เอรอสและไอลีนซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากจุดที่ถูกซุ่มดูอยู่ ใบหน้าไอลีนเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบอสขององค์กรยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองผู้หญิงที่คุกเข่าลงอย่างเย้ยหยัน พลังแผ่พลังกดดันหญิงสาวอย่างหนักหน่วง จนเธอต้องสร้างมานาเบาบางขึ้นมาปกป้องตัวเอง แม้จะใกล้หมดแรงเต็มที แต่เธอก็ยังดิ้นรมไม่ยอมจำนนอยู่
แววตาโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของไอลีน เหมือนเธอพร้อมจะพุ่งเข้าไปจัดการในทันที แต่เอรอสที่ยืนอยู่ข้างๆจับสังเกตความเครียดของเธอได้ เขาหันไปมองเธออย่างนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ
“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไร?”
ไอลีนสบตาเขา แม้จะพยายามสะกดอารมณ์ แต่แววตามุ่งมั่นนั้นบอกชัดเจนว่าเธออยากจะช่วยหญิงสาวคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าต้องเสี่ยงแค่ไหน เธอกระชับปืนในมือแน่น ตั้งใจจะลงมือเต็มที่ แต่ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหว เอรอสก็คว้าข้อมือเธอไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อย่าไป ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตอนนี้ เธอตายแน่ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อย้ำให้รู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
“ผู้ชายคนนั้นมีถึงสามวงแหวน ระดับเธอที่มีแค่วงแหวนเดียวจะทำอะไรเขาได้?”
ไอลีนสะบัดข้อมือออกด้วยท่าทางดื้อดึง แววตาเด็ดเดี่ยว “ถ้านายไม่ช่วย ฉันจะจัดการเอง!” เธอกำลังจะหันไป แต่เอรอสถอนหายใจอย่างหนักใจ ก่อนจะคว้าอะไรบางอย่างจากกระเป๋าออกมา
“ถ้าเธอจะไป งั้นเอานี่ไปด้วย” เขายื่นขวดใสเล็กๆสองขวดให้ หนึ่งในนั้นบรรจุแมลงสีดำประหลาด ขนาดส่วนท้องใหญ่ผิดปกติ อีกขวดเป็นโพชั่นสีฟ้าในขวดเก่าๆ
“ขวดนี้เป็นโพชั่นฟื้นฟู ใช้เมื่อเริ่มหมดแรง ส่วนขวดนี้…” เขาชี้ไปที่ขวดแมลง“ปามันใส่ผู้ชายคนนั้น มันจะทำให้อีกฝ่ายใช้มานาไม่ได้ชั่วคราว ใช้มันในตอนที่จนมุมจริงๆเท่านั้น”
ไอลีนรับขวดมา แววตาเธอลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองในกระเป๋าของเธอเพื่อเช็คแก่นพลังงานมอนสเตอร์สีแดงและสีฟ้าที่พกมาด้วยอย่างรวดเร็ว พวกมันจะช่วยเติมพลังให้ปืนของเธอได้หากจำเป็น
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเอรอส สงสัยว่าเขาจะทำอะไรต่อ
“แล้วนายจะทำอะไร?”
เอรอสหันไปมองกลุ่มลูกสมุนที่กระจายอยู่พื้นที่โดยรอบ ก่อนจะหันกลับมามองเธอ
“ฉันจะล่อพวกที่เหลือไปให้ออกห่างจากที่นี่ ระหว่างนั้นเธอถ่วงเวลาบอสมันไว้สัก 15 นาที พอฉันล่อมันออกไปแล้ว จะกลับมาช่วยเธอ”
ไอลีนพยักหน้ารับแผนของเขาอย่างเข้าใจ ขณะที่เอรอสเตรียมตัวจะเคลื่อนไหว เขามองเธอด้วยแววตาที่มีเลศนัยบางอย่าง แฝงไปด้วยความเคร่งขรึม และ ความคาดหวังเขาพูดขึ้นช้าๆทิ้งท้ายเอาไว้
“จำเอาไว้ ถ้าไม่ไหว ให้หนีทันที ต่อให้ต้องทิ้งผู้หญิงคนนั้นก็ตาม”
ไอลีนสะอึกไปเล็กน้อย คำพูดนั้นทำให้เธอรู้ว่าเอรอสไม่ต้องการให้เธอเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์ แต่แววตาคู่นั้นของเขาก็เหมือนจะมองลึกเข้ามา ประเมินว่าเธอจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกระหว่างตัวเองกับชีวิตของผู้อื่น
ไอลีนเม้มปากแน่น มองเอรอสที่เริ่มเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด เธออดรู้สึกถึงน้ำหนักของคำพูดสุดท้ายที่ทิ้งไว้ไม่ได้ แม้เขาจะพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง แต่ส่วนหนึ่งของเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้าทาย ราวกับเขากำลังทดสอบจิตใจของเธออยู่
เธอสูดหายใจเข้าลึก พยายามสงบใจให้มั่นคง เสียงสะท้อนของเธอเตือนตัวเอง“ฉันจะไม่ล้มเหลว...ไม่ว่ายังไงก็ตาม” แววตามุ่งมั่นที่เคยสะท้อนความโกรธกลับสลายกลายเป็นความมุ่งมั่นแท้จริง
ขณะที่เธอเคลื่อนเข้าใกล้จุดที่บอสยืนอยู่ ไอลีนเก็บขวดทั้งสองไว้ใกล้มือ สายตาจับจ้องไปยังศัตรูตรงหน้า เขายังคงมองหญิงสาวที่คุกเข่าด้วยแววตาเย้ยหยัน ไม่ได้สังเกตถึงเธอที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เธอกำปืนแน่นพร้อมจะเปิดฉากการโจมตีทันทีที่มีโอกาส
ทันใดนั้น เธอก็เห็นสัญญาณจากเอรอส เสียงขวดแตกดังขึ้นมา พร้อมๆกับที่เขาถือถุงขนาดใหญ่พาดหลังเอาไว้ เขาในตอนนี้ล่อพวกลูกสมุนออกไปได้จนหมด ทิ้งเพียงบอสขององค์กรที่หันมามองเสียงที่เกิดขึ้น และ หญิงสาวผู้หมดแรงอยู่เบื้องหน้า ไอลีนตัดสินใจทันที
เธอก้าวออกมาจากที่ซ่อน เสียงปืนของเธอดังกึกก้องในห้องมืด ตรงเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ ลูกกระสุนพลังงานพุ่งเข้าใส่บอสเต็มแรง
เขาเซเล็กน้อย แต่ก็กลับมายืนอย่างมั่นคงภายในเสี้ยววินาที ใบหน้าแฝงรอยยิ้มเยือกเย็นอย่างน่ากลัว แววตาเขาจับจ้องเธอราวกับล้อเล่น
“โอ้ว นี้มันแม่สาวน้อยคนใหม่ที่เขาล่ำลือกันนี้น่า”เขายิ้มเล็กน้อย ราวกับได้เห็นของเล่นชิ้นใหม่ ก่อนจะมองร่างกายเของเธออย่างละเอียด แล้วพูดขึ้นมา
“ก็ว่าจะไปจับตัวมาอยู่หรอก แต่ไม่คิดเลยว่าจะเธอจะมาที่นี้ด้วยตนเอง”
ไอลีนยิงปืนอีกครั้งหลังจากที่บอสพูดจบ กระสูนอีกนัดพุ่งตรงไปที่ท้ายทอยเขา แต่กลับถูกปิดกั้นด้วยเกราะมานาที่เคลือบอยู่บนผิวบางๆ ก่อนที่เธอจะโหมยิ่งกระสุดต่อไปอีกหลายชุด
กระสุนทุกนัดที่ยิงออกไปไม่สร้างความเสียหายกับบอส แต่เธอก็พยายามรักษาระยะห่างเพื่อล่อเขาออกมาจากผู้หญิงคนนั้น พลางถอยหลังอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เสียสมดุล
"เจ้าคิดว่าสิ่งนั่นจะทำอะไรข้าได้หรือ?" บอสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนใบหน้า ขณะก้าวเข้ามาใกล้เธออย่างมั่นใจ
ในวินาทีที่ไอลีนเห็นว่าบอสเริ่มออกห่างจากหญิงสาวมากขึ้น สายตาของเธอก็หันไปที่หญิงสาวอีกคนที่คุกเข่าอยู่ไม่ไกล เธอจึงรีบโยนขวดโพชั่นไปให้ หวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยเธอสู้เพื่อถ่วงเวลา
แต่ทันทีที่หญิงสาวดื่มโพชั่นเสร็จ กลับรีบลุกขึ้นหนีไปโดยไม่หันกลับมามอง ไอลีนรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เธอกัดฟันแน่น คำสาบานในใจดังก้องว่ายังไงเธอก็ต้องถ่วงเวลาให้หญิงสาวคนนั้นหนีไปให้ไกลที่สุดก่อน
บอสหันไปมองที่หญิงสาวที่จากไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหรี่ตามองเธออย่างโหดเหี้ยม พลางรวมพลังมานาในมือจนเกิดเป็นมวลดินขนาดใหญ่ที่แฝงพลังทำลายล้าง เขาสะบัดมือส่งมวลดินนั้นพุ่งเข้าใส่เธอโดยไม่มีความลังเล
ไอลีนกระโดดหลบอย่างว่องไว แต่มวลดินแตกกระจายเป็นเศษหินที่เฉียดร่างของเธอไปเพียงนิดเดียว แต่ก็ทิ้งรอยแผลเล็กๆบนแขนและขาของเธอ เธอถอยหลังไปอีกหลายก้าว พยายามรักษาระยะห่างไว้ ขณะที่บอสค่อยๆเดินเข้ามาใกล้อย่างเยือกเย็นและมั่นใจ ทุกนัดที่เธอยิงออกไปกลับมีเพียงผลกระทบเล็กน้อยต่อเกราะที่ถูกสร้างขึ้น มันทำได้เพียงหยุดการเคลื่อนไหวของเขาเพียงเสี้ยววินาที
"เจ้านี่ช่างดื้อรั้นเสียจริง" บอสพูดเสียงเย็น พลางแผ่พลังมานาออกมามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไอลีนยกปืนขึ้นเหนี่ยวไกอีกครั้ง กระสุนที่ปล่อยออกไปครั้งนี้แทบไม่ระคายผิวเขาเลย แต่เธอก็ยังไม่หยุด เธอยังคงยิงซ้ำๆ เพื่อหาทางชะลอการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้บอสเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมา
“เจ้าคิดว่าจะยื้อเวลาได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว?” เขาถามด้วยเสียงเย้ยหยัน พร้อมยื่นมือขึ้นสร้างมวลดินอันใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
ไอลีนรู้สึกถึงแรงกดดันที่พุ่งเข้ามา หัวใจของเธอเต้นถี่ด้วยความตึงเครียด แต่ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจ เธอรีบดึงแก่นมานาสีแดงออกมาใส่ในปืน พลังมหาศาลที่ถูกอัดแน่นอยู่ในแก่นมานานั้นแผ่กระจายออกมาจากปืน จนทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวในทันที ปลายกระบอกปืนเปล่งแสงสีแดงเข้ม เธอเล็งไปที่บอสและเหนี่ยวไกอย่างแน่วแน่ กระสุนที่เสริมพลังมานาพุ่งตรงเข้าสู่เกราะของบอสอย่างจังจนมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
บอสชะงักไปเล็กน้อย สายตาเย็นชาของเขาหยุดลงที่เธอ ขณะที่รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้น เธอรู้ดีว่าการโจมตีนี้ยังไม่เพียงพอ หลังจากแก่นมานาสีแดงถูกขับออกมา เธอจึงรีบใส่แก่นมานาสีแดงอีกก้อนเข้าไปใหม่ พลังที่แผ่ออกมาจากปืนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงในอากาศ
"คราวนี้แหละ แกโดนแน่!" เธอตะโกนพลางเหนี่ยวไก กระสุนมานาพุ่งทะลุเข้าหาบอสอีกครั้ง คราวนี้กระสุนสีแดงเข้มเจาะเข้าไปในเกราะที่กำลังผสานขึ้นมาใหม่ และ สร้างรอยแผลลึกบนร่างกายของเขา บอสเซถอยไปข้างหลังเล็กน้อย ก่อนที่จะตั้งหลักพร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
บอสแผ่พลังมานาออกมารอบตัวจนพื้นดินสั่นไหว ไอลีนรู้สึกว่าตอนนี้เขากำลังโมโหอย่างที่สุด ขณะที่มันกำลังเคลื่อนไหว เข้ามาใกล้มากขึ้น แต่มานาของเธอกำลังลดลงเรื่อยๆ จากการใช้เวทย์เสริมพละกำลังให้ตนเอง
ไอลีนกัดฟันแน่น เตรียมรับมือกับการโจมตีที่รุนแรงกว่าเดิม เธอกลับไปใช้แก่นมานาสีฟ้าต่อ แล้วยิงกระสุนมานาสวนกลับอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าความเร็วในการหลบหลีก และ ความแม่นยำจะลดลงจากความเหนื่อยล้า แต่เธอยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด พยายามถ่วงเวลาให้มากที่สุด
บอสเพิ่มความเร็วและความรุนแรงของการโจมตี มวลดินขนาดใหญ่ถูกก่อตัวขึ้นในมือของเขาอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าใส่เธอด้วยแรงมหาศาล “ยอมแพ้เสียเถอะ!” บอสตะโกนลั่น ไอลีนกระโดดหลบ แต่ขาอ่อนแรงจากการต่อสู้จนเสียการทรงตัว ล้มลงกับพื้น บอสเห็นโอกาส รีบเข้าประชิดตัวเธอ และ ระดมโจมตีด้วยพลังมานาอย่างไม่ปรานี
ขณะที่เขารวบพลังเตรียมโจมตีอีกครั้ง ไอลีนตัดสินใจคว้าขวดเล็กที่มีแมลงสีดำอยู่ข้างใน ซึ่งเอรอสบอกว่าจะหยุดการไหลเวียนมานาได้ เธอขว้างขวดใส่เขาเต็มแรง ขวดแตกออก แมลงสีดำพุ่งออกมาเกาะบนตัวของบอส เขาชะงักไปเล็กน้อย มองแมลงที่เกาะบนตัวด้วยสีหน้าเยือกเย็นและสงสัย เขาหันกลับมามองไอลีนและหัวเราะเยาะ
"คิดว่าเจ้าแมลงตัวน้อยนี่จะทำอะไรข้าได้หรือ?" เขากล่าวเย้ยหยัน ความโกรธในดวงตาฉายชัดยิ่งกว่าเดิม
ไอลีนรู้ทันทีว่าเธอโดนเอรอสหลอก แมลงนั้นไม่มีผลใดๆแต่บอสยังคงแสดงออกถึงความโกรธที่ยิ่งทวีขึ้น
หลังจากเอรอสจัดการลูกสมุนที่ตามล่าเขาจนหมดสิ้น เขาเก็บรวบรวมถุงเงินและของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิม จัดแจงให้ร่างกายแนบชิดไปกับเงามืดของต้นไม้ใหญ่ ตาจับจ้องไปที่ไอลีนซึ่งกำลังต่อสู้กับบอสขององค์กรอย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆเอรอสมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงียบงัน ขณะที่ไอลีนพยายามหลบหลีกและโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางการต่อสู้ที่ดุดันนั้นทำให้เอรอสรู้สึกทึ่ง รู้สึกถึงความกล้าหาญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบในตัวเธอ ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงปะทะ เขาแอบมองเธอในความมืด รู้สึกได้ถึงความพยายามอันเด็ดเดี่ยวที่หายากในตัวคนทั่วไปร่างกายของไอลีนดูอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หายใจหอบแรง บาดแผลที่แขนและขาดูเหมือนจะทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังคงยืนหยัด และพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเอรอสสังเกตเห็นบางสิ่งบนพื้นใกล้ๆโพชั่นมานาขวดหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่ไอลีนตั้งใจจะไปช่วย เป็นโพชั่นเดียวที่เขาเอาไว้ให้เธอสามารถฟื้นฟูมานาของตัวเองใยการต่อสู้ แต่ไอลี
เอรอสพุ่งเข้าหามันสุดกำลัง พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าหนักของเขา เสียงคำรามต่ำของมันดังก้องราวสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอจะเข่นฆ่า เงาดำก่อตัวจากร่างของมัน แผ่พลังเวทย์สีเขียวหม่นรุนแรง จนสั่นคลอนทุกสิ่งรอบข้าง ดิน และ เศษหิน กระจัดกระจายอย่างรุนแรงจนพื้นดินรอบๆแตกออกเป็นริ้วร้าวลึกกลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้ง กลบอากาศจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศมืดครึ้มกดดันเหมือนทั้งโลกกำลังถูกกลืนด้วยพลังชั่วร้าย หินยักษ์ผุดขึ้นจากพื้นรอบตัวมันตามแรงเรียกของเวทมนตร์ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวจนราวกับว่าทั้งพื้นที่กำลังจะถล่มลงมามันเหวี่ยงแขนมหึมาขึ้น หินก้อนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น แสงเขียวหม่นเรืองรองห่อหุ้มก้อนหินที่หมุนวนรอบตัวมันอย่างเกรี้ยวกราด มันปล่อยเสียงคำรามเบาๆคล้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน หินพุ่งตรงเข้าใส่เอรอสในพริบตา เอรอสกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เศษดินและแรงลมจากหินที่พุ่งเฉียดหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตา ปัดฝุ่นผงออกจากใบหน้าเอรอสสะบัดขวานทองในมือที่ส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเหมือนดวงดาว ขณะฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ เสียงหินระเบิดดังสะท้อนรอบบริเวณ เศษหินกระเด็นเป็นฝุ่นผงลอยกระจายไปทั่วจนป
เสียงหอบของเอรอสกลืนไปกับเสียงลั่นของหิน และ ฝุ่นที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ เขายืนหยัดอยู่กลางพื้นที่ของอาคารที่ถูกทำลายจากการโจมตีของทั้งสองฝั่ง ผิวดินที่แตกออกเป็นริ้วรอย และ เศษหินเกลื่อนกลาดรอบตัวเป็นพยานถึงการโจมตีที่รุนแรง ขวานสีทองในมือยังคงส่องแสงท่ามกลางหมอกฝุ่นรอบตัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำในอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ให้ศัตรูเบื้องหน้ามองเห็นความอ่อนแอมิโนทอร์ร่างยักษ์ตรงหน้า ผิวหนังสีคล้ำประหนึ่งแผ่นหิน ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะหนาทึบ เงามืดและพลังเวทย์สีเขียวหม่นแผ่กระจายออกจากร่างของมันอย่างน่ากลัว มันกวัดแกว่งขวานหินขนาดใหญ่ในมือเหมือนกับมันเป็นเพียงแค่ของเล่น ก่อนที่มันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเอรอส ใบหน้าหนากร้าวคล้ายสัตว์ร้าย ดวงตาสีแดงเรืองวาวอย่างดุดัน คำรามต่ำในลำคอ ราวกับต้องการบดขยี้เขาให้กลายเป็นเศษซากใต้เท้าของมันขวานหินนั้นฟาดลงมาอีกครั้ง พื้นดินระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังดุจแผ่นดินไหว เอรอสรีบกระโดดถอยหลัง พลางปัดป้องอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะตวัดขวานของเขาฟาดฟันใส่ขาของมัน แต่แสงสะท้อนของเกราะหินบนร่างมันทำให้คมขวานของเอรอสเบี่ยงไป ขวานทองกระแทกเข้ากับเกราะ
ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปเอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่นในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเ
กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศพื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเสียงสนท
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น
ในห้องทำงานของกิลด์นักผจญภัย บรรยากาศเงียบงันอย่างกดดัน แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ช่วยให้ห้องนี้รู้สึกอบอุ่นแม้แต่น้อย กลิ่นไม้เก่าและหมึกเขียนหนังสืออบอวลอยู่ในอากาศ บนโต๊ะมีเอกสารกองระเกะระกะ สะท้อนถึงความสับสนวุ่นวายในงานที่ค้างคา เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ ของชายร่างใหญ่ดังก้องในห้อง ราวกับเขากำลังทุ่มความโกรธทั้งหมดลงในทุกย่างก้าว“พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่!!”เสียงของขุนนางร่างใหญ่ดังก้องทั่วห้อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด ชายวัยกลางคนผู้จัดการแผนกสืบสวนก้มศีรษะต่ำ มือสั่นไหวเล็กน้อยจากแรงกดดันที่ได้รับ“ผมขอโทษจริงๆครับท่าน เรากำลังพยายามเต็มที่ในการตามหาตัวลูกชายของท่าน เราจะเร่งหาข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด” เขาเอ่ยเสียงสั่น เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวลในแววตา“พยายาม? พวกแกยังกล้ามาพูดคำนี้อีกงั้นเหรอ? พวกแกทำอะไรอยู่ตั้งหลายวัน! แต่ก็ยังหาเขาไม่เจอ!!” เสียงของขุนนางเหมือนฟ้าผ่ากลางห้อง เขายืนอยู่ตรงหน้าผู้จัดการ ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไปชายผู้จัดการขบกรามแน่น เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอารมณ์โกรธห
แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นทอดเงาหม่นลงบนพื้นดินสกปรกของย่านสลัมตอนใต้ของเมือง ตรอกซอกซอยที่คดเคี้ยวคับแคบเช่นนี้ถูกทิ้งร้างมานาน พื้นดินแตกระแหง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำจากไม้เก่า และ หินที่กองกันอย่างไม่เป็นระเบียบ บางหลังทรุดโทรมจวนพัง หลังคามุงกระเบื้องเก่าๆ ผ้าที่ติดอยู่ที่หน้าต่างปลิวไสวตามลมเสียงแผ่วเบาของมัน ยิ่งเสริมให้บรรยากาศโดยรอบดูเงียบเหงา อ้างว้าง เศษขยะ และ วัตถุเหลือใช้กองอยู่ตามมุมต่างๆ บ่งบอกถึงความเสื่อมโทรมของที่นี่ชัดเจนเอรอสยืนอยู่หน้าปากซอยหนึ่ง หลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันตระเวนตามหาร่องรอยของมานาที่ตกค้างหลงเหลืออยู่บนตัวผู้เสียหาย แม้มันจะเหลือน้อยจนแทยสัมผัสไม่ได้ แต่ก็เพียงพอที่จะนำพาเขามาถึงสถานที่นี้มานาที่เขารับรู้ได้คล้ายกับมานาที่ลอยอยู่ในอากาศตรงหน้า แต่มีบางอย่างแปลกประหลาด... มันเย็นเยียบ หนักอึ้ง และ บิดเบี้ยว ผิดธรรมชาติอย่างรุนแรง มันให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แม้มานานั้นจะสงบนิ่งอยู่ในขณะนี้ แต่ความมืดมิดที่แผ่ออกมาจากมัน ยังคงสร้างความรู้สึกอึดอัด และ ชวนให้ระแวง ราวกับมันรอคอยบางสิ่งที่จะกระตุ้นให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง"ที่นี่สินะ..." เอรอสกระซิบ