Share

ตอนที่ 39 การครอบงำ

ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไป

เอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน  เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่น

ในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเกรงขามแผ่ขยายไปทั่วทั้งเขตแดนที่ปกคลุม

มิโนทอร์ถึงกับตัวแข็ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ มันยืนนิ่งงันด้วยความกลัวที่คืบคลานเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง แรงกดดันนี้หนักอึ้งจนทำให้ร่างกายใหญ่โตของมันสั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาสีแดงของมันเบิกกว้าง สะท้อนความหวาดกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจของมัน 

เมื่อได้สติ มันพยายามจะถอยหนี แต่ว่าแขนสีฟ้าสว่างโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าเหมือนอำนาจเหนือธรรมชาติ มือขนาดใหญ่แฝงไปด้วยกล้ามเนื้อและพลังมหาศาล ข้อมือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนเผยให้เห็นถึงพละกำลังที่แทบไม่อาจต้านทานได้ แขนยักษ์สีฟ้ากำมิโนทอร์นี้ไว้อย่างแน่นหนา แม้ว่าขนาดจะเล็กกว่าเทียบไม่ได้กับด้านบน แต่ก็ยังจับมันไว้แน่น ไม่ปล่อยให้หลุดหายไปไหน 

“"ไปตายซะ ไอเวรนี่!" เขาตะโกนกร้าว เสียงคำรามของเขาดังก้องสะท้อนทั่วทั้งพื้นที่ ก่อนที่ขวานยักษ์ในมือของแขนสีฟ้าขนาดมหึมาจะฟาดลงมาจากด้านบนอย่างรุนแรง ด้วยพลังอันมหาศาลที่แผ่ซ่านออกมาจากขวาน การโจมตีครั้งนี้รวมกับออร่ามานาในอากาศ ทำให้มันฟันลงไปบนร่างมิโนทอร์อย่างไร้ความปราณี

เสียงระเบิดที่ก้องสนั่นสะท้านไปทั่ว ทำให้พื้นดินที่อยู่รอบๆ สั่นสะเทือนจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆก้อนหินรอบพื้นที่ถูกกระแทกกระจายแตกออกเป็นชิ้นๆ ฝุ่นดินฟุ้งกระจายขึ้นในอากาศ ราวกับโลกทั้งใบกำลังรับรู้ถึงการทำลายล้างที่เกิดขึ้น สายฟ้าสีแดงเข้มที่แผ่กระขายจากแขนของมือยักษ์ที่อยู่บนหัว ทาบทับไปทั่วท้องฟ้า ทำให้บรรยากาศรอบข้างมืดมัวราวกับเป็นการเตือนถึงอำนาจที่กำลังจะทำลายทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า

มิโนทอร์กรีดร้องเสียงดังลั่น มันพยายามจะต้านทานพลังที่ท่วมท้น แต่ร่างกายที่เคยหนาแน่นแข็งแกร่งของมันเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้แรงปะทะที่มหาศาลนี้ เกราะหนาที่มันสวมใส่เพื่อปกป้องร่างกายถึงกับแตกละเอียด เผยให้เห็นรอยแผลลึกที่ฝังลึกไปถึงกระดูก เลือดไหลทะลักออกมาจากแผลที่ฉีกขาด

สายตาของมิโนทอร์สั่นไหวด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ความรู้สึกเย็นเยียบคืบคลานเข้าสู่จิตใจของมัน ความตายที่มันเคยคิดว่าไกลห่างกลับกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านไปทั่วร่างของมันจนมันแทบไม่อาจหายใจ ความหวาดกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกำลังกลืนกินมันจากภายใน ขณะที่ขวานเริ่มบดขยี้มันมากขึ้นเรื่อยๆ

การโจมตีที่เต็มไปด้วยพลังมหาศาลส่งผลให้ร่างของมิโนทอร์แตกกระจายและลอยปลิวไปในอากาศ เสียงระเบิดครั้งสุดท้ายสะท้านไปทั่วสนามรบ ฝุ่นและหินที่กระจายฟุ้งทั่วทำให้พื้อที่กลายเป็นทะเลหมอกที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นและกลิ่นคาวเลือด

ขณะที่เอรอสค่อยๆหายใจแรง แขนสีฟ้าขนาดมหึมาที่แฝงพลังแห่งการทำลายล้างค่อยๆหายไปในอากาศ พร้อมๆกับความมึดที่เคยปกคลุม ท้องฟ้ายามคำคืนเริ่มกลับปรากฏอยู่เหนือหัวอีกครั้ง แต่ภาพตรงหน้านั้นกับยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริง เอรอสจ้องมองร่างของมิโนทอร์ที่กลายเป็นเศษซากด้วยความเงียบงัน ก่อนที่ตั้งใจจะใช้ขวานฟาดมันอีกครั้งเพื่อความชัว

ทันใดนั้น เอรอสรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างในจิตใจ เขาสัมผัสได้ถึงความพยายามของเรย์นาร์คที่จะยึดครองร่างกายของเขา ราวกับเงามืดกำลังเข้าครอบงำ เอรอสรีบดึงสติ กลับมาสู่รูปลักษณ์เดิมของตัวเองอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางสายตาของไอลีนที่มองเขาด้วยความตกตะลึง เขาพยายามดึงสติและควบคุมพลัง ไม่ให้ตัวเองถูกครอบงำจนกลายเป็นเรย์นาร์คอีกครั้ง

แต่การควบคุมนี้ยากกว่าที่คิด แม้เขาจะกลับมามีรูปลักษณ์ของตัวเองแล้วก็ตาม ทว่าภาพสะท้อนของเรย์นาร์คยังหลงเหลือชัดเจนอยู่ ผมสีดำของเขาปะปนด้วยปอยสีเทาที่แผ่ขยายอย่างไม่อาจควบคุมได้ ดวงตาข้างหนึ่งของเขากลายเป็นสีแดงวาววับแดงฉานเหมือนเลือด ขณะที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาเปลี่ยนเป็นสีผิวเข้ม ราวกับว่ารูปลักษณ์ของเรย์นาร์คกำลังค่อยๆ กลืนกินเขาอย่างช้าๆ

ลักษณะเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ใบหน้า ผิวหนังบางส่วนของเขาตามลำแขนและลำตัวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม กล้ามเนื้อของเขาพองตัวอย่างน่าประหลาด ทำให้ร่างกายของเขาดูใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ ความรู้สึกนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่เขาพยายามดึงสติกลับมา เหมือนว่าพลังของเรย์นาร์คกำลังแทรกซึมลึกลงไปในจิตใจของเขา ยิ่งเขาต่อสู้เพื่อรักษาตัวตนของตัวเอง ก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังนั้นยึดเกาะแน่นขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อไอลีนแน่ใจว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มคนเดียวกับที่มากับเธอก่อนหน้านี้จริงๆ เธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แววตาสั่นระริกด้วยความกลัวและกังวล เธอเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเขาเบาๆ

“เกิดอะไรขึ้น? นายเป็นอะไรไป? บอกฉันสิ…มีอะไรที่ฉันช่วยได้บ้างไหม?”

เอรอสหันขวับมามองเธอ ดวงตาของเขาวาววับด้วยความหงุดหงิดและความหดหู่ มือของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนไปทั่วแขน เงาสีดำใต้ตาของเขาเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว ใบหน้าแสดงความพยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่เกือบจะปะทุ เขากัดฟันแน่นเพื่อสะกดความเจ็บปวดและความโกรธที่ก่อตัวอยู่ภายใน

“อย่ามายุ่ง!” เขาคำรามด้วยน้ำเสียงต่ำที่เย็นชาราวกับการการะทำเมื่อก่อนหน้านี้ไม่คยเกิดขึ้น

“เธอจะเข้ามาทำไม…คิดว่าจะช่วยอะไรได้รึไง?”

เขาสะบัดไหล่หลบการสัมผัสของเธอด้วยความหงุดหงิด จนไอลีนต้องชะงักถอยหลัง สายตาของเขาไร้แววความรู้สึกได้ มีแต่ความว่างเปล่าราวกับว่ามองเธอเป็นแค่สิ่งที่กีดขวาง เขายังคงหอบหายใจหนักๆ เส้นเลือดตรงขมับเต้นระริกอย่างชัดเจน

“แต่ว่า…” ไอลีนกระซิบ พยายามสู้กับความกลัวในใจ ขณะที่ร่างกายของเอรอสสั่นไหวจากแรงกดดันและพลังที่คุกกรุ่นอยู่ภายในจนเธอรู้สึกได้ เธอก้าวถอยหลังแต่ก็ยังมองเขาด้วยความเป็นห่วง

“ฉันบอกให้ออกไปไง!” เอรอสตะคอกอย่างแรง น้ำเสียงดุดันเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกทำให้จนมุม ดวงตาสีแดงของเขาจ้องเธอราวกับข่มขู่ ไอลีนรู้สึกเหมือนถูกพลังอันรุนแรงกดดันให้ถอยหนี ความเย็นชาที่แผ่จากตัวเขาทำให้เธอใจสั่น ทว่าเธอก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ไม่อาจละสายตาได้

ทันใดนั้น เสียงดังที่ได้ยินจากระยะไกลเริ่มเข้ามาใกล้ เหมือนเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนจำนวนมากที่เคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว อากาศรอบตัวเริ่มสั่นสะเทือน ราวกับมีพลังลึกลับแผ่กระจายออกมา ขณะเดียวกัน จอมเวทย์จำนวน 5 คนก็ปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากที่พวกเขาอยู่นัก พวกเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีเข้มที่ประดับไปด้วยสัญลักษณ์แห่งหอคอย บรรยากาศรอบตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและอำนาจ

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” หนึ่งในจอมเวทย์ที่มีผมยาวสีเงินและดวงตาสีฟ้าอ่อนถามขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเป็นผู้นำ ขณะที่สายตาสำรวจไปรอบๆ ราวกับพยายามอ่านสถานการณ์ในทันที “ทำไมถึงมีเขตแดนเกิดขึ้นที่นี้ แล้วพวกมันหายไปไหน?”

พวกเขายืนอยู่ห่างไกลพอที่จะไม่สังเกตเห็นเอรอสและไอลีน แต่สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ลอยอยู่ในอากาศ เสียงกระซิบกันระหว่างจอมเวทย์ทั้งห้าคนทำให้บรรยากาศรอบตัวนั้นตึงเครียดอย่างมาก ราวกับว่าทุกคนต่างรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างไม่ปกติและกำลังรอคอยการอธิบายที่ชัดเจนกว่าในไม่ช้า

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status