ใครจะคิดว่าอ๋องน้อยผู้น่ารักจะเติบโตมาได้เสเพลเยี่ยงนี้ แต่ความจริงเขาเป็นพ่อมดหลงถิ่น ในโลกที่ลมปราณเป็นใหญ่ จอทเวทก็เป็นได้แค่สวะไร้พลัง เพื่อหลีกหนีบังลังค์เขาจึงเป็นคนบัดซบที่สุดในแผ่นดิน
View Moreฉงหยิ๋นคลายสมบัติออกมาจากทะเลปราณของมันมากองด้านหน้ามีผืนพรมเก่า ๆ ลวดลายประหลาด กาน้ำชาผลึกอัญมณีจิ๋วที่มองแล้วไม่เหมือนกาน้ำชา ตำราอักษรรูนที่ไม่ควรปรากฏบนใบนี้ ทักษะยุทธที่เขาไม่ใส่ใจ และผลึกที่ผู้ฝึกปราณยุทธต่างเรียกว่าผลึกปราณ ที่พวกเขาต่างต้องการเพื่อช่วยเพิ่มระดับลมปราณอีกกองใหญ่แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่ค่อยสนมันแล้ว เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาอีกแล้ว ตั้งแต่แก่นเวทมนตร์เขาฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ ผลึกพวกนี้เลยกลายเป็นขนมขบเขี้ยวแก้เหงาปากของฉงฉงสักส่วนใหญ่เยี่ยหยางกวาดสมบัติที่ฉงหยิ๋นเก็บได้ และผลึกหินเซียนหนึ่งในสาม อีกสองส่วนแบ่งให้จอมโจรสลัดสี่ขาอย่างยุติธรรม เพราะสมบัติอย่างอื่นไร้ความหมายสำหรับกิเลน เก็บไว้ก็ทำประโยชน์อะไรให้มันไม่ได้“แล้วเรื่องค่ายกล?”แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญกับดักเวทมนตร์ แต่ค่ายกลที่ใช้ปราณยุทธขับเคลื่อนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา ให้ฉงหยิ๋นจัดการจะเร็วกว่าเขาลงมือ“แน่นอนว่าระดับข้า ไม่มีค่ายกลไหนตบตาข้าได้ เร็ว! ให้ข้ารีบบอกเจ้า ข้าจะได้รีบไปนอน ในห้วงมิติเย็นสบายกว่าข้า
เนื่องจากบริเวณลานใกล้ซุ้มประตูมีขนาดเล็กคล้ายคอขวด จนเป็นภาพที่ดูแล้วน่าขันสิ้นดีจากการสละสิทธิ์แบบไร้ข้อกังหา ทั้ง ๆ ที่จะเดินเข้าไปแบบมีมารยาทมีวัฒนธรรมก็สามารถเข้าไปได้ทุกคนก็ตามนี่ยังไม่ทันได้ผ่านเข้าประตูเพื่อทดสอบ ก็ถูกเขี่ยออกมาซะงั้นจะไม่เขาขำได้ไงกันเยี่ยหยางมองคนอื่นเบียดเสียดพยายามที่จะเดินเข้าประตูร่วมสองชั่วยาม เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น อาศัยร่มเงาบดบังแดดจ้าในช่วงกลางวันที่ร้อนจัด ไม่สนใจลู่เฉินที่ยังยืนนิ่งเป็นก้อนหินและสือหลงโหยวที่มองเขาด้วยสายตาว่าเขาเป็นตัวปัญหา จนได้รู้จักกับเด็กชายหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มผู้ที่ส่งเสียงหัวเราะในเหตุการณ์เมื่อช่วงสายหนุ่มน้อยวัยย่างสิบหนาวอายุรุ่นเดียวกับคุณชายจูเฉิงเยว่ แต่นิสัยบุคลิกแสดงออกมาแตกต่างราวกับฟ้ากับดินเขาดูเหมือนเด็กชายชาวบ้านธรรมทั่วไป เครื่องแต่งกายเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าที่สวมใส่กับเป็นเนื้อผ้าอย่างดีไม่แพ้บุตรชายขุนนางใหญ่อีกทั้งปิ่นหยกเมฆขาวแม้ไร้ลวดลาย แต่ราคาของมันไม่ใช่ชาวบ้านสามัญสามารถใช้ได้ดูแล้วสบายตาเป็นธรรมชาติ ลักษณะภายนอกดูเป็นมิตรน่าคบหาแต่ลึกลงไปในแววตากับแฝงควา
“ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะคัดเลือกผู้ที่จะศึกษาในปีการศึกษานี้ ขอเชิญว่าที่ผู้ศึกษาทุกท่านเข้าประตูจิงเฉินฉือไท่คง” ด้วยพลังเสียงลมปราณ ทำให้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง ประตูจิงเฉินฉือไท่คงเป็นประตูที่มีม่านพลังปราณวิญญาณในตัวเอง มีความรู้สึกนึกคิด สามารถแยกบุคคลที่ความสามารถ คุณธรรม ยุติธรรม ปัญญา และ ความรักอย่างแท้จริง โดยการเดินผ่านซุ้มประตูแห่งนี้ เข้าไปยังเทียนถูหวู่ที่อยู่แยกในหุบเขาแห่งนี้ โดยผู้ที่เคยผ่านซุ้มประตูมาแล้ว ต่างเล่าประสบการณ์ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ว่าตนผ่านเข้ามาได้แบบใด อีกทั้งไม่มีใครรู้ว่าประตูบานนี่มีต้นกำเนิดความเป็นมาเป็นอย่างไร มันเป็นประตูค่ายกลโบราณ ที่แม้แต่ตอนนี้ปรมาจารย์ด้านค่ายกลก็ยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ภายในค่ายกลสามารถให้ประสบการณ์ทั้งดีและเลวร้าย ฝึกฝนทักษะผู้ที่ผ่านเข้ามา อีกทั้งยังมีสมบัติที่ซ่อนอยู่ แต่น้อยคนที่จะพบ ผู้ใดที่พบมักกลายเป็นอัจฉริยะเพียงชั่วข้ามคืน แต่ดูเหมือนว่าซุ้มประตูจิงเฉินฉือไท่คงแห่งนี้จะเจอคราวเคราะห์มาเยือน เมื่อเจอตัวบัดซบที่ชอบเก็บค่าแรงพร้อมดอกเบี้ยแพงยิ่งกว่าปล
หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ จนพอใจที่เมืองเจียงตงอยู่สามคืน เยี่ยหยางก็ส่งสาสน์ให้ลู่เฉินมีใจความว่า...ไม่ต้องรอ.. ไม่หนี…เพราะเขาขี้เกียจปั้นหน้าตาปัญญาอ่อนต่อหน้าใคร ๆ ถึงแม้ว่าจะยืดเวลาสวมหน้ากากออกได้นิดหน่อยก็ตาม ยิ่งกว่านั้นขี่ไม้กวาดยังเร็วกว่าสะดวกกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งอยู่บนหลังม้า จากครึ่งวันเหลือเพียงหนึ่งชั่วยามก็ถึงหน้าผายโหลวสายตาดูหมิ่นของคุณชายจูผู้นี้ไม่สามารถสร้างความหวาดหวั่นใด ๆ ให้เยี่ยหยางแม้แต่น้อย อีกฝ่ายมองหน้าเขาอย่างแค้นเคืองอย่างคนทำอะไรไม่ได้ทันทีที่สังเกตเห็นเขาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั่น...มาจ้องตาขวางใส่เขาทำไม?ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว ดูท่าแล้วจะมีเป้าหมายใหม่เมื่อจูเฉิงเยว่เดินเข้าไปหาคนผู้หนึ่ง โดยมีเด็กตัวโตดันคนอื่น ๆ ที่ขวางทางนายน้อยของมัน“ยินดีที่ได้พบพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมู่หรลู่เฉินแห่งซีเว่ย” ประโยคที่ได้ยินเหมือนจะทำความเคารพ แม้ว่าแผ่นหลังจะโน้มลง แต่แข็งกร้าวหยิ่งยโสมากนัก “ข้าน้อย จูเฉิงเยว่ บุตรชายอัครมหาเสนาบดีจูเหวินฟงแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินพ่
การสอบแข่งขันเข้าเรียนของที่นี่เป็นมาตรฐานของทุกแคว้น ยากที่จะทำการโกงและการใช้เส้นสายอำนาจเพื่อที่จะเข้ามาศึกษา แม้กระทั่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ยังต้องทำการทดสอบเหมือนคนธรรมดาสามัญ จึงทำให้สถานศึกษาแห่งนี้ได้การยอมรับทั้งในและต่างแคว้นว่ามีคุณภาพกว่าที่อื่น ๆ โดยในแต่ละปีจะรับผู้ที่มีปราณยุทธเข้ามาศึกษาเพียงปีละเจ็ดร้อยคน การศึกษาของที่นี่แบ่งออกเป็นสี่ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน ระดับเริ่มต้น ระดับสามัญ และ ระดับอาชีพ แต่ละระดับจะต้องเรียนรู้ไม่เกินสามปี โดยที่ระดับพื้นฐานและระดับเริ่มต้นจะเป็นเพียงศิษย์สายนอก ระดับสามัญเป็นศิษย์สายใน และระดับอาชีพเป็นศิษย์หลักที่มีจำนวนคนน้อยกว่านักนั้นไม่กำหนดเวลาเรียนรู้ แต่ใช้แต้มคะแนนแลกเปลี่ยนในการดำเนินชีวิตในเทียนถูหวู่ จากการทำภารกิจต่าง ๆ ของสำนักเป็นการแลกเปลี่ยน เพื่อนำคะแนนสะสมไปwแลกผลึกปราณหรือคัมภีร์ทักษะต่าง ๆ รวมถึงเม็ดยาโอสถแต่ถ้าศิษย์นอกศึกษาเกินเกณฑ์จะถูกเชิญออกจากเทียนถูหวู่ เพื่อต้องการให้ผู้ศึกษาตั้งใจศึกษาคนอื่นเข้ามาเรียนรู้ต่อ เพราะที่แห่งนี้นั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
สวะไร้ลมปราณ? โอ๊ย! ข้าจะเป็นลม...ไม่จริงใช่หรือไม่!!! เผิงเหล่ยมองท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อพร้อมกับตรวจสอบลมปราณคนตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าข่าวลือ...จะเป็นจริง หมายความว่า… เถ้าแก่ผู้ขึ้นบัญชีหนังหมาของเยี่ยหยางเหงื่อแตกพลั่กเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างลึกซึ้งขึ้นมา นี่เขาทำอะไรลงไป… อยู่ดีไม่ว่าดีอัญเชิญเทพหายนะมาดูแลตัวเอง เผิงเหล่ยได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ในลำคอ จะร้องไห้ก็ไม่ได้จะพูดก็ไม่ออก “เอ่อ…” ตอนนี้เถ้าแก่เผิงมีเวลาว่าง ว่างมาก ๆ เพราะร้านที่ต้องดูแลหายวับไปกับควันไฟ จะฟ้องร้องบอกใครคงไม่มีใครเชื่อ ดีไม่ดีอาจจะคอขาดไม่รู้ตัว ใครให้เขาไปกล้ากระตุกเส้นขนของท่านอ๋องบัดซบกัน? “ไม่เป็นไร วันหลังเปิ่นหวางจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเอง คงต้องขอรบกวนเถ้าแก่อีกครั้ง” เยี่ยหยางกล่าวแล้วเดินจากไปอย่างทิ้งนัย ทิ้งเผิงเหล่ยน้ำตาตกใน ไม่ต้องมาแล้ว ได้โปรดแค่นี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว... อุบัติเหตุเมื่อคืนเถ้าแก่เผิงเสียหายขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก จับมือใครก็ดมไม่ได้ แต่ไม่ต้องคาดเดาเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองไปแหย่คนที่ไม่ควรแตะต้อง หนี้สินที่กู้ยืมหมุนเวียนในการค้าทับถมจนต้องขายร้านที่เหลือแต่ขี้เถ้า เพร
“เปิ่นหวางเพิ่งทราบว่าผู้คนของราชอาณาจักรเป่ยฉินเถื่อน สถุล ไร้มารยาทในสังคม ไม่รู้จักแม้กระทั่งการให้เกียรติผู้อื่น อีกทั้งสามารถวางอำนาจในราชอาณาจักรซีเว่ยที่ไม่ใช่ผืนดินของเป่ยฉินได้” เยี่ยหยางหุบพัดที่พัดโบกในมือลง ปั้นสีหน้าเรียบขรึมอย่างง่ายดายเอ่ยพูดแผ่บรรยากาศกดดันออกมา เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่างานนี้จะจบอย่างไร “นั่นไง ข้าว่าคนผู้นั้นคือชินอ๋อง…” เสียงซุบซิบยังคงแว่วมาไม่ขาด แต่ก็ไม่กลบเสียงการปะทะกันคนคู่นี้ “อย่างแกเป็นอ๋อง? ถ้าแกเป็นอ๋อง ข้าคงเป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ไอ้สวะ” คุณชายจูพูดเสียงดังก้อง “หึ...” “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” บรรดามือปราบที่กำลังรวบรวมข้อมูลครั้งสุดท้ายเพื่อสรุปสำนวนคดี ได้ยินข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ ก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็วเอ่ยถามเหตุการณ์ตรงหน้า “คุณชายจูของข้าต้องการชมการแสดงที่ลานกว้าง แต่ไอ้สวะผู้นี้กับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกับขวางทางเดิน” บ่าวรับใช้ยังคงไม่รู้ตัว แจ้งมือปราบด้วยท่าทีหยิ่งยโสไม่ต่างจากผู้เป็นนาย จนทำให้สองมือปราบไม่ทันได้สนใจคู่กรณีอีกคน เยี่ยหยางมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างสมเพช เขาควงเหวี่ยงแผ่นป้ายหยกประจำตัวในมืออย่างไม่สนใจ เพรา
ในคืนกลางดึกคืนนั้นไฟโหมลุกไหม้กระหน่ำที่ร้านขายสมุนไพรจนมอดไหม้เป็นเถ้าตอนตะโกน ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งเศษเหรียญทองแดงกลายเป็นที่ว่างเปล่า แต่ด้านข้างร้านขายสินค้าอื่นกลับไม่เป็นไร ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย ชาวบ้านกลุ่มใหญ่รุมล้อมมองดูเอ่ยปากเล่าเรื่องมากมาย ไม่รู้เรื่องไหนเป็นความจริง เถ้าแก่เผิงจอมประจบล้มทั้งยืน ทรุดเข่าลงอยู่หน้าอดีตร้านขายสมุนไพรของตนอย่าน่าสมเพช ขุนนางเจ้าหน้าที่มือปราบค้นหาสืบต้นเพลิงกับไม่พบสิ่งใดที่เป็นต้นเหตุ หลักฐานวัตถุและบุคคลไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ครานี้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกจัดการด้วยเวทมนตร์ ที่แม้แต่กระแสเวทก็ถูกลบจนแทบไม่เหลือไอเวทให้เหล่าเจ้าหน้าที่ค้นหา ยังไงก็ยากที่จะจับตัวการได้ จอมยุทธหญิงนั่งจิบชาทานของว่างบนเหลาอาหารตรงข้ามร้านที่เกิดเหตุ นางตั้งใจรุดมาสังเกตการณ์ที่นี่โดยเฉพาะ นานมากแล้วนามมากจริง ๆ ที่เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถเกิดขึ้นปรากฏอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเบาะแสใดเพิ่มนอกจากความว่าเปล่า ดูท่านางคงต้องปักหลักอยู่ที่นี่พักใหญ่แล้ว “นี่ ๆ พี่ชาย ที่เปิดการแสดงสัตว์อสูรที่ประกาศเมื่อวันก่อนอ
เยี่ยหยางหางคิ้วกระตุกทันทีที่ได้ยิน เหลือบตามองคุณชายน้อยผู้สวมอาภรณ์เนื้อดีหรูหราปักลวดลายอู้ฟู่ เนื้อตัวสวมใส่เครื่องประดับมากเกินราวกับหญิงสาวดูน่าขบขัน “นี่เจ้ายังไม่รีบขายสมุนไพรให้คุณชายจูของเราอีก!!!” บ่าวรับใช้จอมประจบตะคอกเบ่งอำนาจราวกับตัวมันเป็นนาย คนถูกหยามหน้าไม่แยแสสนใจเด็กหนุ่มที่ทีท่าดั่งเด็กน้อย หันมาดูสมุนไพรที่นำออกมา “นี่คือรากหญ้าหิมะสวรรค์อายุร้อยปี?” “ใช่ขอรับ ราคาทั้งหมดห้าสิบตำลึงทอง” เยี่ยหยางมองสมุนไพรที่อยู่ข้างหน้า มันไม่ได้มีอายุร้อยปีดังที่ราคาขายอยู่ อายุของมันมีเพียงแค่แปดสิบกว่าปีในสภาพสมบูรณ์ มองจากภายนอกทั้งสีทั้งกลิ่นอายุสมุนไพรที่ต่างกันเพียงยี่สิบปียากที่จะแยกออก แต่เขาสามารถจำแนกได้อาศัยความสามารถประสบการณ์ปรุงยา “ข้าให้เจ็ดสิบตำลึงทอง เพิ่มอีกห้าตำลึงทองข้ายกให้เจ้า” คุณชายจูพูดเสนอราคาตัดหน้า เพื่อแย่งซื้อสมุนไพร “เอ่อ...แต่ทางร้านของเราเหลือแค่รากเดียว” พนักงานอึดอัดใจมองหน้าลูกค้าสองคนสลับไปมา เยี่ยหยางวางห้าสิบตำลึงทองลงไม่สนใจคุณชายจูที่มาทีหลัง เขามองพนักงานให้จัดการสมุนไพรให้ แต่บ่าวขอบคุณชายจูกลับเข้ามาแย่งของไปหน้าตาเฉย “ห
Comments