธอเคยได้ยินเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับบุคคลคนนี้ พวกเขาเล่าลือกันว่า มันคือสิ่งมีชีวิต ที่ถูกสร้างขึ้นมา จากมนุษย์ และ สัตว์ประหลาด เพื่อสร้างสุดยอดมือสังหารที่ไม่มีวันตายขึ้นมา แม้จะแลกกับการที่พวกมันจะไม่มีสติก็ตาม
คำพูดนั้นสะท้อนอยู่ในหัวไอลีน เธอกลั้นหายใจ ใจเต้นระส่ำขณะเหลือบมองเอรอส แต่สิ่งที่เห็นทำให้ลำคอของเธอแห้งผาก
แขนข้างหนึ่งของเขาเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ จากเดิมที่แค่สีผิวเปลี่ยนไป แต่ตอนนี้ผิวหนังกลับกลายเป็นสีดำคล้ำราวกลับกลืนแสง เส้นเลือดสีแดงสดเรืองแสงเหมือนมีชีวิต สั่นระริกราวกับจะปะทุ กล้ามเนื้อพองตัวผิดธรรมชาติ และนิ้วของเขากระตุกเบาๆ เหมือนกำลังต่อสู้กับบางสิ่งในใจ
“นาย...” เธอกระซิบ เรียกเขาเสียงแผ่ว ก่อนจะเอื้อมมือแตะที่ไหล่ของเขา
แต่ในชั่วพริบตา แขนที่เปลี่ยนไปนั้นพุ่งมาคว้าคอของเธออย่างรวดเร็ว แรงบีบนั้นไม่ถึงขั้นรุนแรงจนทำให้หายใจไม่ออก แต่แน่นพอที่จะบอกว่าเขากำลังควบคุมสถานการณ์ ดวงตาสีแดงเรืองรองจ้องมองเธออย่างเย็นชา
“อย่าขยับ...” เอรอสเอ่ยเสียงต่ำ น้ำเสียงเย็นเยียบ
ไอลีนจ้องมองเขาด้วยความตกใจ ปลายนิ้วของเธอพยายามแกะมือของเขาออก แต่แรงของเขามากเกินไป ดวงตาสีแดงฉานของเขาจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา
เธอไม่ได้ขัดขืนอีก แต่พยายามนิ่งที่สุดเท่าที่ทำได้ หัวใจของเธอเต้นรัวจนเหมือนจะหลุดออกมา ไอลีนไม่กล้าขยับหรือพูดอะไร เธอรู้ดีว่าชีวิตของเธออยู่ในมือของเขา
เสียงฝีเท้าของกลุ่มนักเวทย์เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆทีล่ะนิด มุ่งหน้าไปจุดที่ถูกทำลายมากที่สุด แต่แรงกดที่คอของไอลีนยังคงอยู่ น้ำหนักนั้นไม่ได้บีบรัดจนถึงขั้นทำร้าย แต่ก็หนักแน่นพอที่จะทำให้เธอรู้ว่าชีวิตของเธอแขวนอยู่บนความตั้งใจเพียงเสี้ยววินาทีของชายตรงหน้า
ดวงตาสีแดงของเอรอสยังจับจ้องเธอราวกับสัตว์ป่าที่กำลังประเมินเหยื่อ เส้นเลือดสีแดงเรืองแสงบนแขนที่ผิดปกติเคลื่อนไหวอย่างไม่เป็นจังหวะเหมือนกำลังตอบสนองต่ออารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจของเขา
“ถ้าตุกติดล่ะก็... ฉันจะฆ่าเธอ” เสียงแหบพร่าของเขากระซิบแผ่ว แต่เต็มไปด้วยน้ำหนักที่ไม่อาจปฏิเสธ
ไอลีนกลั้นลมหายใจ ไม่แม้แต่จะพยายามตอบโต้ เธอจ้องมองเขาด้วยความระแวดระวัง แต่ในแววตานั้นก็มีคำถามที่เอรอสไม่กล้าเผชิญหน้า ก่อนที่กลุ่มนักเวทย์จะสังเกตุการณ์รอบๆ และ หันเข้ามาพูดคุยกันต่อ
“จะว่าไป รู้สึกแปลกๆน่ะเนี่ย คนตายมีแค่คนเดียว แถมเป็นปีศาจอีกเนี่ย” อีกคนพูดขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย
“จะไม่แปลกได้ยังไง? ถ้าเป็นเรย์นาร์คจริง มันไม่จบแค่ศพเดียวแน่ๆ”นักเวทย์อีกคนกล่าวแทรก น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย ราวกับความทรงจำเก่าๆ กำลังย้อนกลับมา
“ไอ้สัตว์ประหลาดนั่นเมื่อก่อนเป็นแค่เครื่องจักรสังหารไร้สติ แต่พักหลังมัน…เปลี่ยนไป”
“เปลี่ยน?” ชายผมเงินหันมามองเพื่อนร่วมทางด้วยสายตาสงสัย
“ใช่ มีคนเห็นมันพูดจาราวกับคนทั่วไป” เขากล่าวต่อพลางถอนหายใจ
“มันเหมือน…สงบขึ้น ถ้าเป็นจริง ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ สัมร้าย มันจะน่ากลัวก็ตอนมันคิดได้นี้แหละ”
“งั้นใช้เวทย์ตรวจสอบอีกครั้งเถอะ! เพื่อจะเจออะไรบ้าง!”จอมเวทย์เริ่มร่ายเวทย์ แต่มานาที่บ้าคลั่งซึ่งแผ่กระจายอยู่รอบบริเวณ ทำให้พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้
"ไม่ได้ผล มานาโดยรอบโดนควบคุมหมดแล้ว ทุกอย่างที่เราสัมผัสเจอก็มีแต่มัน ไม่ว่าจะตรวจยังไงก็เหมือนกันหมด!"
"ช่างเถอะ ป่านนี้มันคงหนีไปไกลแล้วล่ะ พวกที่เห็นมันพูดได้…… คงแค่จิตหลอนไปเอง ไม่มีทางที่มันจะมีสติอยู่แล้ว"นักเวทย์คนนั้นทำท่าเฉยเมยกับเหตุการณ์ตรงหน้า ก่อนที่เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกมาได้ เลยหันกลับไปหาพวกที่เหลือ แล้วเอ่ยขึ้น
“จะว่าไป... แกได้ยินเรื่องของเจ้าเด็กขุนนางตกอับคนนั้นบ้างไหม?”
“ลูกขุนนาง?” เพื่อนร่วมกลุ่มขมวดคิ้วพลางหันมามอง
“ไม่ใช่ๆเป็นเด็กที่โดนเก็บมาเลี้ยง ไม่มีเชื้อสายขุนนางหรอก”
คำพูดนั้นเรียกความสนใจของชายอีกคนทันที เขาหยุดเดินแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“งั้นก็เอรอส? ไอ้เด็กผมดำคนนั้นน่ะหรอ?... ได้ข่าวว่ามันโดนไล่ออกจากตระกูลไปพักใหญ่แล้วหนิ?”
ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของพวกมันทำให้ไอลีนเบิกตากว้าง เธอกลั้นหายใจ หัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมา เธอพยายามไม่หันไปมองเอรอส แต่กลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่เริ่มแผ่ออกมาจากตัวเขา
“ได้ข่าวว่ามันไล่ซ้อมพวกไถ่เงินที่อยู่แถวนี้ไปเยอะพอสมควร..… บางทีเราควรจะไปเยี่ยมมันสักหน่อยน่ะ”
“เห็นด้วย ยังไงก็เป็นแค่ขยะอยู่แล้ว ถึงเมื่อก่อนจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็แค่ขยะที่ไร้เงาของตระกูลคุ้มหัว จะไปทำอะไรได้?”
คำพูดของพวกมันเต็มไปด้วยการดูแคลนและเย้ยหยัน
“ดีเลย ถึงการหาตัวมันจะยากไปหน่อย เพราะไม่มีเส้นมานาอยู่ในตัวสักนิด แต่ถ้าพวกแกช่วยด้วย การตามหามันคงไม่ยากแน่ๆ”
กลุ่มนักเวทย์พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะร่ายคาถาเล็กๆที่เปล่งแสงจางๆ บนฝ่ามือของพวกมัน พื้นดินรอบตัวพวกมันเกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ก่อนที่ลมแรงจะพัดขึ้น พวกมันลอยตัวขึ้นช้าๆ แล้วเร่งความเร็วบินจากไปในความมืด
ไอลีนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเธอยังคงมองไปที่จุดที่พวกมันหายลับไปในท้องฟ้ากลางคืน ก่อนที่จะหันไปมองที่มือของเอรอส ซึ่งตอนนี้กำลังจับคอของเธออยู่
เอรอสคิด เขาควรฆ่าเธอทันที มันคือสิ่งที่สมควรทำในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขาไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ความลับ แต่บางอย่างในตัวเขากลับหยุดมือไว้
เอรอสกัดฟันแน่น ก่อนที่แรงบีบบนคอของเธอจะค่อยๆคลายลงอย่างช้าๆ เขาปล่อยมือจากลำคอของเธอแล้วถอยหลังออกมา ทิ้งเธอให้ทรุดตัวลงกับพื้น ขณะที่มือของเธอยกขึ้นมาสัมผัสรอยแดงจางๆบนคอ
“ทำไม...นายไม่ฆ่าฉัน?” ไอลีนพึมพำ เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน
เอรอสไม่ตอบ เขาหันหลังให้เธอ มือข้างหนึ่งกดแน่นลงบนแขนที่เปลี่ยนสภาพผิดมนุษย์ราวกับพยายามควบคุมมัน เส้นเลือดสีแดงเรืองแสงยิ่งเต้นแรงขึ้นจนเหมือนจะระเบิดออก
“ฉัันไม่รู้..... ” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ไอลีนมองเขา เธอไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่เธอเห็นได้ชัดคือความขัดแย้งในตัวเขา เขากำลังต่อสู้อย่างหนัก ทั้งกับบางสิ่งในตัวเอง และบางสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของเธอ
“นายไม่เป็นไร...ใช่ไหม?” เธอถามเสียงเบา ทั้งที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมถึงยังพูดคุยกับเขา
เอรอสหันมามองเธอเพียงแวบหนึ่ง ดวงตาสีแดงข้างนึงนั้น ยังคงเย็นชา แต่ลึกลงไปในแววตานั้นมีบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปอีกครั้ง
“หนีไปซะ...” เขาเอ่ยคำสั้นๆ น้ำเสียงหนักแน่น
ก่อนที่ไอลีนจะทันพูดอะไร เขาก็หมุนตัวเดินออกจากซากอาคารไป ทิ้งเธอไว้ท่ามกลางความเงียบงัน
เธอนั่งอยู่ตรงนั้น สายตายังคงมองตามแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ หายไปในความมืด เธอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงปล่อยเธอ ทั้งที่ดูเหมือนเขาจะพร้อมฆ่าเธอในเสี้ยววินาทีนั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่คือ ชายที่อยู่ตรงหน้า แตกต่างจากสัตว์ประหลาดที่เธอเคยได้ยินมาอย่างเห็นได้ชัด
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไปชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธห
แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลมเสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจนเอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบ
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้วในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่
หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจเอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ คว
เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ใ
เอรอสลืมตาตื่นขึ้นในความมืด ห่างจากจุดที่เขาหายตัวไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านซากอาคารที่พังทลาย แสงจันทร์ที่ถูกบดบังด้วยเมฆหนาทึบ ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูน่าอึดอัด และ เย็นยะเยือก กลิ่นเหม็นอับจากเศษซากจากกองขยะที่สุมกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้แต่เอรอสไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านั้น.. เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ คือความจริงที่ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และ ความเจ็บปวดในร่างกายที่ยังคงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อยเขานอนนิ่งไปกับพื้นถนนสักพัก ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่หน้าอก ในตำแหน่งที่มีรอยฉีกขาด รอยแผลเป็นเล็กๆยังคงมีอาการเจ็บแปลบหลงเหลืออยู่ เป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน“จอมเวทย์ในตำนาน...หรอ?” เอรอสพึมพำถึงจิตวิญญาณของไรอัสที่ติดมากับหัวใจ ตอนนี้จิตวิญญาณนั้นสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ จิตวิญญาณของเขาที่เคยฉีกขาดค่อยๆ ผสาน และหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติแต่ถึงแม้มันจะหลอมรวมกัน ก็ยังรู้สึกถึงการแบ่งแยกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับน้ำทะเล