เพราะเป็นลูกอนุที่ไร้ค่า บิดาบังเกิดเกล้าจึงยกเขาให้เป็นชายบำเรอของมหาอำมาตย์ แต่มหาอำมาตย์เกิดหัวใจวายตายในคืนเข้าหอ ทำให้เขาถูกตราหน้าว่าร่านราคะ และจะจับเขาฝังทั้งเป็น!
View Moreไท่ชินอ๋องนิ่งอึ้งไปเป็นครู่ใหญ่…ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอย่างไรชอบกล” ใช่…เมียคนหนึ่งมีชู้ เมียอีกสองคนรักกันเอง “ชิงชิง…เจ้าคิดว่า ข้าควรจะทำอย่างไรดี?” “ให้ข้าน้อยออกความเห็นหรือขอรับ?” “อืม…” “ความเห็นของข้าน้อยอาจจะไม่ถูกใจท่านอ๋อง” “ไม่เป็นไร…เจ้าจะมีความเห็นอย่างไร ข้าก็ไม่ถือโทษเจ้า” “เช่นนั้น...ข้าน้อยขอกล่าวตามตรงว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะท่านอ๋องทำหน้าที่สามีไม่สมบูรณ์ ท่านอ๋องปล่อยให้พวกนางว้าเหว่...ถ้าท่านอ๋องไม่ต้องการให้พวกนางจากไป ท่านอ๋องจะต้องทำอย่างไรบ้าง ข้าน้อยคงไม่ต้องบอก” “ความหมายของเจ้าคือ...ข้าทำหน้าที่สามีบกพร่อง” “มิกล้า” แม้ปากบอกมิกล้า แต่ในใจตอบว่า...ใช่ “ข้าเหน็ดเหนื่อยกับราชกิจทุกวี่ทุกวัน” ไท่ชินอ๋องทำเสียงโอดครวญ “ไม่ใช่ข้ออ้างขอรับ...ท่านอ๋องคึกคักใส่ข้าน้อยได้ทุกคืน” “นั่นเพราะเจ้าทำให้ข้าเกิดอารมณ์” ไท่ชินอ๋องเอ่ยพลางโถมกายเข้าใส่ร่างบอบบาง “เจ้าต้องรับผิดชอบด้วย” “พวกเรายังสนทนาเรื่องอี๋เหนียงทั้งสองไม่เสร็จนะขอรับ” หลี่ชิงทักท้วง “เอ
พอส่งจูเยี่ยนหลีขึ้นรถม้าเรียบร้อย และรถม้าที่นางกับสาวใช้นั่ง ติดตามด้วยขบวนรถม้าขนสัมภาระข้าวของจากไปแล้ว…หยวนอี๋เหนียงกับเหมยอี๋เหนียงก็เดินตามกันไปที่เรือนพักของเหมยอี๋เหนียง “เจียวเจียว” เหมยอี๋เหนียงเอ่ยขึ้น หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงเคียงกันที่โต๊ะน้ำชา ในห้องโถงรับรองของเรือนพัก “ข้าเห็นเยี่ยนหลีได้ออกไปอย่างปลอดภัยเช่นนี้แล้ว ข้าก็อยากออกไปบ้าง…ในตอนแรกที่ได้มาเป็นอี๋เหนียงของไท่ชินอ๋อง ข้านึกว่าตนเองโชคดีมาก ได้สามีที่สูงศักดิ์ หนุ่มแน่น ซ้ำยังสง่างามยิ่ง…แต่คิดไม่ถึงว่าชีวิตการเป็นอี๋เหนียงช่างเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว อยู่มาเกือบห้าปี ข้าได้รับใช้ไท่ชินอ๋องไม่ถึงห้าครั้ง ซ้ำร้ายแต่ละครั้ง หลังจากรับใช้ไท่ชินอ๋องแล้ว ก็จะถูกพระชายาเรียกไปด่าว่า และให้ดื่มยาป้องกันการตั้งครรภ์” “ข้าก็เช่นเดียวกันกับเจ้า” หยวนเจียวเจียวถอนหายใจ “ยิ่งพวกเราสองคนลักลอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน หากวันใดถูกจับได้ คงต้องถูกโบยจนตายเป็นแน่” “พวกเราลองขอให้กุ้ยหวางเฟยช่วยดีไหม?” เหมยอิงเถาเสนอความเห็น “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่…” หยวนเจียวเจียวกล่าว “คงรีบร้อนนักไม่ได้…อย่างน้อยก็ต้องร
หลี่ชิงให้อาเฟยนำข่าวดีไปบอกจูอี๋เหนียง…เด็กหนุ่มก็วิ่งไปยังเรือนของนางอย่างร่าเริง ได้พบกับสาวใช้ทั้งสองนางของจูอี๋เหนียงยืนอยู่หน้าเรือนด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “เจี่ยเจียทั้งสอง…กุ้ยหวางเฟยให้ข้ามาพบจูอี๋เหนียงเพื่อบอกข่าว” อาเฟยบอกกล่าว “ท่านอาเฟย…นายหญิงของพวกข้าไล่พวกข้าออกจากห้อง ขังตัวเองเอาไว้เพียงลำพัง บอกว่าไม่ต้องการพบผู้ใด” สาวใช้นางหนึ่งบอก “เจี่ยเจีย…ลองตบประตู บอกกล่าวว่ากุ้ยหวางเฟยมีข่าวถึงนาง นางต้องยอมให้พบแน่ๆ” อาเฟยเสนอสาวใช้ทั้งสองก็ทำตาม…แต่ตบประตูร้องบอกอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงขานรับ…อาเฟยรู้สึกไม่ถูกต้อง จึงบอก “เจี่ยเจีย พวกเราช่วยกันพังประตูเข้าไป” แล้วทั้งสามก็รวมพลังกันกระแทกประตู พอประตูเปิดผัวะ…ก็เห็นจูอี๋เหนียงกำลังจะผูกคอตาย ทั้งสามรีบเข้าไปห้าม ประคองนางลงจากโต๊ะที่ปีนขึ้นไปจะผูกคอตาย พอเอาตัวลงมานั่งที่เตียงนอนเรียบร้อย อาเฟยก็รีบบอกว่า “จูอี๋เหนียง ท่านอย่าได้คิดสั้นเลย กุ้ยหวางเฟยของข้าน้อย เรียนท่านอ๋องเรื่องที่ท่านต้องการจะลาออกจากการเป็นอี๋เหนียงแล้ว ท่านอ๋องก็อนุญาต และจะเขียนหนังสือหย่าให้ท่านด้วย ทั้งยังอนุญาต
“ท่านอ๋อง…” เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหลี่ชิงเบาราวเสียงแมลงหวี่ ส่วนจูอี๋เหนียงเอาแต่ก้มหน้าสะอึกสะอื้น ไท่ชินอ๋องก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ ยกมือขวาขึ้นจะฟาดใส่ศีรษะของจูอี๋เหนียง หลี่ชิงตกใจกระโดดเข้ากอดแขนไท่ชินอ๋องไว้แน่น พลางตะโกน “ท่านอ๋อง…เรื่องราวไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด” “ฮะๆๆ…น่าขัน หลักฐานอยู่ตำตายังจะแก้ตัวอีก” แล้วพระชายาฟางหมิงซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายสานมีคานหาม ใช้บ่าวชายฉกรรจ์สองคนเป็นผู้แบก ก็ให้บ่าวแบกมาให้ตรงกับหน้าประตู “กุ้ยหวางเฟยหนอกุ้ยหวางเฟย…ช่างแก้ตัวได้น่าฟังยิ่งนัก” จูอี๋เหนียงนั้นแสนจะอัดอั้นตันใจ…จะบอกความจริง ก็เกรงชู้รักจะถูกตัดหัวทั้งครอบครัว…จะไม่สารภาพ ก็กลัวว่าจะพลอยทำให้กุ้ยหวางเฟยเดือดร้อนไปด้วย…พอคิดมากหนักเข้า ก็เป็นลมล้มฟุบอยู่กับพื้น หลี่ชิงเป็นห่วงทารกในครรภ์ของนางจึงสั่ง “เสี่ยวฉีจื่อ อุ้มนางขึ้นบนเตียง พื้นเย็น เดี๋ยวนางจะไม่สบายได้”ไท่ชินอ๋องขบกรามกรอด…นี่ต่อหน้าเขายังห่วงใยกันขนาดนี้…ลับหลังเขาจะมิยิ่งกว่านี้หรอกหรือ! เสี่ยวฉีจื่อจะเข้าไปอุ้มจูอี๋เหนียงตามคำสั่งของหลี่ชิง ก็ถูกไท่ชินอ๋องตะคอก “ไม่ต้อง!”
อีกสิบวันต่อมา… “เจ้าทำอะไร? อาเฟย” หลี่ชิงเห็นอาเฟยมุดเข้าไปในพุ่มดอกไม้ ก็ไปแหวกพุ่มไม้ถาม “จุ๊ๆๆ…บ่าวกำลังหลบซ่อนตัวขอรับ” อาเฟยตอบเสียงเบา “หลบซ่อนใคร? แล้วหลบซ่อนทำไม?” “กุ้ยหวางเฟยขอรับ…ถ้าท่านจะถามบ่าวให้ได้ ก็โปรดมุดเข้ามาในนี้ก่อน” หลี่ชิงก็เลยมุดเข้าไปในพุ่มไม้อีกคน “บ่าวหลบซ่อนท่านอ๋องสี่ เขามาซ้อมมวยปล้ำให้บ่าวทุกวัน บ่าวไม่ไหว บ่าวเหนื่อย พอบ่าวไม่ทำตามที่เขาสั่ง เขาก็แกล้งนอนทับบ่าว หรือไม่ก็จับบ่าวหนีบรักแร้…ตั้งแต่เขามาที่จวนไท่ชินอ๋อง ชีวิตของบ่าวช่างวุ่นวายเหลือเกิน ไม่สงบสุขเลยสักวัน” “เช่นนั้นหรือ?” หน้าอ๋องสี่โผล่เข้ามาเกือบชิดติดหน้าอาเฟย อาเฟยสะดุ้งโหยง…แล้วร่างของเด็กหนุ่มก็ถูกอ๋องสี่คว้าออกไปจากพุ่มไม้ ยกขึ้นพาดไหล่แบกไป “ข้าไม่เล่นกับท่านแล้ว” เสียงอาเฟยลอยมา ตามด้วยเสียงอ๋องสี่ “แต่ข้าจะเล่นกับเจ้า” หลี่ชิงกุมขมับ “ชิงชิง เป็นอะไรไปหรือ?” ไท่ชินอ๋องโผล่หน้าเข้ามาในพุ่มไม้ถาม “ท่านอ๋องหาข้าน้อยเจอได้อย่างไรขอรับ?” หลี่ชิงถามไท่ชินอ๋องกลับ “เสี่ยวฉีจื่อกับเสี่ยวจางจื่อยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้” ไท่ช
ไท่ชินอ๋องกับอ๋องสี่ควบม้าแข่งกันออกไปนอกเมืองหลวง จนถึงภูเขาสูง ค่อยลงจากหลังม้าแล้วใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นไปที่ศาลาชมทิวทัศน์ ในศาลาชมทิวทัศน์บนยอดเขานอกเมืองหลวงของหนานหยาง… ไท่ชินอ๋องนั่งอยู่ที่เก้าอี้หินข้างโต๊ะหิน ยกกระติกกระเพาะสัตว์บรรจุเหล้าที่ตนเองพกมาด้วยขึ้นดื่มอึกหนึ่ง อ๋องสี่นั่งหมิ่นเหม่ที่ราวระเบียง ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นวางบนราว ดื่มสุรารสร้อนแรงจากกระติกที่ทำจากกระเพาะสัตว์ของตนบ้างด้วยทีท่าสบายๆ “ข้าตกลงใจแล้ว เรื่องเจียงจ้าน ข้าจะลงมือด้วยตัวเอง” อ๋องสี่เอ่ย “ใช้วิธีของนักฆ่า” “อันตรายเกินไป” ไท่ชินอ๋องแย้ง “ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือหรือ? พี่ใหญ่”(ไม่เข้าถ้ำเสือจะได้ลูกเสือหรือ…เป็นคำเปรียบเปรยว่า…ไม่เสี่ยงอันตรายแล้วจะได้ผลงานที่ต้องการหรือ) “ท่านลุงของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?” ไท่ชินอ๋องถาม “ให้รู้ไม่ได้หรอก…ตั้งแต่บุตรชายทั้งสองของท่านลุงตายไป ท่านลุงกลัวข้าเป็นอะไรไปยิ่งกว่ากลัวหัวตัวเองหลุดออกจากบ่าซะอีก” อ๋องสี่ยกกระติกสุราขึ้นดื่มสองสามอึก ก่อนจะกล่าวต่อ “นี่ถ้าข้าไม่มีเทียนเป่าให้เขายึดเอาไว้เป็นหลักประกัน คงไม่ยอมปล่อย
อ๋องสี่มองดูอาเฟยที่ฟุบหน้ากับโต๊ะเขียนหนังสือ เอาสองมือปิดหัวหูเอาไว้มิด แล้วคาดเดาว่า จะต้องมีเรื่องน่าสนุกแน่! เขาก็ใช้สองมือคว้าข้อมือเล็กๆ ของอาเฟย แล้วหิ้วเด็กหนุ่มขึ้นมาทั้งตัว พอเห็นหน้าอาเฟยเท่านั้น…อ๋องสี่ก็หัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆๆๆ…ท่านอาเฟยของข้าเป็นแมวเต็มตัว” บนดวงหน้ากลมๆที่มีรอยบุ๋มตรงแก้ม มีหมึกเขียนเป็นหนวดแมวอยู่หกขีด อาเฟยดิ้น “ท่านปล่อยข้า” หลี่ชิงมองอ๋องสี่ด้วยสีหน้าแห่งคำถาม…อาเฟยไปเป็นของท่านตั้งแต่เมื่อใด? อ๋องสี่ปล่อยมืออาเฟย อาเฟยก็รีบแก้ตัวว่า “ที่จริงข้าไม่ผิด…เหล่าซือ (อาจารย์) ว่า…ผู้ใดเขียนอักษรขาดไปหนึ่งขีด ก็จะวาดหน้าหนึ่งขีด แต่ข้ามิได้เขียนขาด ข้าเขียนเกินต่างหาก ทำไมเหล่าซือจึงทำโทษข้าด้วย แถมยังมากกว่ากุ้ยหวางเฟยอีก”ทำให้ไท่ชินอ๋องพลอยรู้ว่า…หนวดแมวสองเส้นบนดวงหน้าของชิงชิงนั้นมีที่มาอย่างไร ไท่ชินอ๋องกับอ๋องสี่ได้แต่มองหน้ากันแล้วหัวเราะ หลิวกงกงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ ให้ไท่ชินอ๋อง…ท่านอ๋องก็รับมาช่วยเช็ดหน้าให้แก่หลี่ชิงอย่างอ่อนโยน พอถึงเวลากินอาหารกลางวัน… ไท่ชินอ๋องเชิญอ๋
อ๋องสี่มาหาไท่ชินอ๋องที่จวน…ทั้งสองพบกันในห้องทำงาน ที่มีทหารยามเฝ้าอย่างแน่นหนาเข้มงวด… “พี่ใหญ่” “น้องสี่” พอทักทายกันเรียบร้อยแล้ว อ๋องสี่ก็เอาม้วนแผ่นหนังออกมาจากอกเสื้อยื่นส่งให้ไท่ชินอ๋อง “นี่คือสาส์นของท่านข่านอาปาท่านลุงของข้าที่ให้สัญญาว่า ต้าเหลียวจะให้การสนับสนุนต่อพี่ใหญ่” ไท่ชินอ๋องรับสาส์นนั้นมาอ่าน แล้วม้วนเก็บเหมือนอย่างเก่า ก่อนจะเก็บเอาไว้ในช่องลับที่มีกลไกสลับซับซ้อน “เมื่อวันงานพิธีบวงสรวงสวรรค์ ข้าเห็นไทเฮาผลักพระชายาฟางหมิงซิน” อ๋องสี่กล่าวเรียบๆ “อืม” ไท่ชินอ๋องพยักหน้า “ข้าก็คิดว่าต้องเป็นนาง แต่ไม่ได้เห็นกับตาเท่านั้น” “ถ้าท่านเห็น…จะจัดการเรื่องนี้เช่นไร?” “ไม่ทำอะไรทั้งนั้น…ฟางหมิงซินคิดร้ายต่อชิงชิง น่าจะเป็นการยุยงของเจียงซู่จิ่น แต่นางคิดไม่ถึงว่า ไทเฮาเจียงซู่จิ่นไม่ได้วางแผนให้นางกำจัดชิงชิงเพียงคนเดียว แต่จะกำจัดนางด้วยต่างหาก” “นี่แสดงว่า…” อ๋องสี่กล่าวอย่างครุ่นคิด “ไทเฮาเจียงซู่จิ่นยังคงไม่ลืมท่าน” ไท่ชินอ๋องนิ่งไปอึดใจหนึ่ง…เขากับเจียงซู่จิ่นเคยชอบพอกันอยู่พักหนึ่ง แต่ในตอนนั้นนางเลือกองค์
อาเฟยถูกอ้อมแขนแข็งแกร่งโอบกอดเอาไว้ แล้วกลิ้งหลบเท้าม้าที่กระทืบลงมาอย่างหวุดหวิด ม้าพ่วงพีตัวนั้นวิ่งต่อไปอีกเล็กน้อยก็หยุด ย่ำเท้าอยู่กับที่ด้วยท่าทางคึกคัก อาเฟยถูกดึงให้ยืนขึ้นอย่างฉับไว แล้วเสียงห้าวๆ ก็ตะคอกว่า “เจ้าเด็กเมื่อวานซืน ไยมายืนเซ่อซ่าขวางทางม้าของข้า” ตอนแรก อาเฟยคิดจะกล่าวขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยตนไว้ แต่พอถูกตะคอก ก็เดือดปุดๆ ขึ้นมาทันที เถียงกลับว่า “เจ้านะสิเซ่อซ่า ที่ตรงนี้คนอย่างเจ้าเข้ามาได้หรือ?” “คนอย่างข้า เป็นอย่างไร?” อาเฟยมองอีกฝ่ายเต็มตา…เขาเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ ดวงหน้าคมเข้ม ดูแล้วไม่คล้ายคนหนานหยาง คล้ายชาวต่างแดนมากกว่า ซ้ำยังคงมิได้โกนหนวดเครามาหลายวัน ไรหนวดไรเคราเขียวครึ้ม สวมชุดรัดกุมสีดำทั้งชุดที่เวลานี้เปรอะเปื้อนด้วยฝุ่นดิน เพราะลงไปกลิ้งหลบเท้าม้าเมื่อครู่ “คนสกปรก ป่าเถื่อน รักแร้เหม็น” เสี่ยวฉีจื่อรีบสะกิด “ท่านอาเฟย…” “อ้อ…เจ้าเด็กเมื่อวานซืนนี่คือ ท่านอาเฟย” บุรุษผู้นั้นมองหน้าอาเฟยแล้วกล่าวว่า “ว่างๆ ข้าจะจับเจ้ามาหนีบรักแร้ให้เหม็นตายไปเลย” อาเฟยสุดทน จะกระโจนเข้าไปสู้กับอีกฝ่ายให้รู้ดำรู้แดง
หลี่ชิง เด็กหนุ่มน้อยวัยสิบสี่ หน้าตาสะสวยราวกับเทพเซียน รูปร่างบอบบาง เพราะเพิ่งย่างเข้าสู่วัยแรกรุ่นดรุณ ผมดำขลับยาวสลวยปล่อยปรกหลังไหล่ สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวผ้าเนื้อหยาบ แต่เขาไม่ได้เต็มใจจะไว้ทุกข์เลย…เขานั่งอยู่บนเตียงนอนเล็กๆ ในห้องแคบๆ ที่มีเพียงแสงริบหรี่จากเทียนไขเล่มเล็กเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อน ประตูหน้าต่างของห้องล้วนถูกล่ามโซ่คล้องกุญแจจากภายนอกมีเพียงประตูห้องเท่านั้นที่เขาเป็นคนลงกลอนข้างในซ้ำเพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกเปิดพรวดพราดเข้ามาได้ตามอำเภอใจ เสียงกุกกักดังมาจากนอกประตู…ทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้ามอง มีคนกำลังไขกุญแจด้านนอก…จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงขลุกขลักๆ เบาๆ ของความพยายามที่จะเปิดประตูเข้ามา แต่พยายามอยู่สักพักเมื่อไม่เป็นผล ก็เปลี่ยนมาเป็นเคาะประตูเบาๆ เรียกเสียงค่อยๆ ว่า “เสี่ยวชิง เปิดประตูให้ข้าหน่อย” “ใคร?” หลี่ชิงแกล้งถาม ทั้งๆ ที่จำเสียงของอีกฝ่ายได้ “ข้างเอง…เฉาฉุน” คนข้างนอกประตูจำใจต้องประกาศตัวด้วยเสียงดังกว่ากระซิบแค่นิดเดียว “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คุณชายใหญ่มาที่นี่ทำไม?” เด็กหนุ่มกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ...
Comments