ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไป
เอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่น
ในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเกรงขามแผ่ขยายไปทั่วทั้งเขตแดนที่ปกคลุม
มิโนทอร์ถึงกับตัวแข็ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ มันยืนนิ่งงันด้วยความกลัวที่คืบคลานเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง แรงกดดันนี้หนักอึ้งจนทำให้ร่างกายใหญ่โตของมันสั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาสีแดงของมันเบิกกว้าง สะท้อนความหวาดกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจของมัน
เมื่อได้สติ มันพยายามจะถอยหนี แต่ว่าแขนสีฟ้าสว่างโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าเหมือนอำนาจเหนือธรรมชาติ มือขนาดใหญ่แฝงไปด้วยกล้ามเนื้อและพลังมหาศาล ข้อมือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนเผยให้เห็นถึงพละกำลังที่แทบไม่อาจต้านทานได้ แขนยักษ์สีฟ้ากำมิโนทอร์นี้ไว้อย่างแน่นหนา แม้ว่าขนาดจะเล็กกว่าเทียบไม่ได้กับด้านบน แต่ก็ยังจับมันไว้แน่น ไม่ปล่อยให้หลุดหายไปไหน
“"ไปตายซะ ไอเวรนี่!" เขาตะโกนกร้าว เสียงคำรามของเขาดังก้องสะท้อนทั่วทั้งพื้นที่ ก่อนที่ขวานยักษ์ในมือของแขนสีฟ้าขนาดมหึมาจะฟาดลงมาจากด้านบนอย่างรุนแรง ด้วยพลังอันมหาศาลที่แผ่ซ่านออกมาจากขวาน การโจมตีครั้งนี้รวมกับออร่ามานาในอากาศ ทำให้มันฟันลงไปบนร่างมิโนทอร์อย่างไร้ความปราณี
เสียงระเบิดที่ก้องสนั่นสะท้านไปทั่ว ทำให้พื้นดินที่อยู่รอบๆ สั่นสะเทือนจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆก้อนหินรอบพื้นที่ถูกกระแทกกระจายแตกออกเป็นชิ้นๆ ฝุ่นดินฟุ้งกระจายขึ้นในอากาศ ราวกับโลกทั้งใบกำลังรับรู้ถึงการทำลายล้างที่เกิดขึ้น สายฟ้าสีแดงเข้มที่แผ่กระขายจากแขนของมือยักษ์ที่อยู่บนหัว ทาบทับไปทั่วท้องฟ้า ทำให้บรรยากาศรอบข้างมืดมัวราวกับเป็นการเตือนถึงอำนาจที่กำลังจะทำลายทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
มิโนทอร์กรีดร้องเสียงดังลั่น มันพยายามจะต้านทานพลังที่ท่วมท้น แต่ร่างกายที่เคยหนาแน่นแข็งแกร่งของมันเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้แรงปะทะที่มหาศาลนี้ เกราะหนาที่มันสวมใส่เพื่อปกป้องร่างกายถึงกับแตกละเอียด เผยให้เห็นรอยแผลลึกที่ฝังลึกไปถึงกระดูก เลือดไหลทะลักออกมาจากแผลที่ฉีกขาด
สายตาของมิโนทอร์สั่นไหวด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ความรู้สึกเย็นเยียบคืบคลานเข้าสู่จิตใจของมัน ความตายที่มันเคยคิดว่าไกลห่างกลับกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านไปทั่วร่างของมันจนมันแทบไม่อาจหายใจ ความหวาดกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกำลังกลืนกินมันจากภายใน ขณะที่ขวานเริ่มบดขยี้มันมากขึ้นเรื่อยๆ
การโจมตีที่เต็มไปด้วยพลังมหาศาลส่งผลให้ร่างของมิโนทอร์แตกกระจายและลอยปลิวไปในอากาศ เสียงระเบิดครั้งสุดท้ายสะท้านไปทั่วสนามรบ ฝุ่นและหินที่กระจายฟุ้งทั่วทำให้พื้อที่กลายเป็นทะเลหมอกที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นและกลิ่นคาวเลือด
ขณะที่เอรอสค่อยๆหายใจแรง แขนสีฟ้าขนาดมหึมาที่แฝงพลังแห่งการทำลายล้างค่อยๆหายไปในอากาศ พร้อมๆกับความมึดที่เคยปกคลุม ท้องฟ้ายามคำคืนเริ่มกลับปรากฏอยู่เหนือหัวอีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้านั้นกับยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง เอรอสจ้องมองร่างของมิโนทอร์ที่กลายเป็นเศษซากด้วยความเงียบงัน ก่อนที่ตั้งใจจะใช้ขวานฟาดมันอีกครั้งเพื่อความชัว
ทันใดนั้น เอรอสรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างในจิตใจ เขาสัมผัสได้ถึงความพยายามของเรย์นาร์คที่จะยึดครองร่างกายของเขา ราวกับเงามืดกำลังเข้าครอบงำ เอรอสรีบดึงสติ กลับมาสู่รูปลักษณ์เดิมของตัวเองอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางสายตาของไอลีนที่มองเขาด้วยความตกตะลึง เขาพยายามดึงสติและควบคุมพลัง ไม่ให้ตัวเองถูกครอบงำจนกลายเป็นเรย์นาร์คอีกครั้ง
แต่การควบคุมนี้ยากกว่าที่คิด แม้เขาจะกลับมามีรูปลักษณ์ของตัวเองแล้วก็ตาม ทว่าภาพสะท้อนของเรย์นาร์คยังหลงเหลือชัดเจนอยู่ ผมสีดำของเขาปะปนด้วยปอยสีเทาที่แผ่ขยายอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดวงตาข้างหนึ่งของเขากลายเป็นสีแดงวาววับแดงฉานเหมือนเลือด ขณะที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาเปลี่ยนเป็นสีผิวเข้ม ราวกับว่ารูปลักษณ์ของเรย์นาร์คกำลังค่อยๆ กลืนกินเขาอย่างช้าๆ
ลักษณะเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ใบหน้า ผิวหนังบางส่วนของเขาตามลำแขนและลำตัวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม กล้ามเนื้อของเขาพองตัวอย่างน่าประหลาด ทำให้ร่างกายของเขาดูใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่เขาพยายามดึงสติกลับมา เหมือนว่าพลังของเรย์นาร์คกำลังแทรกซึมลึกลงไปในจิตใจของเขา ยิ่งเขาต่อสู้เพื่อรักษาตัวตนของตัวเอง ก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังนั้นยึดเกาะแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อไอลีนแน่ใจว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มคนเดียวกับที่มากับเธอก่อนหน้านี้จริงๆ เธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แววตาสั่นระริกด้วยความกลัวและกังวล เธอเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเขาเบาๆ
“เกิดอะไรขึ้น? นายเป็นอะไรไป? บอกฉันสิ…มีอะไรที่ฉันช่วยได้บ้างไหม?”
เอรอสหันขวับมามองเธอ ดวงตาของเขาวาววับด้วยความหงุดหงิดและความหดหู่ มือของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนไปทั่วแขน เงาสีดำใต้ตาของเขาเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว ใบหน้าแสดงความพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่เกือบจะปะทุ เขากัดฟันแน่นเพื่อสะกดความเจ็บปวดและความโกรธที่ก่อตัวอยู่ภายใน
“อย่ามายุ่ง!” เขาคำรามด้วยน้ำเสียงต่ำที่เย็นชาราวกับการการะทำเมื่อก่อนหน้านี้ไม่คยเกิดขึ้น
“เธอจะเข้ามาทำไม…คิดว่าจะช่วยอะไรได้รึไง?”
เขาสะบัดไหล่หลบการสัมผัสของเธอด้วยความหงุดหงิด จนไอลีนต้องชะงักถอยหลัง สายตาของเขาไร้แววความรู้สึกได้ มีแต่ความว่างเปล่าราวกับว่ามองเธอเป็นแค่สิ่งที่กีดขวาง เขายังคงหอบหายใจหนักๆ เส้นเลือดตรงขมับเต้นระริกอย่างชัดเจน
“แต่ว่า…” ไอลีนกระซิบ พยายามสู้กับความกลัวในใจ ขณะที่ร่างกายของเอรอสสั่นไหวจากแรงกดดันและพลังที่คุกกรุ่นอยู่ภายในจนเธอรู้สึกได้ เธอก้าวถอยหลังแต่ก็ยังมองเขาด้วยความเป็นห่วง
“ฉันบอกให้ออกไปไง!” เอรอสตะคอกอย่างแรง น้ำเสียงดุดันเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกทำให้จนมุม ดวงตาสีแดงของเขาจ้องเธอราวกับข่มขู่ ไอลีนรู้สึกเหมือนถูกพลังอันรุนแรงกดดันให้ถอยหนี ความเย็นชาที่แผ่จากตัวเขาทำให้เธอใจสั่น ทว่าเธอก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ไม่อาจละสายตาได้
ทันใดนั้น เสียงดังที่ได้ยินจากระยะไกลเริ่มเข้ามาใกล้ เหมือนเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนจำนวนมากที่เคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน ราวกับมีพลังลึกลับแผ่กระจายออกมา ขณะเดียวกัน จอมเวทย์จำนวน 5 คนก็ปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากที่พวกเขาอยู่นัก พวกเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีเข้มที่ประดับไปด้วยสัญลักษณ์แห่งหอคอย บรรยากาศรอบตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและอำนาจ
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” หนึ่งในจอมเวทย์ที่มีผมยาวสีเงินและดวงตาสีฟ้าอ่อนถามขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเป็นผู้นำ ขณะที่สายตาสำรวจไปรอบๆ ราวกับพยายามอ่านสถานการณ์ในทันที “ทำไมถึงมีเขตแดนเกิดขึ้นที่นี้ แล้วพวกมันหายไปไหน?”
พวกเขายืนอยู่ห่างไกลพอที่จะไม่สังเกตเห็นเอรอสและไอลีน แต่สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ลอยอยู่ในอากาศ เสียงกระซิบกันระหว่างจอมเวทย์ทั้งห้าคนทำให้บรรยากาศรอบตัวนั้นตึงเครียดอย่างมาก ราวกับว่าทุกคนต่างรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ปกติและกำลังรอคอยการอธิบายที่ชัดเจนกว่าในไม่ช้า
กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศพื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเสียงสนท
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไปชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธห
แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลมเสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจนเอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบ
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้วในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่
หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจเอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”
ในชั่วพริบตา วงเวทขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเบื้องหน้า มันแผ่กระจายแสงสีแดงเข้มออกมาอย่างน่ากลัว พลังเวทที่แผ่ซ่านออกมากดทับทุกสิ่งรอบตัวจนบิดเบือนมานาในบรรยากาศกลายเป็นพายุหมุน เส้นอักขระซับซ้อนที่เคลื่อนที่บนวงเวทบ่งบอกถึงความรุนแรงและบ้าคลั่ง แม้เอรอสจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมันโดยตรง แต่ความรู้สึกเย็นวาบที่วิ่งผ่านร่างบอกเขาว่า วงเวทนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขาโดยเฉพาะ"บางอย่าง...กำลังจะมา" เอรอสพึมพำเบาๆ ขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิแต่ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมได้เต็มที่ ศรเวทสีเงินก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเร็วราวกับฉีกอากาศออกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่ทันได้เห็นมันอย่างชัดเจนด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเขาบังคับให้ยกแขนขึ้นป้องกัน แต่ศรนั้นพุ่งทะลุผ่านแขนของเขาไปอย่างง่ายดาย ราวกับว่าแขนของเขาไร้ความหมายต่อพลังนั้นไม่มีแรงกระแทก ไม่มีความรู้สึกจากการสัมผัสเนื้อหนัง—แค่ความเจ็บปวดที่เกิดจากพลังบางอย่างที่ลึกกว่าร่างกาย ศรเวทนั้นพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวกับคลื่นพลังที่แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เอรอสทรุดลงกับพื้นทันที ร่างกายแทบจะตอบสนองไม่ได้ คว
เอรอสพยักหน้าช้าๆเมื่อชื่อของ ไรอัส อาร์แคนเทีย ถูกกล่าวถึง ชายผู้เป็นตำนานจอมเวทผู้บุกเบิกเส้นทางเวทมนตร์ ชื่อของเขายังคงเป็นที่เล่าขานแม้เวลาจะผ่านไปนับหมื่นปี สายตาของเอรอสจับจ้องหญิงสาวตรงหน้า ราวกับเขาได้เห็นภาพของชายในตำนานนั้นสะท้อนออกมาผ่านดวงตาของเธอ“หลายหมื่นปีที่แล้ว ไรอัส อาร์แคนเทีย คือชื่อที่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาเป็นจอมเวทที่ปฏิวัติโลกเวทมนตร์ จนทำให้ผู้คนเคารพนับถือเขาด้วยความศรัทธา แต่ทว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่ทำให้เขาหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ไหน ตำนานของเขากลับกลายเป็นเครื่องหมายคำถามที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเศร้า“แล้ว... ประวัติศาสตร์ของไรอัสมีบางส่วนที่ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของเขาเป็นอย่างไร” เอรอสกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้”“ใช่… ไม่มีใครรู้จุดจบของไรอัส... เขาหายตัวไป เหลือเพียงแค่ตำนานที่บอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ แม้ฉันจะรู้ แต่... นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้” เธอหยุดไปชั่วครู่ ดวงตาของเธอวูบไหว แสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนอยู่ใ