เมื่อนักเขียนนิยายมือใหม่อย่างเขา ต้องเข้ามาอยู่ในนิยายที่ยังแต่งไม่จบของตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเพราะความสงสารในตัวร้ายที่ตนเองเป็นคนแต่งขึ้นมาหรือจะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง! ทำไม? ต้องให้เขามาอยู่ร่วมกับตัวร้ายแบบนี้ด้วย แล้วทำไม? ไม่ว่าจะพระเอก นางเอก หรือแม้แต่ตัวประกอบก็ยังไม่ยอมเดินเรื่องตามบทที่เขาแต่งเอาไว้อีก!!!
View More“อาเล่อเจ้ากำลังทำอะไร?” หยางหมิงเซียนเข้ามาในห้องปรุงยา หลังจากไปส่งยาสมานแผลที่ค่ายทหาร ก็เจอเข้ากับเกาเล่อที่มาก้มๆเงยๆ อยู่แถวชั้นปรุงยาของเขา “ข้าน้อยกำลังจะต้มยาแก้ปวดตัวให้คุณชายใหญ่จินขอรับ” “เฟยเกอเป็นอะไร?” หยางหมิงเซียนรีบเอ่ยถาม เพราะเมื่อเช้าพวกเขาก็ออกมาจากเรือนพักพร้อมกันเหมือนทุกวัน อีกฝ่ายก็ยังปกติดีไม่เห็นมีอาการปวดตัวอะไรให้เห็น “วันนี้คุณชายใหญ่จินมีตรวจรักษาคนไข้ตั้งแต่เช้าเลยขอรับ และวันนี้ก็มีท่านป้าท่านหนึ่งที่ขยับตัวค่อนข้างจะลำบากเข้ามาขอรับการรักษา คุณชายใหญ่จินจึงต้องคอยช่วยนางขยับตัวตอนตรวจรักษาด้วยขอรับ ยามนี้คุณชายใหญ่จินเลยให้ข้าน้อยมาต้มยาแก้ปวดตัวให้ขอรับ” “เจ้ากลับไปช่วยเฟยเกอดูคนไข้ต่อเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องยาของเฟยเกอให้เอง อีกสักพักเจ้าค่อยกลับออกมาเอา และข้าฝากบอกเฟยเกอด้วยว่า...ข้ากลับมาแล้ว และเดี๋ยวถ้าข้าต้มยาให้ท่านลุงเจียงเสร็จ ข้าจะรีบเข้าไปหา” “ได้ขอรับ”
หยางหมิงเซียนเฝ้ามองตัวเขาในที่แห่งนี้เริ่มทำเรื่องเลวร้ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามนี้ตัวเขาในที่แห่งนี้ได้เป็นถึงผู้ช่วยเจ้ากรมกลาโหมแล้ว และตัวเขาในที่แห่งนี้ก็มีเกาเล่อเป็นลูกน้องคนสนิทและยังมีเสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงเป็นดั่งมือและเท้าคอยออกไปทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ ให้เขา พวกเขาทำตัวไม่ต่างอะไรจากโจร...ทั้งยักยอกของหลวง ทั้งติดสินบน ทั้งตัดเสบียงอาหารและยาที่จะส่งไปยังค่ายทหาร...เพียงเพื่อต้องการกลั่นแกล้งรองแม่ทัพจินเฟยหลง ด้วยเพราะอีกฝ่ายเข้ามาติดพันกับสตรีที่ตัวเขาในที่แห่งนี้กำลังลุ่มหลง จนวันหนึ่งหยางหมิงเซียนเห็นตัวเขาในที่แห่งนี้ได้เจอกับผู้เป็นมารดา จากนั้นชีวิตของตัวเขาในที่แห่งนี้ก็เริ่มเลวร้ายลงไปจากเดิมเป็นเท่าตัว หยางหมิงเซียนมองตัวเขาในที่แห่งนี้ถูกมารดาชักจูงให้ทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่การดึงตัวเขาในที่แห่งนี้เข้าไปร่วมมือกับหานเฟิง ตอนนี้หยางหมิงเซียนมองตัวเขาในที่แห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากคนเลวคนหนึ่ง ทั้งลงมือทำร้ายผู้คนอย่างไม่มีเหตุผล ยิ่งกับคนที่เคยทำร้ายจิตใจตัวเองด้
“ข้าขอร้องได้หรือไม่ ช่วยปล่อยเด็กคนนั้นไป เด็กคนนั้น...ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย หากคนที่จ้างเจ้าต้องการให้เจ้ามาเอาชีวิตข้า อย่างนั้นเจ้าก็เข้ามาเอาชีวิตข้าไปเสียเถอะ แต่ข้าขออย่างเดียว...ช่วยปล่อยเด็กที่ไม่เกี่ยวข้องคนนั้นไป” จินเฟยเทียนยามนี้เจ็บปวดใจยิ่งนัก เพียงเพราะชีวิตตัวภาระอย่างเขา ทำให้ผู้คนรอบข้างและผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องเดือดร้อน ต้องมาบาดเจ็บล้มตาย เพียงเพราะต้องการช่วยเหลือตัวภาระเช่นเขาแบบนี้ หากไม่มีเขาสักคนทุกคนคงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เป็นแน่... ‘ชีวิตของข้ามันช่างดูไร้ค่า และเป็นภาระของผู้อื่นอย่างที่ฮูหยินรองพูดไว้จริงๆด้วย’ นักฆ่าคนนั้นเดินเข้าไปหาจินเฟยเทียนแล้วก้มลงหยิบดาบของตัวเองขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะโยนร่างของเด็กชายไปยังจุดที่จินเฟยเทียนกำลังยืนอยู่ จินเฟยเทียนที่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคองเด็กชายให้กลับขึ้นมายืนข้างตัวเองทันที “ข้าคงทำแบบนั้นให้ท่านไม่ได้หรอกคุณช
หยางหมิงเซียนลืมตาขึ้นมาเขาก็เห็นว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางห้องเล็กห้องหนึ่ง เขาจึงมองไปรอบๆ ห้อง ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย... ‘ที่นี่? หรือว่า?’ หยางหมิงเซียนเดินไปที่เตียงขนาดกลางตรงมุมห้อง แล้วเขาก็ได้เห็นตัวเขาเองกับจินเฟยเทียนในวัยเยาว์ที่กำลังนอนอยู่ข้างกันบนเตียงหลังนั้น ‘นั่นข้ากับเฟยเกอนี่’ จากนั้นหยางหมิงเซียนก็เห็นหยงหม่าเดินเข้ามาในห้อง อีกฝ่ายเดินทะลุผ่านร่างของเขาเข้าไปปลุกคนบนเตียง ดูเหมือนว่ายามนี้คนที่นี่จะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขาและมองไม่เห็นเขาที่ยืนอยู่ในห้องนี้ด้วย “คุณชายใหญ่ขอรับ...ตื่นได้แล้วขอรับ เราต้องรีบออกเดินทางกันแล้วนะขอรับ พวกองครักษ์บอกว่าเห็นพวกนักฆ่าเข้ามาแถวในหมู่บ้านนี้แล้วขอรับ” หยงหม่าหลังจากเห็นผู้เป็นนายรู้สึกตัวแล้ว เขาก็รีบเดินเข้าไปหยิบเสื้อคลุมให้ผู้เป็นนายและเด็กชายอีกคนบนเตียงทันที&nbs
จินเฟยเทียนหลังจากที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสของคนตรงหน้า แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัวลุกออกจากตัวเขา แล้วเอื้อมมือไปหยิบน้ำมันหอมใต้เตียงขึ้นมา... และเมื่อเขาได้เห็นเครื่องแสดงความเป็นบุรุษของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา... ยามนี้สติที่เตลิดไปไกลของเขาก็ได้วิ่งกลับมาเข้าในร่างเขาอย่างสมบูรณ์ทันที จินเฟยเทียนมองไปที่เครื่องแสดงความเป็นบุรุษของตัวเองกับของหยางหมิงเซียนแล้ว เขาก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น... แม้ยามนี้เขาอยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้มากแค่ไหน และรู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องพบเจอกับอะไร แต่เมื่อเขาเห็นแววตาของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็กลั้นใจลุกออกไปจากเตียงหลังนี้ไม่ลงจริงๆ และยามนี้ในหัวของจินเฟยเทียนก็คิดแต่เพียงสำนวนที่ว่า...อย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง หยางหมิงเซียนเมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็เริ่มลงมือเตรียมความพร้อมของจินเฟยเทียนต่อทันที “เฟยเกอเ
งานมงคลสมรสระหว่างจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนก็ถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ยามอย่างเรียบง่ายที่เรือนหอของพวกเขาตามความต้องการของจินเฟยเทียน แต่กว่าที่หยางหมิงเซียนจะเอาตัวเองเข้ามาในห้องหอได้ก็เกือบครึ่งค่อนคืนไปแล้ว เพราะเขาถูกทั้งคนในครอบครัวของจินเฟยเทียนและชิงหลวนคุนกับซานมู่ดึงตัวชนสุราและถ่วงเวลาเขาเอาไว้... หยางหมิงเซียนเมื่อเดินเข้ามาในห้องหอ เขาก็เดินเข้าไปหาจินเฟยเทียนที่นั่งอยู่บนเตียง จากนั้นเขาก็ใช้พัดเปิดผ้าแดงที่คลุมใบหน้าของอีกฝ่ายในยามนี้ออก...แล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้าของคนรักของเขา หลังจากที่พวกเขาไม่ได้เห็นหน้าและไม่ได้พบเจอกันเลยมาเป็นเวลาสามวัน ด้วยเพราะพวกเขาต้องทำตามประเพณี...คนตรงหน้าเลยถูกแยกให้ไปพักอยู่ที่ค่ายทหารของจินเฟยหลง “เฟยเกอขอรับ ท่านรู้ตัวหรือไม่ขอรับว่าวันนี้...ท่านรูปงามยิ่งนักขอรับ” จินเฟยเทียนเงยหน้าขึ้นมองหยางหมิงเซียนที่วันนี้เจ้าตัวก็สวมชุดคลุมสีแดงไม่ต่างไปจากเขา แต่ทำไม...
หลังจากปรับปรุงเรือนหลังเก่าของหยางหมิงเซียนให้กลายเป็นเรือนหอของจินเฟยเทียนและหยางหมิงเซียนเรียบร้อยแล้ว และโรงหมอที่พวกเขาต้องการจะสร้างขึ้นใหม่ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ราชครูหลงจิ้นสิงและจางเลี่ยงซูจึงเข้าไปพูดคุยเรื่องฤกษ์ยามและเรื่องพิธีการงานมงคลสมรสของหลานชายทั้งสองกับจินเฟยหมิง... และเมื่อได้วันกับกำหนดการของพิธีงานมงคลสมรสระหว่างจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนมาแล้ว...ทุกคนก็เริ่มจัดเตรียมงานหลังจากนั้นทันที จินเฟยเทียนวันนี้ได้ออกมาเดินซื้อของที่ตลาดกับเกาเล่อแค่สองคน เพราะหยางหมิงเซียนต้องออกไปส่งยาแก้ปวดท้องตัวใหม่ที่เพิ่งคิดค้นสูตรได้ให้กับคู่ค้าในเมืองหลวงด้วยตัวเอง เนื่องจากยาที่ต้องจัดส่งในรอบนี้จะเป็นการจัดส่งยาชุดสุดท้ายของหยางหมิงเซียนในเมืองหลวง ก่อนที่หยางหมิงเซียนกับจินเฟยเทียนจะย้ายไปอยู่ที่เรือนพักในค่ายทหารที่หมู่บ้านหยางเซิน เพื่อเตรียมตัวเข้าพิธีมงคลสมรสของพวกเขาในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า โดยมีเกาเล่อ
วันนี้เป็นวันที่หยางหมิงเซียนได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากราชครูหลงจิ้นสิง หลังจากที่เขาพยายามไปขอร้องอีกฝ่ายมาสักระยะ และหลังจากได้รับคำตอบเขาก็รีบเข้าไปจัดการงานทุกอย่างของตัวเอง และยังเข้าไปช่วยงานต่างๆ ของจินเฟยเทียน จนในที่สุดเขาก็สามารถพาอีกฝ่ายกลับเรือนพักได้เร็วกว่าทุกวันที่ผ่านมา... และเมื่อถึงเรือนพักหยางหมิงเซียนก็ขอแยกตัวเข้าไปจัดการดูแลตัวเองในห้องของเขาทันที หยางหมิงเซียนที่วันนี้ใช้เวลาดูแลตัวเองมากกว่าปกติ เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องนอนของจินเฟยเทียน เขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่เริ่มง่วงงุน เขาจึงรีบเดินเข้าไปนอนหนุนตักและมองหน้าของอีกฝ่ายเพื่อรวบรวมความกล้าของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เริ่มพูดเรื่องสำคัญที่ตั้งใจเตรียมมา... “เฟยเกอขอรับ ข้ารักท่านนะขอรับ” จินเฟยเทียนทำเพียงพยักหน้ารับ ด้วยช่วงนี้อีกฝ่ายบอกรักเขาแทบจะแบบวันเว้นวัน เ
“เฟยเกอ!” “คุณชายใหญ่จิน!” หยางหมิงเซียนพยายามที่จะลุกขึ้นแต่เพราะน้ำซุปกับเส้นบะหมี่กระจายอยู่รอบตัวเขา มันทำให้เขาไม่สามารถลุกและเดินไปหาคนที่เขารักได้ดังใจ เขาจึงพยายามมองไปที่อีกฝ่าย ยามนี้เขากลัวว่าจินเฟยเทียนจะเข้าใจเขาผิด “อาปิง เจ้าเข้าไปช่วยหมิงเซียนกับอาผิงหน่อย” “ได้ขอรับ” เมื่อสั่งการเสี่ยวปิงเสร็จจินเฟยเทียนก็หันกลับไปมองยังจุดที่หลงจิ้นเปียวเคยยืนอยู่ ยามนี้เจ้าตัวแสบได้วิ่งกลับเข้าไปหามารดาของตัวเองในห้องเขาเสียแล้ว เขาจึงหันหลังกลับและเดินออกไปจากตรงนั้นทันที “เฟยเกอขอรับ คือ...มันไม่ใช่แบบนั้นนะขอรับ” หยางหมิงเซียนหลังจากไปจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบเข้ามาหาจินเฟยเทียนในห้องพักทันที “แบบนั้น...แบบไหนหรือ?” จินเฟยเทียนถามกลับโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย
‘ที่นี่ที่ไหน?’ คำถามแรกที่เข้ามาในหัวของไผ่ พอเขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้สี่เสา สภาพห้องคล้ายกับในซีรีส์จีนโบราณที่เขาเคยดูมา...มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วเมื่อเขาลองขยับตัวก็ต้องตกใจ! เพราะมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มานอนหันหลังให้กับเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน เด็กคนนี้ ผมยาว ตัวเล็ก อายุน่าจะประมาณ 9 ขวบ และแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณ ไผ่พยายามพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุด ด้วยเพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นจะตื่น แต่เมื่อเขาเห็นแขนที่สั้นลงของตัวเอง เขาก็รีบพุ่งตัวไปที่กระจกตรงโต๊ะข้างเตียงทันที แล้วเงาที่สะท้อนออกมาให้เขาเห็นนั้น...มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ ‘เด็กคนนี้คือใคร?’ ใบหน้าเรียวเล็กที่ดูซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษ ขาและแขนก็ดูทั้งเล็กทั้งสั้น ผมก็ยาวสยายไปจนถึงกลางหลัง แถมยังใส่ชุดจีนโบราณ อายุก็น่าจะประมาณสัก 10 ขวบ “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ!” ไผ่รีบเอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน ‘อย่าบอกนะว่าเขาทะลุมิติมา?’ ‘ไม่ใช่มั้ง’ ‘หรือจะมีคนแกล้ง?’ ไผ่เลยตัดสินใจนั่งรอ และคอยมองทางซ้ายทีทางขวาทีแต่...
Comments