ส่วนจินเฟยเทียนก็ยังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ได้หันมาสนใจปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กชายตรงหน้าเลย
“เด็กน้อยเจ้าหิวข้าวแล้วหรือไม่? หรือเจ้าจะไปอาบน้ำก่อน? แต่...เจ้าเพิ่งฟื้นตัวจากไข้ เจ้าก็คงยังอาบน้ำไม่ได้ งั้นข้าเช็ดตัวให้เจ้าก่อนดีกว่า...แล้วค่อยให้เจ้ากินข้าวกินยา” จินเฟยเทียนพูดเองตอบเอง แล้วจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปเตรียมของ แต่ก็ถูกหยางหมิงเซียนเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน
หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่เด็กชายตรงหน้าพูด เขาก็พยายามจะเอ่ยโต้แย้ง แต่ด้วยเสียงที่ออกมากลับแหบแห้งไม่เป็นคำ เขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า...แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมมองมาที่เขาเลย
“เด็กน้อย...ตอนนี้ร่างกายของเจ้ามีแต่เหงื่อ ยังไงเจ้าก็ต้องเช็ดตัวเปลี่ยนชุด เจ้าจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น หรือว่า...เจ้าอายข้า” จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนพยายามปฏิเสธในสิ่งที่เขาจะทำให้ เขาจึงพยายามอธิบายและสังเกตปฏิกิริยาของเด็กชายตรงหน้าไปด้วย แล้วเขาก็ได้เห็นแก้มของเด็กชายที่เริ่มแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วมันไม่น่าจะเกิดจากพิษไข้
หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลงจนแทบจะติดเตียง
‘หึๆ เด็กคนนี้ขี้อายด้วยแฮะ’
“เด็กน้อย...เจ้าจะอายข้าทำไม! เราเป็นบุรุษเหมือนกัน อีกอย่างเมื่อเช้าข้าก็เป็นคนเช็ดตัวเปลี่ยนชุดให้กับเจ้า ดังนั้นก็ไม่มีอะไรต้องอายข้าแล้ว!” กล่าวเย้าแหย่เด็กชายจบก็ต้องกลั้นขำ เมื่อเห็นเด็กชายตรงหน้าตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ไปเรียบร้อยแล้ว
จินเฟยเทียนลุกขึ้นไปเตรียมของสำหรับเช็ดตัวและเตรียมชุดใหม่ให้กับหยางหมิงเซียน จากนั้นเขาจึงเดินกลับมานั่งที่เตียง แล้วเขาก็ได้เห็นว่าเด็กชายบนเตียงยังคงก้มหน้าลง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาเลยสักนิด
จินเฟยเทียนจึงวางของที่เตรียมมาไว้ข้างเตียง แล้วนำผ้าสะอาดไปชุบน้ำก่อนจะนำมาเช็ดตามหน้าตาและเนื้อตัวของเด็กชาย จากนั้นก็จัดการเปลี่ยนชุดให้หยางหมิงเซียน โดยที่เจ้าตัวมีอาการขัดขืนบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ให้ความร่วมมือจนผ่านไปได้ด้วยดี
“เด็กน้อย เจ้ากินข้าวกินยาเองไหวหรือไม่?”
หยางหมิงเซียนพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังคงก้มหน้าอยู่แบบนั้น จินเฟยเทียนจึงลุกไปยกข้าวต้มกับยามาให้เด็กชายบนเตียง
หยางหมิงเซียนรับชามข้าวต้มจากจินเฟยเทียนมาตักกิน เมื่อเห็นเด็กชายสามารถกินข้าวเองได้ จินเฟยเทียนจึงคิดจะลุกไปอาบน้ำ
“เด็กน้อย...กินข้าวกินยาให้หมดนะ ข้าขอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวจะกลับมาดูแลเจ้าใหม่” พูดจบจินเฟยเทียนก็เอื้อมมือไปลูบหัวหยางหมิงเซียนอย่างอดไม่ได้ ก่อนที่จะพาตัวเองลุกจากเตียงไปอาบน้ำ
เนื่องจากก่อนที่จินเฟยเทียนจะมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ และก่อนที่เขาจะสูญเสียน้องชายไป เขามักชอบลูบหัว และบีบแก้มน้องชายของเขา แล้วเมื่อมาเห็นเด็กชายตรงหน้ายามนี้มันก็ทำให้เขาอดที่จะคิดถึงน้องชายของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ แล้วด้วยแววตาของหยางหมิงเซียนยามนี้ช่างดูไร้เดียงสาและน่าเอ็นดูยิ่งนัก...มันช่างทำให้เขาอดที่จะคันไม้คันมือขึ้นมาไม่ได้จริงๆ
หยางหมิงเซียนเมื่อเห็นเด็กชายลุกออกจากเตียงไปแล้ว เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองตามหลังคนที่เพิ่งลูบหัวตัวเองไป
‘เด็กคนนี้ทำไมถึงเรียกข้าว่าเด็กน้อยทุกคำ? ทั้งที่ตัวเอง...อายุก็น่าจะห่างจากข้าไม่ถึงปี แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงต้องยิ้มให้ข้าด้วยล่ะ? แล้วไหนจะทั้งแววตา คำพูด และการกระทำของเจ้าตัว...ที่คอยดูแลข้าแบบนั้นอีก เด็กคนนี้ทำแบบนี้ไปทำไม?’
หยางหมิงเซียนที่ไม่เคยได้รับการกระทำที่ออกมาจากใจแบบนี้จากผู้ใดมาก่อน เพราะตั้งแต่จำความได้ มารดาจะดูแลเขา ลูบหัวเขา หรือโอบกอดเขาก็ต่อเมื่อบิดากลับเรือนเท่านั้น ส่วนบิดาของเขาด้วยนิสัยของชายชาติทหารยามอยู่เรือน อีกฝ่ายพูดคุยกับเขาก็แทบจะนับคำได้เลย
แต่ตอนนี้เขากลับได้รับการดูแลและเอาใจใส่จากเด็กชายที่เขาไม่รู้จักคนนี้ มันจึงทำให้หยางหมิงเซียนเกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่คุ้นชิน แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจ มันกลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและรู้สึกดีด้วยซ้ำ...
หยางหมิงเซียนจ้องมองไปที่ฉากกั้นที่เด็กชายคนนั้นเดินเข้าไปได้สักพัก ก่อนจะถอนสายตากลับมานั่งกินข้าวและกินยาตามที่เด็กชายผู้นั้นสั่งไว้...
จินเฟยเทียนเมื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เขาก็เดินกลับมาที่เตียง ก็ยังคงเห็นหยางหมิงเซียนที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาเหมือนเดิม
‘สงสัยจะยังอายข้าอยู่ เพิ่งรู้นะเนี้ยว่าตัวร้ายวัยเยาว์ของข้าช่างน่าเอ็นดู’
จินเฟยเทียนจึงเดินเลยไปดูชามข้าวกับถ้วยยา ก็เห็นว่า...เด็กชายทำตามที่ตนเองได้บอกเอาไว้ เขาจึงเอื้อมมือไปลูบหัวและบีบแก้มเด็กชายเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปากชม...
“เก่งมาก เด็กดี” จากนั้นจินเฟยเทียนจึงจับบ่าเด็กชายให้กลับลงไปนอน
“นอนหลับได้แล้ว ข้าขอไปจัดการสำรับของตนเองก่อน เดี๋ยวจะขึ้นมานอนด้วย” จินเฟยเทียนพูดจบก็ลุกไปจัดการสำรับของตนเองทันที
หยางหมิงเซียนเมื่อได้รับคำชมแล้วโดนเด็กชายบีบแก้ม มันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกแปลกๆ ขึ้นกว่าเดิม เมื่อก่อนเขาพยายามทำตามที่มารดาหรือบิดาสั่งทุกอย่าง แต่เขาไม่เคยได้รับคำชมเชยเลยสักครั้ง แต่กับคนผู้นี้...เขาก็แค่กินข้าวกินยาตามที่อีกฝ่ายสั่ง กลับได้รับคำชม... ‘มันช่างแปลก...แต่ก็รู้สึกดีจริงๆ’
จินเฟยเทียนหลังจากจัดการกับสำรับของตัวเองเสร็จ เขาก็เดินกลับมาที่เตียงนอน แล้วเห็นว่าหยางหมิงเซียนได้นอนหลับไปแล้ว เขาจึงขึ้นไปนอนข้างๆ เมื่อหนังท้องตึง...แล้วหัวถึงหมอนอีกครั้ง จินเฟยเทียนก็หลับลงไปอย่างง่ายดาย
หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของคนข้างๆ เขาก็ลืมตาของตัวเองขึ้นมา...แล้วหันไปมองเด็กชายที่นอนอยู่ข้างตัวเขา จากนั้นเขาก็เอื้อมมือของตัวเองไปจับมือของเด็กชายผู้นี้เอาไว้ แล้วเขาผล็อยหลับตามคนข้างๆไป ด้วยความรู้สึกที่ว่า...
‘มือของคนผู้นี้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน’
‘ที่นี่ที่ไหน?’ คำถามแรกที่เข้ามาในหัวของไผ่ พอเขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้สี่เสา สภาพห้องคล้ายกับในซีรีส์จีนโบราณที่เขาเคยดูมา...มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วเมื่อเขาลองขยับตัวก็ต้องตกใจ! เพราะมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มานอนหันหลังให้กับเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน เด็กคนนี้ ผมยาว ตัวเล็ก อายุน่าจะประมาณ 9 ขวบ และแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณ ไผ่พยายามพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุด ด้วยเพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นจะตื่น แต่เมื่อเขาเห็นแขนที่สั้นลงของตัวเอง เขาก็รีบพุ่งตัวไปที่กระจกตรงโต๊ะข้างเตียงทันที แล้วเงาที่สะท้อนออกมาให้เขาเห็นนั้น...มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ ‘เด็กคนนี้คือใคร?’ ใบหน้าเรียวเล็กที่ดูซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษ ขาและแขนก็ดูทั้งเล็กทั้งสั้น ผมก็ยาวสยายไปจนถึงกลางหลัง แถมยังใส่ชุดจีนโบราณ อายุก็น่าจะประมาณสัก 10 ขวบ “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ!” ไผ่รีบเอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน ‘อย่าบอกนะว่าเขาทะลุมิติมา?’ ‘ไม่ใช่มั้ง’ ‘หรือจะมีคนแกล้ง?’ ไผ่เลยตัดสินใจนั่งรอ และคอยมองทางซ้ายทีทางขวาทีแต่
พากร แซ่ง้วน หรือไผ่ อายุ 25 ปี เป็นลูกชายคนโตของที่บ้าน ครอบครัวของไผ่เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อกับแม่รับราชการเป็นครูสอนในโรงเรียนแถวบ้าน ไผ่มีน้องชาย 1 คน อายุห่างกัน 8 ปี ไผ่กับน้องชายสนิทกันมาก เนื่องจากพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับพวกเขา ไผ่จึงรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่วันที่น้องชายเขาเกิด เมื่อไผ่อายุครบ 19 ปี ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตของเขา เขาได้สูญเสียทั้งพ่อ แม่ และน้องชายไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ญาติพี่น้องที่เคยมีก็ขาดการติดต่อ ไร้ซึ่งการเหลียวแล ปล่อยให้ไผ่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไผ่เริ่มต้นการใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยอาศัยเงินประกันที่พ่อกับแม่ได้ทำทิ้งเอาไว้ให้กับเขา พร้อมกันนั้นไผ่ก็เริ่มออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำ...จนเขาสามารถส่งเสียตัวเองเรียนจนจบได้ และโชคดีที่เมื่อไผ่เรียนจบ...เขาก็ได้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากที่ไผ่สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตมาได้ เขาก็ได้กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่น ใช้ชีวิตเรียบง่าย เช้าตื่นไปทำงานเย็นเลิกงานกลับบ้าน วันไหนไม่ได้ไปทำ
“คุณชายใหญ่ ตื่นแล้วหรือขอรับ” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาไผ่ในห้อง ในมือของอีกฝ่ายมีถาดใส่อ่างล้างหน้ากับชุดน้ำชา เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างผอมสูงอายุก็น่าจะมากกว่าร่างที่ไผ่เข้ามาอาศัยอยู่ตอนนี้ หลังจากที่ไผ่ได้นั่งทบทวนความทรงจำของตนเองมาได้สักพัก เวลานี้เขาจะต้องรีบทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า และเมื่อไผ่เริ่มสงบใจของตัวเองได้แล้ว เขาจึงพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง แล้วดึงเอาคำพูดโบราณที่เขามักจะใช้ในการเขียนนิยายมาลองพูด เพื่อใช้ตอบคำถามของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ข้า...ข้าเพิ่งตื่น” เมื่อพูดจบไผ่ก็สังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้า และเมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขาก็เริ่มรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองสามารถสื่อสารกับคนที่นี่ได้ “คุณชายใหญ่ขอรับ บ่าวไปสอบถามองครักษ์ด้านนอกมาแล้ว เราคงซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้อีกแค่สองวันนะขอรับ หากนานกว่านี้เกรงว่าพวกนักฆ่าอาจไล่ตามเรามาทันขอรับ” หยงหม่าพูดพร้อมกับลอบมองสีหน้าของผู้เป็นนายไปด้วย เมื่อไผ่ได้ยินเรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูด และได้เห็นแววตาที
เสียงครางและเสียงหอบหายใจ เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบา ของเด็กชายบนเตียงเรียกให้จินเฟยเทียนคนใหม่ตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง จินเฟยเทียนหันกลับมาสนใจเด็กชายบนเตียงอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปจับเด็กชายให้นอนหงาย แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสโดนร่างกายของเด็กชาย มันก็ทำให้เขาไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป... จินเฟยเทียนรีบเอื้อมมือไปหยิบผ้าสะอาดมาชุบน้ำในอ่างล้างหน้าแล้วบิดจนหมาด จากนั้นก็นำไปเช็ดตามหน้าตาและเนื้อตัวของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์ เมื่อเช็ดตัวเสร็จเขาจึงประคองอีกฝ่ายขึ้นมาพิงกับอกของตัวเองไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปรินน้ำใส่ถ้วยชา ก่อนจะนำมาป้อนให้เด็กชายอย่างช้าๆ เพื่อเป็นการระบายความร้อน แล้วเมื่อให้เด็กชายดื่มน้ำเสร็จแล้ว เขาจึงทำการเปลี่ยนชุดให้กับอีกฝ่ายด้วยเสื้อผ้าที่เขาค้นเจอในห้อง และเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาจึงประคองเด็กชายให้กลับลงไปนอนห่มผ้าเหมือนเดิม จากนั้นจินเฟยเทียนจึงเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศในห้องถ่ายเทได้สะดวกมากขึ้น อาการของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เมื่อเห็นดังนั้นจินเฟยเทียนจึงกลับมาดูแลร่างกายที่ตัวเองอาศัยอยู่บ้าง เมื่อดูแลร่างกายขอ
จินเฟยเทียนก้มมองมือของตนเอง และยามนี้เขาได้ข้อสรุปให้กับตัวเองแล้ว คือ...เขาจะทำตามเรื่องราวที่ตัวเองแต่ง เพื่อให้นิยายได้ดำเนินต่อไปตามที่มันควรจะเป็น เขาถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่ง เป็นการเคารพต่อบทบาทของตัวละคร และที่สำคัญหากเขาตายจากที่นี่ เขาอาจจะได้กลับไปยังโลกของตนเอง แต่ถ้าเขาตายแล้วตายเลย ก็ถือเสียว่า...เป็นคราวซวยของเขาแล้วกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นจินเฟยเทียนจึงขานรับ แล้วหยงหม่าก็เดินถือถาดใส่สำรับของเขา และข้าวต้มกับยาของคนป่วยเข้ามา พร้อมกับมาแจ้งเรื่องที่พวกเขาจะต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ถึงจินเฟยเทียนจะรู้ดีว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงตอบรับคำของหยงหม่าเท่านั้น ในระหว่างที่จินเฟยเทียนนั่งรอหยงหม่าจัดวางสำรับให้เขาอยู่นั้น เขาก็คิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ในตอนที่เขาเปลี่ยนชุดของตนเอง เขาได้เจอกับถุงเงินของจินเฟยเทียนคนเก่า ด้านในถุงนั้นมีเงินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวเขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ดังนั้นเขาควรจะมอบมันให้กับหยงหม่าและหยางหมิงเซียน ถือเสียว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เขาพอจะทำก็ได้แล้วกัน “อาหม่า เจ้าช่วยนำเงินในถุงนี้ไ
เมื่อท้องฟ้ามืดลง...หยงหม่าที่ยืนเคาะประตูเรียกผู้เป็นนายอยู่หน้าห้องมาได้สักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับกลับมา เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง... แล้วเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง หยงหม่าก็เห็นผู้เป็นนายนอนหลับอยู่บนเตียงข้างเด็กชายที่มาสลบอยู่ที่ข้างเรือนของเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจที่ผู้เป็นนายต้องมาคอยดูแลเด็กที่ไหนก็ไม่รู้...แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อผู้เป็นนายออกปากจะเป็นผู้ดูแลเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง หยงหม่าเมื่อเห็นผู้เป็นนายยังนอนหลับอยู่ เขาจึงถอยออกไปจากห้องเพื่อออกไปเตรียมน้ำสำหรับอาบกับสำรับไว้รอผู้เป็นนายตื่น และเขายังต้องออกไปเตรียมข้าวต้มกับยาของเด็กคนนั้นเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจทำ...แต่เขาก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว หยางหมิงเซียนจึงลืมตาขึ้น เขารู้สึกตัว...ตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่แกล้งหลับต่อไป ตอนนี้ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงกล้าลืมตาขึ้นมามองสำรวจที่ที่เขาอยู่ และจ้องมองเด็กชายที่นอนอยู่ข้างตัวเขา ‘นี่ข้ามานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’ ‘แล้วเด็ก
ส่วนจินเฟยเทียนก็ยังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ได้หันมาสนใจปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กชายตรงหน้าเลย “เด็กน้อยเจ้าหิวข้าวแล้วหรือไม่? หรือเจ้าจะไปอาบน้ำก่อน? แต่...เจ้าเพิ่งฟื้นตัวจากไข้ เจ้าก็คงยังอาบน้ำไม่ได้ งั้นข้าเช็ดตัวให้เจ้าก่อนดีกว่า...แล้วค่อยให้เจ้ากินข้าวกินยา” จินเฟยเทียนพูดเองตอบเอง แล้วจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปเตรียมของ แต่ก็ถูกหยางหมิงเซียนเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่เด็กชายตรงหน้าพูด เขาก็พยายามจะเอ่ยโต้แย้ง แต่ด้วยเสียงที่ออกมากลับแหบแห้งไม่เป็นคำ เขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า...แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมมองมาที่เขาเลย “เด็กน้อย...ตอนนี้ร่างกายของเจ้ามีแต่เหงื่อ ยังไงเจ้าก็ต้องเช็ดตัวเปลี่ยนชุด เจ้าจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น หรือว่า...เจ้าอายข้า” จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนพยายามปฏิเสธในสิ่งที่เขาจะทำให้ เขาจึงพยายามอธิบายและสังเกตปฏิกิริยาของเด็กชายตรงหน้าไปด้วย แล้วเขาก็ได้เห็นแก้มของเด็กชายที่เริ่มแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วมันไม่น่าจะเกิดจากพิษไข้ หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลงจนแทบจะติดเตียง ‘หึๆ
เมื่อท้องฟ้ามืดลง...หยงหม่าที่ยืนเคาะประตูเรียกผู้เป็นนายอยู่หน้าห้องมาได้สักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับกลับมา เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง... แล้วเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง หยงหม่าก็เห็นผู้เป็นนายนอนหลับอยู่บนเตียงข้างเด็กชายที่มาสลบอยู่ที่ข้างเรือนของเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจที่ผู้เป็นนายต้องมาคอยดูแลเด็กที่ไหนก็ไม่รู้...แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อผู้เป็นนายออกปากจะเป็นผู้ดูแลเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง หยงหม่าเมื่อเห็นผู้เป็นนายยังนอนหลับอยู่ เขาจึงถอยออกไปจากห้องเพื่อออกไปเตรียมน้ำสำหรับอาบกับสำรับไว้รอผู้เป็นนายตื่น และเขายังต้องออกไปเตรียมข้าวต้มกับยาของเด็กคนนั้นเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจทำ...แต่เขาก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว หยางหมิงเซียนจึงลืมตาขึ้น เขารู้สึกตัว...ตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่แกล้งหลับต่อไป ตอนนี้ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงกล้าลืมตาขึ้นมามองสำรวจที่ที่เขาอยู่ และจ้องมองเด็กชายที่นอนอยู่ข้างตัวเขา ‘นี่ข้ามานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’ ‘แล้วเด็ก
จินเฟยเทียนก้มมองมือของตนเอง และยามนี้เขาได้ข้อสรุปให้กับตัวเองแล้ว คือ...เขาจะทำตามเรื่องราวที่ตัวเองแต่ง เพื่อให้นิยายได้ดำเนินต่อไปตามที่มันควรจะเป็น เขาถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่ง เป็นการเคารพต่อบทบาทของตัวละคร และที่สำคัญหากเขาตายจากที่นี่ เขาอาจจะได้กลับไปยังโลกของตนเอง แต่ถ้าเขาตายแล้วตายเลย ก็ถือเสียว่า...เป็นคราวซวยของเขาแล้วกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นจินเฟยเทียนจึงขานรับ แล้วหยงหม่าก็เดินถือถาดใส่สำรับของเขา และข้าวต้มกับยาของคนป่วยเข้ามา พร้อมกับมาแจ้งเรื่องที่พวกเขาจะต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ถึงจินเฟยเทียนจะรู้ดีว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงตอบรับคำของหยงหม่าเท่านั้น ในระหว่างที่จินเฟยเทียนนั่งรอหยงหม่าจัดวางสำรับให้เขาอยู่นั้น เขาก็คิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ในตอนที่เขาเปลี่ยนชุดของตนเอง เขาได้เจอกับถุงเงินของจินเฟยเทียนคนเก่า ด้านในถุงนั้นมีเงินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวเขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ดังนั้นเขาควรจะมอบมันให้กับหยงหม่าและหยางหมิงเซียน ถือเสียว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เขาพอจะทำก็ได้แล้วกัน “อาหม่า เจ้าช่วยนำเงินในถุงนี้ไ
เสียงครางและเสียงหอบหายใจ เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบา ของเด็กชายบนเตียงเรียกให้จินเฟยเทียนคนใหม่ตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง จินเฟยเทียนหันกลับมาสนใจเด็กชายบนเตียงอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปจับเด็กชายให้นอนหงาย แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสโดนร่างกายของเด็กชาย มันก็ทำให้เขาไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป... จินเฟยเทียนรีบเอื้อมมือไปหยิบผ้าสะอาดมาชุบน้ำในอ่างล้างหน้าแล้วบิดจนหมาด จากนั้นก็นำไปเช็ดตามหน้าตาและเนื้อตัวของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์ เมื่อเช็ดตัวเสร็จเขาจึงประคองอีกฝ่ายขึ้นมาพิงกับอกของตัวเองไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปรินน้ำใส่ถ้วยชา ก่อนจะนำมาป้อนให้เด็กชายอย่างช้าๆ เพื่อเป็นการระบายความร้อน แล้วเมื่อให้เด็กชายดื่มน้ำเสร็จแล้ว เขาจึงทำการเปลี่ยนชุดให้กับอีกฝ่ายด้วยเสื้อผ้าที่เขาค้นเจอในห้อง และเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาจึงประคองเด็กชายให้กลับลงไปนอนห่มผ้าเหมือนเดิม จากนั้นจินเฟยเทียนจึงเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศในห้องถ่ายเทได้สะดวกมากขึ้น อาการของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เมื่อเห็นดังนั้นจินเฟยเทียนจึงกลับมาดูแลร่างกายที่ตัวเองอาศัยอยู่บ้าง เมื่อดูแลร่างกายขอ
“คุณชายใหญ่ ตื่นแล้วหรือขอรับ” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาไผ่ในห้อง ในมือของอีกฝ่ายมีถาดใส่อ่างล้างหน้ากับชุดน้ำชา เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างผอมสูงอายุก็น่าจะมากกว่าร่างที่ไผ่เข้ามาอาศัยอยู่ตอนนี้ หลังจากที่ไผ่ได้นั่งทบทวนความทรงจำของตนเองมาได้สักพัก เวลานี้เขาจะต้องรีบทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า และเมื่อไผ่เริ่มสงบใจของตัวเองได้แล้ว เขาจึงพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง แล้วดึงเอาคำพูดโบราณที่เขามักจะใช้ในการเขียนนิยายมาลองพูด เพื่อใช้ตอบคำถามของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ข้า...ข้าเพิ่งตื่น” เมื่อพูดจบไผ่ก็สังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้า และเมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขาก็เริ่มรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองสามารถสื่อสารกับคนที่นี่ได้ “คุณชายใหญ่ขอรับ บ่าวไปสอบถามองครักษ์ด้านนอกมาแล้ว เราคงซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้อีกแค่สองวันนะขอรับ หากนานกว่านี้เกรงว่าพวกนักฆ่าอาจไล่ตามเรามาทันขอรับ” หยงหม่าพูดพร้อมกับลอบมองสีหน้าของผู้เป็นนายไปด้วย เมื่อไผ่ได้ยินเรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูด และได้เห็นแววตาที
พากร แซ่ง้วน หรือไผ่ อายุ 25 ปี เป็นลูกชายคนโตของที่บ้าน ครอบครัวของไผ่เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อกับแม่รับราชการเป็นครูสอนในโรงเรียนแถวบ้าน ไผ่มีน้องชาย 1 คน อายุห่างกัน 8 ปี ไผ่กับน้องชายสนิทกันมาก เนื่องจากพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับพวกเขา ไผ่จึงรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่วันที่น้องชายเขาเกิด เมื่อไผ่อายุครบ 19 ปี ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตของเขา เขาได้สูญเสียทั้งพ่อ แม่ และน้องชายไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ญาติพี่น้องที่เคยมีก็ขาดการติดต่อ ไร้ซึ่งการเหลียวแล ปล่อยให้ไผ่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไผ่เริ่มต้นการใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยอาศัยเงินประกันที่พ่อกับแม่ได้ทำทิ้งเอาไว้ให้กับเขา พร้อมกันนั้นไผ่ก็เริ่มออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำ...จนเขาสามารถส่งเสียตัวเองเรียนจนจบได้ และโชคดีที่เมื่อไผ่เรียนจบ...เขาก็ได้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากที่ไผ่สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตมาได้ เขาก็ได้กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่น ใช้ชีวิตเรียบง่าย เช้าตื่นไปทำงานเย็นเลิกงานกลับบ้าน วันไหนไม่ได้ไปทำ
‘ที่นี่ที่ไหน?’ คำถามแรกที่เข้ามาในหัวของไผ่ พอเขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้สี่เสา สภาพห้องคล้ายกับในซีรีส์จีนโบราณที่เขาเคยดูมา...มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วเมื่อเขาลองขยับตัวก็ต้องตกใจ! เพราะมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มานอนหันหลังให้กับเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน เด็กคนนี้ ผมยาว ตัวเล็ก อายุน่าจะประมาณ 9 ขวบ และแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณ ไผ่พยายามพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุด ด้วยเพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นจะตื่น แต่เมื่อเขาเห็นแขนที่สั้นลงของตัวเอง เขาก็รีบพุ่งตัวไปที่กระจกตรงโต๊ะข้างเตียงทันที แล้วเงาที่สะท้อนออกมาให้เขาเห็นนั้น...มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ ‘เด็กคนนี้คือใคร?’ ใบหน้าเรียวเล็กที่ดูซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษ ขาและแขนก็ดูทั้งเล็กทั้งสั้น ผมก็ยาวสยายไปจนถึงกลางหลัง แถมยังใส่ชุดจีนโบราณ อายุก็น่าจะประมาณสัก 10 ขวบ “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ!” ไผ่รีบเอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน ‘อย่าบอกนะว่าเขาทะลุมิติมา?’ ‘ไม่ใช่มั้ง’ ‘หรือจะมีคนแกล้ง?’ ไผ่เลยตัดสินใจนั่งรอ และคอยมองทางซ้ายทีทางขวาทีแต่