เสียงรองเท้าบูตของไอลีนดังกระทบพื้นในเงามืด แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง เงาของเธอทอดยาวตามผนังซอยแคบ อันธพาลทั้งกลุ่มจ้องมองด้วยสายตาฉงนสงสัย ทันทีที่เห็นอาวุธในมือเธอ บูมเมอแรงสีเงินลวดลายวิจิตรสะท้อนแสงไฟสีฟ้าจางๆ พวกมันถึงกับนิ่งเงียบไป
เมื่อเห็นแสงสีฟ้าระยิบระยับที่ปลายอาวุธ อันธพาลคนหนึ่งขมวดคิ้วและกระซิบกับเพื่อนๆด้วยน้ำเสียงประหม่า จนในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องพูดออกมา
“อย่าบอกนะว่าเธอจะเอาของแบบนั้นมาสู้กับเรา?”เขาหัวเราะเบาๆ แต่สายตายังจับจ้องอย่างหวาดระแวง ขณะที่หนึ่งในแสดงออกด้วยท่าทางงที่เย้ยหยัน
"อะไรจ่ะน้องสาว? จะเอาของสิ่งนั้นมาปาใส่พวกเรา?” มันหัวเราะเสียงเยาะขณะที่จ้องมองเธอด้วยสายตาไม่เกรงกลัว
ไอลีนเพียงแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอไม่ตอบคำใดๆ ก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นเล็งไปที่กลุ่มคนตรงหน้า ท่าทางของเธอแน่วแน่ มั่นคง ไร้ความลังเล
ทันใดนั้น อันธพาลคนหนึ่งที่รู้สึกถึงอันตราย มันพุ่งเข้าใส่เธอด้วยความรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่มือของมันจะสัมผัสตัวเธอ ไอลีนก็เหนี่ยวไก วงแหวนสีฟ้าเรืองแสงพุ่งออกจากปลายอาวุธ กระแทกเข้าที่กลางตัวของชายคนนั้นอย่างจัง ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อยก่อนจะล้มลงนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นท่ามกลางความตกใจของเพื่อนๆ
เพื่อนร่วมกลุ่มของอันธพาลหันมองกันอย่างตื่นตระหนก ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าอาวุธเล็กๆ นั้นสามารถทำให้เพื่อนของพวกเขาล้มลงได้ในทันที หนึ่งในนั้นตกใจถึงกับผงะถอยหลัง บางคนเหลือบมองไปที่เพื่อนที่ล้มลง อย่างไม่เชื่อสายตา ในขณะที่บางคนเริ่มส่งเสียงตะโกนด้วยความโมโห
"นี่มันบ้าอะไรกันวะ!? แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำแบบนั้นได้ยังไง!?"
พวกมันที่เห็นท่าไม่ดี ขึงกรูกันเข้าใส่ไอลีนพร้อมกัน สายตาเต็มไปด้วยความเดือดดาล แต่ไอลีนยังคงนิ่งเฉย เธอเหนี่ยวไกอีกครั้ง กระสุนพลังงานสีฟ้าพุ่งออกมาอีกลูกหนึ่ง คราวนี้อัดเข้าที่อกของชายอีกคนหนึ่ง ร่างของเขาทรุดลงกับพื้นทันที
เสียงหอบหายใจของพวกอันธพาลดังขึ้นอย่างชัดเจนในความเงียบที่ปกคลุม ตอนนี้ในซอยเหลือเพียงเสียงหายใจของอันธพาลคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ มันมองซ้ายมองขวา ราวกับกำลังคิดหาทางหนี
"ไม่เอาน่า อย่าทำอะไรโง่ๆ แล้วยอมจำนนโดยดีเสียเถอะ" ไอลีนพูดขึ้น เสียงของเธอเย็นเยียบและทรงพลัง พร้อมกับยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว แต่ชายคนนั้นไม่ฟังคำเตือน เขาหันหลังและวิ่งหนีสุดกำลัง
ไอลีนส่ายหัวเบาๆด้วยความระอาใจ ก่อนจะเหนี่ยวไกอีกครั้ง กระสุนมานาสีฟ้าพุ่งเข้าใส่หลังของชายคนนั้นอย่างแม่นยำ ร่างของเขาล้มลงไปข้างหน้าเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
เสียงกระทบพื้นครั้งสุดท้ายทำให้ซอยแห่งนั้นเงียบสนิททันที
เอรอสที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองดูการโจมตีของเธอ สายตาของเขาจับจ้องไปที่วงแหวนพลังงานสีฟ้าซึ่งพุ่งออกจากอาวุธของเธอด้วยความสนใจ แสงสีฟ้าสดใสนั้นช่างน่าสงสัย มันดูคล้ายกับเวทมนตร์แต่กลับไม่มีการร่ายคาถาใดๆ และ ท่าทางของเธอก็เหมือนจะเชี่ยวชาญการใช้มันอย่างเป็นธรรมชาติ
"นั่นมันอะไรกันแน่?" เขาพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้น ไอลีนหันกลับมาทางที่เอรอสซ่อนตัวอยู่ เธอหรี่ตามองไปที่มุมหนึ่งของซอยราวกับรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่น
“รู้นะว่ามีอีกคนซ่อนอยู่ ออกมาเถอะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยความมั่นใจ
"เซ้นส์ดีจริงๆ" เอรอสพูดเบาๆ ก่อนจะก้าวออกจากเงามืด เขาปรบมือเบาๆด้วยท่าทางที่ดูเหมือนไม่ได้จริงจังนัก ขณะเดินมาหาเธอ
เอรอสยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะปรบมือเบาๆอย่างจงใจ ท่าทางดูไม่จริงจังนักพลางเอ่ยขึ้นมา"จบได้ดี….ดูท่าฉันคงไม่ต้องออกแรงช่วยสินะ”
ไอลีนสงัเกตุเห็นถึงความสนใจของเขา รอยยิ้มอันอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดวงตาของเธอเปล่งประกายสดใส ราวกับเด็กที่ภูมิใจ และกำลังอวดของเล่นชิ้นโปรดให้เพื่อนๆฟัง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น แต่ยังคงความโยน
"มันดูเหมือนของเล่นก็จริง แต่สิ่งที่มันทำได้น่ะ คนล่ะเรื่องกับสิ่งที่เห็นเลยน่ะ สิ่งนี้มีพลังมากพอที่จะพลิกสถานการณ์ได้ดั่งใจต้องการ!"
เอรอสเลิกคิ้วเล็กน้อย ท่าทางไม่เชื่อเต็มที่ แต่เห็นรอยยิ้มสดใสของเธอเขาจึงไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน" งั้นเหรอ? แล้วมันทำงานยังไง?"
ไอลีนยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอพลิกปืนในมือให้เขาดูใกล้ๆด้วยท่าทางที่ภูมิใจ
“สิ่งนี้คือ Arcane Pulse Gun มันถูกขับเคลื่อนด้วยแก่นมอนสเตอร์บริสุทธิ์ ซึ่งผ่านขั้นตอนการกลั่นกรองเพื่อให้คงพลังงานอันดิบ และ บริสุทธิ์จากสิ่งมีชีวิตเอาไว้ การเก็บรักษาพลังงานที่เข้มข้น และ มั่นคงเช่นนี้ทำให้อาวุธนี้ สามารถยิงกระสุนพลังมานาได้อย่างแม่นยำและ ทรงพลัง ความบริสุทธิ์ของแก่นนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มอานุภาพ แต่ยังช่วยป้องกันการสึกหรอของอาวุธในระยะยาว”
ระหว่างที่เธออธิบาย ไอลีนเหลือบมองเอรอสเป็นครั้งคราว ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยคล้ายท้าทาย เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง แต่มีร่องรอยความสนุกซ่อนอยู่ ราวกับกำลังรอดูปฏิกิริยาของเขา
เอรอสพยักหน้าเล็กน้อย แต่มองอาวุธในมือเธอด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความขบขัน
"ใช้แก่นมอนสเตอร์ที่แพงขนาดนั้น เพื่อยิงคนให้สลบแค่นี้เนี่ยนะ?"เขาพูดพลางยิ้มเยาะ ราวกับดูถูกความสามารถของอาวุธปืน
ไอลีนเหลือบตามองเอรอสเล็กน้อย ริมฝีปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของเขา เธอยก Arcane Pulse Gun ขึ้นมาเบาๆพลางอธิบายด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง แต่สายตาที่วาวโรจน์แฝงไปด้วยความภูมิใจ เหมือนเธอกำลังพูดถึงผลงานชิ้นเอกที่ไร้ที่ติ
"แก่นมอนสเตอร์ที่สกัดอย่างบริสุทธิ์หน่ะ สามารถปล่อยพลังออกมาได้มหาศาล ฉันใช้มันในโหมดสลบตอนนี้ แต่ถ้าอยากได้พลังทำลายล้างมากขึ้น ฉันก็แค่ปรับโหมด แล้วเปลี่ยนไปใช้แก่นสีแดงนี้แทน เท่านี้พลังทำลายของมันก็สูงขึ้นแล้ว…..ถึงจะยิงได้ครั้งเดียวก็เถอะ"
เธอพูดพลางโชว์แก่นมานาสีแดงที่หยิบมาจากกระเป๋าข้างตัว เอรอสจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นใครใช้เทคโนโลยีเวทมนตร์เช่นนี้มาก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกทึ่งในความรู้และความสามารถของเธอ ถึงแม้ว่าการใช้แก่นมานาที่สามารถผลิตพลังงานให้บ้านทั้งหลังตลอดเวลา เป็นระยะเวลา 10 วัน มาใช้กับของแบบนี้ จะทำให้รู้สึกว่าสิ้นเปลืองไปหน่อยก็ตาม
เอรอสยืนมองไอลีนที่เก็บ Arcane Pulse Gun เข้าที่ ท่าทางของเธอแน่วแน่ แต่สายตากลับแฝงด้วยความเหนื่อยล้า เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มสงบ“ยังตามหาพวกรีดไถ่อยู่อีกงั้นเหรอ?”ไอลีนยักไหล่ แววตาฉายความมุ่งมั่น“ใช่สิ จะให้พวกนั้นอยู่เฉย ๆ แล้วทำร้ายคนอื่นไปเรื่อยเหรอ?”ไอลีนปรายตามองเขาด้วยรอยยิ้มล้อเลียน พร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อย“แล้วคุณ หมาป่าเดียวดาย มาทำอะไรแถวนี้? มาตามหาฉันหรือไง?”เอรอสถอนหายใจเบาๆ เขาส่ายหัวอย่างระอากับชื่อเล่นที่เธอตั้งให้เขา แม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็เลือกที่จะทำสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆกับฉายาที่เธอแกล้งตั้งให้ ก่อนที่จะขยับตัว เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง“ใช่ ฉันมาที่นี่เพื่อเตือนเธอ”ไอลีนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงสัยปนฉงน “เตือน? เตือนเรื่องอะไร?”เอรอสถอนหายใจแผ่วเบา เผยให้เห็นถึงน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ฉันอยากให้เธอหยุดพาเด็กๆ จากสลัมไปอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าแบบนั้น มันเปล่าประโยชน์”คำพูดนั้นทำให้ไอลีนชะงักไป เธอมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ"คุณหมายความว่าไง? ฉันแค่พาเด็กๆ ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย"เอ
เอรอส และ ไอลีนเฝ้ามองเหตุการณ์ในอาคารเก่า จากทางด้านหน้าในระยะไกล เขาใช้กล้องส่องทางไกลแบบตาเดียวที่ดูเก่าโทรม มันมีผ้าพันรอบตัวกล้อง และถูกทาสีทับในหลายชั้นจนพื้นผิวดูขรุขระ และ ซีดเก่า ดูราวกับเป็นของใช้มานาน แต่ไอลีนที่เคยเห็นกล้องแบบนี้มาก่อน กลับรู้ดีว่ากล้องตาเดียวทุกชิ้นต่างมีคุณภาพ และ มีราคาค่อนข้างสูง ไม่น่าจะถูกเจอในสภาพแบบนี้เลนส์ของกล้องก็ดูแปลกตา คล้ายมีชั้นฟิล์มบางๆสีดำด้านเคลือบไว้ ทำให้มันไม่สะท้อนแสงออกมาจากภายในเหมือนกล้องทั่วไป เธออดคิดไม่ได้ว่ากล้องนี้อาจเคยเป็นของมีค่ามาก่อน แต่ด้วยสภาพที่เขาใช้ ผู้อื่นที่มองเห็น คงนึกว่าเป็นของเก่าๆไร้ค่าในขณะที่ทั้งคู่สังเกตสถานการณ์ในนั้น ไอลีนเห็นชายในชุดทหารรักษาการณ์นั่งดื่มกินร่วมกับพวกคนในนั้นอย่างสนุกสนาน ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวในใจของเธอ เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นแตกต่างจากที่บ้านเกิดของเธออย่างสิ้นเชิงบ้านเกิดของไอลีนเป็นสถานที่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของเธอกับชาวบ้าน และ ผู้ใต้บังคับบัญชาผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น บรรยากาศที่นั่นอบอุ่น เปี่ยมไปด้วยความรัก ความใกล้ชิด ตระกูลของเธอไม่เคยแบ่งแยกชนชั้น หรือ ถือว่าตนสูงส่ง
เอรอสและไอลีนซุ่มดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ จากจุดที่ถูกซุ่มดูอยู่ ใบหน้าไอลีนเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอเห็นบอสขององค์กรยืนอยู่กลางห้อง จ้องมองผู้หญิงที่คุกเข่าลงอย่างเย้ยหยัน พลังแผ่พลังกดดันหญิงสาวอย่างหนักหน่วง จนเธอต้องสร้างมานาเบาบางขึ้นมาปกป้องตัวเอง แม้จะใกล้หมดแรงเต็มที แต่เธอก็ยังดิ้นรมไม่ยอมจำนนอยู่แววตาโกรธพลุ่งพล่านในดวงตาของไอลีน เหมือนเธอพร้อมจะพุ่งเข้าไปจัดการในทันที แต่เอรอสที่ยืนอยู่ข้างๆจับสังเกตความเครียดของเธอได้ เขาหันไปมองเธออย่างนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไร?”ไอลีนสบตาเขา แม้จะพยายามสะกดอารมณ์ แต่แววตามุ่งมั่นนั้นบอกชัดเจนว่าเธออยากจะช่วยหญิงสาวคนนั้นให้ได้ ไม่ว่าต้องเสี่ยงแค่ไหน เธอกระชับปืนในมือแน่น ตั้งใจจะลงมือเต็มที่ แต่ก่อนที่เธอจะเคลื่อนไหว เอรอสก็คว้าข้อมือเธอไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น“อย่าไป ถ้าเธอพุ่งเข้าไปตอนนี้ เธอตายแน่ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อย้ำให้รู้ถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้น“ผู้ชายคนนั้นมีถึงสามวงแหวน ระดับเธอที่มีแค่วงแหวนเดียวจะทำอะไรเขาได้?”ไอลีนสะบัดข้อมือออกด้วยท่าทางดื้อดึง แววตาเด็ดเดี่ยว “ถ้านายไ
หลังจากเอรอสจัดการลูกสมุนที่ตามล่าเขาจนหมดสิ้น เขาเก็บรวบรวมถุงเงินและของมีค่าทั้งหมดไปซ่อนไว้ในที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมาที่เดิม จัดแจงให้ร่างกายแนบชิดไปกับเงามืดของต้นไม้ใหญ่ ตาจับจ้องไปที่ไอลีนซึ่งกำลังต่อสู้กับบอสขององค์กรอย่างดุเดือด โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเขากำลังเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆเอรอสมองตามทุกการเคลื่อนไหวของเธออย่างเงียบงัน ขณะที่ไอลีนพยายามหลบหลีกและโจมตีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่แววตาของเธอกลับเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น ท่าทางการต่อสู้ที่ดุดันนั้นทำให้เอรอสรู้สึกทึ่ง รู้สึกถึงความกล้าหาญที่เขาไม่คาดคิดว่าจะพบในตัวเธอ ท่ามกลางความวุ่นวายและเสียงปะทะ เขาแอบมองเธอในความมืด รู้สึกได้ถึงความพยายามอันเด็ดเดี่ยวที่หายากในตัวคนทั่วไปร่างกายของไอลีนดูอ่อนล้าลงเรื่อยๆ หายใจหอบแรง บาดแผลที่แขนและขาดูเหมือนจะทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังคงยืนหยัด และพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง จนกระทั่งเอรอสสังเกตเห็นบางสิ่งบนพื้นใกล้ๆโพชั่นมานาขวดหนึ่งที่ตกอยู่ไม่ไกลจากหญิงสาวที่ไอลีนตั้งใจจะไปช่วย เป็นโพชั่นเดียวที่เขาเอาไว้ให้เธอสามารถฟื้นฟูมานาของตัวเองใยการต่อสู้ แต่ไอลี
เอรอสพุ่งเข้าหามันสุดกำลัง พื้นดินสั่นสะเทือนภายใต้ฝีเท้าหนักของเขา เสียงคำรามต่ำของมันดังก้องราวสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอจะเข่นฆ่า เงาดำก่อตัวจากร่างของมัน แผ่พลังเวทย์สีเขียวหม่นรุนแรง จนสั่นคลอนทุกสิ่งรอบข้าง ดิน และ เศษหิน กระจัดกระจายอย่างรุนแรงจนพื้นดินรอบๆแตกออกเป็นริ้วร้าวลึกกลิ่นฝุ่นดินคละคลุ้ง กลบอากาศจนรู้สึกอึดอัด บรรยากาศมืดครึ้มกดดันเหมือนทั้งโลกกำลังถูกกลืนด้วยพลังชั่วร้าย หินยักษ์ผุดขึ้นจากพื้นรอบตัวมันตามแรงเรียกของเวทมนตร์ บรรยากาศโดยรอบบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัวจนราวกับว่าทั้งพื้นที่กำลังจะถล่มลงมามันเหวี่ยงแขนมหึมาขึ้น หินก้อนใหญ่ลอยขึ้นเหนือพื้น แสงเขียวหม่นเรืองรองห่อหุ้มก้อนหินที่หมุนวนรอบตัวมันอย่างเกรี้ยวกราด มันปล่อยเสียงคำรามเบาๆคล้ายหัวเราะอย่างเย้ยหยัน หินพุ่งตรงเข้าใส่เอรอสในพริบตา เอรอสกระโดดหลบอย่างฉิวเฉียด เศษดินและแรงลมจากหินที่พุ่งเฉียดหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตา ปัดฝุ่นผงออกจากใบหน้าเอรอสสะบัดขวานทองในมือที่ส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเหมือนดวงดาว ขณะฟาดฟันหินที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเป็นเศษเล็กๆ เสียงหินระเบิดดังสะท้อนรอบบริเวณ เศษหินกระเด็นเป็นฝุ่นผงลอยกระจายไปทั่วจนป
เสียงหอบของเอรอสกลืนไปกับเสียงลั่นของหิน และ ฝุ่นที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ เขายืนหยัดอยู่กลางพื้นที่ของอาคารที่ถูกทำลายจากการโจมตีของทั้งสองฝั่ง ผิวดินที่แตกออกเป็นริ้วรอย และ เศษหินเกลื่อนกลาดรอบตัวเป็นพยานถึงการโจมตีที่รุนแรง ขวานสีทองในมือยังคงส่องแสงท่ามกลางหมอกฝุ่นรอบตัว หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำในอก แต่อย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดต่อไป ไม่ให้ศัตรูเบื้องหน้ามองเห็นความอ่อนแอมิโนทอร์ร่างยักษ์ตรงหน้า ผิวหนังสีคล้ำประหนึ่งแผ่นหิน ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะหนาทึบ เงามืดและพลังเวทย์สีเขียวหม่นแผ่กระจายออกจากร่างของมันอย่างน่ากลัว มันกวัดแกว่งขวานหินขนาดใหญ่ในมือเหมือนกับมันเป็นเพียงแค่ของเล่น ก่อนที่มันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเอรอส ใบหน้าหนากร้าวคล้ายสัตว์ร้าย ดวงตาสีแดงเรืองวาวอย่างดุดัน คำรามต่ำในลำคอ ราวกับต้องการบดขยี้เขาให้กลายเป็นเศษซากใต้เท้าของมันขวานหินนั้นฟาดลงมาอีกครั้ง พื้นดินระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังดุจแผ่นดินไหว เอรอสรีบกระโดดถอยหลัง พลางปัดป้องอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะตวัดขวานของเขาฟาดฟันใส่ขาของมัน แต่แสงสะท้อนของเกราะหินบนร่างมันทำให้คมขวานของเอรอสเบี่ยงไป ขวานทองกระแทกเข้ากับเกราะ
ออร่าสีทองค่อยๆปกคลุมร่างไอลีน ราวกับกระแสธารแห่งชีวิตที่ค่อยๆไหลซึมเข้าสู่ร่างของเธอ เสียงหายใจที่แผ่วเบากลับมาสม่ำเสมออีกครั้ง ร่องรอยบาดแผลและความอ่อนล้าที่เกาะกินค่อยๆถูกชะล้างออกจากตัวของเธอ ผิวของไอลีนเปล่งประกายดูมีชีวิตชีวาขึ้นราวกับเธอฟื้นคืนพลังที่สูญเสียไปเอรอสที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก จ้องมองภาพนั้นด้วยความสับสน "นั้นมันอะไรกัน?" พลังแห่งการฟื้นฟูนี้ไม่เคยปรากฏกับเจ้าของร่างเดิมมาก่อน เขาครุ่นคิด ไม่เห็นจำได้เลยว่าเจ้าของร่างนี้จะมีพลังแบบนี้ แม้นี้จะเป็นครั้งที่สองที่เขาเขาใช้ แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นผลจากเขตแดนแห่งเจตจำนงนี้แน่นอน ไม่ผิดเป็นอย่างอื่นในขณะเดียวกัน มิโนทอร์ที่เผชิญหน้ากับแขนขนาดมหึมาสีฟ้าที่ปรากฏขึ้นเหนือร่างเอรอส รู้สึกถึงแรงกดดันจากพลังทำลายล้างมหาศาลของสิ่งนั้น ความใหญ่โตของมันราวกับภูเขาที่ทาบทับเหนือหัว เส้นเลือดปูดโปนล้อมรอบแขนขนาดมหึมานั้นราวกับรากไม้เก่าแก่นั้น พลังที่แฝงอยู่ในมือขนาดมหึมานั้น กระจายออกมาทุกทิศทาง โลหะสีทองที่อยู่ในมือ เปล่งประกายราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่ด้วยพลังอันเข้มข้น ขณะที่มันเงื้อขึ้นสูงเหนือร่างของมิโนทอร์ กระแสพลังอันน่าเ
กลางคืนเงียบงันจนน่าขนลุก เงามืดจากซากอาคารที่พังทลายทอดยาวไปทุกทิศทาง ไอลีนพยายามกลั้นหายใจในขณะที่ลากเอรอสเข้าไปในมุมอับใต้คานไม้ที่ทรุดตัวลง เศษซากกำแพงที่แตกกระจายมีร่องรอยการปะทะอย่างรุนแรง บางส่วนยังเปื้อนเขม่าดำและกลิ่นไหม้อ่อนๆ ที่ลอยวนอยู่ในอากาศพื้นดินใต้เท้าเย็นชื้น ราวกับสะท้อนความหนาวเหน็บที่กัดกร่อนหัวใจของเธอ เธอพยายามหาที่กำบังที่ปลอดภัยที่สุดในบริเวณนั้น มือทั้งสองข้างที่จับแขนของเอรอสสั่นเทาด้วยแรงจากทั้งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว“พวกเราเข้ามาหลบ... ตรงนี้ก่อน” ไอลีนกระซิบ ขณะที่พวกเขาแทรกตัวเข้าไปใต้กองเศษซากไม้เอรอสไม่ได้ตอบ เขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าเรียบเฉย แต่ลมหายใจหนักหน่วงผิดปกติ และดวงตาสีแดงเรืองรองในความมืดนั้น กำลังสะท้อนถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติ“เงียบไว้...” เธอกระซิบเสียงเบา ลมหายใจของเธอเร่งรัวจนแทบจะควบคุมไม่ได้ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปยังรอยแตกเล็กๆในกำแพงที่เปิดออกสู่ด้านนอก ช่องเล็กพอที่จะมองเห็นเงาของกลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงฝีเท้าหนักๆ บนเศษหินดังก้องในความเงียบ“พวกเขามาแล้ว” ไอลีนกระซิบแผ่ว ดวงตาเบิกกว้างเสียงสนท