เนม ชื่อจริงของเขาคือ วรวิทย์ วรโชติวาทิน อายุ 25 นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง และมีเสน่ห์เหลือร้าย รับตำแหน่งต่อจากพ่อแม่ที่เสียไปเมื่อตอนอายุ 17 ปี จากเหตุการณ์เสียพ่อแม่ไปในครั้งนั้น ทำให้เขาได้พบเด็กชายที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีที่พักพิงใจ นาย ชื่อจริงของเขาคือ เจ้านาย พัชรวิทิต อายุ 18 เด็กชายบ้านๆ คนหนึ่ง ฐานะกลางๆ ไม่จนแต่ก็ไม่ได้รวย การตายของแม่ทำให้เขารู้อะไรหลายอย่าง ที่พ่อและแม่ไม่เคยบอก ความลับที่ถูกปิดบังไว้ ในช่วงเวลายากลำบาก ก็ได้เจ้านายหนุ่มผู้ใจดีเข้ามาช่วยเหลืออยู่เสมอ "อ่า ทั้งนาย ทั้งฉัน เราต่างเหมือนกันเลยนะ"
ดูเพิ่มเติมเคยไหมครับ หลังจากผ่านเรื่องราวร้ายๆ มา ทำให้เราอยากนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง ไม่อยากขยับไปทางไหน
เคยไหมครับ เอาแต่คิดซ้ำๆ ว่าทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมผมถึงทำอะไรไม่ได้เลย
ครับ ตอนนี้ผมเป็นแบบนั้นอยู่ เรื่องอะไรน่ะหรอครับ คงต้องย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่ผมเจอ เขา เป็นครั้งแรก...
“นาย ทำไรอะ” เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง อายุราวๆ 10 ขวบ ดวงตากลมโต ผมสีน้ำตาลอ่อน จมูกรั้นนิดๆ ริมฝีปากบางสีชมพูเล็กๆ นั้น ช่างดูน่ารักน่าชัง แต่ไม่ใช่สำหรับผมในตอนนี้
“ออกไป!!! อย่ามายุ่ง!!!” ผมตะโกนใส่หน้าของเด็กคนนั้น แต่เด็กนั่นไม่ได้รู้สึกเลยสักนิด ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวอยู่ในสายตานั้นเลย แต่กลับฉายแววของความสงสัยและเป็นกังวล
“เป็นไรอะ อารมณ์ไม่ดีหรอ ยิ้มหน่อยนะ” ผมไม่ได้ตอบอะไรกับเด็กคนนั้นไป ได้แต่จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ แต่เด็กคนนั้นไม่ได้หายไปไหนเลย ทำหน้าเหมือนพยายามนึกถึงเรื่องที่จะคุย และสุดท้ายเขาก็เอ่ยปากออกมา
“เราชื่อนายนะ แม่เราตั้งว่าเจ้านายละ อายุ 10 ขวบแล้ว นายละ ชื่ออะไรหรอ ทำไมทำหน้าเศร้าจัง?” เด็กคนนั้นแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ แต่คำถามของเขาทำให้ผมต้องก้มหน้าลง ทำไมน่ะหรอ ทำไมถึงทำหน้าเศร้า หึ เพราะตอนนี้ผมได้แต่นั่งอยู่หน้าป้ายหลุมศพ ที่มีรูปพ่อและแม่ของผมอยู่บนป้ายนั้น ส่วนสาเหตุนั้น ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ ถึงผมจะยังเด็ก ยังอายุน้อย แต่เรื่องราวธุรกิจในครอบครัว ก็ทำให้ผมรับรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้รับรู้ว่าโลกนี้มันช่างชั่วร้ายและไม่น่าอยู่เอาเสียเลย แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก สักวัน ผมจะหาพวกมันให้เจอ จะจัดการมันอย่างสาสม ให้สมกับที่มันทำกับผม ทำกับครอบครัวของผม
“อย่าร้องไห้เลยนะ ไม่เป็นไรหรอก” มือเล็กๆ นั้นเอื้อมมาปาดน้ำตาที่ไหลรินรดแก้มของผม ผมหลับตา ยอมรับสัมผัสอ่อนโยนที่เด็กผู้ชายคนนั้นมอบให้ เมื่อลืมตาขึ้น ผมมองพิจารณาเด็กชายตรงหน้าอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น ทำให้ผมมองเห็น ว่านอกจากหน้าตาของเด็กชายที่ดูน่ารักคนนี้แล้ว การแต่งตัวของเขาบ่งบอกถึงสถานะได้ดี เสื้อตัวเก่า มีรอยขาดที่รอบคอและรอบแขน กางเกงที่ใส่เป็นกางเกงบอลของเด็กๆ แต่สภาพก็ไม่ได้ต่างไปจากเสื้อเท่าไหร่นัก ผิดจากผมที่ใส่สูทผูกไท แต่งตัวเรียบเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ทั้งชุดที่ผมใส่ล้วนเป็นสีดำ และมันดูไม่เข้ากันเท่าไหร่นักเมื่อผมนั่งอยู่บนพื้นหญ้า
“นายอยู่แถวนี้หรอ” ผมเอ่ยถามนายไปอย่างไม่รู้จะคุยอะไร อีกอย่างผมก็ไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครเท่าไหร่
“เปล่าหรอก วันนี้แม่พามาหาพ่อด้วยน่ะ นั่นไง” เมื่อผมมองตามนิ้วมือเล็กๆ นั้นไป ก็เห็นป้ายหลุมศพที่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก
“อืม” ผมตอบกลับไปแค่นั้นและไม่ได้พูดอะไรอีก นายมองหน้าผมนิ่ง และเริ่มพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกนะ แม่บอกนายว่า พ่อนายไม่ได้หายไปไหน แค่ยืนมองอยู่บนฟ้า ถ้านายเป็นเด็กดี สักวันหนึ่งนายจะได้ไปหาพ่อละ เพราะงั้น อย่าร้องไห้เลยนะ” นายพูดพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ผม ที่มันยังคงไหลอยู่เรื่อยๆ อย่างนั้นโดยไม่มีเสียงบ่นใดๆ ออกมา ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่นั่งเฉยๆ ไปอย่างนั้น และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอเขา
ผม เนม ครับ ชื่อจริงของผมคือ วรวิทย์ วรโชติวาทิน ที่บ้านผมทำธุรกิจหลายอย่างครับ ทั้งโรงแรม รีสอร์ต ธุรกิจด้านยานยนต์ และ อาหาร ซึ่งมีผมเป็นผู้บริหารจัดการทั้งหมด เนื่องจากพ่อและแม่ของผมเสียไปเมื่อผมอายุ 17 ปี ทำให้ผมต้องเข้ามารับหน้าที่และกิจการของพวกท่านแทน ตั้งแต่ตอนนั้นมา ก็ผ่านมา 8 ปี แล้วครับ ตอนนี้ผมอายุ 25 ถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ไฟแรง และมีเสน่ห์เหลือเฟือ แต่นั่นก็เป็นแค่บทสัมภาษณ์จากนิตยสารต่างๆ ที่เคยเข้ามาทำการสัมภาษณ์ผมเท่านั้นล่ะ จากการที่ผมต้องเข้ามารับตำแหน่งหน้าที่นี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ผมรับรู้อะไรๆ หลายอย่าง ว่าโลกนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างคิด ไม่ได้มีคนดีไปเสียหมดทุกคน ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงตามหาสาเหตุที่แท้จริงถึงการตายของพ่อแม่ผมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังไม่ได้อะไรคืบหน้าสักเท่าไหร่ก็ตาม
“อ้าว ยังไม่กลับอีกหรอเนม”
“ยังครับ ผมขอตรวจสอบรายการอีกนิดหน่อย ใกล้เสร็จแล้วละครับ” ผมตอบกลับลุงชาญ หรือก็คือคุณชาญชัย วรโชติวาทิน เป็นพี่ชายของพ่อผมเองครับ เมื่อผมยังเด็กและต้องเข้ามารับตำแหน่งนี้ ผมก็ได้ลุงชาญนี่แหละครับ ที่เข้ามาช่วยเหลือและสอนงานต่างๆ ให้
“อ้อหรอ อย่ากลับดึกมากนักละ งั้นลุงกลับก่อนนะ โชคดีๆ” ลุงชาญพูดและหยิบกระเป๋าเอกสารออกไป เพื่อกลับบ้านไปพักผ่อน ผมทำงานต่ออีกนิดหน่อยก็เก็บของเตรียมกลับบ้านเช่นกันครับ ผมเดินเอื่อยๆ มาจนถึงลานจอดรถ ซึ่งมีรถสปอร์ต คันหรูของผมจอดอยู่เพียงคันเดียว ผมปลอดล็อกรถและเข้าไปนั่งประจำที่คนขันก่อนจะเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว ผมขับรถมาเรื่อยๆ จนพ้นออกจากตัวเมือง มาแถบชานเมือง บ้านของผมตั้งอยู่เขตชานเมืองครับ แม้จะต้องใช้เวลาสามชั่วโมงกว่า ในการไปและกลับ แต่ผมก็เลือกที่จะอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปพักตามคอนโดในเมืองกรุงแต่อย่างใด
“เฮ้ย!!!”
เอี้ยดดดดดดดดดดดดดดดดด ตึง!!
ผมร้องอย่างตกใจ เนื่องจากมีคนวิ่งตัดหน้ารถของผม ทำให้ผมเหยียบเบรกกะทันหัน จนล้อรถขูดไปกับพื้นถนน และหมุนวนอย่างไรทิศทาง ชนกับขอบกั้นถนนจนเกิดเสียงดังสนั่น บ้าเอ้ย!!!! ผมนั่งหอบหายใจอย่างรุนแรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อผมสงบสติอารมณ์ลงได้ ก็เปิดประตูรถลงมาอย่างหัวเสีย รีบเดินไปดูคนที่สลบอยู่ตรงมุมที่ผมหักหลบเขาอย่างรวดเร็ว
“คุณ! คุณ! นี่คุณ! ฟื้นสิ” ผมเริ่มทำการสำรวจตามร่างกายของเขา เพื่อหาร่องรอยบาดแผลตามตัว แต่ไม่พบแผลจากตรงไหนในร่างกายของคนตรงหน้านี้เลย ทำให้ผมโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่มีท่าทีที่จะฟื้นขึ้นมา ทำให้ผมเริ่มกังวล และอุ้มเขาขึ้นรถ ตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาล ก็แจ้งเจ้าหน้าที่พยาบาลอย่างรวดเร็ว ถึงสาเหตุ และอาการเบื้องต้นที่ผมเจอ และส่งตัวเขาให้กับพยาบาลต่อทันที
“คุณคะ อันนี้เป็นของใช้ส่วนตัวของคนไข้ค่ะ”
“อ่อ ครับ” ผมรับของเหล่านั้นมาจากนางพยาบาล และเริ่มสำรวจดู อืมมม ไม่ได้มีของอะไรมากมายเท่าไหร่นัก มีเพียงกระเป๋าสตางค์และนาฬิกาหนึ่งเรือนเท่านั้น ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ของเขามาดู พบว่ามีเงินอยู่ไม่กี่ร้อยบาท และหยิบบัตรประชาชนของเขาขึ้นมาตรวจสอบ ชื่อของเขาคือ เจ้านาย พัชรวิทิต ผมเก็บข้าวของ ของเขาตามเดิม ผมได้จัดการเรื่องต่างๆ ของคนไข้ที่หมดสตินั้น และจัดให้เขาอยู่ห้องพัก VIP เมื่อผมมั่นใจว่าจัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้วจึงเดินทางกลับบ้าน ระหว่างนั้นผมต่อสายหาลุงชาญไปพลางๆ
“ฮัลโหล ว่าไงเนม โทรมาซะดึกเชียว มีอะไรด่วนรึ”
“ขอโทษครับลุงชาญ ผมจะโทรมาแจ้งว่าพรุ่งนี้ผมไม่เข้าบริษัทนะครับ ผมฝากลุงเข้าประชุมแทนผมด้วยนะครับ”
“อ้อๆ ได้สิ มีไปธุระด่วนที่ไหนรึ” ลุงชาญถามผมอย่างทุกทีที่ผมมีงานด่วนต้องไปต่างประเทศบ่อยๆ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่
“ผมไม่ได้ไปไหนหรอกครับ พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย มีคนบาดเจ็บด้วยผมเลยจะมาดูอาการของเขาวันพรุ่งนี้น่ะครับ”
“ห๊ะ!!! เกิดอะไรขึ้นเนม เป็นอะไรมากไหม เจ็บตรงไหนบ้าง ให้ลุงไปหาไหม” ลุงชาญยิงคำถามมารัวๆ ด้วยน้ำเสียงที่ตกใจเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นอะไรครับลุงชาญ ผมชนขอบถนนไป พอดีผมไม่ได้ขับแรงเท่าไหร่ ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”
“อ่าๆ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ว่าแต่ตรวจแน่ใจแล้วใช่ไหม ไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ”
“ครับลุงชาญ ไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”
“โอเคๆ งั้นรีบกลับไปพักผ่อนนะ มีสติให้มาก ขับรถอย่าประมาทละ”
“ครับ สวัสดีครับ” ผมวางสายจากลุงชาญและมุ่งหน้าตรงกลับบ้านเพื่อพักผ่อนทันที
...NamePart“จะกลับเลยไหม” ผมเอ่ยถามคนตัวเล็กเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเจ้านายและกลุ่มเพื่อนๆ สายตาผมลอบสังเกตเพื่อนของเจ้านายแต่ละคน อืมม ส่วนใหญ่ก็ท่าทางปกติ แต่ที่ไม่ปกติเห็นจะมีอยู่หนึ่งคน ผมจึงตวัดสายตาไปมอง“พี่เนมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เจ้านายเอ่ยถามพร้อมทำหน้าสงสัย เอียงคอหน่อยๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู“สักพักแล้วล่ะ กำลังจะกลับกันใช่ไหม”“ครับ” เจ้านายตอบรับผม ก่อนจะหันไปหาเพื่อนของตัวเอง ที่กระตุกแขนยิกๆ ซุบซิบกันเบาๆ ถ้าให้ผมเดาก็คงไม่พ้นเรื่องของผมหรอก ก็เมื่อกี้พวกนี้เล่นคุยกันเสียงดัง แถมนินทาระยะเผาขนขนาดนั้น ผ่านไปสักพักหนึ่งเจ้านายหันมาสบตาผมแล้วพยักหน้าให้“ปะ กลับกันเถอะครับ” เมื่อผมได้รับคำยืนยันก็หมุนตัวเดินตรงไปที่รถ จัดการปลดล็อกรถ แล้วเข้าไปนั่ง เจ้านายเปิดประตูฝั่งด้านข้างคนขับ ขึ้นมานั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเรียบร้อย ผมจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวออกช้าๆ และเร่งความเร็วมากขึ้นเมื่อถึงถนนโล่งแจ้ง ก็นะ อเวนทาดอร์ของผมมันดุเห
ตอนนี้ผมกับพี่เนม เรามานั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่งครับ โดยผมกับพี่เนมนั่งฝั่งเดียวกัน และฝั่งตรงข้าม มีหญิงสาวชรากับลูกชายของเธอนั่งอยู่ ซึ่งก็คือ คุณหญิงนภา เดชพิมุกต์ และคุณกันต์ เดชพิมุกต์ อดีตกรรมการผู้จัดการ และ กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันของบริษัท โอแกรนวิลล์ ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะว่า พี่เนมพาผมมาทานอาหารที่ร้านภายในห้างสรรพสินค้านี้ ตอนแรกที่เดินเข้ามาเหมือนพี่เนมจะเห็นแล้วล่ะครับ แต่เป็นผมที่ดึงดันให้เข้าร้าน เพราะไม่รู้ว่าจะเดินวนหาร้านอื่นไปอีกทำไม เมื่อเดินเข้ามาก็ถูกคุณหญิงนภาเรียกเอาไว้ แล้วชักชวนให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน โดยหยิบยกเรื่องที่ผมกับพี่เนมแอบชิ่งหนีออกจากงานเลี้ยงครั้งก่อนมากดดัน ทำให้ต้องร่วมโต๊ะกันอย่างช่วยไม่ได้“ขอโทษครับพี่เนม” ผมกระซิบบอกคนข้างกาย เพราะเข้าใจดีกว่าพี่เนมคงไม่อยากร่วมโต๊ะกับคู่แข่งสักเท่าไหร่“ไม่เป็นไร” พี่เนมกระซิบตอบกลับมาเบาๆ และหันกลับไปเมื่อฝั่งตรงข้ามหันมาพูดคุยกับพี่เนมเรื่องธุรกิจที่กำลังทำ และโปรเจ็คใหม่ที่มีแผนว่าจะขยายกิจการออกไป“แล้วนี่ คุณเจ้านายมาทำงานกับคุณวรวิทย์นานรึยังคะ?&
“อ๊ะ!!!” พี่เนมจับแขนผมแล้วดึงเอาไว้ขณะที่ผมหมุนตัวหันหลังเพื่อจะออกจากห้องไป ทำให้ตัวของผมเซไปทับพี่เนม แต่อะไรก็ไม่เท่ามือของผมที่จับกายแกร่งช่วงล่างของพี่เขาอยู่ ทำให้ผมตกใจดวงตาเบิกกว้างเงยหน้ามองพี่เนมอย่างตกใจ แล้วสิ่งที่ตามมาติดๆ เมื่อผมล้มลงคือริมฝีปากนุ่มยุ่นของพี่เนมที่แนบชิดกับริมฝีปากของผม ผมตกใจได้แต่ค้างท่านั้นจนในที่สุดพี่เนมก็ผละริมฝีปากออกห่าง“ระวังไว้ให้ดี ฉันจะรุกจีบนายแล้วนะ” พี่เนมกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของผม จนผมอดรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไม่ได้ พี่เนมค่อยๆ ถอยออกไปและปล่อยแขนของผม ขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มแพรวพราวมาให้“อะ อะ อ่อ” ผมถึงกับใบ้กินและไปต่อไม่ถูก ได้แต่ค้างท่าเดิมไว้อย่างนั้น“ถ้านายยังไม่เอามือออกไป ฉันจะจับนายกินแล้วนะ” เมื่อพี่เนมพูดขึ้น ทำให้ผมนึกขึ้นได้ รีบปล่อยสิ่งที่จับอยู่ในมือราวกับโดนของร้อน“ขะ ขะ ขอโทษครับ” ผมบอกพี่เนมแล้วรีบวิ่งกลับห้องตัวเองทันที“ฮึฮึ” ขณะที่ผมวิ่งออกมาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของพี่เนมดังไล่หลัง หน้าของผมเห่อร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ได้แต่มานั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองบนเตียงนอน โอ้ยยยยยยย ทำไมผมถึงรู้สึกดีกับสัมผัสของเขา ทำไม
ผมพาเจ้านายมาส่งถึงห้อง แล้วพาไปที่อ่างน้ำ จับเขานั่งอยู่ภายในอ่าง เปิดน้ำใส่อย่างแรง เมื่อน้ำได้ระดับผมก็จับเจ้านายกดไว้ เจ้านายดิ้นอยู่สักพักหนึ่ง มือเล็กพยายามลูบไล้ร่างกายผมไปทั่ว พร้อมเอาหน้ามาถูไถซุกอก ผมได้แต่กัดฟันกรอด เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จนเจ้านายนั่งนิ่งอย่างสงบ ดวงตาปิดพริ้มไปพร้อมหลับเต็มที เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีอาการดีขึ้นแล้ว ผมก็อุ้มเขาขึ้นมา จัดการถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทั้งหมดออก ซึ่งมันเกือบจะทำให้สติของผมแตกกระเจิง ยิ่งเห็นยอดอกสีชมพูอ่อน หน้าท้องที่มีกล้านิดๆ พอตัว ตัวสีขาวนวลออกสีแดงจางๆ เพราะฤทธิ์ไวน์ ผมพยายามหักห้ามใจ ไม่ให้ทำอะไรๆ มากไปกว่าที่ควรจะเป็น ผมจัดการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาใหม่ ระหว่างทำก็ก้มจูบคนตัวเล็กอยู่เรื่อยอย่างคนอดใจไม่อยู่ เมื่อผมจัดการเจ้านายจนเสร็จเรียบร้อย จัดให้เขานอนดีๆ บนที่นอน ห่มผ้าให้ถึงอก แล้วผมก็ผละไปจัดการตัวเองบ้าง“อืมมมมม อ่าาาาาาาา” ผมใช้แม่นางทั้ง 5 ของผม รูดรั้งแกนกายที่กำลังพองขยายตัวเต็มที่ อย่างรัวเร็ว พลางคิดถึงสัมผัสทางริมฝีปากที่ได้รับมา มันทั้งนุ่มและหอมหวาน ยิ่งอยากทำให้ลิ้มลองอีก คิดถึงสัมผัสที่ฝ่ามือของผม
วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ พี่เนมบอกว่าไม่ต้องปลุกและไม่ต้องคิดเมนูอาหาร ทำให้ผมนอนยาวได้อย่างสบายใจ แต่ก็ไม่มากหรอกครับ ผมตื่นมาในเวลา 7 โมงเช้าของวัน อาบน้ำแต่งตัว แล้วลงไปช่วยป้านุ่มทำกับข้าวแทน จนถึงเวลาอาหารเช้าก็ยังไม่เห็นพี่เนมออกมาจากห้อง ผมเลยเดินไปปลุกพี่เนมภายในห้องเพื่อให้มาทานอาหารเช้า แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับไม่พบใครอยู่ในนั้น แถมเตียงนอนก็ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย จึงออกเดินตามหาภายในบ้าน ผมเดินเข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ จนเริ่มจะปวดขาหน่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอพี่เนมสักที ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ มา จึงเดินตามเสียงเพลงนั้นไป จนสุดท้ายผมก็มาพบพี่เนมอยู่ที่ห้องออกกำลังกาย พี่เนมกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง หันหน้าไปทางสระน้ำ ใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงบอล รองเท้าผ้าใบ และผ้าผืนบางพาดอยู่ที่ต้นคอ ห้องนี้เปิดเพลงดังมากและมันมาก คิดว่าคงเพื่อปลุกใจในการออกกำลังกาย ผมส่งเสียงเรียกพี่เนมอยู่ สอง สาม ครั้ง แต่คนตรงหน้าดูท่าว่าไม่ได้ยินสักนิด ผมจึงเดินไปที่เครื่องเล่นเพลง และกดหยุดมัน จนทำให้พี่เนมหันมามอง พี่เนมยอมหยุดวิ่งยืนรออยู่กับที่พร้อมๆ กับผมที่เดินเข้าไปใกล้“พี่เ
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ผมคิดขึ้นได้ว่าผมต้องไปปลุกพี่เนม เพื่อให้พี่เนมได้ออกไปทำงาน ผมตื่นมาตอนตี 5.30 น. เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว แล้วลงไปบอกเมนูอาหารให้กับป้านุ่มได้รับทราบ อาหารเช้าในวันนี้ที่ผมคิดก็คือ เบคอน ไข่ดาว ขนมปัง กาแฟ และ แอปเปิล เมื่อป้านุ่มได้ฟังก็เตรียมตัวออกไปจ่ายตลาด ผมไม่รู้ว่าปกติที่บ้านนี้ทานอาหารเช้ากันยังไง ไว้เดี๋ยวผมจะไปถามป้านุ่มอีกที เผื่อพี่เนมมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษจะได้เพิ่มเข้าไปในเมนู เมื่อจัดการเรื่องอาหารเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าห้องไปปลุกพี่เนม เคาะประตูสอง สาม ครั้ง เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าผมกำลังจะเข้าไป ห้องของพี่เนมมืดสนิทเลยครับ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ผมทำก็คือเดินไปที่หน้าต่างเพื่อเปิดผ้าม่านออก แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาภายในห้องนอน“อืมมม” พี่เนมส่งเสียงงัวเงียเล็กน้อยเมื่อมีแสงรบกวนการนอน ทำให้ผมหันไปมองเพื่อลงมือปลุกพี่เนม แต่ภาพที่เห็นทำให้ผมหยุดชะงัก พี่เนมในสภาพเปลือยอก แขนวางพาดไว้ด้านบนศีรษะ มืออีกข้างวางบนหน้าท้อง ทำให้ผมเห็นกล้ามแขนที่น่าขบกัดเบาๆ ของพี่เนม ไหนจะหน้าท้องเป็นลอนลูกคลื่น แซมด้วยไรขนอ่อนๆ ไล่ลึกลงไปด้าน
คำชวนจากพี่เนมทำให้ผมนิ่งคิด พี่เนมชวนผมทำงาน ผมเนี้ยนะ เด็กบ้านๆ คนหนึ่ง เรียนก็น้อย ผมยังไม่มีมหาลัยให้เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมช่วยงานอะไรพี่เขาได้ละครับ“พี่เนมจะให้ผมทำงานอะไรหรอครับ”“เลขาส่วนตัว”“แต่ว่าผมเรียนมาน้อย จะช่วยงานพี่ได้ยังไงครับ ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับงานนี้” ผมพูดพลางคิดไปด้วย ให้ผมเป็นเลขาส่วนตัว แสดงว่าก็ต้องคอยช่วยจัดตารางงาน นัดลูกค้า แจ้งกำหนดการอะไรแบบนี้รึเปล่านะ“ฉันจะส่งเสียนายเรียนมหาลัยก่อน ระหว่างนั้นให้ทำงานเป็นเลขาส่วนตัวฉันไปพลางๆ หน้าที่ก็ไม่มีอะไรมาก เตรียมรายการอาหารเช้า กลางวัน เย็นให้ป้านุ่ม ให้นายเป็นคนคิดเมนูอาหารในแต่ละวัน ตอนเช้าก็เข้ามาปลุกฉันในห้องและจัดเตรียมเสื้อผ้า รวมถึงเอกสารที่จำเป็น แล้วค่อยออกไปเรียน พอนายเรียนจบฉันจะหางานที่เหมาะสมให้กับนายอีกที”“ผมคิดว่า ผมต้องทำการนัดหมาย เตรียมเอกสารสำคัญ นัดพบลูกค้า หรือจัดเตรียมข้อมูลระหว่างที่พี่เนมทำงานที่บริษัทซะอีกครับ” ผมถามพร้อมกับทำหน้างง ก็มันเป็นหน้าที่ของเลขาไม่ใช่หรอ มันก็ต้องไปทำที่บริษัทกับพี่เนมสิถึงจะถูก แต่ทำไมงานที่พี่เนมให้ทำกลับเป็นงานที่บ้านทั้งหมดเลยล่ะ“อันนั้นงา
วันที่ 11 สิงหาคม ปี 43 มันเป็นวันเกิดของผม พ่อของผมทำพินัยกรรมให้ทันทีที่ผมเกิด ครอบครัวของผมเป็น เศรษฐี และนี่คือสิ่งที่แม่ไม่เคยบอกผม เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้ การได้รับรู้ข่าวนี้ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรต่อจากนี้ ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงไม่เคยได้เจอหน้าพ่อ ผมรู้แล้วว่าทำไมท่านถึงเสียก่อนวัยอันควร และรู้แล้วว่าทำไมแม่ของผมจึงถูกชาย 2 คนนั้นทำร้ายจนเสียชีวิต ผมว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมฉบับนี้แน่ ในขณะที่ผมคิดอะไรไม่ตกนั้น พี่เนมก็ขยับเดินเข้ามาใกล้“เสร็จรึยัง” พี่เนมถามและมองผมที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่พื้น อย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนพี่เนมต้องนั่งยองๆ และเอามือวางบนไหล่ผมเบาๆ ผมสะดุ้งนิดๆ และหันไปหาพี่เนม“อะ อ่อ เสร็จ เสร็จแล้วครับ” เสียงของผมสั่นคนผมเองยังรู้สึกได้ พี่เนมขมวดคิ้วมองผมเล็กน้อย ก่อนลุกยืนขึ้น“จะกลับเลยไหม”“คะ ครับ กลับครับ” ผมตอบพี่เนม เริ่มเก็บของที่ผมได้เจอ ปิดแผ่นหินนั้นคืนที่เดิม และนำของที่ได้รับกลับมาด้วย เมื่อมาถึงรถผมก็ขึ้นไปนั่งและก้มมองกล่องเหล็กนั้นอย่างใช้ความคิดเงียบๆ“นาย จะให้ไปส่งที่ไหน”“...”“เจ้านาย” พี่
เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นความรู้สึกดีกว่าเมื่อวานมากนัก รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยทีเดียว เวลาสายของวัน พี่เนมก็เข้ามา และบอกให้ผมอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมที่พี่เนมเป็นคนนำมา และเราก็ออกจากโรงพยาบาลกัน โดยมีพี่เนมเป็นคนขับรถให้ เมื่อผมได้เห็นรถของพี่เนมชัดๆ รถ Lamborghini อเวนทาดอร์ สีดำสนิท รถของพี่เนมหรูมากครับ จนผมไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่ง กลัวจะทำให้รถของพี่เนมเสียหาย เกิดเป็นรอยขึ้นมา ผมแย่แน่ๆ วันนั้นอะไรดลใจให้ผมโบกรถของเขาไปกันนะ!! พี่เนมบอกให้ผมขึ้นรถพร้อมกับจ้องมองนิ่งๆ เหมือนบังคับกลายๆ ผมเลยจำใจต้องขึ้นรถมานั่งข้างเขา ที่นั่งภายในมีเพียง 2 ที่เท่านั้นเอง ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ซื้อรถแบบนี้มาใช้เด็ดขาดเลย ไม่มีความคุ้มค่าเลยสักนิด ราคาแพงแต่ไปได้น้อยคนแบบนี้“จะไปสุสานใช่ไหม” พี่เนมถามผม ทำลายความเงียบที่อยู่ในบรรยากาศ“ครับ ใช่ครับ” ผมตอบกลับพี่เนมและนั่งตัวเกร็ง ไม่กล้าให้ร่างกายไปโดนส่วนไหนของรถมากนัก ผมกลัวว่าจะทำให้รถพี่เนมเสียหาย“นั่งตามสบายเถอะ ไม่ต้องเกร็ง มันน่าหงุดหงิด” พี่เนมบอกขึ้น เพื่อให้ผมนั่งสบายๆ แต่พี่โว้ยยยยยย เกร็งยิ่งกว่าเดิมอีกครับ!!! พี่เนมเล่นพูดแบบ
ความคิดเห็น