ตอนที่10
ทะเลหมอกและสองเรา
“แบบนี้เขาไม่เรียกตื่นเช้า เขาเรียกตื่นตั้งแต่มืดต่างหาก มืดแบบนี้จะมองเห็นเหรอทะเลหมอกของผู้กอง”
อลิสหงุดหงิดที่ถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้ เพราะแค่ทุกวันนี้เธอต้องตื่นเช้าเพื่อมาเตรียมอาหารเช้า และเตรียมมาสอน ก็ต้องใช้ควาพยายามในการเปลี่ยนตัวเองมากพออยู่แล้ว
“เด็กในเมืองก็แบบนี้ พอโดนปลุกให้ตื่นตอนเช้ามืดก็ทำเป็นไม่พอใจ แล้วแบบนี้จะมาเป็นครูบนดอย ผมว่าคุณทนอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงปี เดี๋ยวก็ต้องหาทางลงไปสอนในเมืองแน่ๆ”
ธนาตุลรู้ว่าถ้าเขาพูดดี ๆ ไม่มีทางที่หญิงสาวจะหายง่วงนอน เขาเลยแกล้งพูดยั่วโมโห แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ
“คอยดูแล้วกัน ฉันก็แกล้งบ่นแกล้งง่วงไปอย่างนั้นแหละ ตอนคุณไม่อยู่ฉันก็ตื่นเช้าทุกวัน เลิกคิดว่าฉันต้องเป็นลูกคุณหนูและทนความลำบากที่นี่ไม่ได้เสียที”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายโมโห ผู้กองกลับทั้งหัวเราะและยิ้ม จนหญิงสาวต้องเอียงตัวเพื่อหันหน้ามามองเขาด้วยความสงสัย
“ผู้กองขำอะไร” หญิงสาวกระแทกเสียงถาม
“ขำคนที่โดนยั่วโมโหจนหายง่วงเลย เอ๊ย!..ไม่ใช่ ไม่ได้ง่วงลืมไป ผมขอถอนคำพูดนะ”
เมื่อรู้ว่าเป็นแผนที่จะทำให้เธอหายง่วง หญิงสาวก็ตีไปที่แขนของคนขับอย่างแรง
“โอ๊ย! คุณครูตีเจ็บหมือนกันนะ เผลอตีนักเรียนไปบ้างหรือยัง อย่านะ...เดี๋ยวนี้เขาห้ามตีกันแล้ว”
“ไม่ตีนักเรียนแต่จะตีตำรวจแทน นิสัยเจ้าเล่ห์นัก”
“ผมก็แค่อยากทำให้คุณรู้สึกครึกครื้น จะได้ไม่ง่วงไม่หงุดหงิด เชื่อเถอะถ้าคุณได้ไปเจอกับทะเลหมอกรับรองจะให้ผมถ่ายรูปไม่รู้กี่ภาพต่อกี่ภาพ”
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่อลิสแทบไม่ค่อยได้จับโทรศัพท์ นอกจากใช้แทนไฟฉายเพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณ ถ้าอยากจะโทรศัพท์ต้องขับรถออกจาหมู่บ้านไปหลายกิโลเมตร แต่สัญญาณก็ขาดๆหายๆ หญิงสาวจึงได้แต่เก็บภาพที่เธอถ่ายไว้แค่เพียงในโทรศัพท์เท่านั้น
“เปิดหน้าต่างรถไหม ข้างนอกอากาศดีมากเลยนะตอนนี้”
ชายหนุ่มหันหน้ามาถามหญิงสาวที่นั่งมาด้วย ไม่แน่ใจว่าเธอจะชอบไหม เพราะผู้หญิงบางคนจะไม่ชอบโดนลมกลัวผมปลิวไม่เป็นทรง
“ดีเหมือนกันค่ะ เพื่อจะยิ่งทำให้ตื่นมากขึ้น”
“พอถึงที่หมู่บ้าน เราต้องเดินเท้าไปอีกประมาณสามร้อยเมตรก็จะถึงจุดที่มีทะเลหมอก ผมบอกไว้เลยนะ ว่าวิวตรงนั้นมีแต่คนพื้นที่เท่านั้นที่รู้ นักท่องเที่ยวคนต่างถิ่นไม่มีโอกาสได้เห็นวิวสวยๆแบบนี้เด็ดขาด”
ยังมีความงามของธรรมชาติที่ชาวบ้านในตำบลนี้รักษาไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะเมื่อไหร่ที่คนในเมืองเข้ามาถึง ความเป็นธรรมชาติก็จะหมดไปทันที
“คนที่นี่เขารักท้องถิ่นของเขามากเลยนะคะ ฉันเคยไปเที่ยวตามดอยมาหลายที่ แรกก็สวยเพราะเริ่มมีชื่อเสียงทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยเป็นพื้นที่โล่ง ก็กลายเป็นมีร้านค้าเต็มไปหมด บ้านของชาวบ้านก็ถูกแทนที่ด้วยรีสอร์ต แต่แถวนี้ทุกอย่างยังดูเป็นแบบคนท้องถิ่นอยู่เหมือนเดิม”
ทั้งสองคนต่างมีความคิดความชอบที่เหมือนกัน แต่ที่ต่างกันคือการปรับตัว อลิสเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เธอยังไม่คุ้นเคยต่างจากธนาตุลที่รู้สึกว่าดอยแห่งนี้เป็นบ้านหลังที่สองของเขาไปเสียแล้ว
“ถึงแล้ว คุณเห็นทางเดินเล็กนั่นไหม เราต้องเดินไปทางนั้น อย่าลืมหยิบน้ำไปด้วยเผื่อหิว”
ชายหนุ่มจอดรถและลงไปทักทายกับชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น พร้อมกับแนะนำให้ทุกคนรู้จักอลิสในฐานะคุณครูคนใหม่ของบ้านน้ำฝาย แต่ก็มีบางคนที่รู้จักหญิงสาวอยู่แล้ว เพราะได้เอาลูกหลานไปเรียนที่โรงเรียนที่เธอสอนอยู่
“เดินดีนะจะครู ฝนมันตกดินก็จะเละๆหน่อย”
ชาวบ้านเตือนเพราะเห็นท่าทางแล้ว กลัวคนต่างถิ่นอย่างหญิงสาวจะไม่ทันระวังและจะลื่นล้มเอาง่ายๆ
“โชคดีที่ฉันใส่รองเท้าผ้าใบมา คุณก็ไม่คิดจะบอกกันเลย”
อลิสหันไปดุชายหนุ่มที่เธอกำลังเกาะแขนเขาเดินไปตามทาง
“คุณก็ต้องรู้อยู่แล้วไหม หรือคุณจะใส่รองเท้าส้นสูงมาดูทะเลหมอกบนเขา”
หญิงสาวหมั่นไส้ เลยเอามืออกจากแขนเขา ตั้งใจจะเดินเอง แต่แค่ยังไม่ทันจะปล่อยมือเธอก็เผลอลื่นเข้าให้ จน ธนาตุลต้องใช้ทั้งมือและตัวเองกอดประคองเธอไว้ไม่ให้ล้ม
หน้าทั้งสองคนแทบจะแนบชิดกัน เพราะความตกใจ อลิสก็คว้าตัวผู้กองมากอดไว้แน่น ลมหายใจของทั้งคู่ที่สัมผัสได้ทำให้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าทั้งสองแทบจะชิดสนิทกัน ทำให้ธนาตุลได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เขาดูแลมาตลอดอย่างชัดเจน มันทำให้หัวใจของเขารู้สึกแปลกๆ แปลกแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนแม้กระทั่งกับฉัตรฤดี
“เดินช้าๆ แล้วไม่ต้องปล่อยมือจากแขนผม ถ้าล้มไปรับรองทั้งตัวคุณจะเลอะไปด้วยขี้โคลน ผมบอกไว้ก่อนเลยนะถ้าเลอะแบบนั้น เดินกลับเลยไม่ให้ขึ้นรถแน่ๆ”
หญิงสาวไม่โต้ตอบอะไร เพราะเธอรู้ว่าที่ผู้กองพยายามพูดทั้งหมด เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เธอกับเขามองตากันอย่างใกล้ชิดเมื่อกี้ อลิสยังรู้สึกใจสั่นหวั่นไหว กับสายตาของเขาที่มองเธอไม่หาย
“หลับตานะ จะถึงแล้ว เดี๋ยวผมบอกให้ลืมตาค่อยลืม รับรองผมไม่ทำคุณล้มแน่ๆ”
แค่เดินขึ้นจากเนินอีกไม่กี่ก้าว ทะเลหมอกก็จะอยู่ตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มอยากให้อลิสลืมตามาแล้วเจอภาพของทะเลหมอกเลย
“ลืมตาได้แล้วครับ ขอเชิญพบกับทะเลหมอกที่สวยที่สุด” ชายหนุ่มผายมือไปที่ด้านหน้าที่เต็มไปด้วยหมอกเหมือนกับปุยยุ่นเต็มไปหมดจนมองไม่เห็นว่าหน้าผาข้างหน้าลึกขนาดไหน
“สวยมากเลยค่ะ คุ้มกับที่ต้องตื่นเช้าและต้องเดินลุยโคลนเข้ามา ฉันอยากพาพ่อกับแม่มาเห็นด้วยจัง”
ธนาตุลเดาไว้ถูกทุกอย่าง อลิสทำหน้าที่เป็นนางแบบเปลี่ยนมุมเปลี่ยนท่าให้ผู้กองหนุ่มตามถ่ายไม่รู้กี่สิบภาพ แต่ก็มีหลายภาพที่ทั้งคู่ถ่ายด้วยกัน เพราะชายหนุ่มเตรียมไม้สำหรับถ่ายเซลฟี่มาด้วย
พระอาทิตย์เริ่มขึ้น ทะเลหมอกค่อยๆจางไป พอให้มองเห็นว่าภายใต้ทะเลหมอกที่สวยงามด้านล่างเป็นเหวลึกและมีสายน้ำไหลอยู่
“แม่น้ำเหรอคะ ที่อยู่ด้านล่าง”
“ใช่ครับ แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำสายเดียวกับที่ไหลผ่าน บ้านน้ำฝาย เป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงคนที่นี่ ให้มีน้ำใช้กินใช้ทำการเกษตร ไว้วันหลังผมจะพาคุณไปเที่ยวน้ำตก แต่ตอนนี้เป็นฤดูฝนอย่าเพิ่งไปเลย”
การได้ยืนหลับตากางแขนทั้งสองข้าง สูดอากาศที่บริสุทธิ์ของธรรมชาติยามเช้าเข้าไปเต็มปอด เป็นการช่วยเพิ่มพลังให้กับหญิงสาวจากในเมืองให้เธอได้มีกำลังใจ ในการสู้กับการทำหน้าที่เป็นครูบนดอยตามที่เธอฝันไว้ให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นจนถึงจะเริ่มร้อนแล้ว ทั้งคู่จึงพากันเดินกลับลงมาแล้วขับรถกลับมายังบ้านน้ำฝายเพื่อทำอาหารเช้ากินกัน
ตอนที่11วันเวลาที่ผ่านไป วันเวลาเดินทางไปเร็วเสมอ เมื่อผู้กองธนาตุลมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ “อีกไม่กี่วันคุณก็ต้องกลับลงไปข้างล่างแล้ว เฮ้อ! เวลามันเดินไวจริง ๆนะคะ” “คุณคิดถึงผมใช่ไหม” คำถามที่ดูแล้วคนถามอยากรู้คำตอบจริง บวกกับบรรยากาศที่ร่มรื่นเย็นสบายริมน้ำตกที่สงบเงียบไม่มีคน ทำให้อลิสรู้สึกกล้าที่จะพูดความจริงกลับไป “คิดถึง แล้วผู้กองล่ะคะ เวลาที่ไม่เจอกัน คุณคิดถึง อลิสเหมือนกันไหม” “ไม่เหมือน” คนฟังถึงกับรู้สึกใจหาย เมื่อคำตอยที่ได้ ไม่ใช่อย่างที่เธอคาดหวังไว้ “ไม่เป็นไรค่ะ อลิสคิดถึงผู้กองอย่างเดียวก็พอ”หญิงสาวพูดด้วยเสียงน้อยใจ และหันหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าตอนนี้หัวใจของเธอมันรู้กำลังรู้สึกเหมือนคนอกหัก“ที่บอกไม่เหมือน เพราะผมคิดว่า ผมคิดถึงคุณ มากกว่าที่คุณคิดถึงผม”“เหรอคะ”คนฟังหันมายิ้มมุมปากแบบไม่เชื่อ อลิสคิดว่าชายหนุ่มคงแค่ต้องการพูดให้เธอรู้สึกดีขึ้น“ทำเสียงแบบนี้แปลว่าไม่เชื่อ คุณรู้ไหมผมกลับบ้านไป ส่วนมากก็ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและอีกอย่างที่ผมทุ่มเวลาให้คือการหารซื้อ
ตอนที่12ปัญหาของหัวใจ “คราวนี้ทำไมเอารถไปเองล่ะคะพี่ตุล” ฉัตรฤดีคู่หมั้นสาวมานั่งรอธนาตุลที่บ้านของฝ่ายชายตั้งแต่บ่าย “ขนของไปหลายอย่างเลยไม่อยากเป็นภาระให้ลูกน้องต้องลำบาก” ชายหนุ่มอธิบาย “คราวนี้ลูกชายแม่เขาขนของเหมือนกับจะย้ายไปอยู่ที่นั่นเลย โทรทัศน์ ตู้ โต๊ะ เต็มรถไปหมด” ศยามลแซวผู้เป็นลูกชาย “ผมอาจจะย้ายไปอยู่ที่นู่นจริงก็ได้นะครับ คุณแม่ก็รู้ว่าผมซื้อที่ไว้แล้ว อีกไม่นานก็คงปลูกบ้าน ความฝันของผมคือการได้ไปอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติแบบนั้น” “มาเหนื่อยๆเข้าไปในบ้านกันดีกว่าค่ะ” ฉัตรฤดีเห็นสองคนแม่รู้เริ่มจะดูพูดจาจริงจังกันเกินไป เธอยังไม่อยากให้ทั้งคู่ต้องมาทะเลาะกันในวันแรกของการกลับมาของธนาตุล “หนูฉัตรเขามารอลูกตั้งแต่บ่ายแล้ว ปกติเคยเห็นเย็นๆก็มาถึง ทำไมคราวนี้มาถึงมืดเลย” ศยามลพยายามชวนคุย เพราะเห็นท่าทางที่ลูกชายแสดงกับคู่หมั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ “ความจริงน้องฉัตรไม่ต้องมารอพี่ก็ได้นะ เพราะอีกหน่อยพี่อาจไม่ได้กลับตามวันเวลาปกติ ตอนนี้พี่เริ่มเตรียมปลูกบ้านแล้ว ถ้าช่างว่างเมื่อไหร่คง
ตอนที่13เปิดตัว ปัญหาที่ค้างคาใจในความรู้สึกของธนาตุลก็ได้ถูกปลดปล่อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินหน้าในการที่จะสร้างบ้านบนที่ดินที่เขาซื้อไว้บนดอยบ้านน้ำฝางให้สำเร็จ “ตัดสินใจดีแล้วนะลูก” นพดลเดินมานั่งข้างๆลูกชายที่กำลังดูแบบบ้านที่เพื่อนของธนาตุลเอาแบบมาให้เลือกที่น่าจะเหมาะกับการปลุกบนภูเขา “แน่ใจที่สุดเลยครับคุณพ่อ ผมก็ไม่รู้ทำไมผมถึงได้หลงรักที่นั่นมากขนาดนี้ ไว้บ้านเสร็จผมจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวนะครับ” “นอกจากหลงรักธรรมชาติที่นั่นแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกไหมที่ลูกชายของพ่อหลงรัก” นพดลสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของลูกชายตั้งแต่กลับมาจากบนดอยคราวก่อนแล้ว แต่เพิ่งมาแน่ใจก็ตอนที่ธนาตุลตัดสินใจยกเลิกการหมั้นหมายกับฉัตรฤดี เขากำลังคิดว่าลูกชายของเขากำลังมีความรัก “คุณพ่อนี่ อยู่ดี ๆ ก็มาแซวผม มาช่วยผมเลือกแบบบ้านดีกว่า” ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะยังไม่เล่าเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ของเขาฟัง แต่จะพาหญิงสาวมาแนะนำถึงที่บ้านแทน เวลาผ่านไปจนใกล้เวลาที่เขาจะต้องกลับไปที่บ้านน้ำฝาย ธนาตุลจ้างรถขนอุปกรณ์ก่อสร้างบางส่วนขึ้นไปเ
ตอนที่14ความจริงบางอย่าง ตั้งแต่วันที่กลับจากดอยลงมาอยู่ที่บ้าน ธนาตุลก็แวะเวียนมาหาหญิงสาวเกือบทุกวัน และเหลืออีกเพียงแค่สองวันเขาต้องขึ้นไปบนดอยแล้ว ส่วนอลิสยังไม่เปิดเทอมจึงยังอยู่ที่บ้านต่อ “พรุ่งนี้ผมจะขออนุญาตพาอลิสไปแนะนำกับคุณพ่อคุณแม่ของผมได้ไหมครับ” ชายหนุ่มตัดสินใจว่าก่อนขึ้นดอยครั้งนี้เขาจะต้องทำให้ทั้งสองบ้านได้รับรู้เรื่องราวระหว่างเขากับหญิงสาวให้ได้ เขาจึงตัดสินใจขออนุญาตพ่อแม่ของอลิสเพื่อพาเธอไปกินข้าวที่บ้าน เพื่อเป็นการเปิดตัวให้พ่อแม่ของเขารู้จัก “ได้สิ แต่อย่าให้กลับดึกกันนัก พ่อเข้าใจว่าบ้านของผู้กองอยู่ไกล เอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ผู้กองก็ค้างที่นี่เลย จะได้ไปต้องขับรถไปมา เดี๋ยวจะหลับในเอา” วิทยาออกปากเอง เพราะทุกคนในบ้านได้แต่คิดแบบนี้แต่ไม่มีใครหรอกที่จะกล้าพูด “ขอบคุณมากเลยครับ แล้วผมจะรีบพาอลิสไปและรีบพากลับ รับรองความปลอดภัยท่านทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ธนาตุลสัมผัสได้ว่าบิดาของแฟนสาวเริ่มรู้สึกดีกับเขา เขาจึงตั้งใจที่จะไม่ทำให้อนาคตพ่อตาผิดหวังในตัวเขาเด็ดขาด ขับรถเกือบสอง
ตอนที่15ตัดสินใจ อลิสได้ข้อมูลของฉัตรฤดีจากบิดา เธอจึงตัดสินใจที่จะมาพูดคุยเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง “สวัสดีค่ะ ฉันจะมาขอพบคุณฉัตรฤดี” “นัดไว้หรือเปล่าคะ” เลขาหน้าห้องถามเพราะไม่รู้สึกคุ้นหน้า “ไม่ได้นัดค่ะ ฉันชื่อลิสเป็นเพื่อนกับผู้กองธนาตุล ช่วยรบกวนไปบอกคุณฉัตรฤดีให้หน่อยได้ไหมคะ ว่าฉันมีเรื่องอยากคุยยด้วย” เลขาหน้าห้องเปิดประตูเข้าไปที่ห้องทำงานของเจ้านาย เพื่อไปแจ้งเรื่องที่มีคนมาขอพบ ฉัตรฤดีเพิ่งมาทำงานที่บริษัทของบิดาได้แค่เพียงไม่กี่วัน เพราะก่อนหน้านี้แม่ของเธอ เอาแต่เก็บเธอไว้อยู่แต่บ้านตั้งแต่เรียนจบ แต่หญิงสาวมาคิดดูแล ถ้าเธอยังทำตัวเหมือนเก่า สักวันเธอคงต้องกลายเป็นกบในกะลาที่โง่ลงทุกวัน จึงได้ตัดสินใจมาทำงาน “เชิญค่ะ” เลขาสาวเดินมานำอลิสเข้าไปในห้องที่เธอเพิ่งเดินออกมา“สวัสดีค่ะคุณฉัตรฤดี”อลิสยกมือไหว้ เพราะคิดว่าคนตรงหน้าอาจจะอายุเท่าๆกับผู้กอง ซื่งก็น่าจะเป็นพี่เธอแน่นอน“สวัสดีค่ะ มีอะไรถึงได้อยากมาพบฉัน คุณบอกกับเลขาว่าเป็นเพื่อนกับพี่ตุล แต่ฉันคิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะเราโตมาด้วยกัน ฉันแน่ใจว่าไม่เ
ตอนที่16ผู้กองสุดหล่อกับครูคนสวย วันที่สามของการกลับมาจากดอย ธนาตุลถึงได้เดินทางมาหาคนรัก เขาพาเธอไปไหว้พระ ไปหาของอร่อยกินและนอนพักค้างคืนที่บ้านของอลิสเลย แล้วค่อยเดินทางกลับบ้านพรุ่งนี้ เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จทั้งสองคนจึงมานั่งเล่นที่สวนหน้าบ้าน เป็นเวลาที่อลิสตั้งใจจะพูดทุกอย่างที่เธอได้รู้มา “ผู้กองมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกอลิสไหมคะ” หญิงสาวเลือกที่จะเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้คิดทบทวนและตัดสินใจว่าเขาจะเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังไหม “คุณถามแบบนี้หมายถึงเรื่องอะไร ผมคิดไม่ออก” ชายหนุ่มทำท่าเหมือนไม่รู้จริงๆ ว่าเขามีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกอลิส “ตอนนี้เราตกลงที่จะเป็นแฟนกัน ยังมีเรื่องอะไรที่อลิสควรจะรู้ในฐานะคนรักของผู้กองหรือเปล่าคะ” เมื่อถูกย้ำคำว่าคนรัก ผู้กองธนาตุลก็คิดขึ้นมาได้ทันที ว่าเขายังมีบางอย่างที่ยังไม่ได้เล่าให้เธอฟัง เพราะตอนแรกเขาคิดว่ามันไม่จำเป็น เพราะเรื่องราวมันจบลงแล้ว แต่ในเมื่ออลิสพูดแบบนี้ เขาก็เลือกที่จะพูด “เรื่องที่พี่มีคู่หมั้นแล้วพี่ยกเลิกการหมั้นใช่ไหม” “ใช่ค่ะ ไหนเล
ตอนที่ 1วิวาห์ตามคำสั่ง งานแต่งงานที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในตอนนี้คืองานแต่งงานระหว่างวิธานลูกชายนักการเมืองชื่อดังกับหนูนาเดียร์ลูกสาว นักธุรกิจผู้ใจบุญ วิธานชายหนุ่มอายุสามสิบกว่ารูปร่างหน้าตาดีและที่ดึงดูดใจสาว ๆ ก็คือบุคลิกภาพและคำพูดที่ดูเป็นผู้ชายที่แสนจะอบอุ่น นาเดียร์สาวสวยในวัยยี่สิบเจ็ด เธอเกิดมาเพื่อเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่ ชีวิตของเธอไม่เคยเดินออกจากเส้นทางที่บุพการี ขีดไว้ และเธอก็มีความสุขและเต็มใจที่จะทำให้ทั้งคู่มีความสุข โฮโซทั้งสองคนถูกจับให้แต่งงานกันด้วยเหตุผลของ ความเหมาะสม และไม่มีอะไรที่จะทำให้ทั้งคู่อยากจะปฏิเสธ เพราะสำหรับวิธานแล้วการได้ภรรยาทั้งสวย รวย และดูไม่ค่อยฉลาดทันเขา มันคืออะไรที่ดีที่สุดอยู่แล้ว นาเดียร์เธอทำหน้าที่ภรรยาที่ดีตั้งแต่วันแรกของการได้ชื่อว่ามีสามี อะไรที่เธอไม่เคยทำหญิงสาวก็พยายามที่จะฝึกเพื่อให้สามีของเธอมีความสุขที่สุด หญิงสาวไม่ได้ช่วยงานธุรกิจของครอบครัวเท่าไหร่เพราะพ่อกับแม่อยากให้เธอทำหน้าที่ภรรยาให้ดีที่สุดก่อน เพราะทั้งสองคนยังอายุไม่มากยังพอทำไหว
ตอนที่ 2เมื่อทุกอย่างไม่เหมือนเดิม หลังจากกลับมาจากทะเลได้เพียงแค่ไม่ถึงเดือน นาเดียร์ก็สัมผัสได้ว่าสามีของเธอเปลี่ยนไป จากที่เคยกลับบ้านตรงเวลาตอนนี้เขาก็กลับบ้างไม่กลับบ้าง ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับงานที่มีปัญหา “พี่วิธานคะ มีปัญหาอะไรที่พอจะให้พ่อของเดียร์ช่วยไหมคะ เห็นพี่ทำงานหนักทุกวันเดียร์เป็นห่วง” ภรรยาคนสวยเดินมาคล้องแขนสามีที่เพิ่งกลับมาจากทำงานเพื่อหวังเอาใจ “อยากช่วยไหม ถ้าอยากช่วย เลิกถามสักทีผมรำคาญ” วิธานไม่ได้พูดคำพูดแบบนี้กับนาเดียร์เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพูดบ่อย หญิงสาวจึงให้อภัยและคิดว่าสามีคงเหนื่อยจากเรื่องงานมาจริง ๆ ชายหนุ่มทำท่ารำคาญและหงุดหงิด จากที่จะนั่งโซฟาตามปกติ เขากลับเอาขาทั้งสองข้างขึ้นมาวางบนโต๊ะ “มาถอดถุงเท้าให้หน่อย เหนื่อยไม่อยากก้ม” วิธานชี้นิ้วไปที่เท้าทั้งสองข้างด้วยกิริยาที่ดูหยาบคายเหมือนต้องการทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายให้รู้สึกต่ำต้อย นาเดียร์ทำท่าลังเลว่าเธอจะถอดหรือจะปฏิเสธ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะตัดสินใจ แก้วน้ำที่วางอยู่ข้างหน้าชายหนุ่มก็ถูกปาไปที่กำแพง