การเดินทางผ่านมาหลายชั่วยามตัดป่าเขาเลี่ยงตัวเมือง เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายตามความประสงค์ของไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน แต่ดูเหมือนว่าความต้องการของรัชทายาทหนุ่มจะไม่เป็นดั่งที่หวังเสียงฆ่าฟันแว่วเข้ามาให้ได้ยินจากที่ไกล ๆ กลิ่นคาวเลือดลอยคุ้งมาตามสายลม โชยปะทะจมูกบ่งบอกให้พวกเขารู้ว่าข้างหน้ามีเรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วม“ไทจื่อ ด้านหน้า…” สือหลงโหยวหันไปหาองค์รัชทายาทมู่หรงลู่เฉิน เขามอบหน้าที่ตัดใจให้ผู้มีศักดิ์สูงสุดในที่นี้ในการตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อ แต่ยังไม่ทันได้ตกลงหรือกล่าวสิ่งใด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางเลือก และต้องติดร่างแหไปด้วยแล้วเพราะ…เหล่าชายชุดดำที่เหมือนจะเป็นผู้ร้าย หันมาสนใจเหยื่อผู้มาใหม่ วิ่งกรูเข้ามาหวังฉกชิงทรัพย์สิน พวกมันพุ่งเข้ามาหาผู้ที่คิดว่าจัดการง่ายที่สุดก่อนใคร และคนที่อ่อนปวกเปียกในสายตาพวกมัน เห็นทีจะเป็นชินอ๋องที่สวมหน้ากากจอมเสเพลไร้แรงฆ่าไก่ชื่อดังผู้นี้“อย่า ๆ อย่าเข้ามาใกล้ข้า”เสียงร้องแหกปากโวยวายดังออกมาจากริมฝีปากของชินอ๋องเจ้าแห่งความว
ชายชุดดำเห็นสหายร่วมงาน ถูกเล่นงานก็กรูคมดาบเข้าหาทุกทิศทาง แต่จำนวนคนและฝีมือแค่นี้ไม่คณามืออดีตคุณชายวินเซอร์จอมเวทผู้เก่งกาจที่หนึ่งในรุ่นของสถานศึกษาเวทรามิเรสหรอก “ไม่ได้ออกบู๊มานานสงสัยสนิมจะเกาะกระดูกกระเดี้ยว” เสียงกระดูกต้นคอดังกรอบแกรบยืดเส้นยืดสายเตรียมออกกำลัง พร้อมเสียงบ่นอุบอิบของเยี่ยหยางที่พึมพรำกับตัวเองเหมือนผู้สูงอายุ แต่ก็ไม่แปลก เพราะถ้ารวมอายุวิญญาณจริง ๆ ของชินอ๋องผู้นี้ก็ใกล้เข้าวัยทองอยู่รอมร่อ เยี่ยหยางกระโดดลอยตัวขึ้น กิ่งไม้เรียวตวัดรอบเป็นวงด้านล่างจนฝุ่นฟุ้งไม่เห็นสภาพ ยังไม่หันกลับไปมองผลลัพธ์ ก็ทะยานตัวออกไปสู่จุดที่เขาจับไอเวทได้ ยิ่งใกล้เข้าไปมากเท่าไหร่เยี่ยหยางก็สัมผัสได้ถึงพลังสายหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างยิ่งที่เมื่อครู่สัมผัสได้บางเบา จึงต้องเล่นละครวิ่งหลบลู่เฉินมาเพื่อตรวจสอบ เวทมนตร์ ไม่ผิดแน่!! ควันฝุ่นเบาบางลง ภาพที่ปรากฏเหลือเพียงชายชุดดำ ที่นอนสลบหมดสภาพระเกะระกะสุมกันอย่างไม่มีสติ หน้ากากสีดำสนิทปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันทีในพริบตาที่ไม่มีใครจับสังเกตเห็น พร้อมเสื้อคลุมแบบจอมเวทสีดำสนิทปกปิดตัวตน เยี่ยหยางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร แ
หลังจากมองอีกฝ่ายทรมานจนพอใจแล้ว เยี่ยหยางตัดสินใจช่วยเหลือ แม้ว่าจะรู้สึกคันยุบยิบที่ความรู้สึกกับศีลธรรมของตัวเองกำลังต่อต้านกัน แต่เขาก็แยกแยะออกระหว่างเรื่องงานราษฎร์กับเรื่องส่วนตัว อีกฝ่ายกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาวบ้านราษฎร เขาที่เป็นถึงอ๋องแม้จะบัดซบแค่ไหนก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ“แกเป็นใคร” เสียงแหบแห้งของชายชุดดำตวาดใส่เยี่ยหยางที่เสือกเข้ามาขัดขวางมันอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา“ข้าจะเป็นใครก็เรื่องของข้า! ไอ้แก่” มาดบุคลิกที่เก็บลงกุใส่กุญแจถูกดึงมาใช้ แววตาคมสมกับผู้นำตระกูลวินเซอร์ น้ำเสียงท่าทางสง่าสูงส่ง ติดกวนโทสะผู้อื่นเล็กน้อย ผิดกับชินอ๋องที่ทุกคนรู้จัก เยี่ยหยางสังเกตเห็นว่าไม้กายาสิทธิ์ที่อยู่ในมือของมัน สามารถร่ายได้เพียงคาถาเดียวตั้งแต่ที่เขาสังเกตดู ชายผู้นี้ไม่มีพลังเวทในตัวแม้แต่น้อย แต่สามารถร่ายคาถากรีดใจที่ต้องอาศัยพลังเวท และทักษะสูงอยู่พอตัวถึงจะไล่สาปชาวบ้านได้ กลับมายืนสาป ข่มขู่กู่เทียนเย่าได้ น่าจะมีสาเหตุมาจากคาถาสุดท้ายที่ผู้วิเศษคนก่อนร่ายตกค้างในไม้กายาสิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ ใช่แล้ว...ไม้กายาสิทธิ์ในมือของมัน ไม่ใช่ไม้ที่มีสภาพพร้อมใช้งา
“นี่ ๆ ลู่เฉินเข้าเมืองพักโรงเตี๊ยมเถอะนะ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว” เสียงบ่นกระเปาะกะแปะดังตลอดทางสร้างความรำคาญกับผู้ร่วมเดินทางไม่น้อย “เจ้าจะบ่นอะไรไม่หยุดปากเสียที น่ารำคาญ” “โหยวโหยว ข้าเหนื่อย…เหนื่อยมาก ๆ เลย” เสียงหวานออดอ้อนแต่ชวนกวนประสาทมากกว่า ทำเอาองครักษ์พ่วงฐานะสหายร่วมเรียนคิ้วกระตุก ขบฟันกรอดข่มอารมณ์ความรู้สึกอยากลงไม้ลงมือกับเชื้อพระวงศ์สักทีสองที “ไท่จื่อ ข้าน้อยขออนุญาตไปสำรวจทางเบื้องหน้าพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงลู่เฉินพยักหน้ารับทราบ เขาอนุญาตให้คนที่จะเก็บกดอารมณ์จากการถูกยั่วโทสะให้ไปสงบสติ สือหลงโหยวชักม้าไปทางข้างหน้า สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ พยายามอย่างยิ่งยวดอดทนอดกลั้นอย่างยอดเยี่ยมว่าตัวเองจะไม่เผลอลงไม้ลงมือกับชินอ๋องแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย หลังจากพาท่านอ๋องบัดซบออกจากวงโคจรความวุ่นวาย ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอันตรายอะไรให้ลู่เฉินและสือหลงโหยวเสี่ยงอีก นอกจากเสียงบ่นที่เหมือนเสียงนกเสียงกาที่ร้องชวนรำคาญอยู่บ้าง “ถึงเมืองข้างหน้าค่อยพักที่โรงเตี๊ยม” ในที่สุดลู่เฉินเอ่ยอนุญาต เนื่องจากขบวนเดินทางใกล้ถึงจุดหมายในอีกไม่กี่วันก่อนกำหนดการที่คาด
ประตูห้องหับถูกเปิดออกอีกครั้ง เยี่ยหยางออกจากห้องไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นและสนใจเป็นผลมาจากเวทมนตร์ให้เบี่ยงเบนสายตา เขาเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม เป็นเนื้อผ้าอย่างนักเดินทางทั่วไป การแต่งกายของเขาแต่เดิมเยี่ยหยางก็นิยมชมชอบชุดสีเข้ม ที่ส่งเสริมให้บุคลิกของเขาดูสง่างามน่าเกรงขาม กลับต้องมาใส่เสื้อผ้าสีแดงโดดเด่นแสบตา เพื่อให้การแสดงเสแสร้งของเขาสุดตาเรียกร้องความสนใจผู้คนแสดงจุดยืนที่มั่นคงไม่หวั่นไหวนั้นก็ทรมานตัวเองไม่น้อยเช่นกัน เมื่อสบโอกาสที่ไม่ต้องเล่นงิ้วบทชินอ๋องผู้หาความสามารถที่ดีไม่ได้ เยี่ยหยางก็สลัดอาภรณ์สีแดงเพลิงออก เปลี่ยนชุดที่เข้มที่ชอบมากกว่าทันที ไม่เพียงความชอบสีเสื้อผ้าอาภรณ์จะต่างกัน แต่ท่าทางที่แสดงออกล้วนขัดแย้งแตกต่าง ท่วงท่าการเดินเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน จนไม่มีใครจับมาเปรียบเทียบคู่กันได้ เส้นผมสีเงินยวงถูกเปลี่ยนกลับมา หลังจากน้ำยาหมดฤทธิ์ ทรงผมถูกรัดจับทรงอย่างสบาย ๆ มองภายนอกผู้คนคงคิดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่มีกำลังยุทธแก่กล้าด้วยใบหน้าดูอ่อนเยาว์ที่เส้นผมขาวโพลน แต่มันก็ถูกปกปิดจนมิดด้วยหมวกปีกกว้างใบใหญ่ที่อำพรางใบหน้าไปส่วนหนึ่งจนเหมือนคุณ
เยี่ยหยางหางคิ้วกระตุกทันทีที่ได้ยิน เหลือบตามองคุณชายน้อยผู้สวมอาภรณ์เนื้อดีหรูหราปักลวดลายอู้ฟู่ เนื้อตัวสวมใส่เครื่องประดับมากเกินราวกับหญิงสาวดูน่าขบขัน “นี่เจ้ายังไม่รีบขายสมุนไพรให้คุณชายจูของเราอีก!!!” บ่าวรับใช้จอมประจบตะคอกเบ่งอำนาจราวกับตัวมันเป็นนาย คนถูกหยามหน้าไม่แยแสสนใจเด็กหนุ่มที่ทีท่าดั่งเด็กน้อย หันมาดูสมุนไพรที่นำออกมา “นี่คือรากหญ้าหิมะสวรรค์อายุร้อยปี?” “ใช่ขอรับ ราคาทั้งหมดห้าสิบตำลึงทอง” เยี่ยหยางมองสมุนไพรที่อยู่ข้างหน้า มันไม่ได้มีอายุร้อยปีดังที่ราคาขายอยู่ อายุของมันมีเพียงแค่แปดสิบกว่าปีในสภาพสมบูรณ์ มองจากภายนอกทั้งสีทั้งกลิ่นอายุสมุนไพรที่ต่างกันเพียงยี่สิบปียากที่จะแยกออก แต่เขาสามารถจำแนกได้อาศัยความสามารถประสบการณ์ปรุงยา “ข้าให้เจ็ดสิบตำลึงทอง เพิ่มอีกห้าตำลึงทองข้ายกให้เจ้า” คุณชายจูพูดเสนอราคาตัดหน้า เพื่อแย่งซื้อสมุนไพร “เอ่อ...แต่ทางร้านของเราเหลือแค่รากเดียว” พนักงานอึดอัดใจมองหน้าลูกค้าสองคนสลับไปมา เยี่ยหยางวางห้าสิบตำลึงทองลงไม่สนใจคุณชายจูที่มาทีหลัง เขามองพนักงานให้จัดการสมุนไพรให้ แต่บ่าวขอบคุณชายจูกลับเข้ามาแย่งของไปหน้าตาเฉย “ห
ในคืนกลางดึกคืนนั้นไฟโหมลุกไหม้กระหน่ำที่ร้านขายสมุนไพรจนมอดไหม้เป็นเถ้าตอนตะโกน ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งเศษเหรียญทองแดงกลายเป็นที่ว่างเปล่า แต่ด้านข้างร้านขายสินค้าอื่นกลับไม่เป็นไร ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย ชาวบ้านกลุ่มใหญ่รุมล้อมมองดูเอ่ยปากเล่าเรื่องมากมาย ไม่รู้เรื่องไหนเป็นความจริง เถ้าแก่เผิงจอมประจบล้มทั้งยืน ทรุดเข่าลงอยู่หน้าอดีตร้านขายสมุนไพรของตนอย่าน่าสมเพช ขุนนางเจ้าหน้าที่มือปราบค้นหาสืบต้นเพลิงกับไม่พบสิ่งใดที่เป็นต้นเหตุ หลักฐานวัตถุและบุคคลไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ครานี้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกจัดการด้วยเวทมนตร์ ที่แม้แต่กระแสเวทก็ถูกลบจนแทบไม่เหลือไอเวทให้เหล่าเจ้าหน้าที่ค้นหา ยังไงก็ยากที่จะจับตัวการได้ จอมยุทธหญิงนั่งจิบชาทานของว่างบนเหลาอาหารตรงข้ามร้านที่เกิดเหตุ นางตั้งใจรุดมาสังเกตการณ์ที่นี่โดยเฉพาะ นานมากแล้วนามมากจริง ๆ ที่เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถเกิดขึ้นปรากฏอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเบาะแสใดเพิ่มนอกจากความว่าเปล่า ดูท่านางคงต้องปักหลักอยู่ที่นี่พักใหญ่แล้ว “นี่ ๆ พี่ชาย ที่เปิดการแสดงสัตว์อสูรที่ประกาศเมื่อวันก่อนอ
“เปิ่นหวางเพิ่งทราบว่าผู้คนของราชอาณาจักรเป่ยฉินเถื่อน สถุล ไร้มารยาทในสังคม ไม่รู้จักแม้กระทั่งการให้เกียรติผู้อื่น อีกทั้งสามารถวางอำนาจในราชอาณาจักรซีเว่ยที่ไม่ใช่ผืนดินของเป่ยฉินได้” เยี่ยหยางหุบพัดที่พัดโบกในมือลง ปั้นสีหน้าเรียบขรึมอย่างง่ายดายเอ่ยพูดแผ่บรรยากาศกดดันออกมา เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่างานนี้จะจบอย่างไร “นั่นไง ข้าว่าคนผู้นั้นคือชินอ๋อง…” เสียงซุบซิบยังคงแว่วมาไม่ขาด แต่ก็ไม่กลบเสียงการปะทะกันคนคู่นี้ “อย่างแกเป็นอ๋อง? ถ้าแกเป็นอ๋อง ข้าคงเป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ไอ้สวะ” คุณชายจูพูดเสียงดังก้อง “หึ...” “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” บรรดามือปราบที่กำลังรวบรวมข้อมูลครั้งสุดท้ายเพื่อสรุปสำนวนคดี ได้ยินข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ ก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็วเอ่ยถามเหตุการณ์ตรงหน้า “คุณชายจูของข้าต้องการชมการแสดงที่ลานกว้าง แต่ไอ้สวะผู้นี้กับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกับขวางทางเดิน” บ่าวรับใช้ยังคงไม่รู้ตัว แจ้งมือปราบด้วยท่าทีหยิ่งยโสไม่ต่างจากผู้เป็นนาย จนทำให้สองมือปราบไม่ทันได้สนใจคู่กรณีอีกคน เยี่ยหยางมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างสมเพช เขาควงเหวี่ยงแผ่นป้ายหยกประจำตัวในมืออย่างไม่สนใจ เพรา