เอรอสยืนมองไอลีนที่เก็บ Arcane Pulse Gun เข้าที่ ท่าทางของเธอแน่วแน่ แต่สายตากลับแฝงด้วยความเหนื่อยล้า เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสงบ
“ยังตามหาพวกรีดไถ่อยู่อีกงั้นเหรอ?”
ไอลีนยักไหล่ แววตาฉายความมุ่งมั่น
“ใช่สิ จะให้พวกนั้นอยู่เฉย ๆ แล้วทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยเหรอ?”
ไอลีนปรายตามองเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย
“แล้วคุณ หมาป่าเดียวดาย มาทำอะไรแถวนี้? มาตามหาฉันหรือไง?”
เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวอย่างระอากับชื่อเล่นที่เธอตั้งให้เขา แม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆกับฉายาที่เธอแกล้งตั้งให้ ก่อนที่จะขยับตัว เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง
“ใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อเตือนเธอ”
ไอลีนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงสัยปนฉงน “เตือน? เตือนเรื่องอะไร?”
เอรอสถอนหายใจแผ่วเบา เผยให้เห็นถึงน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้เธอหยุดพาเด็กๆ จากสลัมไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแบบนั้น มันเปล่าประโยชน์”
คำพูดนั้นทำให้ไอลีนชะงักไป เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ"คุณหมายความว่าไง? ฉันแค่พาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย"
เอรอสจ้องมองกลับตอบด้วยแววตาเรียบนิ่ง แต่แฝงความจริงจัง
"เธอไม่ได้ให้เงินกับพวกนั้นใช่ไหม?"
เธอเลิกคิ้ว "เงิน? ถ้าหมายถึงเงินบริจาคล่ะก็... ฉันให้ไปแค่ 1-2 เหรียญเงินเท่านั้นเอง—"
“คิดว่าแค่นั้นมันจะพอช่วยอะไรได้งั้นเหรอ?”เอรอสเอ่ยขึ้นขัดจังหวะทันที ท่าทางของเขาทำให้ไอลีนเผลอกระพริบตาด้วยความไม่สบายใจ ความกดดันในสายตาของเอรอสทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกกดให้พิจารณาเรื่องที่เธอไม่เคยใส่ใจมาก่อน
"หมายความว่ายังไง? สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็มีหน้าที่ดูแลเด็กๆ ให้ได้รับการดูแลไม่ใช่หรือไง?" ไอลีนพยายามถามต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ความไม่มั่นใจฉายชัดในดวงตาของเธอ
เอรอสถอนหายใจเบาๆก่อนจะเอ่ย “เธอไม่สงสัยบ้างเลยรึไง? ทำไมถึงมีเด็กจากสลัมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสถานรับเลี้ยงนั้นทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ”เอรอสเว้นช่วงเล็กน้อย เพื่อย้ำชัดถึงความเป็นจริง "ไม่มีทางที่จะมีเด็กๆเหลือให้เธอช่วยแน่นอน"
ไอลีนเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าที่เคยมั่นใจเริ่มเปลี่ยนเป็นหนักใจมากขึ้น ดวงตาหม่นลงเล็กน้อยขณะครุ่นคิดถึงสิ่งที่เอรอสพูด “คุณพูดเรื่องอะไร……?”
“มันก็เป็นแค่สถานที่ที่ไว้หลอกกินเงินบริจาค และ เงินสนับสนุนจากเมืองเท่านั้น” เอรอสเอ่ยเสียงนิ่ง พลางเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อสังเกตท่าทีของไอลีน เธอเบิกตาขึ้นเล็กน้อย สีหน้าตกใจอย่างชัดเจน ซึ่งเอรอสก็ไม่แปลกใจนัก เพราะเธอมาจากชายแดน คงไม่มีโอกาสได้รู้เบื้องหลังอันซับซ้อนเหล่านี้มาก่อน
ถ้าเธออยากให้เด็กๆที่เธอส่งไปอยู่สบายจริงๆ ก็คงต้องให้เงินพวกนั้นเยอะหน่อย…. แล้วที่ผ่านมาเธอชวนสำเร็จไปแล้ว กี่คนหล่ะ?”
ไอลีนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดแล้วตอบเสียงแผ่วเบา “สิบคน”
“ถ้าอย่างนั้น… 20 เหรียญทองก็คงจะพอ” เอรอสพูดด้วยน้ำเสียงตั้งใจ ทิ้งความหมายให้ไอลีนรับรู้โดยไม่จำเป็นต้องพูดต่อ เขาไม่ได้เอ่ยถึงว่าจำนวนนี้ต้องจ่ายเป็นรายเดือน แต่แววตาของเขาก็เพียงพอให้เธอเข้าใจนัยสำคัญ
ไอลีนเบิกตาขึ้น น้ำเสียงเธอสั่นเล็กน้อย "จำนวนเงินขนาดนั้นมัน...!” เธอคิดถึงจำนวนเงินที่สามารถเลี้ยงดูพี่น้องของเธอ ให้กินอิ่มได้ทุกมื้อถึงหนึ่งเดือนอย่างสบายๆ และ เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในตระกูล
เอรอสยิ้มบางๆ ส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่มีจ่ายสินะ? ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีกเลย ถ้ารับผิดชอบไม่ไหว ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นเถอะ—”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางเสียใจในสายตาของไอลีน เธอเงียบ และ หันสายตาลงต่ำ รู้สึกละอายอย่างชัดเจน ความสงสารเอ่อในใจเขา แม้เอรอสจะลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจพูดออกมาเบาๆ
"ฉันจะจัดการที่เหลือเอง แค่สัญญาว่าจะไม่ชวนเด็กๆไปที่นั่นอีกก็พอ”
เอรอสเตรียมหันหลังเดินจากไป แต่ทันทีที่หมุนตัว เสียงของไอลีนก็เอ่ยเรียกเขาไว้ “นายตั้งใจจะทำอะไร?”
เอรอสยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่แฝงความมั่นใจ
"ก็ไปหาเงินมาจ่ายให้ไงล่ะ?"เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาสีเทาเหลือบมองไอลีนที่ยืนอยู่ลำพัง เธอยังคงมีสีหน้าฉงนและสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เอรอสจะถอนหายใจเบาๆ และตัดสินใจเอ่ยขึ้น
"ไหนๆ เธอก็กำลังตามหาพวกมันอยู่แล้วนี่ ถ้าพวกมันถูกจับ เธอคงไม่ต้องวนเวียนมาแถวนี้อีกใช่ไหม?"
คำพูดของเขาทำให้ไอลีนยิ่งสงสัยมากขึ้น เธอมองเขาอย่างไม่แน่ใจ ก่อนที่เอรอสจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงความเฉียบคม
"ตามมาเงียบๆ อยู่เฉย อย่าทำอะไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง"
ไอลีนขมวดคิ้วและถามด้วยความกังวล "นายจะทำอะไร? จะไปจัดการพวกนั้นงั้นเหรอ? ด้วยตัวคนเดียว?"
เอรอสแค่พยักหน้าเล็กน้อยและเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง น้ำเสียงเย็นชาของเขาดูแน่วแน่เมื่อเขาตอบ "ใช่ ฉันจะไปจัดการพวกมันเอง เธอไม่ต้องเป็นห่วง แค่ทำตามที่ฉันบอกก็พอ"
ไอลีนกัดริมฝีปากอย่างลังเล เธอมองแผ่นหลังของเอรอสที่ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง แม้เธอจะมีความสงสัยในฝีมือของเขา และ ไม่คิดว่าเขาจะจัดการพวกมันได้ด้วยตัวคนเดียว แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะตามหลังไปอย่างเงียบๆ ความกังวลซ่อนอยู่ในสายตา ขณะที่เธอจับมือเข้าหากันแน่น ยอมรับว่าไม่สามารถขัดขวางเขาได้
พวกเขาก้าวเดินลึกเข้าไปทางใต้ของเมืองขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศรอบข้างเริ่มเงียบสงบลงและมืดมิดขึ้น เอรอสพาไอลีนลัดเลาะตามบันไดเก่าๆของอาคารทรุดโทรมหลายชั้น ไอลีนตามเขาขึ้นไปเงียบๆจนกระทั่งถึงจุดที่แสงจันทร์ส่องลอดผ่านช่องว่างบนหลังคา แสงสีเงินร่วงลงมาแตะพื้นเบื้องล่าง เผยให้เห็นเมืองเก่า และ เงาของตรอกซอยที่ทอดยาวอยู่ในความมืด
เอรอสมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่ผ้าสกปรกๆผืนหนึ่งที่แขวนอยู่ตรงขอบหน้าต่างของบ้านเรือนเก่า เขาเอื้อมมือไปคว้าผ้าผืนนั้นมากำไว้ ขณะเดียวกันก็โยนเหรียญทองแดง 4-5 เหรียญทิ้งไว้ตรงขอบหน้าต่าง เป็นการตอบแทนเล็กๆน้อยๆสำหรับเจ้าของบ้านที่อาจไม่รู้ตัว
ไอลีนขมวดคิ้ว มองการกระทำของเขาด้วยความสงสัย "นั่นนายทำอะไร?"
เอรอสไม่ตอบ แต่เดินกลับมาหาเธอพร้อมผ้าสกปรกในมือ เขาโยนมันไปให้เธอโดยไม่บอกอะไรเพิ่มเติม
“คลุมตัวเอาไว้ รูปลักษณ์ของเธอเด่นเกินไป” เขาบอกเสียงเรียบ ขณะที่เหลือบมองเธอจากหัวจรดเท้า ท่าทางราวกับว่าการปลอมตัวเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
ไอลีนรับผ้าไว้ ย่นคิ้วเล็กน้อยขณะคลุมตัวตามที่เขาบอก เธอไม่ค่อยพอใจนักกับสภาพของผ้าผืนนั้น แต่พอเข้าใจเหตุผลที่เอรอสเลือกให้เธอปกปิดตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ขณะนั้นเอรอสหันไปมองทางเบื้องหน้า เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่าในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิงบ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่ง
เอรอสและไอลีนซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากจุดที่ถูกซุ่มดูอยู่ ใบหน้าไอลีนเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบอสขององค์กรยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองผู้หญิงที่คุกเข่าลงอย่างเย้ยหยัน พลังแผ่พลังกดดันหญิงสาวอย่างหนักหน่วง จนเธอต้องสร้างมานาเบาบางขึ้นมาปกป้องตัวเอง แม้จะใกล้หมดแรงเต็มที แต่เธอก็ยังดิ้นรมไม่ยอมจำนนอยู่แววตาโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของไอลีน เหมือนเธอพร้อมจะพุ่งเข้าไปจัดการในทันที แต่เอรอสที่ยืนอยู่ข้างๆจับสังเกตความเครียดของเธอได้ เขาหันไปมองเธออย่างนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไร?”ไอลีนสบตาเขา แม้จะพยายามสะกดอารมณ์ แต่แววตามุ่งมั่นนั้นบอกชัดเจนว่าเธออยากจะช่วยหญิงสาวคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าต้องเสี่ยงแค่ไหน เธอกระชับปืนในมือแน่น ตั้งใจจะลงมือเต็มที่ แต่ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหว เอรอสก็คว้าข้อมือเธอไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“อย่าไป ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตอนนี้ เธอตายแน่ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อย้ำให้รู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น“ผู้ชายคนนั้นมีถึงสามวงแหวน ระดับเธอที่มีแค่วงแหวนเดียวจะทำอะไรเขาได้?”ไอลีนสะบัดข้อมือออกด้วยท่าทางดื้อดึง แววตาเด็ดเดี่ยว “ถ้านายไ
หลังจากเอรอสจัดการลูกสมุนที่ตามล่าเขาจนหมดสิ้น เขาเก็บรวบรวมถุงเงินและของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิม จัดแจงให้ร่างกายแนบชิดไปกับเงามืดของต้นไม้ใหญ่ ตาจับจ้องไปที่ไอลีนซึ่งกำลังต่อสู้กับบอสขององค์กรอย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆเอรอสมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงียบงัน ขณะที่ไอลีนพยายามหลบหลีกและโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางการต่อสู้ที่ดุดันนั้นทำให้เอรอสรู้สึกทึ่ง รู้สึกถึงความกล้าหาญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบในตัวเธอ ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงปะทะ เขาแอบมองเธอในความมืด รู้สึกได้ถึงความพยายามอันเด็ดเดี่ยวที่หายากในตัวคนทั่วไปร่างกายของไอลีนดูอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หายใจหอบแรง บาดแผลที่แขนและขาดูเหมือนจะทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังคงยืนหยัด และพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเอรอสสังเกตเห็นบางสิ่งบนพื้นใกล้ๆโพชั่นมานาขวดหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่ไอลีนตั้งใจจะไปช่วย เป็นโพชั่นเดียวที่เขาเอาไว้ให้เธอสามารถฟื้นฟูมานาของตัวเองใยการต่อสู้ แต่ไอลี
เอรอสพุ่งเข้าหามันสุดกำลัง พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าหนักของเขา เสียงคำรามต่ำของมันดังก้องราวสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอจะเข่นฆ่า เงาดำก่อตัวจากร่างของมัน แผ่พลังเวทย์สีเขียวหม่นรุนแรง จนสั่นคลอนทุกสิ่งรอบข้าง ดิน และ เศษหิน กระจัดกระจายอย่างรุนแรงจนพื้นดินรอบๆแตกออกเป็นริ้วร้าวลึกกลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้ง กลบอากาศจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศมืดครึ้มกดดันเหมือนทั้งโลกกำลังถูกกลืนด้วยพลังชั่วร้าย หินยักษ์ผุดขึ้นจากพื้นรอบตัวมันตามแรงเรียกของเวทมนตร์ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวจนราวกับว่าทั้งพื้นที่กำลังจะถล่มลงมามันเหวี่ยงแขนมหึมาขึ้น หินก้อนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น แสงเขียวหม่นเรืองรองห่อหุ้มก้อนหินที่หมุนวนรอบตัวมันอย่างเกรี้ยวกราด มันปล่อยเสียงคำรามเบาๆคล้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน หินพุ่งตรงเข้าใส่เอรอสในพริบตา เอรอสกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เศษดินและแรงลมจากหินที่พุ่งเฉียดหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตา ปัดฝุ่นผงออกจากใบหน้าเอรอสสะบัดขวานทองในมือที่ส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเหมือนดวงดาว ขณะฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ เสียงหินระเบิดดังสะท้อนรอบบริเวณ เศษหินกระเด็นเป็นฝุ่นผงลอยกระจายไปทั่วจนป
เสียงหอบของเอรอสกลืนไปกับเสียงลั่นของหิน และ ฝุ่นที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ เขายืนหยัดอยู่กลางพื้นที่ของอาคารที่ถูกทำลายจากการโจมตีของทั้งสองฝั่ง ผิวดินที่แตกออกเป็นริ้วรอย และ เศษหินเกลื่อนกลาดรอบตัวเป็นพยานถึงการโจมตีที่รุนแรง ขวานสีทองในมือยังคงส่องแสงท่ามกลางหมอกฝุ่นรอบตัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำในอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ให้ศัตรูเบื้องหน้ามองเห็นความอ่อนแอมิโนทอร์ร่างยักษ์ตรงหน้า ผิวหนังสีคล้ำประหนึ่งแผ่นหิน ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะหนาทึบ เงามืดและพลังเวทย์สีเขียวหม่นแผ่กระจายออกจากร่างของมันอย่างน่ากลัว มันกวัดแกว่งขวานหินขนาดใหญ่ในมือเหมือนกับมันเป็นเพียงแค่ของเล่น ก่อนที่มันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเอรอส ใบหน้าหนากร้าวคล้ายสัตว์ร้าย ดวงตาสีแดงเรืองวาวอย่างดุดัน คำรามต่ำในลำคอ ราวกับต้องการบดขยี้เขาให้กลายเป็นเศษซากใต้เท้าของมันขวานหินนั้นฟาดลงมาอีกครั้ง พื้นดินระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังดุจแผ่นดินไหว เอรอสรีบกระโดดถอยหลัง พลางปัดป้องอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะตวัดขวานของเขาฟาดฟันใส่ขาของมัน แต่แสงสะท้อนของเกราะหินบนร่างมันทำให้คมขวานของเอรอสเบี่ยงไป ขวานทองกระแทกเข้ากับเกราะ
ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปเอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่นในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเ
กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศพื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเสียงสนท
บรรยากาศในห้องทำงานของผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าช่างอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก กลิ่นอับของเอกสารเก่าผสมกับกลิ่นบุหรี่จางๆ โอบล้อมพื้นที่เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและบัญชีการเงิน ผู้อำนวยการนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้หนังเก่าซึ่งดูเหมือนพร้อมจะพังได้ทุกเมื่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชวนให้รู้สึกระแวงมากกว่าสบายใจ"คุณเอรอสใช่ไหม? ฉันได้รับการแจ้งมาว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้เหล่าเด็กๆที่คุณหนูไอลีนพามา" เสียงของเขาเนิบนาบ ท่าทางเหมือนพยายามจับจุดอีกฝ่ายเอรอสนั่งนิ่งอยู่ตรงข้าม เขาสูงโปร่งสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี สายตาสีเทาของเขาเย็นชาและไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ“ใช่ ผมมาที่นี่ บริจาคเงิน ให้เด็กๆที่เพิ่งเข้ามา" เขาเอ่ยเสียงเรียบผู้อำนวยการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ"อืม น่าชื่นชมจริงๆนะครับ แต่การรับผิดชอบเงินจำนวนมากขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอมาจากครอบครัวไหนหรือ ถึงได้ใจกว้างขนาดนี้?"คำถามนั้นเหมือนมีความนัย แต่เอรอสไม่แสดงอาการใดๆ เขาเพียงหยิบถุงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางมันลงบนโต๊ะ เสียงเหรียญกระทบกันดังชัดเจน"ไม่จำเป็นต้องถาม" เขาตอบสั้นๆน้ำเสียงราบเรียบ แต่หนักแน่น