เอรอสพุ่งเข้าหามันสุดกำลัง พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าหนักของเขา เสียงคำรามต่ำของมันดังก้องราวสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอจะเข่นฆ่า เงาดำก่อตัวจากร่างของมัน แผ่พลังเวทย์สีเขียวหม่นรุนแรง จนสั่นคลอนทุกสิ่งรอบข้าง ดิน และ เศษหิน กระจัดกระจายอย่างรุนแรงจนพื้นดินรอบๆแตกออกเป็นริ้วร้าวลึก
กลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้ง กลบอากาศจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศมืดครึ้มกดดันเหมือนทั้งโลกกำลังถูกกลืนด้วยพลังชั่วร้าย หินยักษ์ผุดขึ้นจากพื้นรอบตัวมันตามแรงเรียกของเวทมนตร์ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวจนราวกับว่าทั้งพื้นที่กำลังจะถล่มลงมา
มันเหวี่ยงแขนมหึมาขึ้น หินก้อนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น แสงเขียวหม่นเรืองรองห่อหุ้มก้อนหินที่หมุนวนรอบตัวมันอย่างเกรี้ยวกราด มันปล่อยเสียงคำรามเบาๆคล้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน หินพุ่งตรงเข้าใส่เอรอสในพริบตา เอรอสกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เศษดินและแรงลมจากหินที่พุ่งเฉียดหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตา ปัดฝุ่นผงออกจากใบหน้า
เอรอสสะบัดขวานทองในมือที่ส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเหมือนดวงดาว ขณะฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ เสียงหินระเบิดดังสะท้อนรอบบริเวณ เศษหินกระเด็นเป็นฝุ่นผงลอยกระจายไปทั่วจนปกคลุมทั้งพื้นที่ราวหมอก ปลิวผ่านทิศทางต่างๆ จนบดบังทัศนวิสัย เสียงระเบิดของหินสะท้อนในอากาศอย่างน่าขนลุก ราวกับสัญญาณแห่งการทำลายล้างที่ไม่มีที่สิ้นสุด
พลังเวทย์ของมันก่อตัวขึ้นอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง จนกลายเป็นมานาเรืองแสงเขียวหม่นล้อมรอบร่างของมัน บรรยากาศโดยรอบเย็นยะเยือกคล้ายกับร่างกายของมันกำลังดึงเอาความอบอุ่นทั้งหมดออกจากอากาศ เสียงคำรามต่ำดังก้องสะท้อนไปมา เงาแห่งพลังเวทย์บิดเบี้ยวรอบตัวมันเหมือนมีชีวิต เสียงลมหายใจอันดุดันของมันทำให้เอรอสรู้สึกถึงความเกรี้ยวกราดที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย
มันชี้นิ้วใหญ่ตรงไปที่เอรอส หินขนาดมหึมาลอยขึ้นพร้อมแสงสีเขียวสว่างวาบ เอรอสรีบเบี่ยงตัวหลบในเสี้ยววินาที เขากระโจนออกข้างพลิกตัวกลางอากาศ ขณะรู้สึกถึงกลิ่นดินและฝุ่นในจมูก ก่อนจะสะบัดขวานฟาดทำลายหินที่พุ่งมาด้วยความเร็วราวสายฟ้า เศษหินแตกกระจายรอบตัวเขา สะท้อนแสงจันทร์วูบวาบออกมาท่ามกลางม่านฝุ่น ผืนหินที่แตกร้าวยิ่งเผยให้เห็นถึงความรุนแรงของการต่อสู้
เสียงคำรามดังก้องอีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยความหงุดหงิด มันยังคงร่ายเวทย์อย่างไม่ยอมแพ้ ก้อนหินรอบข้างถูกเรียกขึ้นจากพื้นและพุ่งเข้าใส่เอรอสเหมือนพายุหิน มันหัวเราะเบาๆแฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย ราวกับจะบดขยี้ศัตรูให้สิ้นซาก ทุกการโจมตีเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและไร้ปรานี หินแต่ละก้อนพุ่งชนพื้นดินจนแตกร้าว เสียงกระแทกของหินสะท้อนในอากาศอย่างหนักหน่วงราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง
แต่ทว่าเอรอสกลับก้าวเท้าเข้าใกล้มันเรื่อยๆ ขวานในมือฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาด้วยความแม่นยำ เศษหินกระจัดกระจายเหมือนหมอกขุ่นที่ปกคลุมไปทั่ว เอรอสยืนสู้ท่ามกลางแสงจันทร์และเงามืดจากฝุ่นที่ลอยคลุ้ง เงาดำ และแสงที่สะท้อนจากเศษฝุ่นทำให้ฉากนี้ดูเหมือนการต่อสู้ในหุบเขาที่มืดมน
มันเริ่มแสดงอาการเหนื่อยล้า พลังเวทย์ที่เคยรุนแรงเริ่มเบาบางลง และแววตาเต็มไปด้วยความกังวลเร้นลับ เอรอสสังเกตเห็นทันที เขารู้ว่านี่คือจังหวะที่เหมาะแก่การปิดฉาก
ในจังหวะที่เอรอสกำลังเร่งเข้าใกล้ มันที่พยายามควบคุมพลังเวทย์อย่างบ้าคลั่งกลับทำพลาด เศษหินก้อนหนึ่งหลุดออกไปทิศทางอื่นพุ่งตรงไปทางไอลีนที่นอนบาดเจ็บ ดวงตาของเธอได้แต่เบิกกว้าง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกตะใจ และ ความหวาดหวั่น เธอพยายามจะหยิบปืนขึ้นมาหวังจะยิงเพื่อทำลายหินนั้น แต่ร่างกายของเธอกลับอ่อนล้า และไม่มีแรงพอที่จะยกปืนเล็งยิงได้ทัน จนทำให้เธอได้แต่กลั้นหายใจ ดูการโจมตีที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่มีทางเลือก
เอรอสเห็นเงาหินสะท้อนแสงวาบพุ่งไปทางไอลีนอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีแดงเข้มของเขาเบิกกว้าง รู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้นดังก้องในหู เขารีบกระโจนยืนขวางหน้าไอลีนทันที แม้ว่าการช่วยเธอ มันจะทำให้การกระทำของเขาเปล่าประโยชน์ แต่เขาก็ยังคงยกขวานขึ้นสูงปัดหินก้อนนั้นด้วยแรงทั้งหมด เศษหินแตกกระจายดังสนั่นรอบตัวไอลีน เศษหินร่วงหล่นรอบๆ ราวกับฝนหินปกคลุมพื้นดิน
มันจ้องมองด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย มุมปากบิดเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน แฝงเจตนาที่อันตราย เสียงหัวเราะเบาๆ ที่แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันยิ่งขับให้มันดูน่ากลัว ก่อนจะขว้างหินที่เหลือพุ่งใส่เอรอสและไอลีนอย่างบ้าคลั่ง หินแต่ละก้อนเปี่ยมไปด้วยพลังดิบเถื่อน ขาดการควบคุมต่างจากก่อนหน้านี้ เอรอสยืนหยัดไม่ถอยแม้จะหายใจหอบหนัก เขายังคงใช้ขวานฟาดทำลายหินทุกก้อนที่พุ่งมาอย่างดุดัน เสียงหินแตกสะท้อนไปทั่ว ม่านฝุ่นหนาคลุ้งรอบตัวเอรอส แต่เขายังคงยืนอย่างมั่นคงท่ามกลางเกราะฝุ่นที่บดบังสายตา เหงื่อซึมตามหน้าผาก ดวงตาสีแดงฉายแสงแน่วแน่ราวกับภูผาที่จะไม่ทลาย แม้จะเผชิญกับพลังมหาศาลของมันก็ตาม
เอรอสสบถออกมาเมื่อพลาดโอกาสที่จะโจมตีเต็มแรงเพราะต้องถอยกลับมาปกป้องคนที่เขาเคยบอกว่าโง่และดื้อด้านเสียเอง รู้สึกอับอายที่ต้องมาเสียจังหวะเพราะเรื่องที่เขาดูถูกแบบนี้
“น่าขายหน้าชะมัด…” เขาบ่นพึมพำ ขณะที่มือข้างหนึ่งกำขวานทองฟาดฟันหินใหญ่ที่พุ่งเข้ามา ส่วนอีกมือปัดป้องหินที่พุ่งมาไม่หยุด เศษหินกระจายรอบตัวราวกับสายฝนแห่งความพินาศ แต่สายตาของเอรอสยังคงจับจ้องมันไม่วางแม้จะต้องเผชิญกับการโจมตีที่หนักหน่วง เขายืนหยัดอย่างไม่หวั่นไหวราวกับพร้อมรับทุกสิ่ง
ทันใดนั้น มันแสยะยิ้มออกมา รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความอำมหิตแสดงถึงความมั่นใจอย่างร้ายกาจ เสียงหัวเราะต่ำๆ ดังเล็ดลอดจากลำคอ
“ถึงจะน่าเสียดายที่ต้องเอามาใช้เร็วไปหน่อย แต่วันนี้ ไม่ข้าก็แกที่ต้องตายกันไปข้าง…” มันพูดพลางมองแหวนที่นิ้วของตนเอง ก่อนจะถอดออกมา แล้วบีบขยี้แหวนจนแตกกระจายเป็นเศษผุยผงในอากาศ
ทันใดนั้น เศษแหวนที่แตกละเอียดปล่อยพลังมืดออกมาเป็นเงาดำที่ดูคล้ายหมอกควัน เงานั้นหมุนวนและเข้มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กระหายการกลืนกิน เงาควันสีดำคลุ้งไหลออกจากมือมันทีละนิด ก่อนจะเริ่มขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆ จนค่อยๆ คืบคลานและแผ่ปกคลุมร่างของมัน ราวกับฝูงกาฝากที่แผ่ซ่านเข้าสู่ร่างของเหยื่อ เสียงลมหายใจต่ำลึกดังก้อง พร้อมๆกับเสียงสะท้อนจากหลุมลึกในขุมนรก มันเคลื่อนไหวราวกับสิ่งมีชีวิต แรงกดดันแห่งความชั่วร้ายได้เริ่มคืบคลานเข้ามาครอบงำทุกสิ่ง
เอรอสกัดฟันแน่น มองดูเงาดำที่ปกคลุมร่างของมันอย่างรวดเร็วโดยไม่สามารถปล่อยให้เสียเวลาอีก เขาโยนขวานทองของตนด้วยพลังทั้งหมด ขวานพุ่งทะลวงเข้าใส่เงามืดนั้นราวกับแสงวาบในความมืด แต่เมื่อขวานสัมผัสกับเงามืด มันกลับสะท้อนกลับมาอย่างแรง ก่อนที่เขาจะรับมันไว้ด้วยมือข้างเดียว การโจมตีของเขาไม่สามารถฝ่ากระแสควันเหล่านั้นไปได้ ขณะที่เงานั้นเข้มขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะบิดเบี้ยวก่อตัวเป็นรูปร่างประหลาดที่ไม่มีสิ่งใดเคยเห็นมาก่อน
รูปร่างของมันค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดกลางเงาควัน เขาสองข้างใหญ่โค้งพ้นจากหัว ใบหน้าหนาใหญ่คล้ายวัว ดวงตาแดงสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด ครึ่งร่างบนที่หนาแน่นด้วยกล้ามเนื้อดูล่ำสันและเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน แต่ครึ่งล่างกลับเป็นขาอันแข็งแกร่งและอุ้งเท้าของวัว เงาร่างนี้ราวกับมิโนทอร์จากตำนานที่น่าสะพรึงกลัว
เอรอสสบถออกมาเบาๆ ด้วยความหงุดหงิดเมื่อเห็นศัตรูที่ดูน่ากลัว และ อันตรายกว่าที่เขาตั้งใจเอาไว้ เขาหายใจลึก กำขวานแน่นจนมือชา ความมุ่งมั่นฉายชัดในดวงตาของเขา ราวกับภูผาที่ตั้งตระหง่านพร้อมท้าทายทุกสิ่งเบื้องหน้า แม้ในใจรู้ว่าครั้งนี้อาจเป็นการต่อสู้ที่เสี่ยงกับชีวิตของเขามากที่สุดอีกครั้งนึง
“แม่ง…เพราะงี้แหละถึงไม่อยากจะรีบมาจัดการไง!”
เสียงหอบของเอรอสกลืนไปกับเสียงลั่นของหิน และ ฝุ่นที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ เขายืนหยัดอยู่กลางพื้นที่ของอาคารที่ถูกทำลายจากการโจมตีของทั้งสองฝั่ง ผิวดินที่แตกออกเป็นริ้วรอย และ เศษหินเกลื่อนกลาดรอบตัวเป็นพยานถึงการโจมตีที่รุนแรง ขวานสีทองในมือยังคงส่องแสงท่ามกลางหมอกฝุ่นรอบตัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำในอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ให้ศัตรูเบื้องหน้ามองเห็นความอ่อนแอมิโนทอร์ร่างยักษ์ตรงหน้า ผิวหนังสีคล้ำประหนึ่งแผ่นหิน ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะหนาทึบ เงามืดและพลังเวทย์สีเขียวหม่นแผ่กระจายออกจากร่างของมันอย่างน่ากลัว มันกวัดแกว่งขวานหินขนาดใหญ่ในมือเหมือนกับมันเป็นเพียงแค่ของเล่น ก่อนที่มันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเอรอส ใบหน้าหนากร้าวคล้ายสัตว์ร้าย ดวงตาสีแดงเรืองวาวอย่างดุดัน คำรามต่ำในลำคอ ราวกับต้องการบดขยี้เขาให้กลายเป็นเศษซากใต้เท้าของมันขวานหินนั้นฟาดลงมาอีกครั้ง พื้นดินระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังดุจแผ่นดินไหว เอรอสรีบกระโดดถอยหลัง พลางปัดป้องอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะตวัดขวานของเขาฟาดฟันใส่ขาของมัน แต่แสงสะท้อนของเกราะหินบนร่างมันทำให้คมขวานของเอรอสเบี่ยงไป ขวานทองกระแทกเข้ากับเกราะ
ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปเอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่นในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเ
กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศพื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเสียงสนท
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไปชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธห
แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลมเสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจนเอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบ
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้วในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่
หญิงสาวหันมามองเขาอีกครั้ง ดวงตาของเธอจับจ้องเอรอสด้วยความนิ่งสงบ แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง“ชะตากรรม... นำคุณมาที่นี่” เธอเอ่ยเสียงเบา แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่เขายังไม่เข้าใจเอรอสขมวดคิ้วเล็กน้อย ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ“ชะตากรรม? คุณหมายความว่ายังไง... ผมเคยมาที่นี่มาก่อนเหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ราวกับจะบอกว่าเธอเองก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจน“ฉันไม่รู้... แค่รู้สึกได้ว่าคุณกับที่นี่... มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกันอยู่ คุณไม่ได้เข้ามาโดยบังเอิญหรอก”เอรอสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในใจของเขา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเธอ“แล้วทำไมคุณถึงปล่อยให้ผมอยู่ต่อ?”เขาถามน้ำเสียงยังคงระวังตัว แต่ความสงสัยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆเธอยิ้มบางๆ ราวกับกำลังชั่งใจ“ฉันเองก็อยากรู้... ว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ บางทีสิ่งที่คุณกำลังตามหา... อาจอยู่ที่นี่ก็ได้” เธอพูดพลางมองไปรอบๆสถานที่แห่งนี้ มันดูเก่าแก่ และ ลึกลับ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเอรอสพยักหน้าเบาๆ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าที่นี่มีความหมายบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น“งั้นผมขอสำรวจดูหน่อย เผื่อจะเจออะไรบางอย่าง”