ประตูห้องหับถูกเปิดออกอีกครั้ง เยี่ยหยางออกจากห้องไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นและสนใจเป็นผลมาจากเวทมนตร์ให้เบี่ยงเบนสายตา เขาเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม เป็นเนื้อผ้าอย่างนักเดินทางทั่วไป การแต่งกายของเขาแต่เดิมเยี่ยหยางก็นิยมชมชอบชุดสีเข้ม ที่ส่งเสริมให้บุคลิกของเขาดูสง่างามน่าเกรงขาม กลับต้องมาใส่เสื้อผ้าสีแดงโดดเด่นแสบตา เพื่อให้การแสดงเสแสร้งของเขาสุดตาเรียกร้องความสนใจผู้คนแสดงจุดยืนที่มั่นคงไม่หวั่นไหวนั้นก็ทรมานตัวเองไม่น้อยเช่นกัน เมื่อสบโอกาสที่ไม่ต้องเล่นงิ้วบทชินอ๋องผู้หาความสามารถที่ดีไม่ได้ เยี่ยหยางก็สลัดอาภรณ์สีแดงเพลิงออก เปลี่ยนชุดที่เข้มที่ชอบมากกว่าทันที ไม่เพียงความชอบสีเสื้อผ้าอาภรณ์จะต่างกัน แต่ท่าทางที่แสดงออกล้วนขัดแย้งแตกต่าง ท่วงท่าการเดินเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน จนไม่มีใครจับมาเปรียบเทียบคู่กันได้ เส้นผมสีเงินยวงถูกเปลี่ยนกลับมา หลังจากน้ำยาหมดฤทธิ์ ทรงผมถูกรัดจับทรงอย่างสบาย ๆ มองภายนอกผู้คนคงคิดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่มีกำลังยุทธแก่กล้าด้วยใบหน้าดูอ่อนเยาว์ที่เส้นผมขาวโพลน แต่มันก็ถูกปกปิดจนมิดด้วยหมวกปีกกว้างใบใหญ่ที่อำพรางใบหน้าไปส่วนหนึ่งจนเหมือนคุณ
เยี่ยหยางหางคิ้วกระตุกทันทีที่ได้ยิน เหลือบตามองคุณชายน้อยผู้สวมอาภรณ์เนื้อดีหรูหราปักลวดลายอู้ฟู่ เนื้อตัวสวมใส่เครื่องประดับมากเกินราวกับหญิงสาวดูน่าขบขัน “นี่เจ้ายังไม่รีบขายสมุนไพรให้คุณชายจูของเราอีก!!!” บ่าวรับใช้จอมประจบตะคอกเบ่งอำนาจราวกับตัวมันเป็นนาย คนถูกหยามหน้าไม่แยแสสนใจเด็กหนุ่มที่ทีท่าดั่งเด็กน้อย หันมาดูสมุนไพรที่นำออกมา “นี่คือรากหญ้าหิมะสวรรค์อายุร้อยปี?” “ใช่ขอรับ ราคาทั้งหมดห้าสิบตำลึงทอง” เยี่ยหยางมองสมุนไพรที่อยู่ข้างหน้า มันไม่ได้มีอายุร้อยปีดังที่ราคาขายอยู่ อายุของมันมีเพียงแค่แปดสิบกว่าปีในสภาพสมบูรณ์ มองจากภายนอกทั้งสีทั้งกลิ่นอายุสมุนไพรที่ต่างกันเพียงยี่สิบปียากที่จะแยกออก แต่เขาสามารถจำแนกได้อาศัยความสามารถประสบการณ์ปรุงยา “ข้าให้เจ็ดสิบตำลึงทอง เพิ่มอีกห้าตำลึงทองข้ายกให้เจ้า” คุณชายจูพูดเสนอราคาตัดหน้า เพื่อแย่งซื้อสมุนไพร “เอ่อ...แต่ทางร้านของเราเหลือแค่รากเดียว” พนักงานอึดอัดใจมองหน้าลูกค้าสองคนสลับไปมา เยี่ยหยางวางห้าสิบตำลึงทองลงไม่สนใจคุณชายจูที่มาทีหลัง เขามองพนักงานให้จัดการสมุนไพรให้ แต่บ่าวขอบคุณชายจูกลับเข้ามาแย่งของไปหน้าตาเฉย “ห
ในคืนกลางดึกคืนนั้นไฟโหมลุกไหม้กระหน่ำที่ร้านขายสมุนไพรจนมอดไหม้เป็นเถ้าตอนตะโกน ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งเศษเหรียญทองแดงกลายเป็นที่ว่างเปล่า แต่ด้านข้างร้านขายสินค้าอื่นกลับไม่เป็นไร ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย ชาวบ้านกลุ่มใหญ่รุมล้อมมองดูเอ่ยปากเล่าเรื่องมากมาย ไม่รู้เรื่องไหนเป็นความจริง เถ้าแก่เผิงจอมประจบล้มทั้งยืน ทรุดเข่าลงอยู่หน้าอดีตร้านขายสมุนไพรของตนอย่าน่าสมเพช ขุนนางเจ้าหน้าที่มือปราบค้นหาสืบต้นเพลิงกับไม่พบสิ่งใดที่เป็นต้นเหตุ หลักฐานวัตถุและบุคคลไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ครานี้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกจัดการด้วยเวทมนตร์ ที่แม้แต่กระแสเวทก็ถูกลบจนแทบไม่เหลือไอเวทให้เหล่าเจ้าหน้าที่ค้นหา ยังไงก็ยากที่จะจับตัวการได้ จอมยุทธหญิงนั่งจิบชาทานของว่างบนเหลาอาหารตรงข้ามร้านที่เกิดเหตุ นางตั้งใจรุดมาสังเกตการณ์ที่นี่โดยเฉพาะ นานมากแล้วนามมากจริง ๆ ที่เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถเกิดขึ้นปรากฏอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเบาะแสใดเพิ่มนอกจากความว่าเปล่า ดูท่านางคงต้องปักหลักอยู่ที่นี่พักใหญ่แล้ว “นี่ ๆ พี่ชาย ที่เปิดการแสดงสัตว์อสูรที่ประกาศเมื่อวันก่อนอ
“เปิ่นหวางเพิ่งทราบว่าผู้คนของราชอาณาจักรเป่ยฉินเถื่อน สถุล ไร้มารยาทในสังคม ไม่รู้จักแม้กระทั่งการให้เกียรติผู้อื่น อีกทั้งสามารถวางอำนาจในราชอาณาจักรซีเว่ยที่ไม่ใช่ผืนดินของเป่ยฉินได้” เยี่ยหยางหุบพัดที่พัดโบกในมือลง ปั้นสีหน้าเรียบขรึมอย่างง่ายดายเอ่ยพูดแผ่บรรยากาศกดดันออกมา เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่างานนี้จะจบอย่างไร “นั่นไง ข้าว่าคนผู้นั้นคือชินอ๋อง…” เสียงซุบซิบยังคงแว่วมาไม่ขาด แต่ก็ไม่กลบเสียงการปะทะกันคนคู่นี้ “อย่างแกเป็นอ๋อง? ถ้าแกเป็นอ๋อง ข้าคงเป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ไอ้สวะ” คุณชายจูพูดเสียงดังก้อง “หึ...” “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” บรรดามือปราบที่กำลังรวบรวมข้อมูลครั้งสุดท้ายเพื่อสรุปสำนวนคดี ได้ยินข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ ก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็วเอ่ยถามเหตุการณ์ตรงหน้า “คุณชายจูของข้าต้องการชมการแสดงที่ลานกว้าง แต่ไอ้สวะผู้นี้กับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกับขวางทางเดิน” บ่าวรับใช้ยังคงไม่รู้ตัว แจ้งมือปราบด้วยท่าทีหยิ่งยโสไม่ต่างจากผู้เป็นนาย จนทำให้สองมือปราบไม่ทันได้สนใจคู่กรณีอีกคน เยี่ยหยางมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างสมเพช เขาควงเหวี่ยงแผ่นป้ายหยกประจำตัวในมืออย่างไม่สนใจ เพรา
สวะไร้ลมปราณ? โอ๊ย! ข้าจะเป็นลม...ไม่จริงใช่หรือไม่!!! เผิงเหล่ยมองท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อพร้อมกับตรวจสอบลมปราณคนตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าข่าวลือ...จะเป็นจริง หมายความว่า… เถ้าแก่ผู้ขึ้นบัญชีหนังหมาของเยี่ยหยางเหงื่อแตกพลั่กเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างลึกซึ้งขึ้นมา นี่เขาทำอะไรลงไป… อยู่ดีไม่ว่าดีอัญเชิญเทพหายนะมาดูแลตัวเอง เผิงเหล่ยได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ในลำคอ จะร้องไห้ก็ไม่ได้จะพูดก็ไม่ออก “เอ่อ…” ตอนนี้เถ้าแก่เผิงมีเวลาว่าง ว่างมาก ๆ เพราะร้านที่ต้องดูแลหายวับไปกับควันไฟ จะฟ้องร้องบอกใครคงไม่มีใครเชื่อ ดีไม่ดีอาจจะคอขาดไม่รู้ตัว ใครให้เขาไปกล้ากระตุกเส้นขนของท่านอ๋องบัดซบกัน? “ไม่เป็นไร วันหลังเปิ่นหวางจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเอง คงต้องขอรบกวนเถ้าแก่อีกครั้ง” เยี่ยหยางกล่าวแล้วเดินจากไปอย่างทิ้งนัย ทิ้งเผิงเหล่ยน้ำตาตกใน ไม่ต้องมาแล้ว ได้โปรดแค่นี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว... อุบัติเหตุเมื่อคืนเถ้าแก่เผิงเสียหายขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก จับมือใครก็ดมไม่ได้ แต่ไม่ต้องคาดเดาเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองไปแหย่คนที่ไม่ควรแตะต้อง หนี้สินที่กู้ยืมหมุนเวียนในการค้าทับถมจนต้องขายร้านที่เหลือแต่ขี้เถ้า เพร
การสอบแข่งขันเข้าเรียนของที่นี่เป็นมาตรฐานของทุกแคว้น ยากที่จะทำการโกงและการใช้เส้นสายอำนาจเพื่อที่จะเข้ามาศึกษา แม้กระทั่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ยังต้องทำการทดสอบเหมือนคนธรรมดาสามัญ จึงทำให้สถานศึกษาแห่งนี้ได้การยอมรับทั้งในและต่างแคว้นว่ามีคุณภาพกว่าที่อื่น ๆ โดยในแต่ละปีจะรับผู้ที่มีปราณยุทธเข้ามาศึกษาเพียงปีละเจ็ดร้อยคน การศึกษาของที่นี่แบ่งออกเป็นสี่ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน ระดับเริ่มต้น ระดับสามัญ และ ระดับอาชีพ แต่ละระดับจะต้องเรียนรู้ไม่เกินสามปี โดยที่ระดับพื้นฐานและระดับเริ่มต้นจะเป็นเพียงศิษย์สายนอก ระดับสามัญเป็นศิษย์สายใน และระดับอาชีพเป็นศิษย์หลักที่มีจำนวนคนน้อยกว่านักนั้นไม่กำหนดเวลาเรียนรู้ แต่ใช้แต้มคะแนนแลกเปลี่ยนในการดำเนินชีวิตในเทียนถูหวู่ จากการทำภารกิจต่าง ๆ ของสำนักเป็นการแลกเปลี่ยน เพื่อนำคะแนนสะสมไปwแลกผลึกปราณหรือคัมภีร์ทักษะต่าง ๆ รวมถึงเม็ดยาโอสถแต่ถ้าศิษย์นอกศึกษาเกินเกณฑ์จะถูกเชิญออกจากเทียนถูหวู่ เพื่อต้องการให้ผู้ศึกษาตั้งใจศึกษาคนอื่นเข้ามาเรียนรู้ต่อ เพราะที่แห่งนี้นั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ จนพอใจที่เมืองเจียงตงอยู่สามคืน เยี่ยหยางก็ส่งสาสน์ให้ลู่เฉินมีใจความว่า...ไม่ต้องรอ.. ไม่หนี…เพราะเขาขี้เกียจปั้นหน้าตาปัญญาอ่อนต่อหน้าใคร ๆ ถึงแม้ว่าจะยืดเวลาสวมหน้ากากออกได้นิดหน่อยก็ตาม ยิ่งกว่านั้นขี่ไม้กวาดยังเร็วกว่าสะดวกกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งอยู่บนหลังม้า จากครึ่งวันเหลือเพียงหนึ่งชั่วยามก็ถึงหน้าผายโหลวสายตาดูหมิ่นของคุณชายจูผู้นี้ไม่สามารถสร้างความหวาดหวั่นใด ๆ ให้เยี่ยหยางแม้แต่น้อย อีกฝ่ายมองหน้าเขาอย่างแค้นเคืองอย่างคนทำอะไรไม่ได้ทันทีที่สังเกตเห็นเขาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั่น...มาจ้องตาขวางใส่เขาทำไม?ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว ดูท่าแล้วจะมีเป้าหมายใหม่เมื่อจูเฉิงเยว่เดินเข้าไปหาคนผู้หนึ่ง โดยมีเด็กตัวโตดันคนอื่น ๆ ที่ขวางทางนายน้อยของมัน“ยินดีที่ได้พบพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมู่หรลู่เฉินแห่งซีเว่ย” ประโยคที่ได้ยินเหมือนจะทำความเคารพ แม้ว่าแผ่นหลังจะโน้มลง แต่แข็งกร้าวหยิ่งยโสมากนัก “ข้าน้อย จูเฉิงเยว่ บุตรชายอัครมหาเสนาบดีจูเหวินฟงแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินพ่
“ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะคัดเลือกผู้ที่จะศึกษาในปีการศึกษานี้ ขอเชิญว่าที่ผู้ศึกษาทุกท่านเข้าประตูจิงเฉินฉือไท่คง” ด้วยพลังเสียงลมปราณ ทำให้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง ประตูจิงเฉินฉือไท่คงเป็นประตูที่มีม่านพลังปราณวิญญาณในตัวเอง มีความรู้สึกนึกคิด สามารถแยกบุคคลที่ความสามารถ คุณธรรม ยุติธรรม ปัญญา และ ความรักอย่างแท้จริง โดยการเดินผ่านซุ้มประตูแห่งนี้ เข้าไปยังเทียนถูหวู่ที่อยู่แยกในหุบเขาแห่งนี้ โดยผู้ที่เคยผ่านซุ้มประตูมาแล้ว ต่างเล่าประสบการณ์ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ว่าตนผ่านเข้ามาได้แบบใด อีกทั้งไม่มีใครรู้ว่าประตูบานนี่มีต้นกำเนิดความเป็นมาเป็นอย่างไร มันเป็นประตูค่ายกลโบราณ ที่แม้แต่ตอนนี้ปรมาจารย์ด้านค่ายกลก็ยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ภายในค่ายกลสามารถให้ประสบการณ์ทั้งดีและเลวร้าย ฝึกฝนทักษะผู้ที่ผ่านเข้ามา อีกทั้งยังมีสมบัติที่ซ่อนอยู่ แต่น้อยคนที่จะพบ ผู้ใดที่พบมักกลายเป็นอัจฉริยะเพียงชั่วข้ามคืน แต่ดูเหมือนว่าซุ้มประตูจิงเฉินฉือไท่คงแห่งนี้จะเจอคราวเคราะห์มาเยือน เมื่อเจอตัวบัดซบที่ชอบเก็บค่าแรงพร้อมดอกเบี้ยแพงยิ่งกว่าปล
เอ๊ะ? เมื่อกี้อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นน้องชาย ก็หมายความว่าอีกคนเป็นพี่ชายที่ท่านแม่เอ่ยถึงงั้นหรือ“ท่านคือ?”“อ่ะแฮ่ม...ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง น้องชายของข้า”เยี่ยหยางกล่าวยิ้มกว้างต้อนรับน้องชายอย่างอารมณ์ดี ปัดความบาดหมางส่วนตัวระหว่างเขากับเฉิงเยว่ทิ้งทันที ราวกับเรื่องที่ปะทะคารมกันไม่เคยเกิดขึ้นจูเฉิงเยว่ “...”“เจ้าไม่เชื่อ?” เยี่ยหยางเห็นน้องชายเงียบไปก็ถามกลับ ก็ได้คำตอบที่ปวดใจมาแทนว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่น้อย“นี่เจ้าดู” คนเป็นพี่ลากน้องชายหมาด ๆ มายืนหน้ากระจกเทียบ “สีผมเราสองคนก็เหมือนกัน สีตาก็ด้วย นี่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเราเลยนะ”“ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้มีสีผมสีตาประหลาดอย่างนี้” เฉิงเยว่แย้ง“ก็ได้ ๆ ข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง” เยี่ยหยางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับน้องชายอย่างอ่อนโยนจากนั้นรินน้ำชาให้ตัวเองและน้องชาย เตรียมสนทนายืดยาวให้อีกฝ่ายยอมรับเขาให้ได้ เขาอยากมีน้องชายตั้งแต่อยู่ระนาบมนตราแล้ว แต่ท
เจ้าตัวเลยพิสูจน์โดยถลกแขนเสื้อขึ้นไม่เกรงใจเจ้าบ้านบาดแผลยาวจากคมกระบี่ค่อย ๆ สมานตัวเองเห็นชัดด้วยตาเปล่า ดวงตากลมโตเบิกตากว้างอย่างตกใจยารสชาติห่วยนรกแตก แต่มีประสิทธิภาพดีเกินคาด คงไม่มีโอสถใดเยี่ยมยอดเท่านี้ มันสามารถรักษาบาดแผลได้ในพริบตาเฉิงเยว่มองหน้าเส้าหยางอย่างมึนงง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ว่า ทำไมต้องช่วยเขามากมายอย่างนี้“คุณชายจู คงมีคำถามอยากถามข้า”เยี่ยหยางถาม เขาไม่ต้องเสแสร้งปกปิดตัวตน เผยบุคลิกเป็นตัวเอง ออกมา “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองมีพลังอย่างอื่นนอกจากปราณยุทธ”“ข้ารู้ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”“คุณชายมองตัวเองในยามนี้ก่อน” เยี่ยหยางร่ายเวทเรียกกระจกส่องทั้งตัวให้เฉิงเยว่ได้มองตัวเองทั้งตัวดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้ว่า นอกจากตัวเองมีพลังเวทแล้ว แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยังเปลี่ยนไปเฉิงเยว่มองภาพสะท้อนนิ่งงึนงัน มือยกจับเส้นผมที่เคยเป็นสีเข้มกับกลายเป็นสีเงินยวงขาวสว่างทั่วทั้งศีรษะ ดวงตาสีฟ้าแทนที่ดวงตาเข้มที่เคยมีนับสิบปีไม่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเข
“จุ๊ ๆ ไม่ต้องรีบอยากตาย เดี๋ยวข้ามีเรื่องสนทนาอย่างสนิทสนมกับพวกเจ้า”บุคคลที่สวมหน้ากากตัวสูงกว่า กล่าวกับพวกมันที่เหลือรอดห้าคน ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมแผ่ไอเย็นทั่วร่าง จนไม่มีใครกล้าขยับตัวปิดปากเงียบ กลัวว่าหากเผลอส่งเสียงจะกลายเป็นนกถูกเกาทัณฑ์ตัวแรกพวกมันมองเพื่อนร่วมอาชีพอีกคนชิ่งตายด้วยสีหน้าอิจฉาแม่ง! หนีตายไปสบายก่อนใครเพื่อนเลยเยี่ยหยางหลังจากข่มขู่มือสังหารเสร็จ ก็หันไปหาจูเฉิงเยว่ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไป“คุณชายข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า หวังว่าจะไม่ปฏิเสธ” เขาเอ่ยกับคุณชายจูเฉิงเยว่ “สภาพเจ้าตอนนี้คงไปพบใครลำบาก มากับข้า”ส่วนเฉิงเยว่เหนื่อยจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอมให้อีกฝ่าย ตัวเขาคาดไม่ถึงว่าคนที่มาช่วยคือเส้าหยาง โชคดีที่อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วย แม้เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยคุยกันอย่างสนิทสนมก็ตามทันทีที่จูเฉิงเยว่พยักหน้าตกลง เยี่ยหยางก็ร่ายคาถาเคลื่อนย้ายพริบตาอีกหน นำทั้งคนทั้งศพของเหล่านักฆ่า กลับไปที่เขาเพิ่งจากมาอีกครั้ง“อ๊ะ! อาหยางลืมสิ่งใด?”
และผลลัพธ์ก็คือระเบิดโทสะของจูเฉิงเยว่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ เพราะผู้ลองดีต่างไปรายงานตัวกับยมบาลกันทุกคนเรียบร้อย สำหรับบางคนการมีโทสะ อาจทำให้ขาดสติ แต่สำหรับเฉิงเยว่โทสะในเรื่องนี้กลับทำให้เขาสงบอารมณ์ สงบนิ่งจนน่ากลัว ประสาททั้งห้าเปิดรับสัมผัส แววตานิ่งเย็นยะเยือกพร้อมทำลายพวกมันหารู้ไม่ว่า ได้ก้าวข้ามขีดอารมณ์ของทายาทตระกูลจูให้แล้ว ลมไร้ที่มาโหมกระหน่ำจากทุกทิศทาง ล้อมรอบกลุ่มมือสังหารสองกลุ่มที่ส่งคนมามากกว่างานอื่น ๆ พวกมันต่างมองหน้ากันอย่างมึนงง ข่าวลือในสมาคมนักฆ่าเกี่ยวกับคุณชายตัวประหลาดผู้นี้เห็นทีจะเป็นจริง พวกมันต้องรีบจบงานนี้ ก่อนที่ชีวิตของมันจะต้องจบลงที่นี่เอง ท่าทีกวนโทสะเหยื่อเปลี่ยนเป็นลงมือสังหารอย่างจริงจังเคร่งเครียดมากขึ้น คมอาวุธพุ่งเข้ามาทุกทิศทางเล็งเข้าที่จุดตาย จูเฉิงเยว่รู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลเวียนในร่างกาย เอ่อล้นเต็มไปด้วยพลัง ความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่าพลังข
พวกเขาทุกคนที่เป็นคนของสมาคมเหวินชา ต่างเป็นคนที่อาหยางเลือกเองกับมือ ถูกสั่งสอนฝึกฝนจนกลายเป็นยอดคน แม้ว่าอาหยางของเขาจะเป็นแค่เด็ก แต่ความรู้และประสบการณ์กลับมากมายมหาศาลอาหยางต้องประสบเหตุการณ์เช่นใดที่บีบบังคับให้ต้องเติบโตเลี้ยงตัวเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเติบโตมาด้วยกันช่วงหนึ่ง และรู้จักครอบครัวเบื้องหลังตี้ตี่ แต่เขาคิดว่ามันต้องมีเรื่องราวมากกว่าที่เขารู้ หวังว่าน้องน้อยของเขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติทั่วไป อย่าได้เจ็บปวดเช่นพี่ชายคนนี้เลยจูเฉิงเยว่เมื่อสะกดรอยตามชินอ๋องไม่ทัน เขาก็ย้อนกลับไปที่จุดมุ่งหมายเดิม ที่ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเซินแล้ว จะให้ท่านแม่รอนานไม่ใช่ความคิดที่ดี“สบายดีหรือไม่ คุณชายจูเฉิงเยว่?”คุณชายน้อยตระกูลจูถึงกลับกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย ที่ต้องพบกับพวกโตแต่ตัวแต่ไร้สติปัญญาอีกแล้ว พวกมันราวสิบคนปิดบังหน้าตาเยี่ยงโจรหาเรื่องคนตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน ช่างอาจหาญยิ่งนัก เขาไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ยิ่งกว่าอ๋องจอมบัดซบคนนั้นสักอีก“ถอยออกไปตอนนี้ ข้าจะยังไม่เอาเรื่องพวกเจ้า” จูเฉิ
ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาริเริ่มลงมือทำหลังจากแน่ใจว่าต้องติดอยู่ต่างถิ่นคือ หาเงินและหลักแหล่งที่มั่นคง“อาหยาง!!!”เสียงร้องอย่างดีใจของกู้ซีเจ๋อ ผู้รับหน้าที่ดูแลกิจการทั้งหมดแทนเยี่ยหยางร้องอย่างคิดถึงคนที่หายหน้าหายตาไปนาน เขาไม่เห็นเงาหัวนายท่าน ‘เส้าหยาง’ หัวหน้าสมาคมการค้าเหวินชาจนแทบลืมว่ามีตัวตน ยังดีที่เส้นผมสีสว่างเด่นบอกเอกลักษณ์ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางลืม จะมีใครที่มีเส้นผมสีนี้ตั้งแต่ยังไม่แก่เฒ่ากันบ้าง ถ้าไม่ใช่เจ้านายที่นึกได้ว่าตัวเองก็มีงานต้องทำ“ระงับอารมณ์ตื่นเต้นที่คิดถึงน้องรักหน่อยพี่”ดวงตาสองสีมองไปที่พี่ชายนอกสายเลือดของเขาด้วยดวงตาหยอกเย้ากู้ซีเจ๋อ ที่ทำหน้าที่แทนเจ้าของกิจการได้อย่างดีเยี่ยม สมกลับที่คนเป็นน้องวางใจทิ้งงานให้แบบไม่ต้องเป็นห่วง“ข้าไม่ได้ตื่นเต้นคิดถึงเจ้า แต่คิดว่าเมื่อไหร่เจ้าจะเอางานตัวเองกลับไปสะสางสักที ข้าแทบจะจมกองบัญชีตายอยู่แล้ว” กู้ซีเจ๋อมองหน้าน้องชายที่เคยน่ารักอย่างขุ่นเคืองเยี่ยหยางเจอกับกู้ซีเจ๋อโดยบังเอิญเมื่อสิบปีก่อน
หลังจากที่ข่าวคราวรั่วไหลออกไปโดยที่เฉิงเยว่ไม่ต้องลงแรง ท่านแม่ก็ร้องจะมาพบหน้าเขาให้ได้ เป็นเหตุให้ตาลุงหวงเมียเร่งปั่นงานราษฎร์งานหลวงที่ตัวเองดูแลข้ามวันข้ามคืน โหมงานเป็นเดือนเศษเพื่อหาวันหยุดติดสอยห้อยตามภรรยาสุดที่รักมาหาลูกชายแสนน่ารักอย่างเขาและมันก็คือวันนี้เฉิงเยว่กลับหมู่ตึกไท่ตง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ตัวเองดูเป็นเด็กน้อยในสายตาท่านแม่ที่รัก เขาขัดสีฉวีวรรณตัวเองเกือบชั่วยาม และยืนอยู่หน้ากองเสื้อผ้ากองใหญ่อยู่อีกเกือบครึ่งชั่วยามเด็กหนุ่มตัวน้อยหยิบชุดนั้นชุดนี้ขึ้นแล้ววางลงอยู่หลายที เสื้อผ้าถูกคัดแยกเป็นหลายกอง จนในที่สุดมือหนุ่มน้อยก็เอื้อมไปหยิบชุดที่อยู่แยกตัวเดียวไม่อยู่รวมกับเสื้อกองไหนเสื้อไหมชุดผาวสีเหลืองอ่อนคาดด้วยเข็มขัดเอวสีขาว มวยผมผูกด้วยที่คาดที่สีเดียวกับเสื้อ ปักปิ่นเรียบอันเล็กบนศีรษะ เครื่องประดับและอาภรณ์ที่อยู่บนร่าง ทำให้จูเฉิงเยว่เด็กหนุ่มกลายเด็กน้อยที่ดูละมุนน่ารักน่าทะนุถนอมเป็นที่สุดเฉิงเยว่หมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยจากกระจกเงาที่สะท้อนภาพคุณชายน้อยแสนน่าเอ็นดู มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ เ
“ข้าขอสนทนากับเส้าหยางต่อสักครู่” ฉีเจิ้งแม้ในใจจะร่ำร้องแค่ไหน แต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าเล่ห์ ก็สวมบทรับหน้าลู่เฉินอย่างไม่มีพิรุธการมาของเจียงกงกงเปรียบเสมือนการได้เวลาพักผ่อนดี ๆ เพราะลู่เฉินจอมเข้มงวด ได้ปล่อยให้ญาติผู้พี่ได้กระดี๊กระด๊ากับของพระราชทาน ทำให้ท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อได้ทำตัวขี้เกียจอย่างจริงจังสักทีเยี่ยหยางตรวจนับข้าวของในหีบพระราชทานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี เขายกครึ่งหนึ่งแบ่งให้หวงฉีเจิ้งที่ออกแรงรับมือผู้บุกรุกในตำหนักสรรพาวุธพอ ๆ กับเขา ส่วนหูลี่เซียนเขาให้นางไปขอส่วนแบ่งจากเจ้านายจิ้งจอกขนฟูอย่างลู่เฉินเถอะ เขาไม่มีแบ่งให้ เพราะรู้สึกหมั่นไส้นางอย่างมาก วัน ๆ หนึ่งเดินตามญาติผู้น้องของเขาต้อย ๆเวลาที่ผ่านมาเดือนกว่าจากสัปดาห์เป็นเดือน ตั้งแต่หูลี่เซียนกลายเป็นเซียนจิ้งจอก ชีวิตนางก็สบายกว่าเขาหลายเท่า วัน ๆ กิน ๆ นอน ๆ จนเหมือนหมูมากกว่า(หมา)จิ้งจอกแล้ว วิ่งเทียวไปเทียวมาระหว่างห้องของญาติผู้น้องกับห้องเขา ตอนนี้นางก็หลบลู่เฉินมาสิงสถิตที่ห้องเขา นั่งหน้าหงิกเพราะไม่มีอะไรให้ทำส่วนเขากับฉีเจิ้งตกอยู่ในสภาวะเ
“ไท่จื่อ อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะได้กลับไปทูลฝ่าบาทได้ถูกต้อง”เจียงกงกงขันทีส่วนพระองค์เอ่ยถามรัชทายาทของแคว้นที่ยังดูซีดเซียวอยู่บ้าง“เจียงกงกง อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว กลางฤดูใบไม้ผลิพิษก็จะสลายจนหมด ต้องขอบคุณคุณชายเส้าหยางที่ช่วยชีวิตข้าและชินอ๋องไว้” ลู่เฉินบอก“เกรงใจแล้ว ข้าแค่ทำสิ่งที่สมควรทำ” เส้าหยางรับคำขอบคุณ สีหน้าอาการ และท่วงท่าดูสง่างามผ่าเผย“เส้าหยางจวิน ข้านำคำขอบคุณจากฝ่าบาทมามอบให้ท่านที่ช่วยปกป้องสายเลือดมู่หรง” เจียงกงกงหันไปพูดกับเส้าหยางขันทีส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยมองสำรวจประเมินท่านชายเส้าหยางจวิน เพื่อนำไปกราบทูลองค์เหนือหัวของตนอย่างละเอียด พลางคิดพิเคราะห์อืม...คนผู้นี้ที่โดดเด่นเกินใคร เส้นผมสีขาวประหลาด ดวงตาสองสีที่ประหลาดยิ่งกว่า ปกปิดหน้าตา ปกปิดแซ่สกุล ใบหน้าหลังหน้ากากยากคาดเดาว่าเป็นเช่นไร บุคลิกสง่างามดุจเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งแผ่ออกมา ลมปราณลึกล้ำตรวจสอบไม่ได้ แต่กลับเป็นแค่ศิษย์สายนอก“ขอบคุณท่านกงกงผู้เฒ่า”เจียงกงกงหลังจากที่เก็บข้อมูลไว้ราย