จ้าวถิงเซียวสอนการสังเกตดู การดมกลิ่น การชิมรสชาติที่แตกต่าง ลักษณะของสมุนไพรประเภทต่างที่เป็นพื้นฐานในการเลือกวัตถุดิบปรุงโอสถ ทั้งสี กลิ่น อายุ และคุณภาพจากตัวอย่างสมุนไพรที่เขานำมาให้ดู
ในวันนี้เขายังไม่สอนการปรุงโอสถใด ๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่ศิษย์จะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเพียงพอ รวมทั้งความสามารถในการควบคุมไฟในการหลอมโอสถที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการปรุงโอสถยิ่งกว่าสมุนไพร เพราะต่อให้สมุนไพรดีแค่ไหน ถ้าควบคุมไฟในการสกัดหลอมไม่เป็น พวกมันก็กลายเป็นได้แค่ขี้เถ้ากองขยะกองหนึ่งศิษย์ทุกคนต่างไม่กล้าจะไม่สนใจ อีกทั้งสุดจะเกรงใจไม่กล้าขัดที่จะถาม แม้ว่าจะไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชาบ้างก็ตามด้วยความหวาดหวั่น นั่งฟังหัวผงก ๆ เรียนอย่างจริงจังตั้งใจอย่างยิ่งยวด เนื่องจากมีตัวอย่างเชือดไก่ให้ลิงดูในปีที่แล้ว ๆ มาเป็นตัวอย่างนับร้อย ๆ ตัวอย่างเช่นมีศิษย์ผู้หนึ่งที่มั่นใจในพรสวรรค์ของตัวเอง และคิดว่าตระกูลตนเองใหญ่มีชื่อเสียงเป็นปรมาจารย์ในเรื่องของโอสถตั้งแต่บรรพบุรุษอยู่ในยุทธภพเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผู้คนต่างยำเกรงอยู่หลายส่วน ทำให้ศิษย์ผู้นั้นเสียงร้องตะโกนของเยี่ยหยางดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาคนทั้งกลุ่มสะดุ้งเฮือกหันหรี่มองไปรอบ ๆ เขากลัวอาจารย์ไม่รับรู้สถานการณ์ให้คล้อยตาม เจ้าตัวจึงร่ายคาถาสาดน้ำใส่หน้าคนเป็นอาจารย์ไปโครมใหญ่และร่ายมนตร์ให้ตัวแห้งในพริบตาไม่เหลือหลักฐานเอาความผิดใด ๆ“ไหน ๆ ที่ไหนไฟไหม้” อาจารย์ผู้อยู่ในห้วงนิทราสะดุ้งตื่นหาเพลิงที่ไร้ควัน“ท่านคืออาจารย์หวังหลี่ฉินใช่หรือไม่ พวกข้าเป็นศิษย์ใหม่ที่จะมาเรียนวิชาปราณยุทธขั้นพื้นฐานขอรับ” เยี่ยหยางตีหน้าซื่อเหมือนเหตุการณ์ที่ตัวเองตะโกนแหกปากดังลั่นไม่เคยเกิดขึ้น“อะแฮ่ม...ใช่ ข้าหวังหลี่ฉิน อาจารย์สอนวิชาปราณยุทธขั้นพื้นฐาน” ผู้เป็นอาจารย์กระแอมกระไอปรับบุคลิกให้ดูเป็นอาจารย์ที่น่าเชื่อถือ“พวกเจ้าเป็นศิษย์เพิ่งเข้ามาใหม่สินะ ไหนมีกี่คนกัน ข้าไม่มีลูกศิษย์ให้สอนหลายสิบปีแล้ว พวกเจ้าเป็นศิษย์รุ่นแรกในรอบหลายสิบปีเชียว”“ท่านอาจารย์จะสอนไหวมั้ยเนี่ย” อวี้หย่าอวิ๋นหวาดหวั่นกับประสบการณ์สอนของอาจารย์ผู้นี้“พวกเจ้าคิดไงกันถึงมาเรียนกับข้า ศิษย์ส่ว
“ซึ่งปราณยุทธจะถูกปลุกให้ตื่นครั้งแรกตอนอายุหกขวบ ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุด เรียกว่า ปลุกวิถียุทธ โดยผู้คนส่วนใหญ่มักจะให้ลูกหลานปลุกพลังลมปราณในวัยนี้ และการเรียนรู้เหมาะสำหรับการเริ่มต้นฝึกปราณยุทธ เมื่อปราณยุทธถูกปลุก แต่คนก็จะมีพลังลมปราณเริ่มต้นไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับธรรมชาติที่เลี้ยงดูเติบโตและพรสวรรค์ที่ฟ้าดินบรรดาให้มา”“ประเภทของปราณยุทธแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ อยู่สามประเภทใหญ่ คือ ปราณยุทธสัตว์ ปราณยุทธที่สามารถแสดงทักษะของสัตว์นั้น ๆ ปราณยุทธอาวุธเป็นปราณยุทธสามารถใช้อาวุธนั้น สามารถพัฒนา ดัดแปลงตามที่อาวุธชนิดนั้นจะทำได้ ปราณยุทธร่างกายจะเป็นปราณที่แสดงความสามารถของร่างกายส่วนด้านเป็นพิเศษออกมา”“และระดับลมปราณ แต่ละระดับมีสิบระดับ สิบขั้น ตั้งแต่ขั้นสูงที่สุดที่เป็นลมปราณของเหล่าเทพเซียนจนถึงมนุษย์เดินดิน คือเซียนยุทธ มหาปราชญ์ยุทธ จักรพรรดิยุทธ ราชันยุทธ จ้าวยุทธ อัคราจารย์ยุทธ ปรมาจารย์ยุทธ อาจารย์ยุทธ ผู้เชี่ยวชาญยุทธ หลอมกายา ก่อตั้งรากฐานยุทธ และระดับก่อกำเนิดการเรียกตนว่าผู้ฝึกตนต้องมีลมปราณอย่างน้อยระ
ร่างกายของหวังหลี่ฉินดูเหมือนจะดี แต่มีปัญหาที่เส้นเอ็นบริเวณไหล่ไม่อาจปกปิดจากสายตาเขาได้ ทำให้ตาแก่หวังโคจรลมปราณติดขัด ไม่สามารถเลื่อนระดับสูงขึ้นได้ นอกจากรักษาอาการที่ว่าให้หายก่อนส่วนลู่เฉินและคนอื่น ๆ ไม่มีปัญหาบาดเจ็บภายใน เพียงแค่เส้นลมปราณยังไม่แข็งแรงพอ ยังอ่อนประสบการณ์ เพียงฝึกฝนให้มากหน่อยก็พอ ส่วนรายละเอียดที่มากกว่านั้นเยี่ยหยางเองก็บอกไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนเวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงวัน เสียงท้องร้องของท่านอ๋องก็ร้องดังไม่เกรงใจผู้คน ทุกคนที่เข้าสมาธิบ่มเพาะลมปราณต้องหยุดลง แล้วหันไปมองคนก่อกวนที่ไม่อาจกล่าวว่าได้ เพราะถึงเวลาอาหารกลางวันของพวกเขาแล้วจริง ๆ“พวกเจ้าตื่นกันสักที เปิ่นหวางหิวจนท้องไส้บิดเป็นเกลียวแล้ว” เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เหล่าศิษย์ทยอยมารับประทานอาหารที่ห้องโถงเลิศรส อาคารกว้างสำหรับรับประทานอาหารของศิษย์เทียนถูหวู่ มีอาหารขั้นพื้นฐานที่มีคุณค่าอาหารครบถ้วนไม่เสียค่าใช้จ่าย และอาหารที่ปรุงรังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศที่ต้องจ่ายราคาเพิ่มตามความต้องการให้บริการศิษย์ได้เลือกเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นท
เยี่ยหยางเดินตรงดิ่งเข้าไปกลางวงของเรื่องราวทันทีอย่างรวดเร็วด้วยคาถาเคลื่อนย้ายฉับพลันในระยะสั้นราวกับหายตัว เข้าไปยืนจังก้าขวางศิษย์สายในคนนั้นที่กำลังลงมือทุบตีทาสผิวเข้ม“จะทำอะไร” เยี่ยหยางจ้องเขม็งไปที่ฝ่ายตรงข้ามท่าทางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงดูมีพลังอำนาจที่อีกฝ่ายไม่อาจต้านทานได้“แกเป็นใครถอยไปซะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว เป็นศิษย์สายนอกก็ควรเจียมตัวซะ” ศิษย์ชายที่ลงมือทุบตีทาส มองสำรวจเยี่ยหยางว่ามาจากตระกูลใด ที่มันไม่อาจล่วงเกินได้หรือไม่ แต่…“ที่แท้ก็สวะ”ไต้กู้ซวนมองไปที่เยี่ยหยางอย่างเหยียดหยาม ตัวมันเองก็ถือเป็นอัจฉริยะในหมู่ศิษย์ไม่เกรงกลัวผู้ใดอยู่แล้ว แต่มันก็อยู่เป็นรู้ว่าบางตระกูลก็ไม่ควรไปล่วงเกิน แต่สำหรับเยี่ยหยางมันกับไม่รู้ว่าเขามาจากตระกูลใดดูท่าแล้วคงเป็นตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียงตระกูลไหน ปล่อยสวะไร้ค่าให้อับอายในหมู่ผู้ฝึกปราณยุทธ ไม่ก็คงเป็นผู้ฝึกยุทธพเนจรที่พอมีดีที่จะเป็นศิษย์เทียนถูหวู่อยู่บ้าง แต่อย่างว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่อัจฉริยะ แม้แต่ขยะถ้าผ่านการคัดเลือกก็ถือว่าเป็นศิษย์
เพียงผู้คนกะพริบตา เยี่ยหยางก็ลงมือทันที โดยไม่ให้สัญญาณหรือให้อีกฝ่ายเตรียมตัวเตรียมใจใด ๆภาพทุกอย่างรอบ ๆ หยุดนิ่งไม่ขยับ ศิษย์สายในทั้งหกคนตาหันไปมองรอบตัวอย่างตื่นตระหนก เห็นประกายวาบผ่านดวงตาของขยะไร้ปราณที่พวกมันว่าเยี่ยหยางแสยะยิ้มกว้างให้ มือยกชี้กิ่งไม้เรียวยาวไปที่ทั้งหกคน พริบตายังไม่ทันให้พวกมันได้กล่าวอ้างใด ๆ ร่างกายร้อนผ่าวไปทั่วร่าง กระดูกเหมือนถูกบดเบียดก่อร่างใหม่ จากยืนสองขากลายเป็นสี่ขาใบหน้าเต็มไปด้วยขน จมูกปากยาวยื่น หางยาว ๆ งอกออกจากบั้นท้าย พวกมันต่างตื่นตระหนก ดวงตาตื่นตะลึงมองไปสหายข้างกายที่กลายเป็นสุนัขไม่ต่างจากมัน“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!!!” แต่เสียงที่ออกมากลับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ กลายเป็นเสียงเห่าหอนของสุนัขตัวหนึ่ง“พวกเจ้าจงลิ้มลองรสชาติการใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขเจ็ดวันเจ็ดคืน ให้รู้จักจิตสำนึกของการเป็นมนุษย์ที่ดีนั้นเป็นยังไงซะ แต่ไม่ต้องห่วง จะไม่มีใครสงสัยที่พวกแกหายไป จะไม่มีใครตามหา เพียงแค่ข้าดีดนิ้วทุกคนที่แกรู้จักก็จะลืมเลือน ถ้าในเจ็ดวันสำนึกได้ว่ามนุษย์ที่ดีควรเป็นกันอย่างไ
ภายในห้องพักหมู่ตึกเป่ยจงของเยี่ยหยาง เขาพยุงแมคเคนที่ไม่ได้สติไปที่ตั่งไม้บุผ้านุ่มไว้สำหรับนั่งเล่น ก่อนจะแกว่งไม้กายสิทธิ์ปรับเปลี่ยนห้องใหม่อีกครั้งสงสัยเขาต้องขยายห้องตัวเองส่วนหนึ่งให้เป็นสถานรักษาพยาบาลพ่อมดแม่มดเหล่าผู้วิเศษอย่างเป็นทางการเลยดีหรือไม่ นี่ก็มีผู้มาใช้บริการต้องสองรายแล้วห้องกว้างถูกปรับเปลี่ยนด้วยเวทมนตร์อีกครั้งตั้งแต่วันแรก ห้องหับถูกขยายกว้างกว่าเดิมสามเท่าตัว ถูกแบ่งกั้นเป็นสัดส่วนแบ่งแยกอย่างชัดเจนขึ้นอีกฝั่งแน่นอนว่าเป็นบริเวณพื้นที่ที่เขาแบ่งยกให้เพื่อนสนิทที่หมดท่าสลบอยู่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นส่วนที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ป่วยที่เขาจัดเตรียมไว้อย่างจริงจัง โดยมีผู้ใช้บริการมานานอย่างเซฟซาร์จับจองเตียงหยกหิมะไว้มุมหนึ่งเตียงนอนสำหรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวางข้างเตียงที่เซเวียร์นอน เยี่ยหยางโบกมือย้ายแมคเคนลอยขึ้นและวางลงบนเตียงที่เตรียมไว้อย่างแผ่วเบาเยี่ยหยางร่ายคาถาง่าย ๆ อย่างคาถาระบุตัวตนตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เก็บตัวปัญหาที่ไม่รู้จักกลับมา อักษรภาษาของผู้วิเศษเปร่งแสงเรืองอยู่เหนือศีร
แม้ว่าเมิ่งฉางอู่จะอายุมากกว่าอาจารย์จ้าว และยังห่างกว่าพวกนางมากโข แต่หน้าตาหล่อเหลา เป็นมิตรมากกว่า ทำให้ได้ใจสาว ๆ ไม่มากก็น้อย ยังไม่นับความสุภาพเหมือนบัณฑิตผู้ทรงภูมิเมิ่งฉางอู่กวาดตามองศิษย์หน้าใหม่ และเริ่มสอนวิชาอสูรลมปราณที่วิชานี้เหมาะกับการเรียนนอกห้องหับอย่างพื้นที่กว้างเช่นนี้“ในวิชานี้พวกเจ้าศิษย์ทั้งหลายไม่ต้องจด ไม่ต้องจำ ไม่ต้องอ่านตำรา เพียงแค่ต้องมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งที่มากเพียงพอเรียกลมปราณขับเคลื่อนออกมานอกร่างกาย มาเป็นอสูรที่คอยเป็นคู่คอยสู้เคียงข้างอยู่กับพวกเจ้า...”“พี่ลู่เฉิน...พี่หยางยังไม่มาเลยฮะ”“น้องอวิ๋นเจ้าไม่เห็นข้าได้อย่างไร ข้าเสียใจนะ” เยี่ยหยางส่งเสียงงอนนั่งอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่หันไปกระซิบถามลู่เฉินที่นั่งข้าง ๆ กัน โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย“อ๊ะ...ตกใจหมดเลย โถ่!!! พี่หยาง”เยี่ยหยางใช้คาถาเคลื่อนพริบตาฉับพลันมาอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่เขาใช้เป็นจุดหมายในการปรากฏตัวจากห้องพักที่เป่ยจง เขาไม่ใช้สองคนนั้นเป็นจุดหมาย เพราะเกรงจะผิดสังเกต...หลอกเด็
ท้องฟ้าโปร่งสายลมพัดเอื่อยเย็นสบาย แสงแดดส่องกระทบผืนน้ำสีน้ำเงินครามราวกับอัญมณี คลื่นทะเลหมุนเกลียวซัดกระทบกราบเรือเป็นจังหวะ เป็นฟองคลื่นสีขาวแตกฟ่องละลายหายไป มีเรือสำราญลำใหญ่ล่องลดเลี้ยวอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างไพศาลสุดลูกลูกตาเสียงสังสรรค์เฮฮาสนุกสนานดังมาจากบนเรือสำเภาใหญ่ของชินอ๋องที่พาพระชายาเอก และอ๋องน้อยมาประพาสดูความแปลกใหม่ของบรรยากาศนอกเมืองหลวงบนลำเรือต่างมีบ่าวไพร่มากมายเกือบร้อยคนที่คอยติดตามมารับใช้เจ้านายอย่างใกล้ชิด แต่เสมือนพวกเขาก็ได้มาพักผ่อนด้วยไม่ต่างกัน นับว่าพากันมาเที่ยวกันยกตำหนักอ๋อง“เสด็จแม่ ๆ พี่ปลาตัวหย้ายใหญ่” นิ้วมือสั้นป้อมชี้ไปที่มัจฉาตัวไม่น้อย แทบจะทับผู้ใหญ่คนหนึ่งขาดอากาศหายใจตายได้ โผกระโดดโลดแล่นจากท้องทะเล“น่ารัก... หยางหยางชอบ” เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วถ้อยพาทีของอ๋องน้อย ชวนให้ทุกคนที่ได้ยินเก็บรอยยิ้มไว้ไม่มิด คือ มู่หรงเยี่ยหยางเชื้อพระวงศ์ตัวจิ๋ว น่ารักน่าเอ็นดู แขนขาสั้น ๆ อ้วนป้อมเป็นข้อป้องน่าฟัด ทุกคนที่เห็นการเติบโตของเจ้าก้อนแป้งขาวต่างเห็นแววความฉลาด เฉียบคม และมากพรสวรรค์ตั้งแต่วัยเยาว์ อีกทั้งยังเป็นที่รักของทุกคนไม่เว้นเสด
แม้ว่าเมิ่งฉางอู่จะอายุมากกว่าอาจารย์จ้าว และยังห่างกว่าพวกนางมากโข แต่หน้าตาหล่อเหลา เป็นมิตรมากกว่า ทำให้ได้ใจสาว ๆ ไม่มากก็น้อย ยังไม่นับความสุภาพเหมือนบัณฑิตผู้ทรงภูมิเมิ่งฉางอู่กวาดตามองศิษย์หน้าใหม่ และเริ่มสอนวิชาอสูรลมปราณที่วิชานี้เหมาะกับการเรียนนอกห้องหับอย่างพื้นที่กว้างเช่นนี้“ในวิชานี้พวกเจ้าศิษย์ทั้งหลายไม่ต้องจด ไม่ต้องจำ ไม่ต้องอ่านตำรา เพียงแค่ต้องมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งที่มากเพียงพอเรียกลมปราณขับเคลื่อนออกมานอกร่างกาย มาเป็นอสูรที่คอยเป็นคู่คอยสู้เคียงข้างอยู่กับพวกเจ้า...”“พี่ลู่เฉิน...พี่หยางยังไม่มาเลยฮะ”“น้องอวิ๋นเจ้าไม่เห็นข้าได้อย่างไร ข้าเสียใจนะ” เยี่ยหยางส่งเสียงงอนนั่งอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่หันไปกระซิบถามลู่เฉินที่นั่งข้าง ๆ กัน โดยที่เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย“อ๊ะ...ตกใจหมดเลย โถ่!!! พี่หยาง”เยี่ยหยางใช้คาถาเคลื่อนพริบตาฉับพลันมาอยู่ข้างอวี้หย่าอวิ๋นที่เขาใช้เป็นจุดหมายในการปรากฏตัวจากห้องพักที่เป่ยจง เขาไม่ใช้สองคนนั้นเป็นจุดหมาย เพราะเกรงจะผิดสังเกต...หลอกเด็
ภายในห้องพักหมู่ตึกเป่ยจงของเยี่ยหยาง เขาพยุงแมคเคนที่ไม่ได้สติไปที่ตั่งไม้บุผ้านุ่มไว้สำหรับนั่งเล่น ก่อนจะแกว่งไม้กายสิทธิ์ปรับเปลี่ยนห้องใหม่อีกครั้งสงสัยเขาต้องขยายห้องตัวเองส่วนหนึ่งให้เป็นสถานรักษาพยาบาลพ่อมดแม่มดเหล่าผู้วิเศษอย่างเป็นทางการเลยดีหรือไม่ นี่ก็มีผู้มาใช้บริการต้องสองรายแล้วห้องกว้างถูกปรับเปลี่ยนด้วยเวทมนตร์อีกครั้งตั้งแต่วันแรก ห้องหับถูกขยายกว้างกว่าเดิมสามเท่าตัว ถูกแบ่งกั้นเป็นสัดส่วนแบ่งแยกอย่างชัดเจนขึ้นอีกฝั่งแน่นอนว่าเป็นบริเวณพื้นที่ที่เขาแบ่งยกให้เพื่อนสนิทที่หมดท่าสลบอยู่ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเป็นส่วนที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ป่วยที่เขาจัดเตรียมไว้อย่างจริงจัง โดยมีผู้ใช้บริการมานานอย่างเซฟซาร์จับจองเตียงหยกหิมะไว้มุมหนึ่งเตียงนอนสำหรับผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวางข้างเตียงที่เซเวียร์นอน เยี่ยหยางโบกมือย้ายแมคเคนลอยขึ้นและวางลงบนเตียงที่เตรียมไว้อย่างแผ่วเบาเยี่ยหยางร่ายคาถาง่าย ๆ อย่างคาถาระบุตัวตนตรวจสอบอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เก็บตัวปัญหาที่ไม่รู้จักกลับมา อักษรภาษาของผู้วิเศษเปร่งแสงเรืองอยู่เหนือศีร
เพียงผู้คนกะพริบตา เยี่ยหยางก็ลงมือทันที โดยไม่ให้สัญญาณหรือให้อีกฝ่ายเตรียมตัวเตรียมใจใด ๆภาพทุกอย่างรอบ ๆ หยุดนิ่งไม่ขยับ ศิษย์สายในทั้งหกคนตาหันไปมองรอบตัวอย่างตื่นตระหนก เห็นประกายวาบผ่านดวงตาของขยะไร้ปราณที่พวกมันว่าเยี่ยหยางแสยะยิ้มกว้างให้ มือยกชี้กิ่งไม้เรียวยาวไปที่ทั้งหกคน พริบตายังไม่ทันให้พวกมันได้กล่าวอ้างใด ๆ ร่างกายร้อนผ่าวไปทั่วร่าง กระดูกเหมือนถูกบดเบียดก่อร่างใหม่ จากยืนสองขากลายเป็นสี่ขาใบหน้าเต็มไปด้วยขน จมูกปากยาวยื่น หางยาว ๆ งอกออกจากบั้นท้าย พวกมันต่างตื่นตระหนก ดวงตาตื่นตะลึงมองไปสหายข้างกายที่กลายเป็นสุนัขไม่ต่างจากมัน“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!!!” แต่เสียงที่ออกมากลับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ กลายเป็นเสียงเห่าหอนของสุนัขตัวหนึ่ง“พวกเจ้าจงลิ้มลองรสชาติการใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขเจ็ดวันเจ็ดคืน ให้รู้จักจิตสำนึกของการเป็นมนุษย์ที่ดีนั้นเป็นยังไงซะ แต่ไม่ต้องห่วง จะไม่มีใครสงสัยที่พวกแกหายไป จะไม่มีใครตามหา เพียงแค่ข้าดีดนิ้วทุกคนที่แกรู้จักก็จะลืมเลือน ถ้าในเจ็ดวันสำนึกได้ว่ามนุษย์ที่ดีควรเป็นกันอย่างไ
เยี่ยหยางเดินตรงดิ่งเข้าไปกลางวงของเรื่องราวทันทีอย่างรวดเร็วด้วยคาถาเคลื่อนย้ายฉับพลันในระยะสั้นราวกับหายตัว เข้าไปยืนจังก้าขวางศิษย์สายในคนนั้นที่กำลังลงมือทุบตีทาสผิวเข้ม“จะทำอะไร” เยี่ยหยางจ้องเขม็งไปที่ฝ่ายตรงข้ามท่าทางเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงดูมีพลังอำนาจที่อีกฝ่ายไม่อาจต้านทานได้“แกเป็นใครถอยไปซะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว เป็นศิษย์สายนอกก็ควรเจียมตัวซะ” ศิษย์ชายที่ลงมือทุบตีทาส มองสำรวจเยี่ยหยางว่ามาจากตระกูลใด ที่มันไม่อาจล่วงเกินได้หรือไม่ แต่…“ที่แท้ก็สวะ”ไต้กู้ซวนมองไปที่เยี่ยหยางอย่างเหยียดหยาม ตัวมันเองก็ถือเป็นอัจฉริยะในหมู่ศิษย์ไม่เกรงกลัวผู้ใดอยู่แล้ว แต่มันก็อยู่เป็นรู้ว่าบางตระกูลก็ไม่ควรไปล่วงเกิน แต่สำหรับเยี่ยหยางมันกับไม่รู้ว่าเขามาจากตระกูลใดดูท่าแล้วคงเป็นตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียงตระกูลไหน ปล่อยสวะไร้ค่าให้อับอายในหมู่ผู้ฝึกปราณยุทธ ไม่ก็คงเป็นผู้ฝึกยุทธพเนจรที่พอมีดีที่จะเป็นศิษย์เทียนถูหวู่อยู่บ้าง แต่อย่างว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่อัจฉริยะ แม้แต่ขยะถ้าผ่านการคัดเลือกก็ถือว่าเป็นศิษย์
ร่างกายของหวังหลี่ฉินดูเหมือนจะดี แต่มีปัญหาที่เส้นเอ็นบริเวณไหล่ไม่อาจปกปิดจากสายตาเขาได้ ทำให้ตาแก่หวังโคจรลมปราณติดขัด ไม่สามารถเลื่อนระดับสูงขึ้นได้ นอกจากรักษาอาการที่ว่าให้หายก่อนส่วนลู่เฉินและคนอื่น ๆ ไม่มีปัญหาบาดเจ็บภายใน เพียงแค่เส้นลมปราณยังไม่แข็งแรงพอ ยังอ่อนประสบการณ์ เพียงฝึกฝนให้มากหน่อยก็พอ ส่วนรายละเอียดที่มากกว่านั้นเยี่ยหยางเองก็บอกไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนเวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงวัน เสียงท้องร้องของท่านอ๋องก็ร้องดังไม่เกรงใจผู้คน ทุกคนที่เข้าสมาธิบ่มเพาะลมปราณต้องหยุดลง แล้วหันไปมองคนก่อกวนที่ไม่อาจกล่าวว่าได้ เพราะถึงเวลาอาหารกลางวันของพวกเขาแล้วจริง ๆ“พวกเจ้าตื่นกันสักที เปิ่นหวางหิวจนท้องไส้บิดเป็นเกลียวแล้ว” เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เหล่าศิษย์ทยอยมารับประทานอาหารที่ห้องโถงเลิศรส อาคารกว้างสำหรับรับประทานอาหารของศิษย์เทียนถูหวู่ มีอาหารขั้นพื้นฐานที่มีคุณค่าอาหารครบถ้วนไม่เสียค่าใช้จ่าย และอาหารที่ปรุงรังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเลิศที่ต้องจ่ายราคาเพิ่มตามความต้องการให้บริการศิษย์ได้เลือกเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นท
“ซึ่งปราณยุทธจะถูกปลุกให้ตื่นครั้งแรกตอนอายุหกขวบ ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุด เรียกว่า ปลุกวิถียุทธ โดยผู้คนส่วนใหญ่มักจะให้ลูกหลานปลุกพลังลมปราณในวัยนี้ และการเรียนรู้เหมาะสำหรับการเริ่มต้นฝึกปราณยุทธ เมื่อปราณยุทธถูกปลุก แต่คนก็จะมีพลังลมปราณเริ่มต้นไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับธรรมชาติที่เลี้ยงดูเติบโตและพรสวรรค์ที่ฟ้าดินบรรดาให้มา”“ประเภทของปราณยุทธแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ อยู่สามประเภทใหญ่ คือ ปราณยุทธสัตว์ ปราณยุทธที่สามารถแสดงทักษะของสัตว์นั้น ๆ ปราณยุทธอาวุธเป็นปราณยุทธสามารถใช้อาวุธนั้น สามารถพัฒนา ดัดแปลงตามที่อาวุธชนิดนั้นจะทำได้ ปราณยุทธร่างกายจะเป็นปราณที่แสดงความสามารถของร่างกายส่วนด้านเป็นพิเศษออกมา”“และระดับลมปราณ แต่ละระดับมีสิบระดับ สิบขั้น ตั้งแต่ขั้นสูงที่สุดที่เป็นลมปราณของเหล่าเทพเซียนจนถึงมนุษย์เดินดิน คือเซียนยุทธ มหาปราชญ์ยุทธ จักรพรรดิยุทธ ราชันยุทธ จ้าวยุทธ อัคราจารย์ยุทธ ปรมาจารย์ยุทธ อาจารย์ยุทธ ผู้เชี่ยวชาญยุทธ หลอมกายา ก่อตั้งรากฐานยุทธ และระดับก่อกำเนิดการเรียกตนว่าผู้ฝึกตนต้องมีลมปราณอย่างน้อยระ
เสียงร้องตะโกนของเยี่ยหยางดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาคนทั้งกลุ่มสะดุ้งเฮือกหันหรี่มองไปรอบ ๆ เขากลัวอาจารย์ไม่รับรู้สถานการณ์ให้คล้อยตาม เจ้าตัวจึงร่ายคาถาสาดน้ำใส่หน้าคนเป็นอาจารย์ไปโครมใหญ่และร่ายมนตร์ให้ตัวแห้งในพริบตาไม่เหลือหลักฐานเอาความผิดใด ๆ“ไหน ๆ ที่ไหนไฟไหม้” อาจารย์ผู้อยู่ในห้วงนิทราสะดุ้งตื่นหาเพลิงที่ไร้ควัน“ท่านคืออาจารย์หวังหลี่ฉินใช่หรือไม่ พวกข้าเป็นศิษย์ใหม่ที่จะมาเรียนวิชาปราณยุทธขั้นพื้นฐานขอรับ” เยี่ยหยางตีหน้าซื่อเหมือนเหตุการณ์ที่ตัวเองตะโกนแหกปากดังลั่นไม่เคยเกิดขึ้น“อะแฮ่ม...ใช่ ข้าหวังหลี่ฉิน อาจารย์สอนวิชาปราณยุทธขั้นพื้นฐาน” ผู้เป็นอาจารย์กระแอมกระไอปรับบุคลิกให้ดูเป็นอาจารย์ที่น่าเชื่อถือ“พวกเจ้าเป็นศิษย์เพิ่งเข้ามาใหม่สินะ ไหนมีกี่คนกัน ข้าไม่มีลูกศิษย์ให้สอนหลายสิบปีแล้ว พวกเจ้าเป็นศิษย์รุ่นแรกในรอบหลายสิบปีเชียว”“ท่านอาจารย์จะสอนไหวมั้ยเนี่ย” อวี้หย่าอวิ๋นหวาดหวั่นกับประสบการณ์สอนของอาจารย์ผู้นี้“พวกเจ้าคิดไงกันถึงมาเรียนกับข้า ศิษย์ส่ว
จ้าวถิงเซียวสอนการสังเกตดู การดมกลิ่น การชิมรสชาติที่แตกต่าง ลักษณะของสมุนไพรประเภทต่างที่เป็นพื้นฐานในการเลือกวัตถุดิบปรุงโอสถ ทั้งสี กลิ่น อายุ และคุณภาพจากตัวอย่างสมุนไพรที่เขานำมาให้ดูในวันนี้เขายังไม่สอนการปรุงโอสถใด ๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่ศิษย์จะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเพียงพอ รวมทั้งความสามารถในการควบคุมไฟในการหลอมโอสถที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการปรุงโอสถยิ่งกว่าสมุนไพร เพราะต่อให้สมุนไพรดีแค่ไหน ถ้าควบคุมไฟในการสกัดหลอมไม่เป็น พวกมันก็กลายเป็นได้แค่ขี้เถ้ากองขยะกองหนึ่งศิษย์ทุกคนต่างไม่กล้าจะไม่สนใจ อีกทั้งสุดจะเกรงใจไม่กล้าขัดที่จะถาม แม้ว่าจะไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชาบ้างก็ตามด้วยความหวาดหวั่น นั่งฟังหัวผงก ๆ เรียนอย่างจริงจังตั้งใจอย่างยิ่งยวดเนื่องจากมีตัวอย่างเชือดไก่ให้ลิงดูในปีที่แล้ว ๆ มาเป็นตัวอย่างนับร้อย ๆ ตัวอย่างเช่นมีศิษย์ผู้หนึ่งที่มั่นใจในพรสวรรค์ของตัวเอง และคิดว่าตระกูลตนเองใหญ่มีชื่อเสียงเป็นปรมาจารย์ในเรื่องของโอสถตั้งแต่บรรพบุรุษอยู่ในยุทธภพเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผู้คนต่างยำเกรงอยู่หลายส่วนทำให้ศิษย์ผู้นั้น
ตารางเรียนถูกจัดขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ต้องเข้าเรียนสี่วันทั้งเช้าบ่ายเย็น มีสอนตั้งแต่วิชาลมปราณขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นเซียน วิชาบังคับขี่กระบี่ วิชาปรุงโอสถ วิชาอสูรลมปราณ วิชาหมัดหมวย วิชาฝึกกระบี่ วิชาสรรพาวุธ วิชาการเมืองการปกครอง วิชาประวัติศาสตร์บรรพกาล วิชาปรัชญาสวรรค์ วิชาจรรยาบรรณผู้ฝึกตนและอีกมากมาย ซึ่งวิชาเหล่านี้จะถูกคัดเลือกให้เหมาะสมกับระดับความรู้ความสามารถของศิษย์ที่ศึกษา เยี่ยหยางมองดูวิชาที่ตัวเองต้องเรียนวิชาปราณยุทธพื้นฐาน...คราวนี้ยากที่จะเอาตัวรอด ไม่มีปราณให้เบ่งออกมาสักนิดวิชาปรุงโอสถต้องอาศัยลมปราณเหมือนกัน...หวังว่าความรู้ระดับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงของศาสตร์ปรุงยาจะช่วยได้ล่ะมั้ง?วิชาฝึกบังคับกระบี่...ใช้คาถาแปลงร่างเปลี่ยนรูปไม้กวาดเป็นกระบี่ ต่างแค่หน้าตาแต่ก็ยังเป็นไม้กวาดน่าจะใช้ได้ แค่ต้องยืนบนไม้กวาดแทน ไม่น่ายากวิชาอสูรลมปราณ...ดูแล้วน่าจะเป็นวิชาฝึกสัตว์ประหลาด อย่างนี้ฉงฉงก็เข้าข่าย หน้าตาอัปลักษณ์อยู่ไม่น้อย น่าใช้แทนกันได้วิชาปรัชญาสวรรค์...ปรัชญาชีวิตยังไม่ค่อยมี ยังต้องศึกษาของสวรรค์ที่ไหนก็ไม่รู้