ชีวิตของเขาถูกพันธนาการไว้กับความเป็นทาส วันใดหนอจะมีแสงสว่างช่วยให้เขาหลุดพ้นจากวังวน จบสิ้นวาสนากับคนผู้นั้นเสียที
View MoreTrigger warning : เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื้อเรื่องระหว่างทางมืดมน ดราม่า เตรียมผ้าซับน้ำตาด้วยนะคะ พระเอกธงแดงค่อนไปทางดำ ตัวร้ายที่จับฉลากได้บทพระเอก TW18+ ทั้งเรื่องนะคะ
มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทารุณกรรมเด็ก การใช้อำนาจเหนือกว่าบังคับให้คนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ การตาย ภาวะซึมเศร้า ความรุนแรง การสังหารหมู่ การทำร้ายร่างกายและจิตใจ การฆ่าตัวตาย การทรมาน ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สายลมเย็นพัดใบไม้สีเหลืองปลิวไปตามทางเดินที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางมีเพียงกิ่งก้านต้นไม้สีดำไร้ใบขนาบข้าง บรรยากาศรอบข้างไร้เสียงผู้คน แต่กลับมีเสียงโซ่ตรวนกระทบกันเป็นช่วง ๆ คนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังตอนใต้ของแคว้นซีเป่ย
หลินซินอี๋ หญิงสาวอายุสิบแปดปีต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมายังแคว้นห่างไกล สายตาของนางเลื่อนลอยไร้จุดหมาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดนึกย้อนไปถึงวันคืนอันสงบสุขกับครอบครัว บัดนี้ไม่มีอีกแล้ว นางเป็นคนเดียวที่รอดจากสงครามระหว่างแคว้น
ยามนี้ โชคชะตากลับซ้ำเติม ผู้แพ้สงครามย่อมต้องตกเป็นเชลย ชาวบ้านหนีตายกันจ้าละหวั่น และนางก็ไม่พ้นถูกพวกค้าทาสจับมา หลินซินอี๋เดินลากโซ่ตรวนอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายมีรอยฟกช้ำเพราะโดนคนพวกนั้นทุบตี นางพยายามหนีครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่า ไม่ว่าจะไปทางใดกลับไม่มีแสงสว่างส่องทางให้นาง
ลึก ๆ แล้ว ในใจยังคงมีความหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้านี้ ยังคงมีที่แห่งหนึ่งรอคอยนางอยู่ ไม่ต้องมากมายเช่นเดิม กินอิ่ม นอนหลับ และอิสระจากโซ่ล่ามข้อเท้าก็เพียงพอ
ตระกูลหลิน เดิมทีเป็นขุนนางชั้นกลาง ชีวิตของพวกเขาอยู่อย่างเรียบง่ายและสุขสบายมาโดยตลอด จู่ ๆ สงครามระหว่างแคว้นเริ่มต้นขึ้น พี่ชายทั้งสองของนางจำต้องเข้าร่วมกองทัพเพื่อปกป้องบ้านเมือง ผ่านไปสองสามปี สงครามกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากจะไม่ได้ข่าวคราวของพี่ชายทั้งสอง น้องชายคนเล็กและผู้เป็นพ่อยังต้องเข้าร่วมกองทัพเป็นกำลังสำรองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวลานั้น นางต้องคอยปลอบประโลมผู้เป็นมารดาและน้องสาวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของนาง สงครามพรากจากผู้คนที่รัก ก่อเกิดความหิวโหยและอดอยาก เสบียงอาหารร่อยหรอ มิหนำซ้ำ แผ่นดินยังแห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ทำให้เก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้มาหลายเดือน
สงครามยืดเยื้อต่อมาได้อีกสองปี นางจึงได้ข่าวว่าทุกคนในครอบครัวที่เข้าร่วมสงครามไม่มีวันกลับมาอีกต่อไปแล้ว ตอนนั้น นางใจสลายทรุดเข่าลงกับพื้น มือทั้งสองข้างปิดหน้าร้องไห้โฮ บิดาสอนให้นางมีความหวังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะน้อยนิดสักเพียงใด ขอแค่มีความหวัง นางทำตามคำบอกนั้นเป็นอย่างดี แต่ผลที่ได้รับกลับตรงกันข้าม คนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว
กระนั้น วันที่รู้ข่าวร้ายเรื่องที่หนึ่งแล้ว ข่าวร้ายเรื่องที่สองก็ตามมาอย่างกระชั้นชิด กองทัพจากต่างแคว้นบุกเข้าเมือง หลินซินอี๋ไม่รอช้า รีบจัดแจงข้าวของจำเป็นพกติดตัวแล้วพามารดากับน้องสาวหนีไปทางฝั่งตรงข้าม แต่ความชุลมุนวุ่นวายในยามนั้น ทำให้ทุกคนต้องพลัดหลงกัน
หลินซินอี๋ตามหามารดาและน้องสาวอยู่นานหลายเดือน ร่างกายซูบผอมไปมากนักเพราะกินอยู่อย่างอดอยาก ผิวหนังที่เคยมีเนื้อมีนวลผ่ายผอม แห้งกร้าน มอมแมม แต่นั่นก็ทำให้นางรอดพ้นจากพวกค้าทาสมาได้ ในที่สุด นางก็ได้ข่าวคราวของทั้งสองคนจากเพื่อนบ้านที่เคยช่วยเหลือกัน ในใจนั้นกระโดดโลดเต้นที่จะได้พบครอบครัวอีกครั้ง
สองขาของนางก้าวตรงไปยังที่แห่งนั้น แม้จะไม่ได้กินอะไรมาหลายมื้อ แต่ยังคงออกวิ่งด้วยความมุ่งมั่น ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่แล้วความหวังของนางกลับพังทลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อได้เห็นว่าที่แห่งนั้นมีเพียงหลุมศพและป้ายวิญญาณสลักชื่อของมารดา
นางโอบกอดหลุมของมารดา มือข้างซ้ายลูบดินที่ฝังร่างไว้ไปมา น้ำตารินไหลไม่อาจกั้น ที่พึ่งพิงสุดท้ายไม่เหลือแล้ว นางทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ หลับตาลง ไม่อยากรับรู้อะไร
“ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ ปล่อย” เสียงแหลมเล็กที่คุ้นเคยดังแว่วมาแต่ไกล หลินซินอี๋ลืมตาแล้วหันไปทางต้นเสียงนั้น
เด็กสาวตัวเล็กพยายามสะบัดตัวหนีจากเงื้อมมือของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง เขาจับข้อมือของนางแล้วดึงตัวนางขึ้นอย่างง่ายดาย เด็กสาวผู้นั้นสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด แรงบีบมือมหาศาลแทบจะบดกระดูกของนางให้แตกละเอียด
หลินซินอี๋ยันตัวลุกขึ้น สาวเท้าวิ่งไปเร็วจี๋เพื่อจะดูให้ใกล้ ๆ ว่านางใช่คนที่กำลังตามหาหรือไม่ เมื่อได้เห็นผ้าผูกผมที่นางเคยทักทอให้น้องสาว หลินซินอี๋หัวใจเต้นแรง รีบวิ่งเข้าไปหาคนทั้งคู่
“ท่านพี่!” เสียงอันคุ้นเคยเรียกนาง
ชายฉกรรจ์ผู้นี้กลับยิ้มมีเลศนัย พลันต้องหุบยิ้มลงทันที เมื่อนางกระโดดดึงแขนที่จับข้อมือของเด็กสาวลงมา เขาใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่บีบลำคอเรียวแล้วโยนไปข้าง ๆ อย่างเลือดเย็น
“ท่านพี่!” น้องสาวของหลินซินอี๋ตะโกนสุดเสียง พยายามดิ้นให้หลุดเพื่อไปหาพี่สาวของนาง เท้าสองข้างที่ลอยเหนือพื้นเตะเข้าที่ชายโครงของชายฉกรรจ์ ทว่า ไร้ผลใด ๆ
“ปล่อยน้องสาวข้า” นางตะโกนก้อง พร้อมจ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว คิดในใจว่าจะต้องปกป้องคนในครอบครัวที่เหลืออยู่คนสุดท้ายให้ได้
แต่ชายผู้นี้อารมณ์ด้านชา ไม่หวั่นไหวต่อคำร้องขอจากผู้อ่อนแอ เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มองดูร่างกายของนางอย่างพินิจพิจารณา แม้จะซูบเซียวไปบ้าง แต่ก็ยังคงขายได้ราคาดีอยู่ เขาไม่รอช้าเดินมาฉุดหลินซินอี๋ให้ลุกขึ้น แล้วดึงกระชากสองพี่น้องมาตลอดทาง
เมื่อมาถึงที่พักของพวกค้าทาส ทั้งสองจึงได้นั่งพูดคุยกันอย่างสงบอีกครั้ง
“หรงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลินซินอี๋ถามนาง พลางตรวจดูร่างกาย เห็นข้อมือและลำตัวมีร่องรอยถูกทำร้ายก็คับแค้นใจคนพวกนั้นยิ่งนัก
“ข้าคิดถึงท่านพี่ ท่านแม่” นางกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล สายตาบ่งบอกทุกอย่างในใจ
หลินซินอี๋เล่าเรื่องราวของมารดาให้นางฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะเกรงจะกระทบกระเทือนจิตใจ คอยเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นอย่างแผ่วเบาและกอดปลอบอยู่ทั้งคืน
รุ่งเช้าวันใหม่
สองพี่น้องถูกขายให้กับจวนเศรษฐี นับแต่นั้นมาจึงทำงานทุกอย่างภายในจวนด้วยความอุตสาหะ เก็บอัฐทีละเล็กทีละน้อยเอาไว้ไถ่ถอนตัวเองในวันข้างหน้า ชีวิตราวกับจะค่อย ๆ กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง
ไฉนเลย เคราะห์โศกไม่ยอมรามือ โรคร้ายที่มาในคืนหิมะตกหนักคร่าชีวิตผู้คนที่อยู่ละแวกนั้นไปไม่น้อย รวมถึงน้องสาวของนางด้วยเช่นกัน หลินซินอี๋ ค่อย ๆ นำร่างของคนสุดท้ายในครอบครัว ขึ้นรถเข็นไม้ ไสไปยังสุสานท้ายเมือง ระยะทางไม่น้อย หยิบจอบมาสับลงดินแข็ง ๆ ทีละน้อย พลางปาดน้ำตาที่ไหลเอ่อ
จากนั้น ค่อย ๆ นำดินฝังกลบร่างให้น้องสาวทีละส่วน เหลือบมองใบหน้าที่เคยสดใสและยิ้มให้นางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากลากันตลอดไป
หลินซินอี๋ เดินโซซัดโซเซไปตามทาง คิดในใจว่าไม่เหลืออีกแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว มีแค่ลมหายใจของนางเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แสงสว่างที่บิดาของนางเคยพูดถึง มีอยู่จริงหรือไม่ ทำไมถึงปล่อยให้ชีวิตของนางมืดมนได้เพียงนี้
ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อ นางกลับรู้สึกได้ถึงความเหี้ยมโหดอยู่เบื้องหลัง พวกพ่อค้าทาสเดินดุ่มเข้ามาหานาง ในเมื่อไม่มีนายคอยปกป้องคุ้มครอง นางจึงกลายเป็นพวกเร่ร่อนทั่วไป พวกเขาจึงคิดจะจับนางไปขายอีกครา หาเงินทองไว้ดื่มสุราเคล้านารีปรนเปรอความสุขของตนเองในวันข้างหน้า
“อีกนานหรือไม่ จะถึงแคว้นซีเป่ย” เสียงของเด็กชายคนหนึ่งถามขึ้น
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เคยไป” หญิงสาวผู้หนึ่งตอบกลับ
การเดินทางไปยังแคว้นซีเป่ยกินเวลาหลายเดือน ต่างคนต่างอยากรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะทำให้ชีวิตของตนเองดีขึ้นได้หรือไม่ ข่าวลือแพร่สะพัดว่าแคว้นซีเป่ยนั้น แม้จะผ่านสงครามครั้งใหญ่แต่บ้านเมืองกลับเจริญรุ่งเรืองและต้อนรับผู้คนจากทุกหนแห่ง แม้จะเป็นทาสก็คงไม่ยากลำบากเช่นเดิม
หนึ่งเดียวที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอันใดแล้ว ปล่อยความคิดของตนเองล่องลอยไปกับสายลม ใจไม่โหยหา ทั้งด้านชาเสียเต็มประดา
สายลมเอื่อยพัดยอดดอกหญ้าสีขาวพลิ้วไหวลู่เอนไปทางซ้าย ดวงตาของเสี่ยวหยุนจ้องมองภาพของใครบางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ยามได้เห็นคนในใจมักจะยิ้มแย้มโดยไม่รู้ตัวหากแต่ครานี้กลับชะงักงันเพราะใบหน้าที่คุ้นเคยเหมือนเยาว์วัยลงไปหลายปี ทั้งสีหน้า แววตาที่เศร้าสร้อยทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน เสี่ยวหยุนอยากเอื้อมมือเช็ดน้ำตาเปื้อนแก้มอีกฝ่ายใจจะขาดแต่ทำไม่ได้ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้แตะต้องร่างเปราะบางที่พร้อมจะแตกสลายในทุกเมื่อ“อย่าร้องเลย” เขาเอ่ยแผ่วเบาพร้อมทำทุกอย่างเพียงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมีน้ำตา “เป็นข้าหรือที่ทำผิดต่อท่าน”คนตรงหน้าไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาที่มองมาทางเขาว่างเปล่าจนเจ็บแปลบในใจ เสี่ยวหยุนไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝัน เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “เสี่ยวหยุน”“…” เขามั่นใจว่าเสียงนั้นคือเสียงของคนที่เขากำลังมองอยู่ข้างหน้า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกเขาดูสดใส ร่าเริงและเต็มไปด้วยความสุขต่างจากภาพใบหน้าที่เขาเห็นเวลานี้“เสี่ยวหยุน”ชายหนุ่มคิดในใจรู้ตัวแล้วว่าเขาเพียงแค่หลับฝัน หากลืมตาตื่นแล้ว
“ความผิดร้ายแรงมีมากนัก ส่งเขาไปรับโทษในนรกขุมที่สาม” เสียงดุดันทรงอำนาจกล่าวพิพากษา หางตาของหวังเยี่ยนหลงเหลือบเห็นร่างวิญญาณคุ้นเคยกำลังดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจึงโพล่งขึ้นมา “เหตุใดเจ้านั่นถึงได้ไปเกิดก่อนข้าเล่า” เขาสงสัยคำตัดสิน “มิใช่ว่าข้าเพิ่งบอกเจ้าหรือว่าความผิดเจ้ามีอันใดบ้าง” เสียงลึกลับโต้ตอบกลับมา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดวิญญาณตัวเล็กกระจิดริดถึงได้ต่อปากต่อคำกับเขาเก่งนัก หวังเยี่ย
สิบเอ็ดปีต่อมา สายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อย ๆ ท้องฟ้าอากาศแจ่มใส ไร้ก้อนเมฆ เหลียนเฟินกำลังนั่งถือเบ็ดตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ สายตาเหม่อมองไปอีกฝั่งที่อยู่แสนไกลนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา หลังจากจัดการกับหวังเยี่ยนหลงแล้ว เขาไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีกเลย เหลียนเฟินเดินทางกลับไปที่วังธาราเหมันต์เพื่อรับโทษและขอออกจากสำนัก นับตั้งแต่นั้นมาจึงใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรอยู่เพียงลำพัง ตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง 
หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ หวังเยี่ยนหลงโผล่มาให้เหลียนเฟินเห็นหน้าแต่เช้าตรู่ สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งยังแววตาสดใสผิดกับก่อนหน้านี้นัก วันนี้เขายกถาดสำรับอาหารเช้ามาให้ด้วยตัวเองพร้อมยาอีกหลายขนาน “เช้านี้ ข้าขอกินข้าวพร้อมเจ้าได้หรือไม่” เสียงของคนตรงหน้าเอ่ยถาม “ไม่” เหลียนเฟินปฏิเสธโดยที่ไม่ต้องคิด
เช้าวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง รอยื่นถ้วยยาให้เหลียนเฟินดื่มตามเวลา ร่างบางไม่อาจปฏิเสธได้เพราะโอสถนี้หวังซีซวนตั้งใจทำมาให้จึงดื่มแต่โดยดี จากนั้นจึงยกสำรับอาหารเช้ามาวางไว้ที่ข้างหัวเตียง ตั้งใจจะป้อนทีละคำ แต่เหลียนเฟินไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้า สายตาเย็นชาเฉไฉมองไปทางอื่น จนเจ้าตัวรู้สึกเจ็บแปลบในใจ “กินข้าวบ้างเถิด ข้าจะออกไปรอข้างนอก” เขาตัดใจยอมหลบหน้าชั่วคราวจนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาดู เห็นถ้วยชามอาหารยังอยู่ที่เดิมจึงสั่งให้ยกสำรับใหม่เข้ามาแทน&n
ก่อนหน้านั้น เหอชิงหยางพูดคุยกับจ้งซูหนี่ว์เรื่องพันธะระหว่างเหลียนเฟินกับหวังเยี่ยนหลง นางใช้วิชาควบคุมวิญญาณตรวจสอบดูแล้วไม่คิดว่าจะมีทางใดที่จะปลดมันได้ “เช่นนั้นควรทำอย่างไร” เขาถามจ้งซูหนี่ว์ สีหน้ากังวลใจ หากเหลียนเฟินจะต้องติดอยู่ในพันธะนี้ตลอดไป “ในเมื่อหวังเยี่ยนหลงเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ก็คงจะมีเพียงแค่ตัวเขาที่รู้วิธี” “มีทางใดหรือไม่ที่ข้าจะควบคุมเขาได้” เหอชิงหยางรู้ว่าตัวเองมีวิชาพรรคบุ
Comments