Home / แฟนตาซี / พันธะสัญญาของผู้กลืนกิน / ตอนที่ 31 ประกายแสงจันทร์ในตรอกมืด

Share

ตอนที่ 31 ประกายแสงจันทร์ในตรอกมืด

ในคืนที่เงียบสงัด แสงจันทร์ที่คล้อยต่ำสะท้อนแสงบนพื้นของอาคารร้าง เสียงลมพัดเอื่อยๆผ่านช่องหน้าต่างแตก และ กำแพงที่เต็มไปด้วยรอยกัดกร่อน เอรอสยืนอยู่บนขอบดาดฟ้าชั้นบนสุด มองลงไปยังเงาร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินอย่างไม่รีบร้อนในตรอกด้านล่าง

เธอคือไอลีน ฟรอนเทียร์ หญิงสาวที่มีเส้นผมสีฟ้ายาวทอประกายอ่อนโยนภายใต้แสงจันทร์ ดวงตาคมฉายแววแห่งความมุ่งมั่น ผิวขาวซีดของเธอสะท้อนแสงทำให้ดูราวกับเทพธิดาที่ก้าวเดินท่ามกลางโลกแห่งความมืด แม้จะอยู่คนเดียวในตรอกซอยที่เงียบเหงาและอันตราย แต่ท่าทางของไอลีนกลับนิ่งสงบไร้ร่องรอยความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหวแม้เสียงลมแรงพัดผ่าน หรือ เงาแมวดำที่วิ่งตัดหน้า

เอรอสเฝ้ามองเธอด้วยสายตาคมกริบ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขา การเดินของเธอมั่นคง สง่างาม และ รอบคอบ เธอดูเหมือนกำลังสำรวจบางสิ่งในพื้นที่ร้าง ราวกับต้องการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ ความเยือกเย็นในท่าทีของเธอสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร ท่ามกลางความมืด เธอเหมือนจะกลายเป็นจุดสว่างที่โดนเด่น ยากจะละสายตา

สำหรับเอรอสที่สูญเสียความทรงจำทุกอย่างก่อนเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อ 4 ปีก่อน ช่วงเวลาหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เขาต้องเผชิญกับสายตาดูถูกและเหยียดหยามจากคนในตระกูล ไม่เว้นแม้กระทั่งคนรับใช้

ช่วงเวลานั้น เขารู้สึกว่าตัวเองในร่างจริง ช่างแสนบอบบาง และ อ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องใครได้ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังอดทนเรื่อยมา และพยายามทำตัวให้มีประโยชน์ในทุกๆด้านเท่าที่จะทำได้ ทว่าความอ่อนแอของเขายังไม่อาจเทียบได้กับพวกข้ารับใช้ได้เลยด้วยซ้ำ

ความทรงจำนี้ยังคงติดตรึงใจเขาเสมอ ย้อนกลับไปในตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเรย์นาร์คตอนที่บุกเข้ามาทำร้ายคู่หมั้นของเขา เอเลน่า เธอได้ปลุกพลังในสายเลือดของตัวเอง จนทำให้เรย์นาร์คได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะหมดสติไป แต่ทว่ามันกลับฟื้นฟูตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัสร้ายแรง เรย์นาร์คค่อยๆลุกขึ้นเดินอย่างช้าๆ ค่อยๆเข้าหาเอเลน่าด้วยความมุ่งมั่นที่จะสังหารเธออย่างไม่ลดล่ะ

เมื่อเห็นท่าไม่ดี เอรอสจึงตัดสินใจใช้พลังของตนเป็นครั้งแรก หมอกควันสีดำพุ่งออกจากร่างกายของเขา กลืนเรย์นาร์คเข้าไปทั้งตัวจนหายไปในหมอกมืดทึบสนิท แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ดีใจกับชัยชนะที่เกิดขึ้น ความรู้สึกแปลกประหลาดก็แทรกซึมเข้ามาในจิตใจของเขา—แท้จริงแล้วเรย์นาร์คไม่ได้หายไปไหน แต่กลับถูกดูดกลืนเข้าไปในตัวของเขา พยายามจะครอบงำจิตใจของเขา

เอรอสที่ค่อยๆถูกครอบงำ เริ่มแสดงพฤติกรรมที่บ้าคลั่งและกระหายความต้องการที่จะฆ่า เขาพยายามคุมสติ และ หลบหนีออกจากเมืองได้สำเร็จ แต่สติสัมปชัญญะของเขากลับขาดหายไปถึงสามวันสามคืน ก่อนที่ได้สติอยู่เพียงลำพังในป่าลึกที่ไร้ซึ่งผู้คนเพียงลำพัง มีเพียงแต่ร่างของสัตว์ป่า และ มอนเตอร์จำนวนมากอยู่รอบกายเขาเท่านั้น

แม้เขาจะรอดกลับมาได้ แต่ความทรงจำที่หลงเหลือยังคงหลอกหลอนเขา—ความปรารถนาที่จะฆ่าเอเลน่าในวันที่เขาถูกครอบงำ เขาเคยแสดงท่าทางน่าหวาดกลัวจนทำให้เอเลน่าหนีห่างไปจากเขา ความหวาดกลัวในดวงตาของเธอยังคงฝังอยู่ในใจเขาในตอนนั้น มันทำให้เขาต้องขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่กล้าออกไปพบเจอใคร แม้ว่าร่างกาย และ จิตใจจะหายดีแล้วก็ตาม

สำหรับเขาแล้ว ไอลีนนั้นเป็นตัวตนที่แปลกประหลาด สถานะของเธอไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ยังพยายามฝ่าฝัน และ ใช้ชีวิตในโลกที่ไร้ซึ่งอนาคตสำหรับพวกเรา ในสังคมชั้นสูงที่ถูกปิดกั้น และ หน้าที่การงานที่ไม่สามารถก้าวหน้าได้ เอรอสอยากจะรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเข้มแข็งนั้น

เอรอสแค่นยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับตัวเองเบาๆ

"อยากจะรู้จริงๆว่าเหตุผลอะไรที่ยังทำให้ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่"

เขาจับจ้องไปยังไอลีนอย่างใคร่ครวญ ใจหนึ่งของเขาอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามถึงแรงผลักดันที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอ และความอดทนที่ทำให้เธอยังพยายามก้าวต่อไป แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวงจากสภาพแวดล้อมและผู้คนรอบตัว

ขณะที่เอรอสกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ไอลีนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าราวกับรู้ว่ามีใครบางคนกำลังจับตามองเธอ เธอยืนนิ่ง สายตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัยแต่ยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เมื่อเธอไม่พบใคร เธอจึงถอนสายตากลับไป ก่อนจะหันมาทางซอยอีกฝั่ง แล้วเดินตรงเข้าไปในนั้นอย่างมั่นใจ

เอรอสสังเกตเธออยู่เงียบๆ เขารู้สึกทึ่งเล็กน้อยกับความสงบของเธอ ทั้งที่สถานการณ์รอบตัวไม่น่าไว้วางใจ เธอแตกต่างจากคนอื่นๆที่เขาเคยพบ เธอมีทั้งความอ่อนโยนที่ทำให้คนรอบข้างสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น แต่ก็แฝงด้วยความแข็งแกร่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความอบอุ่นนั้น

เมื่อเอรอสเห็นไอลีนเดินหายลับเข้าไปในซอกมุมมืดอีกด้านหนึ่งของอาคาร เขาตัดสินใจจะตามไปทันที แต่ก่อนที่เขาจะก้าวลงบันได เงาวูบวาบของชายกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่จุดซึ่งไอลีนเพิ่งเดินจากไป

กลุ่มอันธพาลสี่ถึงห้าคน แต่ละคนสวมเสื้อผ้าที่ดูสกปรก มอมแมม ท่าทางหยาบกร้าน และ เต็มไปด้วยแววตาเจ้าเลห์ พวกมันมองไปรอบๆ เหมือนสัตว์ที่กำลังตามกลิ่นเหยื่อ เอรอสหยุดเท้าที่จะก้าวตามไอลีน แล้วสังเกตว่าพวกมันกำลังพูดคุยอะไรอยู่

"นางน่าจะอยู่แถวๆนี้นี่แหละ…. ลูกสาวผู้ดีที่มักจะมาเดินป้วนเปี้ยนแถวนี้บ่อยๆ"ชายคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงเจ้าเล่ห์ "คิดว่าเป็นสวนสนามที่บ้านรึไง? คงต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้ว"

อีกคนหัวเราะเสียงดังแล้วว่า “อุตส่าห์มาจากที่ชายแดนตั้งไกล… ไม่รู้จักคนแถวนี้ดีนักสิท่า”

เอรอสยังคงเฝ้าดูสถานการณ์จากเงามืด พลางสังเกตุการณ์โดยไม่รีบร้อนอะไร เขาไม่มีความคิดที่จะเข้าไปช่วยเหลือเธอทันที เพียงแต่ต้องการให้เธอได้สัมผัสถึงอันตรายของโลกนี้จริงๆ ว่าการเดินไปมาโดยไม่มีพลัง หรือ การปกป้อง ก็เหมือนการเดินเข้าสู่เงื้อมมือของความตาย เขาจงใจให้เธอได้เรียนรู้บทเรียนอันโหดร้ายนี้ด้วยตัวเอง และ หากเธอหวาดกลัวจนหลบหนีออกไปจากเมืองนี้ ก็จะไม่มีใครมาขัเขวางแผนการขยายองค์กรของคาร์ลินได้อีก

เขามองไปรอบๆก่อนค่อยๆ เคลื่อนตัวลงบันไดโดยไม่ให้พวกมันรู้ตัว จังหวะก้าวเท้าของเขาเงียบสนิท ขณะเดิมตามหลังพวกมันไม่ห่าง ในระยะที่สามารถจัดการมันได้ในทันทีที่ต้องการ พลางหยิบท่อมไม้โทรมๆที่ถูกพิงไว้อยู่ในระหว่างทางเดิน

เอรอสกระชับท่อนไม้ในมือด้วยความเงียบ มองอันธพาลกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามายังจุดที่หญิงสาวเคยอยู่ก่อนหน้านี้ ไม้ท่อนนี้ท่อนเดียวก็เพียงพอที่เขาจะใช้จัดการ และ ทำลายหลักฐานที่จะสาวมาถึงตัวเขาได้แล้ว ขณะที่พิงแอบอยู่หลังกำแพงไม่ห่างจากพวกมันมากนัก

เสียงหนึ่งของพวกอันธพาลตะโกนลั่นไปที่ซอยมืดด้านหน้า "เฮ้! ออกมาได้แล้ว อย่าคิดว่าจะซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นได้ตลอดนะโว้ย!!! เรารู้นะว่าแกอยู่ที่นี้!"

เอรอสหรี่ตา มองลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า…

เขามองไอลีนที่โผล่ออกมาจากมุมมืด รู้สึกทึ่งในความสงบของเธอ เธอไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้จะถูกติดตามจากอันธพาลตรงหน้า นี่ไม่ใช่หญิงสาวชนชั้นสูงที่มีท่าทีหวาดระแวง หรือ หวาดกลัวแต่อย่างใด

แต่เป็นหญิงสาวที่ยืนหยัดด้วยความกล้าหาญ และ  ความอ่อนโยนด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม เธอมองสถาการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น  โดยไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status