ความปากแข็งทำให้ต้อมต้องอยู่เพียงลำพังมีเพียงความเหงาเพิ่มเข้ามา ในพรุ่งนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะไปหาคงเดชยังกรมป่าไม้ ซึ่งเขาไม่แน่ใจจะเจอหรือไม่แต่ยังดีกว่ารออยู่อย่างนี้แบบไม่มีความหวัง ก่อนวันไปได้โทรหาคงเดช โดยเตรียมเหรียญสิบ เหรียญห้า เหรียญบาทมาอย่างเต็มกระเป๋า
ต้อมยืนรอคิวหน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ เขาเสียเวลาไปประมาณสามนาทีกว่าจะได้เข้าไปในตู้โทรศัพท์ เมื่อเข้าไปในตู้โทรศัพท์เขารีบยกหูโทรศัพท์ทันที พร้อมหยอดเหรียญใส่อย่างรวดเร็ว รอปลายสายด้วยใจระทึกแต่ไม่มีคนรับ เขาโทรอยู่สองสามรอบยังเหมือนเดิม
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ” ต้อมบ่นพึมพำแล้วพลันเห็นคนยืนรอต่อคิวสองคน
ด้วยความเกรงใจต้อมจึงหยิบเบอร์เพจเจอร์ และรีบโทรไปทันทีเพื่อส่งข้อความหาคงเดช เวลาไม่นานคอลเซนเตอร์รับทันที ต้อมจีงรีบบบอกข้อความที่จะส่งอย่างรวดเร็วเพราะเกรงใจคนยืนรอคิว
“พุร่งนี้เราไปหากรมป่าไม้ได้ไหม หรือไม่ส่งข้อความกลับ xxxxxxxx จากต้อม” ต้อมรีบวางโทรศัพทันทีและรีบออกจากตู้โทรศัพท์อย่างไว
ต้อมนอนรอข้อความทางเพจเจอร์จนหลับไป เพราะไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด จนกระทั่งเช้ายังไม่มีข้อความเข้ามา ด้วยความคิดถึงและอยากบอกความในใจเขาจึงตัดสินใจไปพิษณุโลก และจะโทรหาอีกครั้งหรือไม่จะลองไปยังกรมป่าไม้ดู เขาจึงไม่รอช้าไปยังพิษณุโลกทันที
เมื่อต้อมมาถึงยังชานชาลาปลายทาง เขาจึงรีบเดินไปยังตู้โทรศัพท์ แต่เสียงเพจเจอร์ดังขึ้นต้อมจึงรีบเปิดดูอย่างรวดเร็ว เมื่อได้อ่านข้อความนั้นถึงกับอึ่งหน้าเปลื่ยนสี
“วันนี้เราไม่ว่างนะ จาก คงเดช”
ความหวังที่ได้เจอหมดสิ้นในวันนี้ จะกลับบ้านก็ยังกลับไม่ได้ เพราะเวลารถไฟออกอีกตั้งหลายชั่วโมง จะปหาก้องที่ห้องก็กลัวโดนไล่ออก หรือไม่อาจโดยก้องลวนลาม ต้อมจึงตัดสินใจไปเดินห้างสรรพสินค้า นานๆ ครั้งกว่าต้อมจะได้เดินมาเที่ยว วันนี้เขาจึงเดินเล่นจนทั่วและได้เข้าร้านเสื้อผ้ากีฬา ด้วยความคิดจะซื้อให้คงเคชเพราะจำได้ว่าชอบใส่ ในสุดสัปดาห์ถัดไปต้อมจะบุกไปหาถึงที่พร้อมของฝาก ในขณะกำลังเลือกซื้อเสื้อกีฬา โดยเฉพาะชุดนักฟุตบอล แต่แล้วเขาต้องหยุดชะงักเพราะได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“เอาชุดไหนเลือกได้เลยนะ”
“ผมเอาชุดนี้ครับ”
ต้อมได้ยินเสียงนั้นเขาเก็บชุดฟุตบอลเข้าที่ทันที แล้วเดินอ้อมไปยังล็อคเสื้อผ้าตรงหน้า เมื่อเดินไปถึงปลายล็อคสายตาอันเล็กหรี่เบิกกว้างทันที เพราะภาพตรงหน้านั้นคือหนุ่มใหญ่กับคงเดชกำลังยืนเลือกซื้อชุดนักฟุตบอล
“ซื้อได้อีกนะ”
“พอแล้วครับ แค่นี้ก็ใส่ไม่หมดแล้วครับ”
“ถ้าอย่างงั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“ครับ”
ภาพตรงหน้าสะท้อนความรู้สึกจนปวดร้าวอย่างสุดทานทน ต้อมยืนนิ่งอ้าปากค้างตาเบิกกว้าง ใจเต้นระรัวมือสั่นระริก ใจระทมทุกข์อย่างที่สุด ยิ่งเห็นคงเดชเดินดุ่มๆ มายังตรงหน้า ด้วยความรู้สึกตอนนี้อย่างจะหลบหลีกให้พ้นทาง แต่ไม่สามารถจะทำได้เพราะช่างกะทันหันและยืนนิ่งจนลืมตัว
สายตาที่มองเสื้อเรื่อยทางมาจนประจันหน้ากับต้อม คงเดชนั้นเกิดอาการเช่นเดียวกันเพียงได้เห็นหน้าต้อม สายตาสองคู่แสดงความรู้สึกออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้อย่างไม่ต้องพูดออกมาแต่อย่างใด
“เพื่อนเหรอ” หนุ่มใหญ่แสดงท่าทางสงสัยออกมาอย่างชัดเจน และอดแปลกไม่ได้ว่าทั้งสองต้องมองตากันขนาดนั้นยังไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว
“ครับสมัยเรียน” คงเดชพยายามเปลื่ยนสีหน้าทันที แสดงรอยยิ้มออกมาเพื่อกลบเกลือนอะไรบางอย่างภายในใจ
“ถ้างั้น ชวนไปกินข้าวด้วยกันสิ” หนุ่มใหญ่ยิ้มให้ต้อมด้วยความจริงใจ พร้อมหันมาทางคงเดชเพื่อฟังคำตอบ
“ไม่เป็นไร ผมกำลังจะกลับพอดีครับ เราไปก่อนนะ” ต้อมปราดสายตามองคงเดชแวบหนึ่งแล้วเดินจากไปอย่างคอตกไร้ความรู้สึก
ใจต้อมนั้นร้อนรนสุดจะทานทนอย่างหมดหวัง เขาเดินกลับไปยังชานชาลารถไฟอย่างเหม่อลอย จนไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามาถึงตอนไหน มารู้ตัวอีกทีได้เห็นผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่ จนรู้สึกตาลาย แต่ยังพอมองหาเก้าอี้นั่งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ได้
ต้อมนั่งนิ่งๆ อย่างไร้ความรู้สึกรู้สา ห้วงความคิดไร้สิ่งอยู่ในจิตใจ สองตามองตรงไปอย่างไร้จุดหมาย ความฝันความจริงที่อยากบอกได้สายเกินไป อย่างไม่มีวันหวนกลับมาเช่นเดิม
ร่างกายไม่ได้บอบซ้ำแต่ใจนั้นระทมไปทั้งตัว ต้อมนอนคิดเรื่องราวเมื่อกลางวันที่เกิดขึ้น ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจตัวเอง ทำไมปากหนักไม่บอกรักตั้งแต่ในสมัยเรียน ปล่อยเวลาให้เนิ่นนานจนสายเกินไปในความรู้สึกนึกคิดห้วงคำนึง ต้อมพยายามหลับตาเพื่อจะไม่ได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกนี้ แต่เขาไม่สามารถทำได้อีกต่อ ดวงตาที่หลับต้องลืมขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อรับความเจ็บปวดรวดร้าวอีกครา
ต้อมลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้คิดเรื่องราวที่ผ่านมา สายตาคู่ที่เศร้าสร้อยได้มองไปยังหัวเตียงแล้วหยิบจดหมายจากแหวนเพื่อนรัก ที่ส่งมาถึงเมื่อตอนเย็นแต่ด้วยกำลังเสียใจกับเหตุการณ์เมื่อกลางวันจึงยังไม่ได้เปิดอ่าน ต้อมจึงหยิบมาฉีกซองและดึงกระดาษข้างในออกมาอ่าน
สวัสดีต้อมเพื่อนรัก
เราสบายดีนะ ตอนนี้เราจะไปทำงานที่ภูเก็ตนายไปด้วยกับเราไหม แต่ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะเขียนจดหมายมาหานายอีก ตอนแรกกะจะส่งข้อความทางเพจเจอร์ แต่ส่งได้น้อย สู้เขียนจดหมายหากันไม่ได้ ถ้าเราถึงภูเก็ตแล้วจะส่งที่อยู่ไปให้นะ ส่วนปิ่นทำงานอยู่บ้าน และไอ้จืดไปทำงานในกรุงเทพ ก็ไม่รู้ทั้งคู่จะสมหวังในรักหรือเปล่า เพราะต้องแยกกันอยู่
แล้วนายล่ะมีแฟนใหม่หรือยัง ถ้ายังไม่มีก็มีซะเพราะเมื่อหลายวันก่อนเราเจอคงเดชที่เพชรบูรณ์ มากับหัวหน้าที่ทำงานของมัน มาประชุมสัมมนาอะไรนี่แหละ เพราะไม่ชอบไอ้แก่นั่น เราเลยไม่อยากคุยกับมันและสายตาไอ้แก่นั่นมองเราอย่างดูถูกดูแคลน เราเลยไม่ได้สนใจและเราหวังว่านายจงลืมคงเดชซะ ถ้ามีใครเข้ามาในชีวิตก็ดูดีๆ ก่อนตัดสินใจรักเขานะ
ท้ายนี้เราหวังว่านายจะมีความสุขนะ ส่วนเรามีความสุขดี และกำลังจะมีความสุขในไม่ช้า
จาก แหวน
ปล.เบอร์เพจเจอร์xxxxxxxx
ต้อมพับจดหมายใส่ซองไว้ตามเดิม เมื่อได้อ่านจดหมายจากแหวนความทุกข์ที่มีอยู่เพิ่มมากขึ้นเป็นอีกหลายเท่า จนคิดไปว่าถ้าเจอคงเดชอีกครั้งอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน แต่ในเมื่อเขาคิดอีกทีจะมีประโยชน์อันใด ถ้าเกิดเป็นสิ่งที่เขาและแหวนคิดนั้นจะสร้างความเจ็บปวดให้หนักกว่าเดิม ต้อมไม่รู้จะทำเช่นไรเขาจึงล้มตัวลงนอนและพยายามข่มตาให้หลับ
สองขางอขึ้นมือทั้งสองกอดเข่าไว้ ส่วนปลายคางเกยเข่าไว้ สองสายตามองไปยังโทรศัพท์มือถือ ส่วนในห้วงคำนึงกำลังเลิกคิดเรื่องราวที่ผ่านมา และอยากจะโทรหาคงเดชอีกครั้ง สองขาจึงเปลื่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิมือซ้ายหยิบมือถือ ขึ้นมากดเข้าไลน์แล้วเลื่อนหาชื่อคงเดช ต้อมตัดสินใจสองสามวินาทีก่อนกดโทรออก
“ฮัลโหล” ปลายสายรับเสียงราบเรียบ
“ทำอะไรอยู่”
“เล่นมือถืออยู่มีอะไรเหรอถึงโทรมา”
“เปล่า นั่งอยู่เฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไรเลยโทรมาหานาย” ต้อมรู้สึกหน้าชานิดหน่อย
“นายนี่ดีจังเลยนะ ไม่มีภาระอะไรให้ได้คิด ไม่เหมือนเรามีครอบครัวภาระเลยเยอะ วันๆ นอกจากทำงาน และ คิดถึงอนาคตของลูกๆ”
“ชีวิตนายก็ดีนะ มีลูกให้ได้ชื่นใจแต่เราไม่มีใครเลย”
“ทำไมไม่หาใครสักคนล่ะ ยังทันอยู่นี่ไม่ได้แก่เกินไป”
“ไม่หรอก ถ้ามีคงมีนานไปแล้วแหละ พูดไปก็ตลกนะเราเจอกันเรื่อยๆ ช่วงแรก เรายังจำได้อยู่เลยหลังเรียนจบได้ไม่นาน เราเจอนายที่พิษณุโลกสองครั้ง เอ๊ะ ว่าแต่นายมากับใครนะเราจำไม่ได้แล้ว” ต้อมกลั้นใจพูด ด้วยความสงสัยและอยากรู้คำตอบจากปากคงเดช
“หัวหน้างานเราไง” คงเดชพูดห้วนๆ
“อืม ตอนนี้ยังได้ติดต่อกันอยู่ไหม”
“ไม่ได้ติดต่อนานแล้ว ตั้งแต่เราหมดสัญญาจ้าง ถามทำไมเรื่องมันก็นานมาแล้ว นายสงสัยอะไรเหรอ”
“เปล่า เราจะไปสงสัยอะไรนายล่ะ”
“บางเรื่องลืมไปบ้างก็ดีนะ ว่าแต่นายนั่นแหละ หลังจากทำงานในพิษณุโลกไปทำงานที่ไหนต่อ”
“เราเข้ากรุงเทพนายล่ะ”
“เราอยู่นิคมที่ระยองจนถึงปัจจุบัน”
“ไม่เหมือนเรา อยู่กรุงเทพพักหนึ่งแล้วไปอยู่ทางเหนืองสองสามจังหวัด จนมาอยู่ที่เชียงใหม่”
“ใช้ชีวิตคุ้มเลยเนอะ คงจะผ่านมาเยอะ” น้ำเสียงของคงเดชแกมประชด
“ชีวิตคนเรามันก็ต้องผ่านอะไรมาบ้างทั้งนั้นแหละ รวมทั้งนายด้วยใช่ไหม”
“เราง่วงนอนแล้วแค่นี้นะ” ต้อมกดวางมือถือทันที
ต้อมรู้สึกแปลกใจเมื่อคงเดชตัดบททันที แต่เขาก็ไม่อยากคิดอะไรมากอีกต่อไป เพราะคุยกันตั้งพักไมได้รับรู้เรื่องราวที่อยากรู้แม้แต่เรื่องเดียว แถมยังโดนพูดแซะอีกแต่ต้อมพยายามไม่ใส่ใจอะไร เพราะถึงเป็นเช่นนั้นแต่มันผ่านมาแล้ว คิดไปก็ไม่ประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างแน่นอน
ต้อมโหยหาคิดถึงความหวังครั้งเก่าก่อน มือน้อยๆ จึงเอื้อมไปที่ชั้นหนังสือเพื่อหยิบอัลบั้มรูป ซึ่งภาพส่วนมากจะเป็นเพื่อนๆ ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยซะมากกว่า และภาพแรกที่เห็นเป็นภาพรับปริญญา จึงทำให้ต้อมนั้นอดคิดถึงวันนั้นไม่ได้อีกครา เขาจึงเงยหน้าหลับตาและลืมขึ้น เพื่อมองภาพตรงหน้าและหวนคิดถึงวันวานหลังจากหมดสัญญาจ้างต้อมไม่ต้องการต่อสัญญา เพราะทนความเย็นชาและโดนกลั่นแกล้งจากก้องไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อหมดสัญญาและเป็นช่วงจังหวะเดียวกับรับปริญญา ต้อมจึงถือโอกาสพักผ่อนและได้ไปเพชรบูรณ์เพื่อซ้อมรับปริญญา ในตอนแรกต้อมกะจะพักบ้านแหวน แต่เกรงใจเนื่องด้วยแหวนมีแฟนแล้ว แหวนจะชักชวนอย่างไรต้อมก็ไม่ยอมและต้องการพักที่โรงแรมไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนักเพียงก้าวเท้าเข้ามาในมหาวิทยาลัยใจชุ่มชื่นทันที เพราะเหมือนได้ย้อนวัยเป็นวันนาน เขาเดินไปเรื่อยๆ ต่างเจอรุ่นน้องที่มาแสดงความยินดี เจอเพื่อรุ่นเดียวกันต่างหยุดพูดคุย อย่างสนุกสนานมีความสุขกันทั่วทุกคน ในระหว่างรอการซ้อมต้อมได้นั่งอยู่ในกลุ่มของแหวนและปิ่นส่วนจืดนั้นไม่มาในงานครั้งนี้ด้วย“เสียดายเนาะจืดไม่ได้มาด้วย” ต้อมเอ่ยขึ้น“จะมาได้ไง หาเงินแต่งเมียอยู่
หลังจากอกตรมระทมจิตใจอย่างปวดร้าว เมื่อคงเดชไม่ได้มาตามสัญญาที่ให้ไว้ ต้อมจึงกลับบ้านอย่างไร้ความหวัง แต่ยังมีสิ่งที่ต้อมต้องเตรียมตัวเพื่อความภาคภูมิใจของพ่อแม่ นั่นคือวันรับปริญญาที่กรุงเทพ เขาจึงพยายามสลัดความเศร้าทุกข์นั้นทิ้งไปให้หมดต้อมเดินทางมากรุงเทพเพื่อรับปริญญาและหางานทำต่อจากเสร็จพิธี เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหางานทำในกรุงเทพต่อจากนี้ ซึ่งระหว่างรับปริญญาต้อมได้เห็นคงเดชอยู่เหมือนกัน แต่มากับครอบครัว ต่างคนต่างไม่ได้ใคร่สนใจนัก อย่าว่าแต่คงเดชเลยแม้แต่แหวน จืด โบ้ หรือคนอื่นๆ ยังไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไร จนพิธีรับปริญญาเสร็จสิ้นจึงมีโอกาสได้พบปะกันอีกครั้งเมื่อต้อมถ่ายรูปกับครอบครัวเสร็จสิ้น เขาจึงเดินมาหาเพื่อนๆ เพื่อถ่ายรูปหมู่และคู่ หรือกระทั่งถ่ายเดี่ยว ต่างยิ้มแย้มให้กันด้วยความสุขสันต์“ต้อม คงเดช ถ่ายรูปคู่กันหน่อย” แหวนจัดการให้เสร็จสรรพ เพราะออกจะรำคาญต้อมที่เขินอาย ไม่กล้าทำอะไรสักอย่างคงเดชเดินเข้ามาใกล้ๆ ต้อมและมีรอยยิ้มให้อย่างสดใจ ส่วนต้อมยังทำหน้านิ่งๆ โกรธอยู่ที่โดนทิ้งไว้ในโรงแรม“คืนก่อนเราขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้ไปตามนัด เราเมามากไอ้โบ้น่ะสิชวนเราต่อยาวเลย”“
ต้อมทำใจเรื่องคงเดชอยู่หลายวัน จนเริ่มคลายความคิดถึงได้บ้าง เขาจึงซื้อหนังสืองานด่วนแล้วมาเลือกหางานที่ตัวเองต้องการทำ ต้อมติ๊กไว้สี่ห้าที่หลากหลายตำแหน่ง เขากะว่าจะไปสมัครให้ครบทุกที่ในวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้จัดแจงซื้อเสื้อกางเกงรองเท้าหนัง ถ่ายรูปสองโหล ถ่ายรูปบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านหลายสิบแผ่น พร้อมกับซื้อแฟ้มเอกสารอย่างดีเตรียมออกล่าหางานในวันพรุ่งนี้ถึงเวลาเช้าวันใหม่ต้อมรีบออกเดินทางแต่เช้า เพราะกลัวรถติดถึงแม้จะไม่ชำนาญทางแต่ต้อมพยายามใช้ปากให้เป็นประโยชน์ถามไถ่เส้นทางที่จะไป ถ้าไกลขึ้นรถเมล์ที่ไหนใกล้หน่อยก็จะเดินไปงานแรกที่ต้อมสมัครเป็นพนักงานคลังสินค้า รับปริญญาตรีทุกสาขา ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ทำงาน ด้วยอยู่ใกล้ที่พักต้อมจึงสมัครงานตำแหน่งนี้ก่อน พอไปถึงคนมาสมัครเยอะมากแค่เขียนใบสมัครและเข้าอบรมทันที ต้อมดีใจอย่างมากเขาเลยเข้าไปในฟังอบรมทันที โดยในห้องอบรมมีประมาณยี่สิบกว่าคนต้อมตั้งใจฟังเพราะอยากได้งานทันที พอฟังไปยิ่งทะแม่งเพราะให้ขายสินค้าและหาสมาชิก อธิบายตัวสินค้าสองสามนาที ที่เหลืออธิบายหาสมาชิกมาร่วมทีมหลายสิบนาที หลังจากนั้นแนะนำคนที่ทำธุรกิจนี่ประสบความสำเร็จ
ต้อมได้เก็บผักที่อยู่ในสวนมาขายในตลาดนัดทุกวันเสาร์อาทิตย์ ขายดีบ้างไม่ดีบ้างเพราะคนขายดูท่าจะมากกว่าคนซื้อ ระหว่างนั่งจัดผักเล็กๆ น้อยๆ อยู่นั้น สองแม่ลูกคู่หนึ่งเดินเข้ามาทัก“ต้อม ขยันจังเลยเอาผักมาขายเยอะซะด้วย” ส้มภรรยาของอาคมเพื่อนรักทักทายทันทีเมื่อได้พบเจอ โดยมีอาคารลูกชายมาช่วยถือของอยู่ไม่ห่าง“อยู่ว่างๆ หารายได้พิเศษดีกว่าอยู่เฉยๆ เอาผักไปกินบ้างดีกว่านะ” ต้อมหยิบผักบุ้ง บวบ ยัดใส่ถุงให้สองแม่ลูก“ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา เกรงใจ” ส้มปฏิเสธพัลวัน“ไม่เป็นไรหรอกที่บ้านมีอยู่เยอะ ถ้าไม่รับโกรธจริงๆ ด้วยนะ”“ได้ ลูกรับของอาไว้สิ อืม เดี๋ยวเราไปซื้อของตรงโน้นก่อนนะ อาคารลูกก็อยู่เป็นเพื่อนอาเขาด้วยก็แล้วกัน”“ครับแม่”เมื่อส้มเดินจากไป อาคารเข้ามานั่งใกล้ๆ ต้อม ส่วนต้อมขยับตัวห่างออกไปเล็กน้อย เพื่อให้อาคารนั่งได้สะดวก“อานี่ขยันจริงๆ เลย”“ทำไงได้ กลับมาอยู่บ้านแล้วมีอะไรก็ต้องทำ เพื่อได้เงินมาใช้จ่ายนั่นแหละ” ต้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเขาไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียวในบัญชี“ชีวิตคนเราก็แบบนี้หนอ มีทุกข์มีสุขปนกันไป” อาคารถอนหายใจเฮือกใหญ่“เป็นอะไรดูสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรเลย” ต้อมร
หลังจากทำงานวันแรกเสร็จทั้งคู่ต่างรีบกลับมายังห้อง เพราะหิวข้าวเนื่องด้วยตอนกลางวันกินไม่ค่อยอิ่มเท่าไร เมื่อมาถึงห้องต้อมเจียวไข่ทันที ส่วนสนหุงข้าวรอสักพักทั้งคู่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้จะเป็นอาหารทั่วไป ทั้งสองกินอย่างเร่งรีบภายในไม่กี่นาทีก็หมดสิ้น หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ผลัดกันอาบน้ำ โดยต้อมจะได้อาบน้ำก่อนเสมอหลังจากนั้นจะเป็นสน เมื่อคู่ชี้เพื่อนรักทำทุกอย่างเสร็จสิ้น จนมานอนคุยกันเช่นเดิมเหมือนทุกวันไม่เปลื่ยนแปลง“วันนี้นายทำงานเป็นไงบ้าง” ต้อมเป็นฝ่ายถามก่อน“ก็ดีนะ พี่ๆ ใจดีทุกคนเลย และ มีคนเข้ามาพร้อมกันด้วย หลายคนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง""เขาน่าจะมีความรู้สึกดีๆ กับสนอยู่บ้างนะเพืีอนใหม่น่ะ""ทำไมเหรอ"สนยิ้ม“แหม ก็ถามเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”“นายล่ะเป็นไงบ้าง เป็นผู้ช่ายช่างคงมีแต่ผู้ชายมั้ง”“ช่างก็มีแต่ผู้ชายน่ะสิ ผู้หญิงมีนะแต่ไม่ได้ทำงานในแผนกเดียวกันหรอก”“น่ารักๆ อย่างต้อมนี่คงเป็นดาวเลยใช่ไหม เหมือนตอนอยู่หอในมีแต่คนมาหาถึงห้อง ไหนจะเพื่อนร่วมคณะอีกแค่เราไปดูหนังกับนาย ยังมีท่าทีหึงหวงเราเลย” สนเหล่าสายตามองต้อมที่ยังทำหน้านิ่งถึงแม้ต้อมจะมีใจให้สนแล้ว แต่ลึกๆ เมื่อได้ยินอ
ต้อมตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำกับข้าวให้สนกินก่อนไปทำงาน ซึ่งก็ไม่มีอะไรนอกจากไข่เจียวสองฟอง และในขณะเดียวกันต้อมได้รีดเสื้อกางเกงให้สนอย่างเรียบร้อยแขวนไว้ที่ราวตากผ้า ส่วนรองเท้าขัดจนเงาวับ หลังจากนั้นเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อย เมื่อต้อมทำทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงไปปลุกสนที่นอนหลับอย่างสบาย“สนตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปทำงานสายหรอก” ต้อมเขย่าร่างของสน“แจ้งแล้วเหรอ วันนี้ขี้เกียจจังเลย นึกว่านายจะต่ออีกรอบหนึ่งตอนเช้า” สนลุกขึ้นนั่งแล้วหยิกแก้มของต้อมอย่างเอ็นดูใคร่รัก“บ้า เมื่อคืนตั้งสองครั้งแล้ว”“มันต้องสามครั้งกำลังดี”“สามครั้งนายต้องไปทำเองที่ห้องน้ำโน้น ไม่ไหวยังเจ็บอยู่เลยนายทำเราแรงเกินไป” ต้อมแกล้งทำหน้างอ“ขอโทษนะ ต่อไปจะทำค่อยๆ อีกอย่างครั้งแรกของนายก็แบบนี้แหละ ทางแก้มีต้องทำบ่อยๆ จะได้ขยายหลวมๆ แต่เมื่อคืนฟิตเป็นบ้าเลย”“ทะลึ่ง ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”“จ๊ะ ที่รัก”สนเรีบลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่าท่อนเอ็นตั้งชูชัน โดยไม่ได้มีความเขินอายอย่างแต่ก่อน จนทำให้ต้อมรู้สึกแปลกใจอย่างมาก“กางเกงก็ไม่ใส่ไม่อายบ้างเลยเหรอ”“จะมาอายอะไร ตอนนี้เราสองคนไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เห็นกันทุกส่วนแล้วไม่
ความรักทั้งสองคืบหน้าไปอย่างมากในความคิดของต้อม เมื่อถึงเวลาสิ้นเดือนต้อมจึงซื้อของกินของใช้มามากมาย เพื่อเลี้ยงฉลองกับสนคนสำคัญที่สุดในชีวิต ค่ำคืนนี้ต้อมจึงเฝ้ารอการมาของสน แต่สองทุ่มก็แล้วสามทุ่มผ่านไปสี่ทุ่มกำลังจะมาถึง แต่ยังไร้วี่แววของใครบางคน สายตาของต้อมจ้องมองอาหารที่เรียงรายหลายอย่างตรงหน้า จนเวลาเกือบเที่ยงคืนจึงได้ยินเสียงเคาะประตู“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ต้อมเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ“นายไปไหนมาเรานัดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าวันนี้จะเลี้ยงฉลองเงินเดือนออก” ต้อมมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดแสดงท่าทีไม่พอใจ“เราขอโทษ พอดีพี่พี่ทำงานเราเลี้ยงฉลองให้น่ะ เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีงานนี้” สนเข้ามาโอบกอดจากด้านหลัง พร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้าอันบูดบึ้ง“นายไปดื่มเหล้ามาเหรอ”“นิดหน่อยเอง พี่ๆ เขาบังคับให้เราดื่มน่ะ”“อืม แสดงว่านายกินข้าวมาแล้วใช่ไหม”“ใช่ กินมาแล้ว แต่ตอนนี้อยากกินนายมากกว่า”“แล้วกับข้าวที่เราซื้อมาล่ะ เต็มไปหมดเลย”“ไม่เป็นไรหรอกทิ้งไปซะให้หมด แต่ตอนนี้เราขอกินนายก่อนได้ไหม”สนช้อนร่างของต้อมแล้วอุ้มมาวางบนเสื่อไร้ที่นอน พร้อมจับร่างของต้อมพลิกคว่ำหลังจากนั้นดึงกางเก
ความสัมพันธ์ทั้งสองเปลื่ยนแปลงทีละน้อย คืบคลานทีละนิดจนต้อมผิดสังเกตขึ้นมาทีละมากๆ ในช่วงเวลาที่ยาวนานหลายเดือน ต้อมยังทำตัวปกติทุกอย่างดูแลสนอย่างดีไม่เปลื่ยนแปลง ในขณะอีกคนมีความเปลื่ยนแปลงไป บางครั้งกลับห้องดึกดื่นบางคราไม่กลับมาเลย บางทีมีความสัมพันธ์ทางกายแบบผ่านๆ เหมือนไม่อยากจะมี ความสุขในรสรักของต้อมจึงลดน้อยลงไปอย่างมาก เพราะสนไม่ใคร่สนใจมอบให้อย่างแต่ก่อนมีอยู่ค่ำคืนหนึ่งสนพูดบางสิ่งออกมาจนต้อมรู้สึกใจหายใจคว่ำ เป็นคำพูดที่ไม่ได้รุนแรงแต่เจ็บลึกอย่างสุดทรวงและลึกสุดใจ“ต้อมเรามีเรื่องจะบอกกับนายนะ” สีหน้าของสนมีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องอะไร” ต้อมเดินมานั่งบนเตียงในขณะสนนอนนิ่งๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างไว้ในใจ“คือว่า เอ่อ เราสองคนก็โตกันขึ้นเยอะแล้วนะ ต่างคนต่างมีหน้าทีการงานของตัวเอง มีเพื่อนและอยากมีความเป็นส่วนตัว” สนยังไม่กล้าพูดคำใดๆ ออกมาพยายามเกริ่นนำ“นายจะพูดอะไร” ต้อมใจหวั่นหวิว เพราะคำพูดนำทางแบบนี้ เขาคาดคิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน“อืม เราคิดว่าต้องแยกห้องกันดีกว่าไหม เพราะเราทั้งคู่ก็โตกันแล้วนะ” สนจ้องหน้าของต้อมเพราะอยากรู้ความรู้สึกที่
ช่วงค่ำๆ ต้อมได้แต่งตัวอย่างน่ารักสดใส เพื่อไปเที่ยวกับเสกผู้จัดการฝ่ายบุคคลวัยสี่สิบกว่า ใจหนึ่งก็ไม่อยากไปแต่อีกใจหนึ่งก็เกรงใจ แต่ถึงอย่างนั้นต้อมพยายามคิดในแง่ดี จะได้ไปเที่ยวยามค่ำคืนแห่งเมืองลำพูนในระหว่างที่ต้อมเดินออกจากห้องไปยังหน้าประตูห้องเช่า บังเอิญดำเดินออกมาพอดีเพื่อไปกินข้าวมื้อเย็น ซึ่งทำให้เจอต้อมโดนบังเอิญ“แต่งตัวซะหล่อเลย จะไปไหนน่ะ” ดำยืนนิ่งๆ ข้างๆ ต้อมที่ใบหน้าขาวใสยังกับหญิงสาว“ไปกินข้าวน่ะ” ต้อมมองมาทางดำร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มผิวคล้ำ“กินข้าวแค่นี้แต่งตัวซะเหมือนไปเที่ยวเลย”“ก็ใช่น่ะสิพี่ดำ คืนนี้ผมต้องไปกินข้าวในตัวเมือง”“รถก็ไม่มีจะไปได้อย่างไร จากนี้ไปในเมืองไม่ใช่ใกล้เลย”“ไปกับพี่เสก”“อ่ะ พี่เสกผู้จัดการฝ่ายบุคคลนั่นเหรอ” ดำมีสีหน้าสงสัยยิ่งยวด“ใช่ ทำไมพี่ดำต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วย”“รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเหรอ”“เปล่า”“แล้วจะไปได้ไง ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว”“พี่เขาชวนไป ถ้าไม่ไปก็น่าเกลียดแย่เลย”“พี่เสกมาพอดีเลย ผมไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน” ต้อมหันมายิ้มให้ดำ ที่ยืนนิ่งมองต้อมขิ้นรถและแล่นจากไป ด้วยความรู้สึกแปลกสองด้าน อย่างแรกทำไมเสกต้องพาต้อม
ตอนที่25 ความรู้สึกที่เปลื่ยนไป หลังจากหยุดงานมาหลายวันดำก็มาทำงานตามปกติ โดยก่อนหน้านี้ต้อมได้มีคนมาสอนงานให้ เป็นรุ่นพี่ร่วมแผนกเข้ามาทำงานพร้อมกับดำ ซึ่งซันนั้นได้สอนต้อมทำงานอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง จนทำให้ต้อมเริ่มทำงานได้คล่องมากยิ่งขึ้น “ถ้าไม่ได้พี่ซันผมคงแย่แน่เลย”ต้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดจาอย่างอ่อนน้อม “เอ้า ไอ้ดำหายดีแล้วเหรอว่ะทั้งกายทั้งใจ”ซันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นดำเดินเข้ามาที่ทั้งสองยืนคุยกันก่อนเข้างาน “ปากดีนะมึงนะ”ดำมองตาขวางใส่ซัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดเล่นแรงกว่าหลายเท่า “มึงเป็นอะไรว่ะ ไปกินรังแตนมาจากไหน”ซันมีสีหน้ามึนงง “ไม่เป็นไรหรอก แค่ เอ่อ ไม่มีอะไร”ดำมองไปยังต้อมแว่บหนึ่งก่อนหันมามองซันต่อด้วยความแสนจะหงุดหงิด โดยไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน “สงสัยจะฟื้นไข้ยังไม่หายดี นี่ก็ใกล้เวลางานแล้ว ต่อจากนี้ไปกูส่งน้องต้อมให้มึงดูแลต่อ และอีกอย่างน้องต้อมต้องดูแลพี่ดำดีๆนะ เดี๋ยวพิษไข้กำเริบพี่ไม่ได้กลัวไข้กายหรอก กลัวไข้ใจมากกว่าถ้ามีเวลาก็ค่อยๆดามใจมันก็ได้”ซันหัวเราร่วนก่อนรี
ต้อมนั่งมองดำที่กำลังกินข้าวต้มแบบฝืนกินยากพอสมควร สายตาอันเล็กหรี่จ้องไม่กระพริบตา ส่วนริมฝีปากเล็กรอยหยักคอยเตรียมพูดทันทีเมื่อใดดำหยุดกินข้าวต้ม และมือน้อยอันเรียวงามเทน้ำจากขวดใส่แก้วไว้เตรียมพร้อม รวมทั้งยาแก้ไข้อีกสองเม็ดวางไว้ใกล้ๆ กัน“กินให้หมดนะ” ต้อมพูดทันทีเมื่อดำหยุดกินข้าว“พี่อิ่มแล้ว” ดำถอดถอนหายใจ เพราะเขาไม่รู้สึกอยากกินข้าวแต่อย่างใด ถึงแม้จะพยายามฝืนทนกินแต่ไม่สามารถกินได้มากกว่านี้“ก็ได้ ถ้างั้นก็กินยาซะ” ต้อมพูดเสียงนิ่งๆ ให้ดูเข้มเข้าไว้ แต่เสียงเล็กอันใสหาเป็นใจไม่สายตาของต้อมยังมองดำตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าจะแอบนำยาไปทิ้งขว้างไม่ยอมกิน ดำเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง จนอดคิดไม่ได้ว่าต้อมไม่เหมือนน้องแต่เหมือนพี่สาวมากกว่า“พอใจหรือยัง” ดำพูดทันทีเมื่อได้กลืนยาลงคอ“พอใจมาก”“ถ้างั้นก็กลับไปได้พี่จะนอน” ดำพูดเสียงห้วนๆ“ก็นอนสิ ผมก็จะอยู่ที่นี่”“ห้องตัวเองมีทำไมไม่นอน” ดำแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนคำพูดของดำที่ไม่เกรงใจและสนความรู้สึกคนฟัง ทำให้ต้อมนั้นใจอุ่นๆ ขึ้นมาอยู่เหมือนกัน ขนาดป่วยยังไม่วายพูดจาไม่น่าฟังเลยสำหรับความคิดของต้อม“ความจริงก็ไม่ได้อยากนอน
วันนี้ต้อมมีความรู้สึกแปลกๆ เพราะดำไม่ได้มาทำงาน สาเหตุใดต้อมไม่สามารถรู้ได้ เพราะดำสั่งห้ามให้อยู่ทางใครทางมัน จึงเป็นเหตุให้ต้อมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับดำ ถึงแม้วันนี้หลายต่อหลายคนจะถามไถ่ จึงได้แต่ปฏิเสธท่าเดียวไม่รู้ จนกระทั่งก่อนกลับบ้านสันต์หัวหน้างานของเขาได้เอ่ยขึ้นมา“กลับไปห้องก็ไปดูดำมันหน่อยนะ มันพึ่งเลิกกับแฟนช่วงนี้มันเศร้าๆ ไหนๆ ก็ทำงานที่เดียวกัน” สันต่์เอ่ยขึ้นก่อนเดินจากไป“ครับ” ต้อมรับคำด้วยความยินดี แต่ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่า ดำต่างหากที่ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ส่วนตัวเขาเองนั้นอยากสนิทสนมด้วยใจจะขาดในช่วงที่ต้อมเดินออกจากโรงงานไปยังที่จอดรถ ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องของดำเพลินๆ ว่าจะจัดการอย่างไรดี ก็มีรถเก๋งคนงามจอดอยู่ข้างๆ เขา ต้อมจึงหันมามองและเป็นจังหวะเดียวกันที่กระจกเปิดออกพอดี“ต้อมขึ้นมาบนรถก่อนสิ” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเรียกเขาแบบหน้านิ่งเหมือนตอนที่กำลังสัมภาษณ์งาน“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเองได้ครับ” ต้อมกำลังจะเดินจากไป“บอกให้ขึ้นมาก็ขึ้นมาสิ” เสียงของผู้จัดการฝ่ายบุคคลเริ่มห้วนขึ้น“ครับ” ต้อมเดินอ้อมรถไปอีกด้านและเปิดประตูขึ้นไปในรถเมื่อต้อมขึ้นไปเขาก็นั่งนิ
เนื่องด้วยสภาพจิตใจของต้อมไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาจึงไม่ค่อยได้ออกไปทำงาน มีแต่นอนและพักผ่อนให้ร่างกายฟื้นตัว ยามค่ำคืนก่อนนอนต้อมได้หยิบอัลบั้มรูปขึ้นมาเปิดตัว และได้เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งที่เขาถ่ายตอนหลับ ต้อมจำได้ดีรักครั้งนี้เขาจึงหวนคิดถึงอีกครั้งหลังจากผิดหวังในรักที่มีต่อสน ทำให้ต้อมได้ติดสินใจก้าวเดินต่อไป เพื่อลืมเลือนรักอันเจ็บปวด ต้อมได้ขึ้นมาทำงานทางเหนือตามคำแนะนำของแหวน เพราะเพื่อนร่วมรุ่นได้ออกงานจากที่นี่จึงมีตำแหน่งว่างพอดีเมื่อไปถึงเมืองลำพูนต้อมได้หาห้องเช่าไม่ไกลจากแหล่งนิคมอุตสาหกรรมเท่าไรนัก มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและที่นอนสำหรับไว้เอนกายพักผ่อนยามต้องการ พอรุ่งเช้าต้อมเดินทางไปสมัครงานในนิคมอุตสหกรรม เป็นโรงงานเกี่ยวกับผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยามเข้าไปนิคมและได้กรอกใบสมั8รและรอสัมภาษณ์เลย เพราะต้องการด่วนซึ่งไม่แตกต่างจากต้อมก็อยากได้งานโดยไวเหมือนกัน เมื่อเข้าไปก็เจอผู้จัดการฝ่ายบุคคล ต้อมยกมือไหว้ชายหนุ่มวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ รูปร่างสูงโปร่งขาวนัยน์ตาเล็ก“สวัสดีครับ” ต้อมยกมือไหว้“นั่งลงได้” ชายหนุ่มผู้นั้นมองต้อมไม่วางสายตา“ดูจากประวัติการทำงาน เปล
วันหยุดยาวต้อมได้กลับบ้านสองวันทีแรกกะสามวัน แต่ทนความคิดถึงสนไม่ไหวเขาจึงกลับมาก่อนเวลา และอีกอย่างหนึ่งเพื่อสืบสาวราวเรื่องของสนว่าเป็นเช่นไรโดยไม่ได้โทรบอกสนไว้แม้แต่น้อย และต้อมไม่ยอมกลับห้องของตัวเองด้วย เลยรวดไปยังห้องพักของสนเพื่อจับผิดหรือถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือว่าเป็นไปหาคนรักแค่นั้นไม่ได้มีอะไรเสียหายหรือเสียเวลาเมื่อมาถึงต้อมรีบไปยังห้องเช่าของสน ด้วยไปหาสนเป็นบางครั้งต้อมจึงมีกุญแจ และยามคุ้นหน้าเป็นอย่างดี จึงเข้าออกง่ายไม่มีปัญหาแต่อย่างใด พอถึงหน้าประตูต้อมจึงหยิบกุญแจมาเปิดเข้าไปในห้อง โดยไม่ได้เคาะเรียกขานแต่อย่างใด เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็ไม่ได้พบกับอะไรผิดปกติ เห็นเพียงแต่สนนั่งดูทีวีอย่างสบายอารมณ์“อ้าว ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไปสามวันไง” สนมีสีหน้าไม่สู้ดีนักและรีบลุกขึ้นยืนทันใด“ทนคิดถึงนายไม่ไหวไง” ต้อมเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ“ใครมาสน” หญิงสาวนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเกาะอกออกมาจากห้องน้ำและรีบเดินมาเกาะแขนสน ที่อยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายท่อนล่าง“เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันนะ” สนจ้องมองต้อมไม่วางสายตา เพราะกลัวต้อมพูดอะไรออกมา“ต้อมนี่คือ เอ่อ” สนอ้ำ
ความสัมพันธ์ทั้งสองเปลื่ยนแปลงทีละน้อย คืบคลานทีละนิดจนต้อมผิดสังเกตขึ้นมาทีละมากๆ ในช่วงเวลาที่ยาวนานหลายเดือน ต้อมยังทำตัวปกติทุกอย่างดูแลสนอย่างดีไม่เปลื่ยนแปลง ในขณะอีกคนมีความเปลื่ยนแปลงไป บางครั้งกลับห้องดึกดื่นบางคราไม่กลับมาเลย บางทีมีความสัมพันธ์ทางกายแบบผ่านๆ เหมือนไม่อยากจะมี ความสุขในรสรักของต้อมจึงลดน้อยลงไปอย่างมาก เพราะสนไม่ใคร่สนใจมอบให้อย่างแต่ก่อนมีอยู่ค่ำคืนหนึ่งสนพูดบางสิ่งออกมาจนต้อมรู้สึกใจหายใจคว่ำ เป็นคำพูดที่ไม่ได้รุนแรงแต่เจ็บลึกอย่างสุดทรวงและลึกสุดใจ“ต้อมเรามีเรื่องจะบอกกับนายนะ” สีหน้าของสนมีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องอะไร” ต้อมเดินมานั่งบนเตียงในขณะสนนอนนิ่งๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างไว้ในใจ“คือว่า เอ่อ เราสองคนก็โตกันขึ้นเยอะแล้วนะ ต่างคนต่างมีหน้าทีการงานของตัวเอง มีเพื่อนและอยากมีความเป็นส่วนตัว” สนยังไม่กล้าพูดคำใดๆ ออกมาพยายามเกริ่นนำ“นายจะพูดอะไร” ต้อมใจหวั่นหวิว เพราะคำพูดนำทางแบบนี้ เขาคาดคิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน“อืม เราคิดว่าต้องแยกห้องกันดีกว่าไหม เพราะเราทั้งคู่ก็โตกันแล้วนะ” สนจ้องหน้าของต้อมเพราะอยากรู้ความรู้สึกที่
ความรักทั้งสองคืบหน้าไปอย่างมากในความคิดของต้อม เมื่อถึงเวลาสิ้นเดือนต้อมจึงซื้อของกินของใช้มามากมาย เพื่อเลี้ยงฉลองกับสนคนสำคัญที่สุดในชีวิต ค่ำคืนนี้ต้อมจึงเฝ้ารอการมาของสน แต่สองทุ่มก็แล้วสามทุ่มผ่านไปสี่ทุ่มกำลังจะมาถึง แต่ยังไร้วี่แววของใครบางคน สายตาของต้อมจ้องมองอาหารที่เรียงรายหลายอย่างตรงหน้า จนเวลาเกือบเที่ยงคืนจึงได้ยินเสียงเคาะประตู“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ต้อมเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ“นายไปไหนมาเรานัดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าวันนี้จะเลี้ยงฉลองเงินเดือนออก” ต้อมมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดแสดงท่าทีไม่พอใจ“เราขอโทษ พอดีพี่พี่ทำงานเราเลี้ยงฉลองให้น่ะ เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีงานนี้” สนเข้ามาโอบกอดจากด้านหลัง พร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้าอันบูดบึ้ง“นายไปดื่มเหล้ามาเหรอ”“นิดหน่อยเอง พี่ๆ เขาบังคับให้เราดื่มน่ะ”“อืม แสดงว่านายกินข้าวมาแล้วใช่ไหม”“ใช่ กินมาแล้ว แต่ตอนนี้อยากกินนายมากกว่า”“แล้วกับข้าวที่เราซื้อมาล่ะ เต็มไปหมดเลย”“ไม่เป็นไรหรอกทิ้งไปซะให้หมด แต่ตอนนี้เราขอกินนายก่อนได้ไหม”สนช้อนร่างของต้อมแล้วอุ้มมาวางบนเสื่อไร้ที่นอน พร้อมจับร่างของต้อมพลิกคว่ำหลังจากนั้นดึงกางเก
ต้อมตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำกับข้าวให้สนกินก่อนไปทำงาน ซึ่งก็ไม่มีอะไรนอกจากไข่เจียวสองฟอง และในขณะเดียวกันต้อมได้รีดเสื้อกางเกงให้สนอย่างเรียบร้อยแขวนไว้ที่ราวตากผ้า ส่วนรองเท้าขัดจนเงาวับ หลังจากนั้นเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อย เมื่อต้อมทำทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงไปปลุกสนที่นอนหลับอย่างสบาย“สนตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปทำงานสายหรอก” ต้อมเขย่าร่างของสน“แจ้งแล้วเหรอ วันนี้ขี้เกียจจังเลย นึกว่านายจะต่ออีกรอบหนึ่งตอนเช้า” สนลุกขึ้นนั่งแล้วหยิกแก้มของต้อมอย่างเอ็นดูใคร่รัก“บ้า เมื่อคืนตั้งสองครั้งแล้ว”“มันต้องสามครั้งกำลังดี”“สามครั้งนายต้องไปทำเองที่ห้องน้ำโน้น ไม่ไหวยังเจ็บอยู่เลยนายทำเราแรงเกินไป” ต้อมแกล้งทำหน้างอ“ขอโทษนะ ต่อไปจะทำค่อยๆ อีกอย่างครั้งแรกของนายก็แบบนี้แหละ ทางแก้มีต้องทำบ่อยๆ จะได้ขยายหลวมๆ แต่เมื่อคืนฟิตเป็นบ้าเลย”“ทะลึ่ง ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”“จ๊ะ ที่รัก”สนเรีบลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่าท่อนเอ็นตั้งชูชัน โดยไม่ได้มีความเขินอายอย่างแต่ก่อน จนทำให้ต้อมรู้สึกแปลกใจอย่างมาก“กางเกงก็ไม่ใส่ไม่อายบ้างเลยเหรอ”“จะมาอายอะไร ตอนนี้เราสองคนไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เห็นกันทุกส่วนแล้วไม่