หลังจากเอรอสจัดการลูกสมุนที่ตามล่าเขาจนหมดสิ้น เขาเก็บรวบรวมถุงเงินและของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิม จัดแจงให้ร่างกายแนบชิดไปกับเงามืดของต้นไม้ใหญ่ ตาจับจ้องไปที่ไอลีนซึ่งกำลังต่อสู้กับบอสขององค์กรอย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆ
เอรอสมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงียบงัน ขณะที่ไอลีนพยายามหลบหลีกและโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางการต่อสู้ที่ดุดันนั้นทำให้เอรอสรู้สึกทึ่ง รู้สึกถึงความกล้าหาญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบในตัวเธอ ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงปะทะ เขาแอบมองเธอในความมืด รู้สึกได้ถึงความพยายามอันเด็ดเดี่ยวที่หายากในตัวคนทั่วไป
ร่างกายของไอลีนดูอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หายใจหอบแรง บาดแผลที่แขนและขาดูเหมือนจะทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังคงยืนหยัด และพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเอรอสสังเกตเห็นบางสิ่งบนพื้นใกล้ๆ
โพชั่นมานาขวดหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่ไอลีนตั้งใจจะไปช่วย เป็นโพชั่นเดียวที่เขาเอาไว้ให้เธอสามารถฟื้นฟูมานาของตัวเองใยการต่อสู้ แต่ไอลีนกลับเลือกที่จะโยนขวดโพชั่นนั้นให้หญิงสาวคนนั้นแทน ความใจดี และ การเสียสละที่ไม่คิดถึงตัวเองนั้น ทำให้เอรอสรู้สึกสับสน
"โง่จริง ๆ" เขาพึมพำกับตัวเอง รู้สึกขัดใจกับการกระทำของเธอที่ดูเหมือนจะไร้เหตุผล เขาคิดเสมอว่าในสถานการณ์แบบนี้ คนส่วนใหญ่จะต้องเลือกตัวเองก่อน แต่ในเวลาเดียวกัน ความคิดของเขากลับเริ่มสั่นคลอน การเสียสละนี้ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาเคยเชื่อมาโดยตลอด มนุษย์ทุกคนจะเห็นแก่ตัวในยามคับขัน...ไม่ใช่หรือ?
ในขณะที่ความคิดของเขายังคงวนเวียนอยู่นั้น เขาเห็นไอลีนดึงกระสุนมานาสีแดงออกมาเสริมพลังให้กับปืน หายใจเข้าอย่างหนัก ก่อนจะหันกลับไปประจันหน้ากับศัตรูอีกครั้ง แม้ว่าเธอจะดูอ่อนแรงเต็มที แต่ความเด็ดเดี่ยวของเธอทำให้เอรอสไม่อาจละสายตาได้ รู้สึกได้ถึงความรู้สึกคละเคล้าระหว่างความชื่นชมและความหงุดหงิด ทว่าความรู้สึกนี้กลับทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้เลย
เอรอสที่ซุ่มมองอยู่ในเงามืด มองอย่างเฉยชา ยากที่จะอ่านออก เขาจับตามองทุกท่าทีของไอลีน แม้จะรู้ว่าพลังของเธอกำลังร่อยหรอลงทุกที แต่เธอก็ยังสู้ไม่ย่อท้อ ร่างกายที่อ่อนล้าจนแทบยืนไม่ไหว ไม่อาจหยุดยั้งความมุ่งมั่นในดวงตาของเธอได้ สายตาของเอรอสเต็มไปด้วยความสงสัยปนความหงุดหงิดเล็กน้อย หญิงสาวผู้นี้กลับทำให้เขารู้สึกได้ถึงความกล้าหาญที่ขัดกับความเชื่อที่เขามีต่อมนุษย์อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นเธอหยิบแก่นมานาสีแดงใส่เข้าไปในปืนอีกครั้ง เอรอสพึมพำกับตัวเอง "ดื้อด้านจริงๆ" เขาพูดเสียงแผ่ว แต่มีแววชื่นชมซ่อนอยู่
เสียงปืนดังสนั่น กระสุนมานาพุ่งทะลุอากาศเข้าหาผู้ชายอ้วนท้วมคนนั้น คราวนี้สร้างรอยแผลลึกจนมันต้องถอยไปเล็กน้อย พร้อมส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วพื้นที่ ทว่าพลังของเขาแผ่กระจายออกมาจนพื้นดินสั่นสะเทือน ไอลีนที่อ่อนแรงอยู่แล้ว ดูท่าจะรับมือได้ยากขึ้นทุกขณะ เอรอสยืนนิ่ง มองดูสถานการณ์ที่พลิกผันอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว บางทีเขาอาจจะกำลังรอดูว่าเธอจะพลาดพลั้ง หรือ เธอจะมีปาฏิหาริย์อะไรที่จะพลิกสถานการณ์นี้อยู่อีก
เมื่อไอลีนล้มลงกับพื้น ความหวังริบหรี่เอื้อมถึงในดวงตาของเธอ เอรอสเห็นเธอหยิบขวดเล็กที่เขาให้มาออกมา จากเงามืด เขาแสยะยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ รอดูว่าหญิงสาวจะนำมันมาใช้ยังไง เขาแอบคาดหวังเล็กน้อยว่าไอลีนจะสงสัยในของที่เขามอบให้ แต่เธอกลับขว้างมันใส่บอสเต็มแรงโดยไม่ลังเล ขวดแตกกระจาย แมลงสีดำที่อยู่ภายในพุ่งออกไปเกาะบนตัวของบอส บอสชะงักไปเล็กน้อย มองดูแมลงด้วยสีหน้าเย้ยหยัน ก่อนจะหัวเราะลั่นด้วยความเยาะเย้ย
"คิดว่าเจ้าแมลงตัวน้อยนี่จะทำอะไรข้าได้หรือ?" เสียงของบอสดังก้อง พร้อมความโกรธในดวงตาที่ฉายชัดขึ้น ไอลีนเองก็ชะงักไปเล็กน้อย เหมือนจะเพิ่งตระหนักว่าเธออาจโดนหลอก
เอรอสได้แต่ยืนมองดูจากเงามืด ในใจรู้สึกสะใจกับการกระทำเล็กน้อย เธอหลงเชื่อในของที่เขามอบให้โดยไม่เอะใจเลยว่าเขาอาจมีแผนอะไรซ่อนอยู่ ขณะที่มันเข้าประชิดตัวไอลีนและเตรียมระดมโจมตี เธอยังพยายามจับปืนเอาไว้ ไม่หนีไปไหน แม้ร่างกายแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะถือปืนอีกแล้วก็ตาม
‘ความดื้อรั้นนี้มัน น่าหงุดหงิดจริงๆ… มีอะไรซ่อนอยู่ ก็รีบๆใช้ออกมาซ่ะที’ เอรอสพึมพำเบาๆ และมองดูเธอด้วยสายตาที่เยือกเย็นและคลุมเครือ เขายืนนิ่งอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ สายตาจ้องมองไปที่บอสซึ่งกำลังเข้าประชิดตัวไอลีนที่อ่อนล้า ท่ามกลางความมืดและความเงียบรอบข้าง ราวกับบรรยากาศกำลังสะสมแรงกดดันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ปาฏิหาริย์ที่เขาคิดว่าเธอคงจะมีมันถึงได้มั่นใจว่าจะเข้าไปสู้กับไม่เกิดขึ้น จนในใจของเราเริ่มอึดอัดกับการกระทำของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชายอ้วนใหญ่คนนั้นอยู่ห่างจากเธออีกแค่ไม่กี่ก้าว เขาจึงตัดสินใจทันที
ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ กล้ามเนื้อที่แขนและขาของเขาค่อยๆขยายขึ้น ผิวหนังของเขาเริ่มเข้มขึ้นจากโทนสีธรรมดากลายเป็นสีคล้ำเรื่อๆที่ดูแข็งแกร่ง ผมสีเทาเงินงอกยาวลงมาปกคลุมไหล่ แสงจันทร์สะท้อนให้เห็นประกายสีเงินจางๆ ในขณะที่ดวงตาของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ราวกับเลือดที่ไหลริน ส่องประกายอยู่ในความมืด
เขายกมือขึ้นสัมผัสขวานสีทองที่ปรากฏขึ้นในมือ ราวกับอาวุธนี้ถูกเรียกขึ้นมาจากอากาศโดยไม่รู้ตัว ขวานนั้นใหญ่และหนัก แต่ดูเหมือนจะเบาหวิวในมือของเขา เอรอส หรือในตอนนี้คือเรย์นาร์คในร่างสมบูรณ์ของเขา ก้าวออกมาจากเงามืด พุ่งเข้าหาชายคนนั้นโดยไม่มีคำพูดใดๆ เสียงเท้าของเขาทำให้พื้นสั่นสะเทือน ขวานทองคำในมือสะบัดฟาดลงมาพร้อมความรุนแรงเหนือธรรมชาติ กระแทกเข้ากับไหล่ของชายอ้วนคนนั้นเต็มแรง เลือดกระเซ็นเป็นเส้นสีแดงกลางอากาศ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของดังสะท้อน จนมันเซถอยไปหลายก้าวตามทิศทางที่เขาดึงขวานกลับไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสับสน ไม่คาดคิดว่าจะมีการซุ่มโจมตีเกิดขึ้นมาอีก มันหันมาจ้องเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและความประหลาดใจผสมกัน เขากัดฟันแน่นและตวาดออกมา
"แกมาทำอะไรนี้? ไหนสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันไงว่ะ!!!"
ไอลีนที่ล้มอยู่กับพื้นชำเลืองมองเขา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนสงสัย เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่พลังที่แผ่ออกมาทำให้เธอรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามอย่างน่าประหลาด ทว่าภายในดวงตาสีแดงของเขากลับแฝงไปด้วยความเย็นชา เธอสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกทั้งปลอดภัยและอันตรายในเวลาเดียวกัน
เอรอสยกยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากตามสัญชาตญาณของร่างนี้ ไม่ตอบคำถามโดยตรงๆ เพียงแต่จ้องมองมันด้วยสายตาเย็นชาและตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ก็แค่เหม็นขี้หน้าแกเฉยๆ ยังไงก็ฟันไปแล้ว ถึอว่ามันโมฆะไปแล้วกัน”
บอสกัดฟันแน่น ความโกรธเดือดดาลในดวงตาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยแรงอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ก่อนจะพุ่งเข้าหาเรย์นาร์คด้วยความโกรธและไม่ยอมแพ้ ขณะที่ไอลีนยังคงนอนมองเหตุการณ์อย่างงุนงง ใจเต้นแรงด้วยความกลัวและความหวังที่เริ่มจุดประกายในใจ
เอรอสพุ่งเข้าหามันสุดกำลัง พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าหนักของเขา เสียงคำรามต่ำของมันดังก้องราวสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอจะเข่นฆ่า เงาดำก่อตัวจากร่างของมัน แผ่พลังเวทย์สีเขียวหม่นรุนแรง จนสั่นคลอนทุกสิ่งรอบข้าง ดิน และ เศษหิน กระจัดกระจายอย่างรุนแรงจนพื้นดินรอบๆแตกออกเป็นริ้วร้าวลึกกลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้ง กลบอากาศจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศมืดครึ้มกดดันเหมือนทั้งโลกกำลังถูกกลืนด้วยพลังชั่วร้าย หินยักษ์ผุดขึ้นจากพื้นรอบตัวมันตามแรงเรียกของเวทมนตร์ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวจนราวกับว่าทั้งพื้นที่กำลังจะถล่มลงมามันเหวี่ยงแขนมหึมาขึ้น หินก้อนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น แสงเขียวหม่นเรืองรองห่อหุ้มก้อนหินที่หมุนวนรอบตัวมันอย่างเกรี้ยวกราด มันปล่อยเสียงคำรามเบาๆคล้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน หินพุ่งตรงเข้าใส่เอรอสในพริบตา เอรอสกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เศษดินและแรงลมจากหินที่พุ่งเฉียดหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตา ปัดฝุ่นผงออกจากใบหน้าเอรอสสะบัดขวานทองในมือที่ส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเหมือนดวงดาว ขณะฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ เสียงหินระเบิดดังสะท้อนรอบบริเวณ เศษหินกระเด็นเป็นฝุ่นผงลอยกระจายไปทั่วจนป
เสียงหอบของเอรอสกลืนไปกับเสียงลั่นของหิน และ ฝุ่นที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ เขายืนหยัดอยู่กลางพื้นที่ของอาคารที่ถูกทำลายจากการโจมตีของทั้งสองฝั่ง ผิวดินที่แตกออกเป็นริ้วรอย และ เศษหินเกลื่อนกลาดรอบตัวเป็นพยานถึงการโจมตีที่รุนแรง ขวานสีทองในมือยังคงส่องแสงท่ามกลางหมอกฝุ่นรอบตัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำในอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ให้ศัตรูเบื้องหน้ามองเห็นความอ่อนแอมิโนทอร์ร่างยักษ์ตรงหน้า ผิวหนังสีคล้ำประหนึ่งแผ่นหิน ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะหนาทึบ เงามืดและพลังเวทย์สีเขียวหม่นแผ่กระจายออกจากร่างของมันอย่างน่ากลัว มันกวัดแกว่งขวานหินขนาดใหญ่ในมือเหมือนกับมันเป็นเพียงแค่ของเล่น ก่อนที่มันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเอรอส ใบหน้าหนากร้าวคล้ายสัตว์ร้าย ดวงตาสีแดงเรืองวาวอย่างดุดัน คำรามต่ำในลำคอ ราวกับต้องการบดขยี้เขาให้กลายเป็นเศษซากใต้เท้าของมันขวานหินนั้นฟาดลงมาอีกครั้ง พื้นดินระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังดุจแผ่นดินไหว เอรอสรีบกระโดดถอยหลัง พลางปัดป้องอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะตวัดขวานของเขาฟาดฟันใส่ขาของมัน แต่แสงสะท้อนของเกราะหินบนร่างมันทำให้คมขวานของเอรอสเบี่ยงไป ขวานทองกระแทกเข้ากับเกราะ
ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปเอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่นในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเ
กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศพื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเสียงสนท
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไปชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธห
แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลมเสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจนเอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบ
หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมา ร่างเล็กๆของเธอสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับคนที่สะลืมสะลือ ตื่นจากการหลับไหลในศาลาสีขาวเล็กๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่านไม่ไกล กิ่งก้านแผ่ขยายอย่างสง่างาม แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้สร้างโดมทองอร่ามปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ขณะบรรยากาศแฝงความลึกลับ ราวกับสถานที่แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้เธอดูเหมือนยังไม่สังเกตเห็นเขา ราวกับว่าไม่มีใครนอกจากตัวเธอในสถานที่นี้ ความเงียบทำให้รู้สึกว่าโลกนี้มีเพียงเธอ ในมุมของเขา เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ดูเหมือนเธอจะเคยชินกับที่นี้ ราวกับอยู่มานานมากแล้วในขณะที่เขายืนห่างเพียงเล็กน้อย สายตาของเธอก็เลื่อนมาหาเขา ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นเข้ามาในจิตใจ เหมือนกับถูกดึงดูดด้วยความสงสัย แต่ก็มีความกดดันแฝง ราวกับเธอสัมผัสถึงความลึกลับที่เขาซ่อนอยู่ หัวใจเขาเต้นแรงเมื่อเธอเริ่มรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา“...นั้นใคร?” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยแต่แฝงความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง คำถามของเธอตึงเครียดขึ้น และในวินาทีนั้น พลังมานาที่สะสมในร่างเล็กๆ ของเธอก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงความรู้สึกที่เคยสงบนิ่งของเขาถูกแทนที่