เช้าวันรุ่งขึ้น
เซี่ยเวยลืมตาตื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าเมื่อคืนนั้น เขากระทำสิ่งใดลงไป เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง สภาพข้าวของกระจัดกระจาย รอยเลือดละเลงไปทั่วพื้นเรือน พอได้เห็นคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างหน้า ก็เดินเข้ามาดูด้วยความงงงวย
ครั้นขยับตัวมากกลับรู้สึกเจ็บแผลตรงศีรษะ ยิ่งได้เห็นว่าคนที่นอนตรงนั้นเป็นจางเจียก็ไม่ยี่หระ เดินออกนอกห้องไปดื้อ ๆ
หลังจากเซี่ยเวยเดินไปไกลแล้ว ทาสในเรือนสองสามคนจึงแอบมาชะเง้อมองดูที่หน้าประตูห้อง ยามปกติจะต้องเห็นจางเจียตื่นแต่เช้า หาน้ำหาข้าวให้อาฟานแล้ว แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาอุทานโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ เดินไปหานาง
“นายท่านโหดร้ายเหลือเกิน” เสียงคนที่เกาะขอบประตูอยู่ดังขึ้น
“เจ้าลองปลุกนางดูเถิด ไม่รู้เจ็บที่ใดบ้าง” เสียงของอีกคนพูด
“อาฟานเล่า อยู่ที่ใด อยู่ข้างในหรือไม่”
เมื่อไม่มีใครกล้าเข้ามา คนที่อยู่หน้าสุดจึงอาสาไปปลุกนาง เขาเอื้อมมือแตะที่ร่างบาง “จางเจีย ได้ยินข้าหรือไม่”
ขณะที่กำลังจะเรียกนางซ้ำอีกครั้ง ฮูหยินเซี่ยก็เดินจ้ำอ้าวมาที่ห้องของจางเจีย นางเห็นสภาพของเซี่ยเวยแล้วสังหรณ์ใจ พลันเห็นร่างของจางเจียแล้วก็ต้องเก็บสีหน้าของตนเองเอาไว้
“ฮูหยิน นางไม่ตื่นขอรับ” เขาหันมารายงาน “ข้าคิดว่านาง...”
“อืม จัดการให้เรียบร้อย” ฮูหยินรู้สิ่งที่เขากำลังจะพูด พลันสายตาเหลือบเห็นกองผ้าตรงมุมห้องขยับจึงให้เขาไปดู
“เป็นอาฟานขอรับ ร่างกายมีบาดแผล เมื่อคืนนี้...” เขาไม่ทันจะได้เล่าต่อก็เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของฮูหยิน แม้นางจะไม่อำมหิตเท่าเซี่ยเวยแต่ก็ยังคงร้ายเงียบ
“เรื่องคืนวาน อย่าให้หลุดรอดเด็ดขาด” นางกำชับเขาอย่างเข้มงวด
“ขอรับ” เขาพยักหน้า
จากนั้นไม่นานเขาก็จัดการฝังร่างของจางเจียไว้ที่สุสาน ปักป้ายวิญญาณให้นางแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“คนที่เท่าไหร่แล้ว...” เขาพึมพำ มองไปรอบ ๆ สุสาน
หลังเสร็จสิ้นภาระใหญ่หลวงแล้ว จึงได้หาสมุนไพรมารักษาบาดแผลให้อาฟาน เคราะห์ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากจึงค่อย ๆ หายในเวลาไม่กี่วัน พอตื่นขึ้นมาก็กวาดสายตามองหามารดา
“อาฟานเอ๋ย ต่อจากนี้ จะอยู่หรือตายคงต้องแล้วแต่ชะตาของเจ้าแล้วล่ะ” เสียงทาสคนหนึ่งดังขึ้น คนหลายคนต่างพากันสงสารเขาและจางเจีย เวลานี้ไม่มีมารดาคอยปกป้องจะอยู่เช่นไร
อีกฟากหนึ่งของเรือน เซี่ยเวยได้ข่าวของจางเจียจากฮูหยิน สีหน้าของเขาเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อคิดว่าต้องสูญเสียคนโปรดไป แต่ความคิดก็กลับมาในทันทีเพียงแค่คิดว่ายังมีหลินซินอี๋อยู่ หรือไม่เขาอาจจะไปหาพวกพ่อค้าทาสในเมืองอีกครั้ง
อาฟานกลายเป็นคนที่ไม่พูดกับใคร เอาแต่นิ่งเงียบทั้งวัน ข้าวปลาไม่กิน สายตาคอยมองหาจางเจียตลอดเวลา ใครเห็นต่างก็สงสารเวทนาแต่ทำอะไรให้มากไม่ได้
พอรออยู่ตรงนั้นทั้งวันไม่เห็นวี่แววของมารดา อาฟานจึงเริ่มเดินไปรอบเรือนทาสจนล่วงล้ำเข้าไปในเขตเรือนของเจ้านาย เซี่ยเวยที่ออกมาเดินเล่นอยู่แถวนั้นเห็นเข้าจึงเรียกเขาเข้าไปหา ไม่รู้ในใจคิดอะไรอยู่
“มานี่!” เขาสั่งเด็กน้อยหน้าตาเหลอหลา
พออาฟานเดินมาใกล้เขาจึงได้เห็นใบหน้าชัด ๆ แล้วมือน้อย ๆ ก็ยื่นออกไปขยำเสื้อของเซี่ยเวย
“แม่... แม่...” เขาพูดคำหนึ่งออกมา อาฟานอยากถามเขาเหลือเกินว่าเอาแม่ของเขาไปไว้ที่ไหน แต่กลับเรียบเรียงคำพูดไม่ได้
“เฮอะ นางไม่ใช่แม่ของเจ้าเสียหน่อย” เขาตอกกลับอาฟาน แต่อาฟานนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด “ปล่อยข้าได้แล้ว เด็กเวร!” เสียงตะคอกทำให้อาฟานผงะ ยั้งมือเอาไว้
อาฟานจ้องมองหน้าของเซี่ยเวย ทำให้ใจของเขาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ แม้เด็กคนนี้จะหน้าตาเหมือนเขาอยู่บ้าง แต่ก็โอนเอียงเหมือนหลินซินอี๋มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของเขา และแววตาที่จ้องมองเขาในเวลานี้ เหมือนสายตายามที่หลินซินอี๋จ้องเขาไม่มีผิด
“ออกไป!” เขาตะโกนใส่หน้าของอาฟาน แล้วรีบเดินไปอีกทาง ทิ้งให้อาฟานยืนแข็งทื่อตกใจกลัวเสียงตวาด
ครั้นได้สติแล้วก็เดินตามหาจางเจียต่อ เขาเดินวนไปวนมาหานางอยู่ทั้งวันก็ไม่เจอจนหมดแรง จึงนั่งลงหน้าห้องหนึ่งที่เปิดประตูแง้มเอาไว้
ในใจเห็นลาง ๆ คิดว่าเป็นนางจึงรีบวิ่งยิ้มแป้นเข้าไปหา แต่แล้วก็หุบยิ้มในทันที ทำหน้ามึนงง
สตรีนางนี้นั่งนิ่งอ่อนระโหยโรยแรง ซุกตัวอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง สายตาเลื่อนลอย อาฟานนั่งลงใกล้ ๆ แล้วโอบกอดนางเอาไว้
ทั้งคู่อยู่ด้วยกันจนมืดค่ำ แต่นางยังคงไม่ไหวเอนต่อสิ่งรอบตัว และอาฟานก็ยังอยู่ที่เดิมตรงนั้น
เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเดินเข้ามาใกล้เรือนนอนของนาง พลันปลุกสติของหลินซินอี๋ในทันที นางเพิ่งจะเห็นว่ามีเด็กตัวน้อยกอดนางเอาไว้แน่น ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกของนางเอง
ทันทีที่ขาข้างหนึ่งของเขาก้าวเข้ามา หลินซินอี๋ก็ตัวสั่น ถอยหลังชิดผนังห้อง อาฟานมองดูนางด้วยสีหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ขยับตัวไปอยู่ข้าง ๆ นาง
“ซินอี๋ หลบอยู่ที่ใดหรือ” เซี่ยเวยลากเสียงยาวหยอกล้อนาง เสียงที่นางไม่อยากได้ยิน เขาทำเช่นนี้กับนางซ้ำ ๆ ตลอดสามปี
เซี่ยเวยรู้อยู่แล้วว่านางไม่อาจหนีไปที่ใดได้ ไม่อยู่มุมซ้ายของห้องก็จะอยู่มุมขวา เขาทำทีเดินหานางให้หวั่นกลัวเล่น ๆ แล้วก็โผล่ไปฉุดแขนนางออกมาจากมุมมืด โดยไม่สนใจว่ามีเด็กน้อยอีกคนอยู่ตรงนั้น
อาฟานเห็นเหตุการณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง เขาลุกขึ้นมาเกาะแขนของเซี่ยเวยเพื่อช่วยหลินซินอี๋ หลงคิดไปว่านางคือจางเจีย
เซี่ยเวยหงุดหงิดเด็กน้อยผู้นี้จึงลงมือทุบตีไปที่แผลเดิมอีกครั้งอย่างไม่ยั้งมือ อาฟานไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ แต่น้ำตาไหลพรากเพราะเจ็บปวด นึกถึงจางเจียในใจ คิดถึงอ้อมกอดของนางที่คอยปลอบประโลมเขา
สุดท้ายเซี่ยเวยก็โยนเขาออกมานอกห้องแล้วปิดประตูไม่ให้เขาเข้าไปรบกวน
“อย่านะ อย่า!” เสียงร้องหวาดผวาของหลินซินอี๋ดังขึ้น สลับกับเสียงหฤหรรษ์ของเซี่ยเวย นอกห้องมีเด็กน้อยนอนหนาวตัวสั่นขดตัวกอดตัวเองในคืนเดือนมืด ช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าหดหู่เหลือเกิน
รุ่งเช้า
เซี่ยเวยเดินออกมานอกห้องหน้าตาสดชื่นแจ่มใส เขาเหลือบตามองเด็กน้อยแล้วเบือนหน้าหนีก่อนจะเดินผิวปากอารมณ์ดี
ทาสคนเดิมที่ตามหาอาฟานตั้งแต่เมื่อวานมาเห็นเขาที่เรือนนี้ก็สะท้อนใจ
“โหดร้ายเกินไปแล้ว โธ่เอ๊ย!” ต่อให้สงสารมากเพียงใดก็ทำได้เท่านี้ ตัวเขาเองและคนอื่น ๆ ยังโดนฝ่ามือฝ่าเท้าของเจ้านายไม่เว้นวัน ไม่รู้จะต้องทนไปจนถึงเมื่อใด ทาสอย่างเขามีสิทธิ์เลือกชีวิตด้วยหรือ
เขาอุ้มอาฟานไปที่เรือนทาสแล้วให้ทาสผู้หญิงเข้าไปดูอาการหลินซินอี๋อย่างเคย
“นี่ อย่างไรเขาก็มีสายเลือดของนายท่าน ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้” นางถามเพราะไม่เข้าใจ
อาฟานแทบจะเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของเขา ฮูหยินไม่สามารถมีบุตรสืบทอดสกุลได้ ส่วนอนุอื่น ๆ ล้วนต้องกินยาสมุนไพรตัวหนึ่งเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เพราะนางจะไม่ยอมให้ผู้ใดได้สมบัติของเขาไปเด็ดขาด จึงกลายเป็นข้อตกลงว่าถ้าเซี่ยเวยเห็นด้วย นางก็ต้องยอมให้เขาหาทาสมาปรนเปรอตนเอง ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ คนที่อยู่ด้วยกันได้ย่อมมีศีลเสมอกัน
“ดูซินอี๋ก่อนเถิด เขายังไม่เว้น นับประสาอะไรกับอาฟานเล่า” ทาสคนหนึ่งส่ายหน้าตอบนางให้หายข้องใจ
“ถ้าไม่ได้อาเจียช่วยเลี้ยงดู ข้าว่าอาฟานคงไม่รอดจากฮูหยินแน่ ๆ” อีกคนพูดสำทับ
“เจ้าอย่าเอ็ดไป นางคงคิดว่าเป็นลูกทาส อย่างไรก็ไม่มีทางแย่งอะไรไปจากนางได้กระมัง”
พูดเช่นนั้นแล้วทุกคนก็เห็นด้วย แล้วแยกย้ายทำหน้าที่ของตน
นับแต่นั้นมา อาฟานก็เริ่มเข้ามาหาหลินซินอี๋อยู่บ่อย ๆ ความรู้สึกในใจเหมือนอยู่ใกล้กับจางเจีย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบสนองสิ่งใดเลยก็ตาม
ด้านเซี่ยเวยเอง พอไม่มีจางเจียแล้วก็นึกครึ้มทำทีซื้อทาสสาวมาเพิ่มสองสามคน ถลุงสมบัติไปเล็กน้อย ไม่ได้เดือดร้อนอันใดนัก เขาใช้ค่ำคืนเหล่านั้นเสพสมกามารมณ์กับพวกนางไม่รู้ร้อนรู้หนาว
แต่ในบางครากลับไม่อิ่มหนำสำราญต้องปิดท้ายด้วยการมาค้างที่ห้องของหลินซินอี๋อยู่ร่ำไป ทุกครั้งที่มาถึงมักจะพบอาฟานอยู่กับนางด้วย และอาฟานก็มักจะเข้ามาปกป้องนางอยู่เสมอ เช้าวันต่อมาต้องลำบากทาสคนอื่น ๆ คอยหาสมุนไพรมารักษาเขา
“อาฟานเอ๊ย เจ้าอย่าไปเลย จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” เสียงของทาสคนอื่น ๆ ต่างพากันห้ามเขา “เจ้าไปก็ช่วยนางไม่ได้หรอก”
กระนั้น อาฟานกลับไม่ได้สนใจคนอื่นมากนัก เขายังคงทำเช่นเดิมตลอดหนึ่งปี เมื่อโดนเข้าบ่อย ๆ ก็พอจะจับจุดหลบหลีกได้บ้าง ทั้งยังหาสมุนไพรเอาไว้รักษาตัวเอง รวมถึงคอยดูแลหลินซินอี๋
แต่นับวัน หลินซินอี๋ยิ่งสติหลุดลอย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี เรื่องราวในแต่ละคืนยังคงฝังใจนางไม่จืดจาง ไม่มีวันใดเลยที่นางจะชินกับความระยำที่เซี่ยเวยกระทำ ความคิดวนเวียนอยากหลุดพ้นจากตรงนี้
คืนนั้น เซี่ยเวยมาหานางอีกครั้ง นางพร่ำพูดขอร้องเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“อย่าทำข้าเลย ข้าขอร้อง” หลินซินอี๋น้ำตาไหลพราก
เซี่ยเวยไม่ฟังสิ่งใดที่นางพูดเช่นเคย เขาโอบรัดนางมานั่งข้างตัว ฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่นางห่อหุ้มร่างกายอันบอบบางเอาไว้ แล้วลงมือลูบคลำขย้ำอย่างที่ใจโหยหา
ราวกับว่าความคิดเส้นบาง ๆ ของนางที่เหลืออยู่นั้นได้ขาดสะบั้นไปแล้ว คืนนั้น หลินซินอี๋ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา หยิบผ้าผืนยาวติดมือมาด้วย โยนคล้องไปที่ขื่อด้านบนเรือน ยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตนเอง
“บัดซบ!” เสียงของเซี่ยเวยอุทานขึ้นทันทีที่ลืมตา เขามองร่างของหลินซินอี๋ที่ห้อยอยู่ตรงหน้า แล้วรีบลุกขึ้นปลดผ้าผืนยาวที่พันรอบคอของนางเอาไว้ ก่อนนำตัวลงมา“หลินซินอี๋!” เขาตะโกนเรียกนางซ้ำ ๆ สุดท้ายก็ต้องจับชีพจรของนาง สีหน้าบอกไม่ถูก ในใจสับสนคิดว่าควรจะทำเช่นไร คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม“หลินซินอี๋!” เซี่ยเวยเขย่าร่างไร้ลมหายใจของนางอีกครั้ง “เมื่อคืนเจ้าก็สนุกไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทำเช่นนี้?” เซี่ยเวยดูจะเข้าใจผิดไปมากนัก คนที่สนุกมีเพียงแค่เขาผู้เดียวเท่านั้นจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อารมณ์สองขั้วที่สลับไปมาทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นบ้าไปชั่วขณะ เซี่ยเวยมองหน้าของหลินซินอี๋อีกครั้ง ยื่นมือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของนางอย่างที่เคยทำ“เฮอะ บังอาจนัก ใครใช้ให้เจ้าตาย” เขาพึ
เช้าวันหนึ่งเซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่งแม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟานจนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้าสายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็
เวลาผ่านไปสามปีชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขาแม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียววันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตร
นับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่
Trigger warning :เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื้อเรื่องระหว่างทางมืดมน ดราม่า เตรียมผ้าซับน้ำตาด้วยนะคะ พระเอกธงแดงค่อนไปทางดำ ตัวร้ายที่จับฉลากได้บทพระเอก TW18+ ทั้งเรื่องนะคะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทารุณกรรมเด็ก การใช้อำนาจเหนือกว่าบังคับให้คนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ การตาย ภาวะซึมเศร้า ความรุนแรง การสังหารหมู่ การทำร้ายร่างกายและจิตใจ การฆ่าตัวตาย การทรมาน ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา------------------------------------------------------------------------------------------------------------สายลมเย็นพัดใบไม้สีเหลืองปลิวไปตามทางเดินที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางมีเพียงกิ่งก้านต้นไม้สีดำไร้ใบขนาบข้าง บรรยากาศรอบข้างไร้เสียงผู้คน แต่กลับมีเสียงโซ่ตรวนกระทบกันเป็นช่วง ๆ คนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังตอนใต้ของแคว้นซีเป่ยหลินซินอี๋ หญิงสาวอายุสิบแปดปีต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมายังแคว้นห่างไกล สายตาของนางเลื่อนลอยไร้จุดหมาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดนึกย้อนไปถึงวันคืนอันสงบสุขกับ
หลังจากเดินทางรอนแรมหลายเดือน ในที่สุด กลุ่มพ่อค้าทาสก็เดินทางถึงเมืองหน้าด่านของแคว้นซีเป่ย แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับแตกต่างจากบ้านเกิดที่ทุกคนจากมามากนักหลินซินอี๋ถูกล่ามโซ่แล้วขังไว้ในกรงไม้ใหญ่ รวมกับคนอื่น ๆ ผู้คนต่างผ่านไปมาพลางหยุดมองดูคนที่อยู่ด้านใน ในสายตาของพวกพ่อค้านั้นมองว่านางเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งทั่วไปเพราะความมอมแมม เปื้อนดินทรายปิดบังผิวพรรณที่แท้จริงของนางไว้ทว่า สายตาแหลมคมของชายผู้หนึ่งวัยสามสิบจ้องมองนางไม่วางตา ราวกับเห็นในสิ่งที่คนผู้อื่นมองไม่เห็น เขาเดินแหวกฝูงชนเข้ามาถึงขอบลูกกรง นั่งลงอยู่ข้าง ๆ แล้วยื่นมือมาจับคางของนางหันมาทางเขา จากนั้นยิ้มร้ายอย่างมีแผน“ข้าซื้อนาง” เขากล่าวกับพ่อค้าทาสอารมณ์ดี ให้อัฐไปสองถุงใหญ่ สร้างความตกตะลึงให้กับคนที่อยู่แถวนั้นอย่างมากใครต่อใครที่ได้เห็นคงจะคิดว่าเขาเป็นเศรษฐีผู้ใจบุญ คอยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก แต่นั่นก็เป็นเพียงฉากหน้าที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้น ฐานะที่แท้จริงของเขาคือตระกูลเซี่ย ขุนนางระดับกลาง
ค่ำคืนเดือนหนาววนมาอีกครา เสียงร้องของเด็กแรกเกิดดังก้องเรือนทาส หลินซินอี๋คลอดบุตรชายอย่างยากลำบาก ใจของนางไม่อยู่กับร่องกับรอยตั้งแต่เมื่อครั้งที่ถูกเซี่ยเวยย่ำยีนานแรมปีหลินซินอี๋ไม่แม้แต่จะอยากมองหน้าของบุตรชายสักแวบหนึ่ง เพราะใบหน้าสักสามส่วนของบุตรชายคล้ายคนที่นางเกลียดมากนัก นางทำใจยอมรับไม่ได้จริง ๆ เสียงของเด็กน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดร้องเรียกหาความอบอุ่นอยู่เป็นเวลานานแต่แล้วบานประตูห้องนอนของนางก็ถูกใครบางคนเลื่อนเปิดออก หญิงสาวที่ดูอายุมากกว่านางสักสองสามปีก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สายตาที่มองเด็กทารกนั้นดูเป็นประกาย ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว“ชู่ ๆ อย่าร้อง อย่าร้อง” นางก้มลงข้าง ๆ เด็กทารกแล้วใช้สองมือโอบอุ้มเขาขึ้นมา ร้องเพลงกล่อมเด็กอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบให้เขาหยุดร้อง สีหน้าของนางปลื้มใจรา
นับตั้งแต่วันที่หวังซีซวนได้เจอกับเซี่ยฟาน เขาก็ทดสอบจิตใจและความอดทนของเซี่ยฟานตลอดเวลา เซี่ยฟานนั้นเดิมทีไม่ค่อยมีปากมีเสียงอะไร เวลาโดนหวังซีซวนแกล้ง เขาก็นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ครั้นเจอหวังซีซวนดื้อ เอาแต่ใจ เขาก็ใจเย็นรอคอยและทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ เซี่ยฟานปลอบใจตนเองว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ดีกว่ามาก แต่สิ่งที่เขาคิดกลับเป็นแค่เพียงฉากหนึ่งที่ได้เห็นในเวลานั้น สถานที่เงียบสงบเริ่มกลับมาครึกครื้น เซี่ยฟานได้เห็นคนรุ่นเดียวกันมากมายในสำนัก คุณชายทั้งเจ็ด ลูกศิษย์ คนรับใช้ คนงาน ความวุ่นวายก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่า ที่นี่ก็ไม่ต่างจากนรกขุมเดิม แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เขาก็มีความหวังอยู่เสมอ เซี่ยฟานเรียนรู้จากสองพี่น้องคู่นั้นว่
เวลาผ่านไปสามปีชีวิตของเซี่ยฟานเติบโตขึ้นอย่างทุลักทุเล นับตั้งแต่ที่เห็นว่าสองพี่น้องมีชะตาชีวิตอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะดื้อดึงหรือมองหาหนทางเป็นอิสระอีกต่อไป เวลานั้นเขารู้ข่าวจากหานโจวมาว่าคนเป็นน้องไม่รอด ส่วนคนเป็นพี่สาวหายตัวไปอย่างลึกลับ เขาคิดว่าสาเหตุคงจะเป็นเหมือนจางเจียและหลินซินอี๋ด้านเซี่ยเวย แม้เวลาจะล่วงเลยแต่ยังคงประพฤติตัวเช่นเดิม จนเรื่องราวภายในจวนของเขาส่งกลิ่นไปด้านนอก ผู้คนเริ่มระแคะระคายอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนของเขาแม้แต่ฮูหยินเองก็ตามเช็ดทุกเรื่องที่เขาทำไม่ไหว ไหน ๆ ก็ไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลได้ นางจึงคิดที่จะฮุบเอาสมบัติทั้งหมดมาเป็นของนางคนเดียววันนั้นเอง คนเป็นพี่สาวที่หนีไปได้เมื่อครั้งนั้น ได้กลับมาพร้อมกับสามีของนาง เขาเป็นคนของทางการ มีอำนาจในการตร
เช้าวันหนึ่งเซี่ยฟานนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนทาส เขามองไปด้านบนเพราะได้ยินเสียงจิ๊บ จิ๊บ ดังระงมอยู่พักหนึ่งแม่นกคาบอาหารบินโฉบลงมาที่รัง แล้วค่อย ๆ ป้อนลูกนกแต่ละตัวอย่างใจเย็น เซี่ยฟานปีนขึ้นไปดูที่รังของพวกมันด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาคอยเฝ้ามองดูนกฝูงนี้ตั้งแต่นั้นมา เห็นความรักที่แม่นกคอยปกป้อง หาอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก นับเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดในใจของเซี่ยฟานจนกระทั่งถึงวันที่ลูกนกต้องหัดบิน แม่นกคอยช่วยให้ลูกนกเหล่านั้นขยับปีก สอนให้ลูกนกโผบิน ในที่สุด ลูกนกในรังก็เริ่มสยายปีกบินขึ้นฟ้าสายตาของเซี่ยฟานมองตามด้วยความตื่นเต้น นกฝูงนี้โผบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ใจของเซี่ยฟานเบิกบาน เขาคอยเฝ้ามองหาทางที่เขาจะเป็นดั่งนกพวกนี้“ท่านลุง ข้าอยากบิน แบบนกพวกนั้น” เซี่ยฟานพูดกับหานโจว พลางชี้ไปบนท้องฟ้า“เจ้าไม่ใช่นกเสียหน่อย ปีกก็ไม่มี” หานโจวคิดว่าเซี่ยฟานพูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เซี่ยฟานพยายามบอกคือการเป็
“บัดซบ!” เสียงของเซี่ยเวยอุทานขึ้นทันทีที่ลืมตา เขามองร่างของหลินซินอี๋ที่ห้อยอยู่ตรงหน้า แล้วรีบลุกขึ้นปลดผ้าผืนยาวที่พันรอบคอของนางเอาไว้ ก่อนนำตัวลงมา“หลินซินอี๋!” เขาตะโกนเรียกนางซ้ำ ๆ สุดท้ายก็ต้องจับชีพจรของนาง สีหน้าบอกไม่ถูก ในใจสับสนคิดว่าควรจะทำเช่นไร คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม“หลินซินอี๋!” เซี่ยเวยเขย่าร่างไร้ลมหายใจของนางอีกครั้ง “เมื่อคืนเจ้าก็สนุกไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงทำเช่นนี้?” เซี่ยเวยดูจะเข้าใจผิดไปมากนัก คนที่สนุกมีเพียงแค่เขาผู้เดียวเท่านั้นจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อารมณ์สองขั้วที่สลับไปมาทำให้เขาดูเหมือนจะเป็นบ้าไปชั่วขณะ เซี่ยเวยมองหน้าของหลินซินอี๋อีกครั้ง ยื่นมือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของนางอย่างที่เคยทำ“เฮอะ บังอาจนัก ใครใช้ให้เจ้าตาย” เขาพึ
เช้าวันรุ่งขึ้นเซี่ยเวยลืมตาตื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าเมื่อคืนนั้น เขากระทำสิ่งใดลงไป เขายันตัวขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบ ๆ ห้อง สภาพข้าวของกระจัดกระจาย รอยเลือดละเลงไปทั่วพื้นเรือน พอได้เห็นคนผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างหน้า ก็เดินเข้ามาดูด้วยความงงงวยครั้นขยับตัวมากกลับรู้สึกเจ็บแผลตรงศีรษะ ยิ่งได้เห็นว่าคนที่นอนตรงนั้นเป็นจางเจียก็ไม่ยี่หระ เดินออกนอกห้องไปดื้อ ๆหลังจากเซี่ยเวยเดินไปไกลแล้ว ทาสในเรือนสองสามคนจึงแอบมาชะเง้อมองดูที่หน้าประตูห้อง ยามปกติจะต้องเห็นจางเจียตื่นแต่เช้า หาน้ำหาข้าวให้อาฟานแล้ว แต่ยามนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาภาพที่เห็นทำให้พวกเขาอุทานโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ เดินไปหานาง“นายท่านโหดร้ายเหลือเกิน” เสียงคนที่เกาะขอบประตูอยู่ดังขึ้น
ค่ำคืนเดือนหนาววนมาอีกครา เสียงร้องของเด็กแรกเกิดดังก้องเรือนทาส หลินซินอี๋คลอดบุตรชายอย่างยากลำบาก ใจของนางไม่อยู่กับร่องกับรอยตั้งแต่เมื่อครั้งที่ถูกเซี่ยเวยย่ำยีนานแรมปีหลินซินอี๋ไม่แม้แต่จะอยากมองหน้าของบุตรชายสักแวบหนึ่ง เพราะใบหน้าสักสามส่วนของบุตรชายคล้ายคนที่นางเกลียดมากนัก นางทำใจยอมรับไม่ได้จริง ๆ เสียงของเด็กน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดร้องเรียกหาความอบอุ่นอยู่เป็นเวลานานแต่แล้วบานประตูห้องนอนของนางก็ถูกใครบางคนเลื่อนเปิดออก หญิงสาวที่ดูอายุมากกว่านางสักสองสามปีก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สายตาที่มองเด็กทารกนั้นดูเป็นประกาย ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้มสดใสอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว“ชู่ ๆ อย่าร้อง อย่าร้อง” นางก้มลงข้าง ๆ เด็กทารกแล้วใช้สองมือโอบอุ้มเขาขึ้นมา ร้องเพลงกล่อมเด็กอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบให้เขาหยุดร้อง สีหน้าของนางปลื้มใจรา
หลังจากเดินทางรอนแรมหลายเดือน ในที่สุด กลุ่มพ่อค้าทาสก็เดินทางถึงเมืองหน้าด่านของแคว้นซีเป่ย แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับแตกต่างจากบ้านเกิดที่ทุกคนจากมามากนักหลินซินอี๋ถูกล่ามโซ่แล้วขังไว้ในกรงไม้ใหญ่ รวมกับคนอื่น ๆ ผู้คนต่างผ่านไปมาพลางหยุดมองดูคนที่อยู่ด้านใน ในสายตาของพวกพ่อค้านั้นมองว่านางเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งทั่วไปเพราะความมอมแมม เปื้อนดินทรายปิดบังผิวพรรณที่แท้จริงของนางไว้ทว่า สายตาแหลมคมของชายผู้หนึ่งวัยสามสิบจ้องมองนางไม่วางตา ราวกับเห็นในสิ่งที่คนผู้อื่นมองไม่เห็น เขาเดินแหวกฝูงชนเข้ามาถึงขอบลูกกรง นั่งลงอยู่ข้าง ๆ แล้วยื่นมือมาจับคางของนางหันมาทางเขา จากนั้นยิ้มร้ายอย่างมีแผน“ข้าซื้อนาง” เขากล่าวกับพ่อค้าทาสอารมณ์ดี ให้อัฐไปสองถุงใหญ่ สร้างความตกตะลึงให้กับคนที่อยู่แถวนั้นอย่างมากใครต่อใครที่ได้เห็นคงจะคิดว่าเขาเป็นเศรษฐีผู้ใจบุญ คอยช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก แต่นั่นก็เป็นเพียงฉากหน้าที่เขาสร้างขึ้นมาเท่านั้น ฐานะที่แท้จริงของเขาคือตระกูลเซี่ย ขุนนางระดับกลาง
Trigger warning :เรื่องนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื้อเรื่องระหว่างทางมืดมน ดราม่า เตรียมผ้าซับน้ำตาด้วยนะคะ พระเอกธงแดงค่อนไปทางดำ ตัวร้ายที่จับฉลากได้บทพระเอก TW18+ ทั้งเรื่องนะคะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทารุณกรรมเด็ก การใช้อำนาจเหนือกว่าบังคับให้คนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ การตาย ภาวะซึมเศร้า ความรุนแรง การสังหารหมู่ การทำร้ายร่างกายและจิตใจ การฆ่าตัวตาย การทรมาน ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหา------------------------------------------------------------------------------------------------------------สายลมเย็นพัดใบไม้สีเหลืองปลิวไปตามทางเดินที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางมีเพียงกิ่งก้านต้นไม้สีดำไร้ใบขนาบข้าง บรรยากาศรอบข้างไร้เสียงผู้คน แต่กลับมีเสียงโซ่ตรวนกระทบกันเป็นช่วง ๆ คนกลุ่มหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังตอนใต้ของแคว้นซีเป่ยหลินซินอี๋ หญิงสาวอายุสิบแปดปีต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมายังแคว้นห่างไกล สายตาของนางเลื่อนลอยไร้จุดหมาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดนึกย้อนไปถึงวันคืนอันสงบสุขกับ