“ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะคัดเลือกผู้ที่จะศึกษาในปีการศึกษานี้ ขอเชิญว่าที่ผู้ศึกษาทุกท่านเข้าประตูจิงเฉินฉือไท่คง” ด้วยพลังเสียงลมปราณ ทำให้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง
ประตูจิงเฉินฉือไท่คงเป็นประตูที่มีม่านพลังปราณวิญญาณในตัวเอง มีความรู้สึกนึกคิด สามารถแยกบุคคลที่ความสามารถ คุณธรรม ยุติธรรม ปัญญา และ ความรักอย่างแท้จริง โดยการเดินผ่านซุ้มประตูแห่งนี้ เข้าไปยังเทียนถูหวู่ที่อยู่แยกในหุบเขาแห่งนี้ โดยผู้ที่เคยผ่านซุ้มประตูมาแล้ว ต่างเล่าประสบการณ์ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ว่าตนผ่านเข้ามาได้แบบใด อีกทั้งไม่มีใครรู้ว่าประตูบานนี่มีต้นกำเนิดความเป็นมาเป็นอย่างไร มันเป็นประตูค่ายกลโบราณ ที่แม้แต่ตอนนี้ปรมาจารย์ด้านค่ายกลก็ยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ภายในค่ายกลสามารถให้ประสบการณ์ทั้งดีและเลวร้าย ฝึกฝนทักษะผู้ที่ผ่านเข้ามา อีกทั้งยังมีสมบัติที่ซ่อนอยู่ แต่น้อยคนที่จะพบ ผู้ใดที่พบมักกลายเป็นอัจฉริยะเพียงชั่วข้ามคืน แต่ดูเหมือนว่าซุ้มประตูจิงเฉินฉือไท่คงแห่งนี้จะเจอคราวเคราะห์มาเยือน เมื่อเจอตัวบัดซบที่ชอบเก็บค่าแรงพร้อมดอกเบี้ยแพงยิ่งกว่าปลเนื่องจากบริเวณลานใกล้ซุ้มประตูมีขนาดเล็กคล้ายคอขวด จนเป็นภาพที่ดูแล้วน่าขันสิ้นดีจากการสละสิทธิ์แบบไร้ข้อกังหา ทั้ง ๆ ที่จะเดินเข้าไปแบบมีมารยาทมีวัฒนธรรมก็สามารถเข้าไปได้ทุกคนก็ตามนี่ยังไม่ทันได้ผ่านเข้าประตูเพื่อทดสอบ ก็ถูกเขี่ยออกมาซะงั้นจะไม่เขาขำได้ไงกันเยี่ยหยางมองคนอื่นเบียดเสียดพยายามที่จะเดินเข้าประตูร่วมสองชั่วยาม เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น อาศัยร่มเงาบดบังแดดจ้าในช่วงกลางวันที่ร้อนจัด ไม่สนใจลู่เฉินที่ยังยืนนิ่งเป็นก้อนหินและสือหลงโหยวที่มองเขาด้วยสายตาว่าเขาเป็นตัวปัญหา จนได้รู้จักกับเด็กชายหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มผู้ที่ส่งเสียงหัวเราะในเหตุการณ์เมื่อช่วงสายหนุ่มน้อยวัยย่างสิบหนาวอายุรุ่นเดียวกับคุณชายจูเฉิงเยว่ แต่นิสัยบุคลิกแสดงออกมาแตกต่างราวกับฟ้ากับดินเขาดูเหมือนเด็กชายชาวบ้านธรรมทั่วไป เครื่องแต่งกายเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าที่สวมใส่กับเป็นเนื้อผ้าอย่างดีไม่แพ้บุตรชายขุนนางใหญ่อีกทั้งปิ่นหยกเมฆขาวแม้ไร้ลวดลาย แต่ราคาของมันไม่ใช่ชาวบ้านสามัญสามารถใช้ได้ดูแล้วสบายตาเป็นธรรมชาติ ลักษณะภายนอกดูเป็นมิตรน่าคบหาแต่ลึกลงไปในแววตากับแฝงควา
ฉงหยิ๋นคลายสมบัติออกมาจากทะเลปราณของมันมากองด้านหน้ามีผืนพรมเก่า ๆ ลวดลายประหลาด กาน้ำชาผลึกอัญมณีจิ๋วที่มองแล้วไม่เหมือนกาน้ำชา ตำราอักษรรูนที่ไม่ควรปรากฏบนใบนี้ ทักษะยุทธที่เขาไม่ใส่ใจ และผลึกที่ผู้ฝึกปราณยุทธต่างเรียกว่าผลึกปราณ ที่พวกเขาต่างต้องการเพื่อช่วยเพิ่มระดับลมปราณอีกกองใหญ่แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่ค่อยสนมันแล้ว เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาอีกแล้ว ตั้งแต่แก่นเวทมนตร์เขาฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ ผลึกพวกนี้เลยกลายเป็นขนมขบเขี้ยวแก้เหงาปากของฉงฉงสักส่วนใหญ่เยี่ยหยางกวาดสมบัติที่ฉงหยิ๋นเก็บได้ และผลึกหินเซียนหนึ่งในสาม อีกสองส่วนแบ่งให้จอมโจรสลัดสี่ขาอย่างยุติธรรม เพราะสมบัติอย่างอื่นไร้ความหมายสำหรับกิเลน เก็บไว้ก็ทำประโยชน์อะไรให้มันไม่ได้“แล้วเรื่องค่ายกล?”แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญกับดักเวทมนตร์ แต่ค่ายกลที่ใช้ปราณยุทธขับเคลื่อนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา ให้ฉงหยิ๋นจัดการจะเร็วกว่าเขาลงมือ“แน่นอนว่าระดับข้า ไม่มีค่ายกลไหนตบตาข้าได้ เร็ว! ให้ข้ารีบบอกเจ้า ข้าจะได้รีบไปนอน ในห้วงมิติเย็นสบายกว่าข้า
ว่าทำไมไม่บอกเขาด้วยว่ามีหนอนยักษ์อยู่ด้วยเพราะ…ข้าเกลียดหนอน!!!‘ก็เจ้าไม่ถาม’ เสี่ยวฉงส่งเสียงเอื่อยไม่แยแสดังในหัวเยี่ยหยางในขณะที่สือหลงโหยวชักดาบออกจากฝักออกมาเตรียมตัว ท่าร่างเตรียมพร้อมบุกฝ่าออกไป ทว่าทุกทิศล้วนถูกล้อมด้วยหนอนสีเลือดเยี่ยหยางกลับกุมขมับทันทีที่เห็นท่าทางสู้ตายของสือหลงโหยว“นี่เจ้าจะเอาดาบไปจิ้มมันหรือไง ดาบขนาดเท่าไม้แคะฟันของพวกมัน จะไปทำอะไรมันได้?”“งั้นเจ้าก็จัดการสิ” สือหลงโหยวพูดพร้อมทำการผลักชินอ๋องผู้หลบหลังเขาออกไปเผชิญหน้า“เหวอ!!! ไม่ ๆๆๆ เจ้าบ้าหรือไงข้าจะจัดการพวกมันได้ยังไง” เยี่ยหยางที่ถูกผลักไม่ทันตั้งตัว คว้าตัวลู่เฉินตามสัญชาตญาณ “ญาติผู้น้องคนเก่งเร็ว ๆ สิ เจ้ารีบหาวิธีอย่าให้มันได้กลิ่นพวกเราไม่งั้นเสร็จกันหมดแน่”ชินอ๋องพล่ามไปก็เขย่าตัวองค์รัชทายาทไป จนเจ้าตัวต้องเอามือทั้งคู่ของพี่ชายออกไปจากตัวแล้วรีบหาวิธีเยี่ยหยางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วบอกลักษณะของหนอนสีเลือดออกมาอย่างไม่ต้องแสร้งโง่งมอีกต
ภายใต้ฝุ่นทรายที่คละคลุ้งจนไม่เห็นทัศนียภาพ ทำให้เยี่ยหยางไม่กังวลว่าถ้ามีใครสังเกตการณ์การผ่านประตูจิงเฉินฉือไท่จากภายนอกจะเห็นเขาขี่ไม้กวาดร่อนอยู่ อีกอย่างไม้กวาดด้ามนี้ถูกเขาดูแลปรับแต่งเป็นอย่างดีในสิบปีมานี้ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมองตามทันต่อให้ใช้ลมปราณผนึกไว้ที่ดวงตา แต่ถ้ามีผู้ที่มีปราณยุทธร่างกายที่ดวงตาเขาก็โชคร้ายไปหน่อยแล้ว ด้ามหัวไม้กวาดถูกเยี่ยหยางควบคุมให้เชิดหัวสูงขึ้นเพิ่มเพดานความสูง เพื่อรักษาระยะห่างจากหนอนสีเลือดที่ยั้วเยี้ยอยู่บนผืนทราย พวกเขาบินอยู่ผืนฟ้าเพียงครู่เดียวก็ตัดผ่านข้ามพื้นที่ทะเลทรายใช้เวลาไปน้อยกว่าการเดินเท้าและต้องเผชิญปัญหากับดักต่าง ๆ ที่ยุ่งยากไม่น้อย แต่บนฟ้าก็ไม่ง่ายดายเช่นกัน ฝูงนกหลายร้อยบินเต็มฟากฟ้า กระพือบินสร้างพายุลมกระชากอย่างรุนแรง เป้าหมายของพวกมันคือจิกผู้ที่ไม่ใช่พวก เยี่ยหยางอาศัยทักษะการบินผาดโผนหมุนควงผ่านฝูงนกไปอย่างหวาดเสียว พอผ่านฝูงนกได้ก็เผชิญกับสายฟ้าผ่า กว่าจะผ่านมาได้ก็ออกแรงไม่น้อย และสองคนด้านหลังเยี่ยหยางเหมือนจะไม่รู้ถึงปัญหานี้ คนหนึ่งนั่งเงียบหลังตรงหลั่งเหงื่อเย็น อีกคน
“ข้าเยี่ยหยาง คนนั้นลู่เฉินเป็นลูกพี่ลูกน้องข้า อีกคนคือสือหลงโหยว ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าน้องชาย”เยี่ยหยางทักทายยอมรับน้ำใจเล็กน้อยอย่างเป็นกันเอง เขารู้สึกว่าคุณชายน้อยผู้นี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรดูร่าเริงกระฉับกระเฉงดี“นี่พี่ชาย พวกท่านผ่านด่านมาได้อย่างไรบ้าง กว่าข้าจะผ่านด่าน เล่นข้าเอาตัวแทบไม่รอด ที่รอดมานี่หวุดหวิดแบบสุด ๆ” อวี้หย่าอวิ๋นบ่นพวกเขาให้ฟังเยี่ยหยางแอบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“ของข้าน่ะเป็นด่านในป่าสุสานอาถรรพ์ ผีนี่ชุกชุมยั้วเยี้ยเต็มไปหมด วิยงวิญญาณผีดิบศพอาฆาตมีมาครบ ดีที่ท่านพ่อของข้าให้ของวิเศษติดตัวมา ทำให้พวกผีทำอะไรข้าไม่ได้ มีทางเดียวที่ข้าสามารถผ่านฝ่าออกมาได้แค่วิ่งใส่ตีนสุนัขลูกเดียวมาตลอดทาง” อวี้หย่าอวิ๋นสาธยายการผ่านด่านประเมินของตัวเองให้ทุกคนได้ฟังพวกเขาทั้งหมดเดินออกจากประตูจิงเฉินฉือไท่คงมาพร้อมกัน เดินไปพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนานจูเฉิงเยว่เพิ่งผ่านด่านของตนโผล่พ้นมาจากซุ้มประตูจิงเฉินฉือไท่คง มีสภาพราวผ่านสงครามมาอย่างหนักหน่วง เสื้อไหมชั้นดีขาดวิ่นเป็นริ้ว ทั้งตัวเ
หลังจากรอให้จบการประเมินการคัดเลือกจากจิงเฉินฉือไท่คงมาร่วมสี่วัน คนมากมายก็ทยอยผ่านซุ้มประตูมาเรื่อย ๆ หลายร้อยคนจากที่ว่างเปล่าเมื่อเยี่ยหยาง อวี้หย่าอวิ๋น ลู่เฉินและ สือหลงโหยวผ่านประตูมาเป็นกลุ่มแรก ๆ ทั้งที่เข้าเป็นกลุ่มสุดท้าย เขาไม่ค่อยเข้าใจว่า การผ่านการประเมินนั้นยากอย่างไร? เพราะที่เขาเผชิญมันง่ายมาก จนแทบไม่เสียเหงื่อทั้งที่เขาแอบกังวลว่าจะไม่สามารถผ่านมาได้ ทั้งยังไม่มีพลังลมปราณก็เหอะ ถึงแม้จะมีเรื่องหยอกล้อของด่านคัดเลือกบ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาเท่าใด ถ้าไม่รวมสภาพหน้าที่ดําเมี่ยมของสือหลงโหยวจากหนอนจอมเขมือบเผามาในที่สุดประตูจิงเฉินฉือไท่คงก็ปิดลง มีบุรุษชายหญิงคู่หนึ่งออกมาต้อนรับผู้ที่สามารถผ่านประตูคัดสรรมาได้ พวกเขาทั้งคู่แต่ชุดเหมือนกันต่างกันที่สีของชุด ยืนอยู่ตรงบันไดส่วนด้านบนมองไปด้านล่างลานหินที่เต็มไปด้วยผู้ศึกษารุ่นใหม่ของสำนัก ด้านหลังของพวกเขาเป็นประตูบานใหญ่สีแดงสดที่เปิดออกตัดกับสีอาทิตย์ยามอัสดงเป็นทัศนียภาพที่งดงาม“ข้า เมิ่งจวิ้นผิง และ ฟางเหวยซูเป็นศิษย์พี่ใหญ่หัวหน้าเหล่าศิษย์ชายหญิงของเทียนถูหวู่ในปีนี้ ยินดีต้อนรับเหล่า
ไพลินสีน้ำเงินอยู่ด้านบนตัวแทนแห่งเทพอสูรเสวียนอู่ เต่านิลถูกพันรอบด้วยอสรพิษผู้พิทักษ์ความศรัทธาและผืนน้ำ ปกปักรักษาท้องทะเล และ ซ้ายคือสีอำพันตัวแทนแห่งเทพอสูรไป๋หู่พยัคฆ์ขาวสัญลักษณ์แห่งความภักดีผู้เป็นราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวงอัญมณีสี่ทั้งลอยอยู่ด้านบนแท่นหมุนวนไปรอบ ๆ แผ่รังสีบางอย่างออกมาจนเยี่ยหยางสัมผัสได้ เขาตกอยู่ในภวังค์ขบคิดสิ่งกระจกหกเหลี่ยมด้านหน้า จนกระทั่ง…“สวัสดีศิษย์ใหม่และศิษย์เทียนถูหวู่ทุกคน ข้าฉางไท้เจ้าสำนักคนปัจจุบัน”บุคคลผู้หนึ่งก้าวออกมาด้านลานด้านหน้า ซึ่งหลังลานเป็นตึกจวนขนาดใหญ่ เส้นผมหนวดเคราสีขาวถูกจัดเรียบร้อยในชุดสีขาวสะอาดตาที่น่าเลื่อมใส ลมปราณแผ่ความน่าเกรงขาม แต่ขัดกับความคิดของใครบางคนที่มีสายเลือดเดียวกันที่เห็นภาพแล้วคิ้วถึงกับกระตุกเมื่อเห็นเจ้าสำนัก‘เฮอะ...เสแสร้ง / จอมตบตา’“วันนี้เป็นวันดีที่พวกเรามากหน้าหลายตา สวรรค์นำพามาพบเจอโชคชะตานำพามาให้รู้จัก ตอนนี้เหล่าศิษย์ทั้งหลายคงอยากรู้จักศิษย์น้องที่จะร่วม
การคัดสรรอย่างมีอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงบุคคลอีกคนที่ทุกคนต่างจับตาดูไม่น้อย“มู่หรงลู่เฉิน”เสียงพูดคุยที่มีอยู่บ้างประปรายเงียบสนิททันทีที่นามขององค์รัชทายาทแห่งราชอาณาจักรซีเว่ยอัจฉริยะที่เลื่องลือถูกเอ่ยขึ้น เขาก้าวเดินออกมาอย่างมั่นคง ไม่สนสายตาจับจ้องราวกับเคยชินจนเป็นเรื่องปกติอยู่ทุกวัน แต่ถ้าสังเกตดี ๆ อาจจะเห็นท่าทางทอดถอนหายใจเบื่อหน่ายเล็กน้อยมือของลู่เฉินแบวางทาบลงกับกระจกอยู่นาน นานกว่าคนอื่น ๆ ที่เคยวางทาบมือลงที่ตรงนี้ ดวงตาคมหลับตาลงเหมือนอยู่ห้วงนึกคิด ทุกคนต่างมองอย่างตระหนก เพราะรู้สึกนานผิดปกติตอนนี้แม้เสียงลมหายใจก็แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง จ้องมองผลลัพธ์อย่างไม่กะพริบตา แต่คงต้องยกเว้นเยี่ยหยางที่ไม่รู้สึกแปลกอะไร มองเชื้อพระวงศ์ด้านหน้าด้วยความคิดและสายตาที่ต่างออกไป‘เจ้าก้อนหินหนังหน้าตายด้าน สีหน้าไม่รู้สึกรู้สาไม่เปลี่ยนสักนิด’เยี่ยหยางแอบคิดเมื่อสังเกตท่าทางลูกพี่ลูกน้องตามตัวตนของเขาตอนนี้มู่หรงลู่เฉินเกือบคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินเสียงบังเอิญดังเข้ามาในหัวเป็นครั้งครา
เอ๊ะ? เมื่อกี้อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นน้องชาย ก็หมายความว่าอีกคนเป็นพี่ชายที่ท่านแม่เอ่ยถึงงั้นหรือ“ท่านคือ?”“อ่ะแฮ่ม...ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง น้องชายของข้า”เยี่ยหยางกล่าวยิ้มกว้างต้อนรับน้องชายอย่างอารมณ์ดี ปัดความบาดหมางส่วนตัวระหว่างเขากับเฉิงเยว่ทิ้งทันที ราวกับเรื่องที่ปะทะคารมกันไม่เคยเกิดขึ้นจูเฉิงเยว่ “...”“เจ้าไม่เชื่อ?” เยี่ยหยางเห็นน้องชายเงียบไปก็ถามกลับ ก็ได้คำตอบที่ปวดใจมาแทนว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่น้อย“นี่เจ้าดู” คนเป็นพี่ลากน้องชายหมาด ๆ มายืนหน้ากระจกเทียบ “สีผมเราสองคนก็เหมือนกัน สีตาก็ด้วย นี่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเราเลยนะ”“ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้มีสีผมสีตาประหลาดอย่างนี้” เฉิงเยว่แย้ง“ก็ได้ ๆ ข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง” เยี่ยหยางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับน้องชายอย่างอ่อนโยนจากนั้นรินน้ำชาให้ตัวเองและน้องชาย เตรียมสนทนายืดยาวให้อีกฝ่ายยอมรับเขาให้ได้ เขาอยากมีน้องชายตั้งแต่อยู่ระนาบมนตราแล้ว แต่ท
เจ้าตัวเลยพิสูจน์โดยถลกแขนเสื้อขึ้นไม่เกรงใจเจ้าบ้านบาดแผลยาวจากคมกระบี่ค่อย ๆ สมานตัวเองเห็นชัดด้วยตาเปล่า ดวงตากลมโตเบิกตากว้างอย่างตกใจยารสชาติห่วยนรกแตก แต่มีประสิทธิภาพดีเกินคาด คงไม่มีโอสถใดเยี่ยมยอดเท่านี้ มันสามารถรักษาบาดแผลได้ในพริบตาเฉิงเยว่มองหน้าเส้าหยางอย่างมึนงง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ว่า ทำไมต้องช่วยเขามากมายอย่างนี้“คุณชายจู คงมีคำถามอยากถามข้า”เยี่ยหยางถาม เขาไม่ต้องเสแสร้งปกปิดตัวตน เผยบุคลิกเป็นตัวเอง ออกมา “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองมีพลังอย่างอื่นนอกจากปราณยุทธ”“ข้ารู้ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”“คุณชายมองตัวเองในยามนี้ก่อน” เยี่ยหยางร่ายเวทเรียกกระจกส่องทั้งตัวให้เฉิงเยว่ได้มองตัวเองทั้งตัวดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้ว่า นอกจากตัวเองมีพลังเวทแล้ว แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยังเปลี่ยนไปเฉิงเยว่มองภาพสะท้อนนิ่งงึนงัน มือยกจับเส้นผมที่เคยเป็นสีเข้มกับกลายเป็นสีเงินยวงขาวสว่างทั่วทั้งศีรษะ ดวงตาสีฟ้าแทนที่ดวงตาเข้มที่เคยมีนับสิบปีไม่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเข
“จุ๊ ๆ ไม่ต้องรีบอยากตาย เดี๋ยวข้ามีเรื่องสนทนาอย่างสนิทสนมกับพวกเจ้า”บุคคลที่สวมหน้ากากตัวสูงกว่า กล่าวกับพวกมันที่เหลือรอดห้าคน ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมแผ่ไอเย็นทั่วร่าง จนไม่มีใครกล้าขยับตัวปิดปากเงียบ กลัวว่าหากเผลอส่งเสียงจะกลายเป็นนกถูกเกาทัณฑ์ตัวแรกพวกมันมองเพื่อนร่วมอาชีพอีกคนชิ่งตายด้วยสีหน้าอิจฉาแม่ง! หนีตายไปสบายก่อนใครเพื่อนเลยเยี่ยหยางหลังจากข่มขู่มือสังหารเสร็จ ก็หันไปหาจูเฉิงเยว่ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไป“คุณชายข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า หวังว่าจะไม่ปฏิเสธ” เขาเอ่ยกับคุณชายจูเฉิงเยว่ “สภาพเจ้าตอนนี้คงไปพบใครลำบาก มากับข้า”ส่วนเฉิงเยว่เหนื่อยจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอมให้อีกฝ่าย ตัวเขาคาดไม่ถึงว่าคนที่มาช่วยคือเส้าหยาง โชคดีที่อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วย แม้เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยคุยกันอย่างสนิทสนมก็ตามทันทีที่จูเฉิงเยว่พยักหน้าตกลง เยี่ยหยางก็ร่ายคาถาเคลื่อนย้ายพริบตาอีกหน นำทั้งคนทั้งศพของเหล่านักฆ่า กลับไปที่เขาเพิ่งจากมาอีกครั้ง“อ๊ะ! อาหยางลืมสิ่งใด?”
และผลลัพธ์ก็คือระเบิดโทสะของจูเฉิงเยว่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ เพราะผู้ลองดีต่างไปรายงานตัวกับยมบาลกันทุกคนเรียบร้อย สำหรับบางคนการมีโทสะ อาจทำให้ขาดสติ แต่สำหรับเฉิงเยว่โทสะในเรื่องนี้กลับทำให้เขาสงบอารมณ์ สงบนิ่งจนน่ากลัว ประสาททั้งห้าเปิดรับสัมผัส แววตานิ่งเย็นยะเยือกพร้อมทำลายพวกมันหารู้ไม่ว่า ได้ก้าวข้ามขีดอารมณ์ของทายาทตระกูลจูให้แล้ว ลมไร้ที่มาโหมกระหน่ำจากทุกทิศทาง ล้อมรอบกลุ่มมือสังหารสองกลุ่มที่ส่งคนมามากกว่างานอื่น ๆ พวกมันต่างมองหน้ากันอย่างมึนงง ข่าวลือในสมาคมนักฆ่าเกี่ยวกับคุณชายตัวประหลาดผู้นี้เห็นทีจะเป็นจริง พวกมันต้องรีบจบงานนี้ ก่อนที่ชีวิตของมันจะต้องจบลงที่นี่เอง ท่าทีกวนโทสะเหยื่อเปลี่ยนเป็นลงมือสังหารอย่างจริงจังเคร่งเครียดมากขึ้น คมอาวุธพุ่งเข้ามาทุกทิศทางเล็งเข้าที่จุดตาย จูเฉิงเยว่รู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลเวียนในร่างกาย เอ่อล้นเต็มไปด้วยพลัง ความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่าพลังข
พวกเขาทุกคนที่เป็นคนของสมาคมเหวินชา ต่างเป็นคนที่อาหยางเลือกเองกับมือ ถูกสั่งสอนฝึกฝนจนกลายเป็นยอดคน แม้ว่าอาหยางของเขาจะเป็นแค่เด็ก แต่ความรู้และประสบการณ์กลับมากมายมหาศาลอาหยางต้องประสบเหตุการณ์เช่นใดที่บีบบังคับให้ต้องเติบโตเลี้ยงตัวเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเติบโตมาด้วยกันช่วงหนึ่ง และรู้จักครอบครัวเบื้องหลังตี้ตี่ แต่เขาคิดว่ามันต้องมีเรื่องราวมากกว่าที่เขารู้ หวังว่าน้องน้อยของเขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติทั่วไป อย่าได้เจ็บปวดเช่นพี่ชายคนนี้เลยจูเฉิงเยว่เมื่อสะกดรอยตามชินอ๋องไม่ทัน เขาก็ย้อนกลับไปที่จุดมุ่งหมายเดิม ที่ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเซินแล้ว จะให้ท่านแม่รอนานไม่ใช่ความคิดที่ดี“สบายดีหรือไม่ คุณชายจูเฉิงเยว่?”คุณชายน้อยตระกูลจูถึงกลับกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย ที่ต้องพบกับพวกโตแต่ตัวแต่ไร้สติปัญญาอีกแล้ว พวกมันราวสิบคนปิดบังหน้าตาเยี่ยงโจรหาเรื่องคนตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน ช่างอาจหาญยิ่งนัก เขาไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ยิ่งกว่าอ๋องจอมบัดซบคนนั้นสักอีก“ถอยออกไปตอนนี้ ข้าจะยังไม่เอาเรื่องพวกเจ้า” จูเฉิ
ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาริเริ่มลงมือทำหลังจากแน่ใจว่าต้องติดอยู่ต่างถิ่นคือ หาเงินและหลักแหล่งที่มั่นคง“อาหยาง!!!”เสียงร้องอย่างดีใจของกู้ซีเจ๋อ ผู้รับหน้าที่ดูแลกิจการทั้งหมดแทนเยี่ยหยางร้องอย่างคิดถึงคนที่หายหน้าหายตาไปนาน เขาไม่เห็นเงาหัวนายท่าน ‘เส้าหยาง’ หัวหน้าสมาคมการค้าเหวินชาจนแทบลืมว่ามีตัวตน ยังดีที่เส้นผมสีสว่างเด่นบอกเอกลักษณ์ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางลืม จะมีใครที่มีเส้นผมสีนี้ตั้งแต่ยังไม่แก่เฒ่ากันบ้าง ถ้าไม่ใช่เจ้านายที่นึกได้ว่าตัวเองก็มีงานต้องทำ“ระงับอารมณ์ตื่นเต้นที่คิดถึงน้องรักหน่อยพี่”ดวงตาสองสีมองไปที่พี่ชายนอกสายเลือดของเขาด้วยดวงตาหยอกเย้ากู้ซีเจ๋อ ที่ทำหน้าที่แทนเจ้าของกิจการได้อย่างดีเยี่ยม สมกลับที่คนเป็นน้องวางใจทิ้งงานให้แบบไม่ต้องเป็นห่วง“ข้าไม่ได้ตื่นเต้นคิดถึงเจ้า แต่คิดว่าเมื่อไหร่เจ้าจะเอางานตัวเองกลับไปสะสางสักที ข้าแทบจะจมกองบัญชีตายอยู่แล้ว” กู้ซีเจ๋อมองหน้าน้องชายที่เคยน่ารักอย่างขุ่นเคืองเยี่ยหยางเจอกับกู้ซีเจ๋อโดยบังเอิญเมื่อสิบปีก่อน
หลังจากที่ข่าวคราวรั่วไหลออกไปโดยที่เฉิงเยว่ไม่ต้องลงแรง ท่านแม่ก็ร้องจะมาพบหน้าเขาให้ได้ เป็นเหตุให้ตาลุงหวงเมียเร่งปั่นงานราษฎร์งานหลวงที่ตัวเองดูแลข้ามวันข้ามคืน โหมงานเป็นเดือนเศษเพื่อหาวันหยุดติดสอยห้อยตามภรรยาสุดที่รักมาหาลูกชายแสนน่ารักอย่างเขาและมันก็คือวันนี้เฉิงเยว่กลับหมู่ตึกไท่ตง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ตัวเองดูเป็นเด็กน้อยในสายตาท่านแม่ที่รัก เขาขัดสีฉวีวรรณตัวเองเกือบชั่วยาม และยืนอยู่หน้ากองเสื้อผ้ากองใหญ่อยู่อีกเกือบครึ่งชั่วยามเด็กหนุ่มตัวน้อยหยิบชุดนั้นชุดนี้ขึ้นแล้ววางลงอยู่หลายที เสื้อผ้าถูกคัดแยกเป็นหลายกอง จนในที่สุดมือหนุ่มน้อยก็เอื้อมไปหยิบชุดที่อยู่แยกตัวเดียวไม่อยู่รวมกับเสื้อกองไหนเสื้อไหมชุดผาวสีเหลืองอ่อนคาดด้วยเข็มขัดเอวสีขาว มวยผมผูกด้วยที่คาดที่สีเดียวกับเสื้อ ปักปิ่นเรียบอันเล็กบนศีรษะ เครื่องประดับและอาภรณ์ที่อยู่บนร่าง ทำให้จูเฉิงเยว่เด็กหนุ่มกลายเด็กน้อยที่ดูละมุนน่ารักน่าทะนุถนอมเป็นที่สุดเฉิงเยว่หมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยจากกระจกเงาที่สะท้อนภาพคุณชายน้อยแสนน่าเอ็นดู มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ เ
“ข้าขอสนทนากับเส้าหยางต่อสักครู่” ฉีเจิ้งแม้ในใจจะร่ำร้องแค่ไหน แต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าเล่ห์ ก็สวมบทรับหน้าลู่เฉินอย่างไม่มีพิรุธการมาของเจียงกงกงเปรียบเสมือนการได้เวลาพักผ่อนดี ๆ เพราะลู่เฉินจอมเข้มงวด ได้ปล่อยให้ญาติผู้พี่ได้กระดี๊กระด๊ากับของพระราชทาน ทำให้ท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อได้ทำตัวขี้เกียจอย่างจริงจังสักทีเยี่ยหยางตรวจนับข้าวของในหีบพระราชทานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี เขายกครึ่งหนึ่งแบ่งให้หวงฉีเจิ้งที่ออกแรงรับมือผู้บุกรุกในตำหนักสรรพาวุธพอ ๆ กับเขา ส่วนหูลี่เซียนเขาให้นางไปขอส่วนแบ่งจากเจ้านายจิ้งจอกขนฟูอย่างลู่เฉินเถอะ เขาไม่มีแบ่งให้ เพราะรู้สึกหมั่นไส้นางอย่างมาก วัน ๆ หนึ่งเดินตามญาติผู้น้องของเขาต้อย ๆเวลาที่ผ่านมาเดือนกว่าจากสัปดาห์เป็นเดือน ตั้งแต่หูลี่เซียนกลายเป็นเซียนจิ้งจอก ชีวิตนางก็สบายกว่าเขาหลายเท่า วัน ๆ กิน ๆ นอน ๆ จนเหมือนหมูมากกว่า(หมา)จิ้งจอกแล้ว วิ่งเทียวไปเทียวมาระหว่างห้องของญาติผู้น้องกับห้องเขา ตอนนี้นางก็หลบลู่เฉินมาสิงสถิตที่ห้องเขา นั่งหน้าหงิกเพราะไม่มีอะไรให้ทำส่วนเขากับฉีเจิ้งตกอยู่ในสภาวะเ
“ไท่จื่อ อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะได้กลับไปทูลฝ่าบาทได้ถูกต้อง”เจียงกงกงขันทีส่วนพระองค์เอ่ยถามรัชทายาทของแคว้นที่ยังดูซีดเซียวอยู่บ้าง“เจียงกงกง อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว กลางฤดูใบไม้ผลิพิษก็จะสลายจนหมด ต้องขอบคุณคุณชายเส้าหยางที่ช่วยชีวิตข้าและชินอ๋องไว้” ลู่เฉินบอก“เกรงใจแล้ว ข้าแค่ทำสิ่งที่สมควรทำ” เส้าหยางรับคำขอบคุณ สีหน้าอาการ และท่วงท่าดูสง่างามผ่าเผย“เส้าหยางจวิน ข้านำคำขอบคุณจากฝ่าบาทมามอบให้ท่านที่ช่วยปกป้องสายเลือดมู่หรง” เจียงกงกงหันไปพูดกับเส้าหยางขันทีส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยมองสำรวจประเมินท่านชายเส้าหยางจวิน เพื่อนำไปกราบทูลองค์เหนือหัวของตนอย่างละเอียด พลางคิดพิเคราะห์อืม...คนผู้นี้ที่โดดเด่นเกินใคร เส้นผมสีขาวประหลาด ดวงตาสองสีที่ประหลาดยิ่งกว่า ปกปิดหน้าตา ปกปิดแซ่สกุล ใบหน้าหลังหน้ากากยากคาดเดาว่าเป็นเช่นไร บุคลิกสง่างามดุจเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งแผ่ออกมา ลมปราณลึกล้ำตรวจสอบไม่ได้ แต่กลับเป็นแค่ศิษย์สายนอก“ขอบคุณท่านกงกงผู้เฒ่า”เจียงกงกงหลังจากที่เก็บข้อมูลไว้ราย