Share

ทะเลหมอกและสองเรา

ตอนที่10

ทะเลหมอกและสองเรา

          “แบบนี้เขาไม่เรียกตื่นเช้า เขาเรียกตื่นตั้งแต่มืดต่างหาก มืดแบบนี้จะมองเห็นเหรอทะเลหมอกของผู้กอง”

         อลิสหงุดหงิดที่ถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้ เพราะแค่ทุกวันนี้เธอต้องตื่นเช้าเพื่อมาเตรียมอาหารเช้า และเตรียมมาสอน ก็ต้องใช้ควาพยายามในการเปลี่ยนตัวเองมากพออยู่แล้ว

          “เด็กในเมืองก็แบบนี้ พอโดนปลุกให้ตื่นตอนเช้ามืดก็ทำเป็นไม่พอใจ แล้วแบบนี้จะมาเป็นครูบนดอย ผมว่าคุณทนอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงปี เดี๋ยวก็ต้องหาทางลงไปสอนในเมืองแน่ๆ”

          ธนาตุลรู้ว่าถ้าเขาพูดดี ๆ ไม่มีทางที่หญิงสาวจะหายง่วงนอน เขาเลยแกล้งพูดยั่วโมโห แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ

          “คอยดูแล้วกัน ฉันก็แกล้งบ่นแกล้งง่วงไปอย่างนั้นแหละ ตอนคุณไม่อยู่ฉันก็ตื่นเช้าทุกวัน เลิกคิดว่าฉันต้องเป็นลูกคุณหนูและทนความลำบากที่นี่ไม่ได้เสียที”

          เมื่อเห็นอีกฝ่ายโมโห ผู้กองกลับทั้งหัวเราะและยิ้ม             จนหญิงสาวต้องเอียงตัวเพื่อหันหน้ามามองเขาด้วยความสงสัย

          “ผู้กองขำอะไร” หญิงสาวกระแทกเสียงถาม

          “ขำคนที่โดนยั่วโมโหจนหายง่วงเลย เอ๊ย!..ไม่ใช่ ไม่ได้ง่วงลืมไป ผมขอถอนคำพูดนะ”

          เมื่อรู้ว่าเป็นแผนที่จะทำให้เธอหายง่วง หญิงสาวก็ตีไปที่แขนของคนขับอย่างแรง

          “โอ๊ย! คุณครูตีเจ็บหมือนกันนะ เผลอตีนักเรียนไปบ้างหรือยัง อย่านะ...เดี๋ยวนี้เขาห้ามตีกันแล้ว”

          “ไม่ตีนักเรียนแต่จะตีตำรวจแทน นิสัยเจ้าเล่ห์นัก”

          “ผมก็แค่อยากทำให้คุณรู้สึกครึกครื้น จะได้ไม่ง่วงไม่หงุดหงิด เชื่อเถอะถ้าคุณได้ไปเจอกับทะเลหมอกรับรองจะให้ผมถ่ายรูปไม่รู้กี่ภาพต่อกี่ภาพ”

          ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่อลิสแทบไม่ค่อยได้จับโทรศัพท์ นอกจากใช้แทนไฟฉายเพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณ ถ้าอยากจะโทรศัพท์ต้องขับรถออกจาหมู่บ้านไปหลายกิโลเมตร แต่สัญญาณก็ขาดๆหายๆ หญิงสาวจึงได้แต่เก็บภาพที่เธอถ่ายไว้แค่เพียงในโทรศัพท์เท่านั้น

          “เปิดหน้าต่างรถไหม ข้างนอกอากาศดีมากเลยนะตอนนี้”

          ชายหนุ่มหันหน้ามาถามหญิงสาวที่นั่งมาด้วย ไม่แน่ใจว่าเธอจะชอบไหม เพราะผู้หญิงบางคนจะไม่ชอบโดนลมกลัวผมปลิวไม่เป็นทรง

          “ดีเหมือนกันค่ะ เพื่อจะยิ่งทำให้ตื่นมากขึ้น”

          “พอถึงที่หมู่บ้าน เราต้องเดินเท้าไปอีกประมาณสามร้อยเมตรก็จะถึงจุดที่มีทะเลหมอก ผมบอกไว้เลยนะ ว่าวิวตรงนั้นมีแต่คนพื้นที่เท่านั้นที่รู้ นักท่องเที่ยวคนต่างถิ่นไม่มีโอกาสได้เห็นวิวสวยๆแบบนี้เด็ดขาด”

          ยังมีความงามของธรรมชาติที่ชาวบ้านในตำบลนี้รักษาไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะเมื่อไหร่ที่คนในเมืองเข้ามาถึง ความเป็นธรรมชาติก็จะหมดไปทันที

          “คนที่นี่เขารักท้องถิ่นของเขามากเลยนะคะ ฉันเคยไปเที่ยวตามดอยมาหลายที่ แรกก็สวยเพราะเริ่มมีชื่อเสียงทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยเป็นพื้นที่โล่ง ก็กลายเป็นมีร้านค้าเต็มไปหมด บ้านของชาวบ้านก็ถูกแทนที่ด้วยรีสอร์ต แต่แถวนี้ทุกอย่างยังดูเป็นแบบคนท้องถิ่นอยู่เหมือนเดิม”

          ทั้งสองคนต่างมีความคิดความชอบที่เหมือนกัน แต่ที่ต่างกันคือการปรับตัว อลิสเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เธอยังไม่คุ้นเคยต่างจากธนาตุลที่รู้สึกว่าดอยแห่งนี้เป็นบ้านหลังที่สองของเขาไปเสียแล้ว

          “ถึงแล้ว คุณเห็นทางเดินเล็กนั่นไหม เราต้องเดินไปทางนั้น อย่าลืมหยิบน้ำไปด้วยเผื่อหิว”

          ชายหนุ่มจอดรถและลงไปทักทายกับชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น พร้อมกับแนะนำให้ทุกคนรู้จักอลิสในฐานะคุณครูคนใหม่ของบ้านน้ำฝาย แต่ก็มีบางคนที่รู้จักหญิงสาวอยู่แล้ว เพราะได้เอาลูกหลานไปเรียนที่โรงเรียนที่เธอสอนอยู่

          “เดินดีนะจะครู ฝนมันตกดินก็จะเละๆหน่อย”

          ชาวบ้านเตือนเพราะเห็นท่าทางแล้ว กลัวคนต่างถิ่นอย่างหญิงสาวจะไม่ทันระวังและจะลื่นล้มเอาง่ายๆ

          “โชคดีที่ฉันใส่รองเท้าผ้าใบมา คุณก็ไม่คิดจะบอกกันเลย”

อลิสหันไปดุชายหนุ่มที่เธอกำลังเกาะแขนเขาเดินไปตามทาง

“คุณก็ต้องรู้อยู่แล้วไหม หรือคุณจะใส่รองเท้าส้นสูงมาดูทะเลหมอกบนเขา”

หญิงสาวหมั่นไส้ เลยเอามืออกจากแขนเขา ตั้งใจจะเดินเอง แต่แค่ยังไม่ทันจะปล่อยมือเธอก็เผลอลื่นเข้าให้ จน ธนาตุลต้องใช้ทั้งมือและตัวเองกอดประคองเธอไว้ไม่ให้ล้ม

หน้าทั้งสองคนแทบจะแนบชิดกัน เพราะความตกใจ อลิสก็คว้าตัวผู้กองมากอดไว้แน่น ลมหายใจของทั้งคู่ที่สัมผัสได้ทำให้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าทั้งสองแทบจะชิดสนิทกัน ทำให้ธนาตุลได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เขาดูแลมาตลอดอย่างชัดเจน มันทำให้หัวใจของเขารู้สึกแปลกๆ แปลกแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนแม้กระทั่งกับฉัตรฤดี

“เดินช้าๆ แล้วไม่ต้องปล่อยมือจากแขนผม ถ้าล้มไปรับรองทั้งตัวคุณจะเลอะไปด้วยขี้โคลน ผมบอกไว้ก่อนเลยนะถ้าเลอะแบบนั้น เดินกลับเลยไม่ให้ขึ้นรถแน่ๆ”

หญิงสาวไม่โต้ตอบอะไร เพราะเธอรู้ว่าที่ผู้กองพยายามพูดทั้งหมด เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เธอกับเขามองตากันอย่างใกล้ชิดเมื่อกี้ อลิสยังรู้สึกใจสั่นหวั่นไหว กับสายตาของเขาที่มองเธอไม่หาย

“หลับตานะ จะถึงแล้ว เดี๋ยวผมบอกให้ลืมตาค่อยลืม รับรองผมไม่ทำคุณล้มแน่ๆ”

แค่เดินขึ้นจากเนินอีกไม่กี่ก้าว ทะเลหมอกก็จะอยู่ตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มอยากให้อลิสลืมตามาแล้วเจอภาพของทะเลหมอกเลย

“ลืมตาได้แล้วครับ ขอเชิญพบกับทะเลหมอกที่สวยที่สุด” ชายหนุ่มผายมือไปที่ด้านหน้าที่เต็มไปด้วยหมอกเหมือนกับปุยยุ่นเต็มไปหมดจนมองไม่เห็นว่าหน้าผาข้างหน้าลึกขนาดไหน

“สวยมากเลยค่ะ คุ้มกับที่ต้องตื่นเช้าและต้องเดินลุยโคลนเข้ามา ฉันอยากพาพ่อกับแม่มาเห็นด้วยจัง”

ธนาตุลเดาไว้ถูกทุกอย่าง อลิสทำหน้าที่เป็นนางแบบเปลี่ยนมุมเปลี่ยนท่าให้ผู้กองหนุ่มตามถ่ายไม่รู้กี่สิบภาพ แต่ก็มีหลายภาพที่ทั้งคู่ถ่ายด้วยกัน เพราะชายหนุ่มเตรียมไม้สำหรับถ่ายเซลฟี่มาด้วย

พระอาทิตย์เริ่มขึ้น ทะเลหมอกค่อยๆจางไป พอให้มองเห็นว่าภายใต้ทะเลหมอกที่สวยงามด้านล่างเป็นเหวลึกและมีสายน้ำไหลอยู่

“แม่น้ำเหรอคะ ที่อยู่ด้านล่าง”

“ใช่ครับ แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำสายเดียวกับที่ไหลผ่าน              บ้านน้ำฝาย เป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงคนที่นี่ ให้มีน้ำใช้กินใช้ทำการเกษตร ไว้วันหลังผมจะพาคุณไปเที่ยวน้ำตก แต่ตอนนี้เป็นฤดูฝนอย่าเพิ่งไปเลย”

การได้ยืนหลับตากางแขนทั้งสองข้าง สูดอากาศที่บริสุทธิ์ของธรรมชาติยามเช้าเข้าไปเต็มปอด เป็นการช่วยเพิ่มพลังให้กับหญิงสาวจากในเมืองให้เธอได้มีกำลังใจ ในการสู้กับการทำหน้าที่เป็นครูบนดอยตามที่เธอฝันไว้ให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ

อากาศเริ่มอุ่นขึ้นจนถึงจะเริ่มร้อนแล้ว ทั้งคู่จึงพากันเดินกลับลงมาแล้วขับรถกลับมายังบ้านน้ำฝายเพื่อทำอาหารเช้ากินกัน

         

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status