หลังจากรอให้จบการประเมินการคัดเลือกจากจิงเฉินฉือไท่คงมาร่วมสี่วัน คนมากมายก็ทยอยผ่านซุ้มประตูมาเรื่อย ๆ หลายร้อยคนจากที่ว่างเปล่า
เมื่อเยี่ยหยาง อวี้หย่าอวิ๋น ลู่เฉินและ สือหลงโหยวผ่านประตูมาเป็นกลุ่มแรก ๆ ทั้งที่เข้าเป็นกลุ่มสุดท้าย เขาไม่ค่อยเข้าใจว่า การผ่านการประเมินนั้นยากอย่างไร? เพราะที่เขาเผชิญมันง่ายมาก จนแทบไม่เสียเหงื่อทั้งที่เขาแอบกังวลว่าจะไม่สามารถผ่านมาได้ ทั้งยังไม่มีพลังลมปราณก็เหอะ ถึงแม้จะมีเรื่องหยอกล้อของด่านคัดเลือกบ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาเท่าใด ถ้าไม่รวมสภาพหน้าที่ดําเมี่ยมของสือหลงโหยวจากหนอนจอมเขมือบเผามาในที่สุดประตูจิงเฉินฉือไท่คงก็ปิดลง มีบุรุษชายหญิงคู่หนึ่งออกมาต้อนรับผู้ที่สามารถผ่านประตูคัดสรรมาได้ พวกเขาทั้งคู่แต่ชุดเหมือนกันต่างกันที่สีของชุด ยืนอยู่ตรงบันไดส่วนด้านบนมองไปด้านล่างลานหินที่เต็มไปด้วยผู้ศึกษารุ่นใหม่ของสำนัก ด้านหลังของพวกเขาเป็นประตูบานใหญ่สีแดงสดที่เปิดออกตัดกับสีอาทิตย์ยามอัสดงเป็นทัศนียภาพที่งดงาม“ข้า เมิ่งจวิ้นผิง และ ฟางเหวยซูเป็นศิษย์พี่ใหญ่หัวหน้าเหล่าศิษย์ชายหญิงของเทียนถูหวู่ในปีนี้ ยินดีต้อนรับเหล่าไพลินสีน้ำเงินอยู่ด้านบนตัวแทนแห่งเทพอสูรเสวียนอู่ เต่านิลถูกพันรอบด้วยอสรพิษผู้พิทักษ์ความศรัทธาและผืนน้ำ ปกปักรักษาท้องทะเล และ ซ้ายคือสีอำพันตัวแทนแห่งเทพอสูรไป๋หู่พยัคฆ์ขาวสัญลักษณ์แห่งความภักดีผู้เป็นราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวงอัญมณีสี่ทั้งลอยอยู่ด้านบนแท่นหมุนวนไปรอบ ๆ แผ่รังสีบางอย่างออกมาจนเยี่ยหยางสัมผัสได้ เขาตกอยู่ในภวังค์ขบคิดสิ่งกระจกหกเหลี่ยมด้านหน้า จนกระทั่ง…“สวัสดีศิษย์ใหม่และศิษย์เทียนถูหวู่ทุกคน ข้าฉางไท้เจ้าสำนักคนปัจจุบัน”บุคคลผู้หนึ่งก้าวออกมาด้านลานด้านหน้า ซึ่งหลังลานเป็นตึกจวนขนาดใหญ่ เส้นผมหนวดเคราสีขาวถูกจัดเรียบร้อยในชุดสีขาวสะอาดตาที่น่าเลื่อมใส ลมปราณแผ่ความน่าเกรงขาม แต่ขัดกับความคิดของใครบางคนที่มีสายเลือดเดียวกันที่เห็นภาพแล้วคิ้วถึงกับกระตุกเมื่อเห็นเจ้าสำนัก‘เฮอะ...เสแสร้ง / จอมตบตา’“วันนี้เป็นวันดีที่พวกเรามากหน้าหลายตา สวรรค์นำพามาพบเจอโชคชะตานำพามาให้รู้จัก ตอนนี้เหล่าศิษย์ทั้งหลายคงอยากรู้จักศิษย์น้องที่จะร่วม
การคัดสรรอย่างมีอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงบุคคลอีกคนที่ทุกคนต่างจับตาดูไม่น้อย“มู่หรงลู่เฉิน”เสียงพูดคุยที่มีอยู่บ้างประปรายเงียบสนิททันทีที่นามขององค์รัชทายาทแห่งราชอาณาจักรซีเว่ยอัจฉริยะที่เลื่องลือถูกเอ่ยขึ้น เขาก้าวเดินออกมาอย่างมั่นคง ไม่สนสายตาจับจ้องราวกับเคยชินจนเป็นเรื่องปกติอยู่ทุกวัน แต่ถ้าสังเกตดี ๆ อาจจะเห็นท่าทางทอดถอนหายใจเบื่อหน่ายเล็กน้อยมือของลู่เฉินแบวางทาบลงกับกระจกอยู่นาน นานกว่าคนอื่น ๆ ที่เคยวางทาบมือลงที่ตรงนี้ ดวงตาคมหลับตาลงเหมือนอยู่ห้วงนึกคิด ทุกคนต่างมองอย่างตระหนก เพราะรู้สึกนานผิดปกติตอนนี้แม้เสียงลมหายใจก็แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง จ้องมองผลลัพธ์อย่างไม่กะพริบตา แต่คงต้องยกเว้นเยี่ยหยางที่ไม่รู้สึกแปลกอะไร มองเชื้อพระวงศ์ด้านหน้าด้วยความคิดและสายตาที่ต่างออกไป‘เจ้าก้อนหินหนังหน้าตายด้าน สีหน้าไม่รู้สึกรู้สาไม่เปลี่ยนสักนิด’เยี่ยหยางแอบคิดเมื่อสังเกตท่าทางลูกพี่ลูกน้องตามตัวตนของเขาตอนนี้มู่หรงลู่เฉินเกือบคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินเสียงบังเอิญดังเข้ามาในหัวเป็นครั้งครา
ชินอ๋องตัวป่วนของราชอาณาจักรซีเว่ยนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับศิษย์ใหม่ของเป่ยจงที่มีเพียงสามคนช่างเงียบเหงานักต่างกับหมู่ตึกอื่นที่สมาชิกแน่นขนัด บางโต๊ะแทบจะนั่งตักกันทานข้าว ส่วนเป่ยจงนอนบนโต๊ะทานข้าว ก็ยังมีที่เหลือเฟือ บ่งบอกถึงจำนวนศิษย์ที่น้อยมากเยี่ยหยางมองหน้าหง๋อย ๆ ของอวี้หย่าอวิ๋นตั้งแต่ตอนทานอาหารค่ำ จนถึงตอนนี้เหมือนลูกหมาถูกทิ้งเรียกความเอ็นดูต่อเด็กชาย เขาเดินตามรวมกับศิษย์พี่ของเป่ยจงกลับหมู่ตึก“นี่คือหมู่ตึกเป่ยจง บ้านหลังใหม่ของพวกเจ้า ข้าเจินหยุนฟาน หัวหน้าหมู่ตึกเป่ยจงเป็นตัวแทนศิษย์พี่พวกเจ้าเอ่ยต้อนรับ” เด็กหนุ่มย่างเข้าวัยหนุ่มสวมเสื้อผาวสีขาว ด้านในเป็นชุดสีน้ำเงินเข้มดูสง่าไขว้ทับกัน ผูกรัดด้วยผ้าคาดเอวสีน้ำเงินสลับขาวปิดทับด้วยเข็มขัดเงินอีกชั้นหนึ่ง ที่เอวห้อยหยกขาวสลักรูปอสรพิษพันรอบตัวเต่าบรรพกาลแสดงสัญญาลักษณ์หัวหน้าศิษย์หมู่เป่ยจง“ข้ามู่หรงลู่เฉิน”“ข้ารู้จักท่าน องค์รัชทายาทแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย” เจินหยุนฟานกล่าว และเดินนำศิษย์ใหม่ทั้งสาม“ศิษย์พี่เจินไม่ต้องมากพิธีรีตองให้มากความ ข้
“เจ้าไม่ใช่สตรี แต่เป็นบุรุษใส่ชุดหญิงสาวซะมากกว่า” เจินหยุนฟานยังคงโต้ตอบอย่างไม่กลัวคลื่นอารมณ์หญิงสาวที่กำลังเดินตรงมา“นี่เจ้า!!!” ศิษย์พี่เจินยังคงยืนนิ่งอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “หึ...แล้วจะได้เห็นดี ข้าฉู่ซูเซียว ยินดีที่ได้พบศิษย์น้อง”“ศิษย์น้องเยี่ยหยาง ลู่เฉิน และ อวี้หย่าอวิ๋น ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่หญิงฉู่เช่นกัน” เยี่ยหยางแนะนำตัวพร้อมเพื่อนร่วมชั้น ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจไปเป็นทัพหน้ามารยาทของเยี่ยหยางเรียกสีหน้าพอใจของฉู๋ซูเซียว เขาเคารพนางสมเป็นศิษย์น้องหน้าใหม่ นางส่งรอยยิ้มให้ทั้งสาม แล้วหันกลับไปแยกเขี้ยวของเธอให้เจินหยุนฟานซึ่งหาสนใจท่าทีของนางไม่“ศิษย์น้องทั้งสามพักผ่อนเถอะ พวกเจ้าเลือกห้องว่างตามชอบได้เลย ข้าไม่รบกวนแล้วขอตัว” เจินหยุนฟานพูดจบก็เดินกลับห้องพักตัวเอง“อ๊ะ!” อวี้หย่าอวิ๋นอุทาน เขาลอบสังเกตว่ามีใครเห็นท่าทางที่ผิดปกติไปของตนหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเห็นก็รีบบอกแยกทางกับทุกคน “พี่หยาง คุณชายลู่ น้องชายขอตัวไปนอนก่อนนะขอรับ วันนี้เหนื่อยมาก ๆ เลย&r
ตารางเรียนถูกจัดขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ต้องเข้าเรียนสี่วันทั้งเช้าบ่ายเย็น มีสอนตั้งแต่วิชาลมปราณขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นเซียน วิชาบังคับขี่กระบี่ วิชาปรุงโอสถ วิชาอสูรลมปราณ วิชาหมัดหมวย วิชาฝึกกระบี่ วิชาสรรพาวุธ วิชาการเมืองการปกครอง วิชาประวัติศาสตร์บรรพกาล วิชาปรัชญาสวรรค์ วิชาจรรยาบรรณผู้ฝึกตนและอีกมากมาย ซึ่งวิชาเหล่านี้จะถูกคัดเลือกให้เหมาะสมกับระดับความรู้ความสามารถของศิษย์ที่ศึกษา เยี่ยหยางมองดูวิชาที่ตัวเองต้องเรียนวิชาปราณยุทธพื้นฐาน...คราวนี้ยากที่จะเอาตัวรอด ไม่มีปราณให้เบ่งออกมาสักนิดวิชาปรุงโอสถต้องอาศัยลมปราณเหมือนกัน...หวังว่าความรู้ระดับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงของศาสตร์ปรุงยาจะช่วยได้ล่ะมั้ง?วิชาฝึกบังคับกระบี่...ใช้คาถาแปลงร่างเปลี่ยนรูปไม้กวาดเป็นกระบี่ ต่างแค่หน้าตาแต่ก็ยังเป็นไม้กวาดน่าจะใช้ได้ แค่ต้องยืนบนไม้กวาดแทน ไม่น่ายากวิชาอสูรลมปราณ...ดูแล้วน่าจะเป็นวิชาฝึกสัตว์ประหลาด อย่างนี้ฉงฉงก็เข้าข่าย หน้าตาอัปลักษณ์อยู่ไม่น้อย น่าใช้แทนกันได้วิชาปรัชญาสวรรค์...ปรัชญาชีวิตยังไม่ค่อยมี ยังต้องศึกษาของสวรรค์ที่ไหนก็ไม่รู้
จ้าวถิงเซียวสอนการสังเกตดู การดมกลิ่น การชิมรสชาติที่แตกต่าง ลักษณะของสมุนไพรประเภทต่างที่เป็นพื้นฐานในการเลือกวัตถุดิบปรุงโอสถ ทั้งสี กลิ่น อายุ และคุณภาพจากตัวอย่างสมุนไพรที่เขานำมาให้ดูในวันนี้เขายังไม่สอนการปรุงโอสถใด ๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่ศิษย์จะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเพียงพอ รวมทั้งความสามารถในการควบคุมไฟในการหลอมโอสถที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการปรุงโอสถยิ่งกว่าสมุนไพร เพราะต่อให้สมุนไพรดีแค่ไหน ถ้าควบคุมไฟในการสกัดหลอมไม่เป็น พวกมันก็กลายเป็นได้แค่ขี้เถ้ากองขยะกองหนึ่งศิษย์ทุกคนต่างไม่กล้าจะไม่สนใจ อีกทั้งสุดจะเกรงใจไม่กล้าขัดที่จะถาม แม้ว่าจะไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชาบ้างก็ตามด้วยความหวาดหวั่น นั่งฟังหัวผงก ๆ เรียนอย่างจริงจังตั้งใจอย่างยิ่งยวดเนื่องจากมีตัวอย่างเชือดไก่ให้ลิงดูในปีที่แล้ว ๆ มาเป็นตัวอย่างนับร้อย ๆ ตัวอย่างเช่นมีศิษย์ผู้หนึ่งที่มั่นใจในพรสวรรค์ของตัวเอง และคิดว่าตระกูลตนเองใหญ่มีชื่อเสียงเป็นปรมาจารย์ในเรื่องของโอสถตั้งแต่บรรพบุรุษอยู่ในยุทธภพเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผู้คนต่างยำเกรงอยู่หลายส่วนทำให้ศิษย์ผู้นั้น
เสียงร้องตะโกนของเยี่ยหยางดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาคนทั้งกลุ่มสะดุ้งเฮือกหันหรี่มองไปรอบ ๆ เขากลัวอาจารย์ไม่รับรู้สถานการณ์ให้คล้อยตาม เจ้าตัวจึงร่ายคาถาสาดน้ำใส่หน้าคนเป็นอาจารย์ไปโครมใหญ่และร่ายมนตร์ให้ตัวแห้งในพริบตาไม่เหลือหลักฐานเอาความผิดใด ๆ“ไหน ๆ ที่ไหนไฟไหม้” อาจารย์ผู้อยู่ในห้วงนิทราสะดุ้งตื่นหาเพลิงที่ไร้ควัน“ท่านคืออาจารย์หวังหลี่ฉินใช่หรือไม่ พวกข้าเป็นศิษย์ใหม่ที่จะมาเรียนวิชาปราณยุทธขั้นพื้นฐานขอรับ” เยี่ยหยางตีหน้าซื่อเหมือนเหตุการณ์ที่ตัวเองตะโกนแหกปากดังลั่นไม่เคยเกิดขึ้น“อะแฮ่ม...ใช่ ข้าหวังหลี่ฉิน อาจารย์สอนวิชาปราณยุทธขั้นพื้นฐาน” ผู้เป็นอาจารย์กระแอมกระไอปรับบุคลิกให้ดูเป็นอาจารย์ที่น่าเชื่อถือ“พวกเจ้าเป็นศิษย์เพิ่งเข้ามาใหม่สินะ ไหนมีกี่คนกัน ข้าไม่มีลูกศิษย์ให้สอนหลายสิบปีแล้ว พวกเจ้าเป็นศิษย์รุ่นแรกในรอบหลายสิบปีเชียว”“ท่านอาจารย์จะสอนไหวมั้ยเนี่ย” อวี้หย่าอวิ๋นหวาดหวั่นกับประสบการณ์สอนของอาจารย์ผู้นี้“พวกเจ้าคิดไงกันถึงมาเรียนกับข้า ศิษย์ส่ว
“ซึ่งปราณยุทธจะถูกปลุกให้ตื่นครั้งแรกตอนอายุหกขวบ ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุด เรียกว่า ปลุกวิถียุทธ โดยผู้คนส่วนใหญ่มักจะให้ลูกหลานปลุกพลังลมปราณในวัยนี้ และการเรียนรู้เหมาะสำหรับการเริ่มต้นฝึกปราณยุทธ เมื่อปราณยุทธถูกปลุก แต่คนก็จะมีพลังลมปราณเริ่มต้นไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับธรรมชาติที่เลี้ยงดูเติบโตและพรสวรรค์ที่ฟ้าดินบรรดาให้มา”“ประเภทของปราณยุทธแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ อยู่สามประเภทใหญ่ คือ ปราณยุทธสัตว์ ปราณยุทธที่สามารถแสดงทักษะของสัตว์นั้น ๆ ปราณยุทธอาวุธเป็นปราณยุทธสามารถใช้อาวุธนั้น สามารถพัฒนา ดัดแปลงตามที่อาวุธชนิดนั้นจะทำได้ ปราณยุทธร่างกายจะเป็นปราณที่แสดงความสามารถของร่างกายส่วนด้านเป็นพิเศษออกมา”“และระดับลมปราณ แต่ละระดับมีสิบระดับ สิบขั้น ตั้งแต่ขั้นสูงที่สุดที่เป็นลมปราณของเหล่าเทพเซียนจนถึงมนุษย์เดินดิน คือเซียนยุทธ มหาปราชญ์ยุทธ จักรพรรดิยุทธ ราชันยุทธ จ้าวยุทธ อัคราจารย์ยุทธ ปรมาจารย์ยุทธ อาจารย์ยุทธ ผู้เชี่ยวชาญยุทธ หลอมกายา ก่อตั้งรากฐานยุทธ และระดับก่อกำเนิดการเรียกตนว่าผู้ฝึกตนต้องมีลมปราณอย่างน้อยระ
เอ๊ะ? เมื่อกี้อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นน้องชาย ก็หมายความว่าอีกคนเป็นพี่ชายที่ท่านแม่เอ่ยถึงงั้นหรือ“ท่านคือ?”“อ่ะแฮ่ม...ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง น้องชายของข้า”เยี่ยหยางกล่าวยิ้มกว้างต้อนรับน้องชายอย่างอารมณ์ดี ปัดความบาดหมางส่วนตัวระหว่างเขากับเฉิงเยว่ทิ้งทันที ราวกับเรื่องที่ปะทะคารมกันไม่เคยเกิดขึ้นจูเฉิงเยว่ “...”“เจ้าไม่เชื่อ?” เยี่ยหยางเห็นน้องชายเงียบไปก็ถามกลับ ก็ได้คำตอบที่ปวดใจมาแทนว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่น้อย“นี่เจ้าดู” คนเป็นพี่ลากน้องชายหมาด ๆ มายืนหน้ากระจกเทียบ “สีผมเราสองคนก็เหมือนกัน สีตาก็ด้วย นี่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเราเลยนะ”“ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้มีสีผมสีตาประหลาดอย่างนี้” เฉิงเยว่แย้ง“ก็ได้ ๆ ข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง” เยี่ยหยางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับน้องชายอย่างอ่อนโยนจากนั้นรินน้ำชาให้ตัวเองและน้องชาย เตรียมสนทนายืดยาวให้อีกฝ่ายยอมรับเขาให้ได้ เขาอยากมีน้องชายตั้งแต่อยู่ระนาบมนตราแล้ว แต่ท
เจ้าตัวเลยพิสูจน์โดยถลกแขนเสื้อขึ้นไม่เกรงใจเจ้าบ้านบาดแผลยาวจากคมกระบี่ค่อย ๆ สมานตัวเองเห็นชัดด้วยตาเปล่า ดวงตากลมโตเบิกตากว้างอย่างตกใจยารสชาติห่วยนรกแตก แต่มีประสิทธิภาพดีเกินคาด คงไม่มีโอสถใดเยี่ยมยอดเท่านี้ มันสามารถรักษาบาดแผลได้ในพริบตาเฉิงเยว่มองหน้าเส้าหยางอย่างมึนงง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ว่า ทำไมต้องช่วยเขามากมายอย่างนี้“คุณชายจู คงมีคำถามอยากถามข้า”เยี่ยหยางถาม เขาไม่ต้องเสแสร้งปกปิดตัวตน เผยบุคลิกเป็นตัวเอง ออกมา “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองมีพลังอย่างอื่นนอกจากปราณยุทธ”“ข้ารู้ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”“คุณชายมองตัวเองในยามนี้ก่อน” เยี่ยหยางร่ายเวทเรียกกระจกส่องทั้งตัวให้เฉิงเยว่ได้มองตัวเองทั้งตัวดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้ว่า นอกจากตัวเองมีพลังเวทแล้ว แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยังเปลี่ยนไปเฉิงเยว่มองภาพสะท้อนนิ่งงึนงัน มือยกจับเส้นผมที่เคยเป็นสีเข้มกับกลายเป็นสีเงินยวงขาวสว่างทั่วทั้งศีรษะ ดวงตาสีฟ้าแทนที่ดวงตาเข้มที่เคยมีนับสิบปีไม่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเข
“จุ๊ ๆ ไม่ต้องรีบอยากตาย เดี๋ยวข้ามีเรื่องสนทนาอย่างสนิทสนมกับพวกเจ้า”บุคคลที่สวมหน้ากากตัวสูงกว่า กล่าวกับพวกมันที่เหลือรอดห้าคน ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมแผ่ไอเย็นทั่วร่าง จนไม่มีใครกล้าขยับตัวปิดปากเงียบ กลัวว่าหากเผลอส่งเสียงจะกลายเป็นนกถูกเกาทัณฑ์ตัวแรกพวกมันมองเพื่อนร่วมอาชีพอีกคนชิ่งตายด้วยสีหน้าอิจฉาแม่ง! หนีตายไปสบายก่อนใครเพื่อนเลยเยี่ยหยางหลังจากข่มขู่มือสังหารเสร็จ ก็หันไปหาจูเฉิงเยว่ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไป“คุณชายข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า หวังว่าจะไม่ปฏิเสธ” เขาเอ่ยกับคุณชายจูเฉิงเยว่ “สภาพเจ้าตอนนี้คงไปพบใครลำบาก มากับข้า”ส่วนเฉิงเยว่เหนื่อยจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอมให้อีกฝ่าย ตัวเขาคาดไม่ถึงว่าคนที่มาช่วยคือเส้าหยาง โชคดีที่อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วย แม้เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยคุยกันอย่างสนิทสนมก็ตามทันทีที่จูเฉิงเยว่พยักหน้าตกลง เยี่ยหยางก็ร่ายคาถาเคลื่อนย้ายพริบตาอีกหน นำทั้งคนทั้งศพของเหล่านักฆ่า กลับไปที่เขาเพิ่งจากมาอีกครั้ง“อ๊ะ! อาหยางลืมสิ่งใด?”
และผลลัพธ์ก็คือระเบิดโทสะของจูเฉิงเยว่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ เพราะผู้ลองดีต่างไปรายงานตัวกับยมบาลกันทุกคนเรียบร้อย สำหรับบางคนการมีโทสะ อาจทำให้ขาดสติ แต่สำหรับเฉิงเยว่โทสะในเรื่องนี้กลับทำให้เขาสงบอารมณ์ สงบนิ่งจนน่ากลัว ประสาททั้งห้าเปิดรับสัมผัส แววตานิ่งเย็นยะเยือกพร้อมทำลายพวกมันหารู้ไม่ว่า ได้ก้าวข้ามขีดอารมณ์ของทายาทตระกูลจูให้แล้ว ลมไร้ที่มาโหมกระหน่ำจากทุกทิศทาง ล้อมรอบกลุ่มมือสังหารสองกลุ่มที่ส่งคนมามากกว่างานอื่น ๆ พวกมันต่างมองหน้ากันอย่างมึนงง ข่าวลือในสมาคมนักฆ่าเกี่ยวกับคุณชายตัวประหลาดผู้นี้เห็นทีจะเป็นจริง พวกมันต้องรีบจบงานนี้ ก่อนที่ชีวิตของมันจะต้องจบลงที่นี่เอง ท่าทีกวนโทสะเหยื่อเปลี่ยนเป็นลงมือสังหารอย่างจริงจังเคร่งเครียดมากขึ้น คมอาวุธพุ่งเข้ามาทุกทิศทางเล็งเข้าที่จุดตาย จูเฉิงเยว่รู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลเวียนในร่างกาย เอ่อล้นเต็มไปด้วยพลัง ความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่าพลังข
พวกเขาทุกคนที่เป็นคนของสมาคมเหวินชา ต่างเป็นคนที่อาหยางเลือกเองกับมือ ถูกสั่งสอนฝึกฝนจนกลายเป็นยอดคน แม้ว่าอาหยางของเขาจะเป็นแค่เด็ก แต่ความรู้และประสบการณ์กลับมากมายมหาศาลอาหยางต้องประสบเหตุการณ์เช่นใดที่บีบบังคับให้ต้องเติบโตเลี้ยงตัวเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเติบโตมาด้วยกันช่วงหนึ่ง และรู้จักครอบครัวเบื้องหลังตี้ตี่ แต่เขาคิดว่ามันต้องมีเรื่องราวมากกว่าที่เขารู้ หวังว่าน้องน้อยของเขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติทั่วไป อย่าได้เจ็บปวดเช่นพี่ชายคนนี้เลยจูเฉิงเยว่เมื่อสะกดรอยตามชินอ๋องไม่ทัน เขาก็ย้อนกลับไปที่จุดมุ่งหมายเดิม ที่ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเซินแล้ว จะให้ท่านแม่รอนานไม่ใช่ความคิดที่ดี“สบายดีหรือไม่ คุณชายจูเฉิงเยว่?”คุณชายน้อยตระกูลจูถึงกลับกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย ที่ต้องพบกับพวกโตแต่ตัวแต่ไร้สติปัญญาอีกแล้ว พวกมันราวสิบคนปิดบังหน้าตาเยี่ยงโจรหาเรื่องคนตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน ช่างอาจหาญยิ่งนัก เขาไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ยิ่งกว่าอ๋องจอมบัดซบคนนั้นสักอีก“ถอยออกไปตอนนี้ ข้าจะยังไม่เอาเรื่องพวกเจ้า” จูเฉิ
ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาริเริ่มลงมือทำหลังจากแน่ใจว่าต้องติดอยู่ต่างถิ่นคือ หาเงินและหลักแหล่งที่มั่นคง“อาหยาง!!!”เสียงร้องอย่างดีใจของกู้ซีเจ๋อ ผู้รับหน้าที่ดูแลกิจการทั้งหมดแทนเยี่ยหยางร้องอย่างคิดถึงคนที่หายหน้าหายตาไปนาน เขาไม่เห็นเงาหัวนายท่าน ‘เส้าหยาง’ หัวหน้าสมาคมการค้าเหวินชาจนแทบลืมว่ามีตัวตน ยังดีที่เส้นผมสีสว่างเด่นบอกเอกลักษณ์ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางลืม จะมีใครที่มีเส้นผมสีนี้ตั้งแต่ยังไม่แก่เฒ่ากันบ้าง ถ้าไม่ใช่เจ้านายที่นึกได้ว่าตัวเองก็มีงานต้องทำ“ระงับอารมณ์ตื่นเต้นที่คิดถึงน้องรักหน่อยพี่”ดวงตาสองสีมองไปที่พี่ชายนอกสายเลือดของเขาด้วยดวงตาหยอกเย้ากู้ซีเจ๋อ ที่ทำหน้าที่แทนเจ้าของกิจการได้อย่างดีเยี่ยม สมกลับที่คนเป็นน้องวางใจทิ้งงานให้แบบไม่ต้องเป็นห่วง“ข้าไม่ได้ตื่นเต้นคิดถึงเจ้า แต่คิดว่าเมื่อไหร่เจ้าจะเอางานตัวเองกลับไปสะสางสักที ข้าแทบจะจมกองบัญชีตายอยู่แล้ว” กู้ซีเจ๋อมองหน้าน้องชายที่เคยน่ารักอย่างขุ่นเคืองเยี่ยหยางเจอกับกู้ซีเจ๋อโดยบังเอิญเมื่อสิบปีก่อน
หลังจากที่ข่าวคราวรั่วไหลออกไปโดยที่เฉิงเยว่ไม่ต้องลงแรง ท่านแม่ก็ร้องจะมาพบหน้าเขาให้ได้ เป็นเหตุให้ตาลุงหวงเมียเร่งปั่นงานราษฎร์งานหลวงที่ตัวเองดูแลข้ามวันข้ามคืน โหมงานเป็นเดือนเศษเพื่อหาวันหยุดติดสอยห้อยตามภรรยาสุดที่รักมาหาลูกชายแสนน่ารักอย่างเขาและมันก็คือวันนี้เฉิงเยว่กลับหมู่ตึกไท่ตง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ตัวเองดูเป็นเด็กน้อยในสายตาท่านแม่ที่รัก เขาขัดสีฉวีวรรณตัวเองเกือบชั่วยาม และยืนอยู่หน้ากองเสื้อผ้ากองใหญ่อยู่อีกเกือบครึ่งชั่วยามเด็กหนุ่มตัวน้อยหยิบชุดนั้นชุดนี้ขึ้นแล้ววางลงอยู่หลายที เสื้อผ้าถูกคัดแยกเป็นหลายกอง จนในที่สุดมือหนุ่มน้อยก็เอื้อมไปหยิบชุดที่อยู่แยกตัวเดียวไม่อยู่รวมกับเสื้อกองไหนเสื้อไหมชุดผาวสีเหลืองอ่อนคาดด้วยเข็มขัดเอวสีขาว มวยผมผูกด้วยที่คาดที่สีเดียวกับเสื้อ ปักปิ่นเรียบอันเล็กบนศีรษะ เครื่องประดับและอาภรณ์ที่อยู่บนร่าง ทำให้จูเฉิงเยว่เด็กหนุ่มกลายเด็กน้อยที่ดูละมุนน่ารักน่าทะนุถนอมเป็นที่สุดเฉิงเยว่หมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยจากกระจกเงาที่สะท้อนภาพคุณชายน้อยแสนน่าเอ็นดู มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ เ
“ข้าขอสนทนากับเส้าหยางต่อสักครู่” ฉีเจิ้งแม้ในใจจะร่ำร้องแค่ไหน แต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าเล่ห์ ก็สวมบทรับหน้าลู่เฉินอย่างไม่มีพิรุธการมาของเจียงกงกงเปรียบเสมือนการได้เวลาพักผ่อนดี ๆ เพราะลู่เฉินจอมเข้มงวด ได้ปล่อยให้ญาติผู้พี่ได้กระดี๊กระด๊ากับของพระราชทาน ทำให้ท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อได้ทำตัวขี้เกียจอย่างจริงจังสักทีเยี่ยหยางตรวจนับข้าวของในหีบพระราชทานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี เขายกครึ่งหนึ่งแบ่งให้หวงฉีเจิ้งที่ออกแรงรับมือผู้บุกรุกในตำหนักสรรพาวุธพอ ๆ กับเขา ส่วนหูลี่เซียนเขาให้นางไปขอส่วนแบ่งจากเจ้านายจิ้งจอกขนฟูอย่างลู่เฉินเถอะ เขาไม่มีแบ่งให้ เพราะรู้สึกหมั่นไส้นางอย่างมาก วัน ๆ หนึ่งเดินตามญาติผู้น้องของเขาต้อย ๆเวลาที่ผ่านมาเดือนกว่าจากสัปดาห์เป็นเดือน ตั้งแต่หูลี่เซียนกลายเป็นเซียนจิ้งจอก ชีวิตนางก็สบายกว่าเขาหลายเท่า วัน ๆ กิน ๆ นอน ๆ จนเหมือนหมูมากกว่า(หมา)จิ้งจอกแล้ว วิ่งเทียวไปเทียวมาระหว่างห้องของญาติผู้น้องกับห้องเขา ตอนนี้นางก็หลบลู่เฉินมาสิงสถิตที่ห้องเขา นั่งหน้าหงิกเพราะไม่มีอะไรให้ทำส่วนเขากับฉีเจิ้งตกอยู่ในสภาวะเ
“ไท่จื่อ อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะได้กลับไปทูลฝ่าบาทได้ถูกต้อง”เจียงกงกงขันทีส่วนพระองค์เอ่ยถามรัชทายาทของแคว้นที่ยังดูซีดเซียวอยู่บ้าง“เจียงกงกง อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว กลางฤดูใบไม้ผลิพิษก็จะสลายจนหมด ต้องขอบคุณคุณชายเส้าหยางที่ช่วยชีวิตข้าและชินอ๋องไว้” ลู่เฉินบอก“เกรงใจแล้ว ข้าแค่ทำสิ่งที่สมควรทำ” เส้าหยางรับคำขอบคุณ สีหน้าอาการ และท่วงท่าดูสง่างามผ่าเผย“เส้าหยางจวิน ข้านำคำขอบคุณจากฝ่าบาทมามอบให้ท่านที่ช่วยปกป้องสายเลือดมู่หรง” เจียงกงกงหันไปพูดกับเส้าหยางขันทีส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยมองสำรวจประเมินท่านชายเส้าหยางจวิน เพื่อนำไปกราบทูลองค์เหนือหัวของตนอย่างละเอียด พลางคิดพิเคราะห์อืม...คนผู้นี้ที่โดดเด่นเกินใคร เส้นผมสีขาวประหลาด ดวงตาสองสีที่ประหลาดยิ่งกว่า ปกปิดหน้าตา ปกปิดแซ่สกุล ใบหน้าหลังหน้ากากยากคาดเดาว่าเป็นเช่นไร บุคลิกสง่างามดุจเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งแผ่ออกมา ลมปราณลึกล้ำตรวจสอบไม่ได้ แต่กลับเป็นแค่ศิษย์สายนอก“ขอบคุณท่านกงกงผู้เฒ่า”เจียงกงกงหลังจากที่เก็บข้อมูลไว้ราย