จินเฟยเทียนถึงจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขากลับรับมือกับมันไม่ได้เลย...
จินเฟยเทียนที่ยามนี้ทำได้เพียงยืนมองไห่เฟิงกวัดแกว่งดาบรับมือกับนักฆ่าถึงสองคน และยืนมองหยงหม่าที่ถูกนักฆ่าซัดฝ่ามือใส่จนร่างกระเด็นไปสลบอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ตอนนี้น้ำตาของเขาก็เริ่มไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว
จินเฟยเทียนพยายามจะเดินเข้าไปหาหยงหม่า แต่นักฆ่าที่ซัดฝ่ามือใส่หยงหม่ากลับเดินเข้ามาขวางเขาเอาไว้ แล้วนักฆ่าคนนั้นก็เดินย่างสามขุมเข้ามาหาจินเฟยเทียนอย่างช้าๆ
ไห่เฟิงที่เห็นหยงหม่าพลาดท่าให้กับนักฆ่าไปแล้ว และตอนนี้นักฆ่าคนนั้นก็กำลังจะเข้าไปทำร้ายผู้เป็นนายของเขา เขาจึงพยายามสลัดนักฆ่าสองคนที่พยายามจู่โจมเขาเพื่อเข้าไปปกป้องผู้เป็นนาย แต่เขาก็ไม่สามารถหลุดออกไปจากการต่อสู้ตรงหน้าได้เลย
จินเฟยเทียนพยายามก้าวถอยหลัง เพื่อรักษาระยะห่างจากนักฆ่าโดยให้หยางหมิงเซียนหลบไปอยู่ด้านหลังของตนเองอีกที
“คุณชายใหญ่! ท่านช่างตายยากตายเย็นเสียจริง ท่านน่าจะตายไปพร้อมกับมารดาของท่านที่ชายป่า ท่านไม่ควรกระเสือกกระสนมาตายไกลถึงที่นี่เลยนะขอรับ ท่านทำให้พวกข้าต้องมาเสียเวลาออกตามหาท่านแบบนี้”
นักฆ่าคนนั้นกล่าวจบก็ก้าวเข้าไปหาจินเฟยเทียนเรื่อยๆ ส่วนจินเฟยเทียนที่เห็นดังนั้นก็พยายามมองไปรอบห้องเผื่อจะเจอทางรอดให้กับพวกตัวเองบ้าง
“หึ! คุณชายใหญ่ท่านกำลังมองหาอะไร หรือท่านกำลังหวังจะให้ใคร...มาช่วยท่านอย่างนั้นหรือ?”
“แต่ข้าว่า...ตอนนี้ท่านควรตายตามมารดาท่านไปได้แล้ว เพราะพวกข้าเบื่อที่จะเล่นวิ่งไล่จับกับท่านแล้ว” เมื่อนักฆ่าพูดจบก็เงื้อดาบในมือขึ้นเตรียมที่จะฟันลงมายังจินเฟยเทียน
จินเฟยเทียนเมื่อเห็นดังนั้นเขาก็รีบหันหลังแล้วดึงหยางหมิงเซียนเข้ามากอดเอาไว้ เพราะเขาหวังว่าร่างกายนี้ของเขาคงสามารถกันไม่ให้ดาบไปโดนตัวเด็กชายตัวน้อยข้างหลังเขาไปด้วย
‘คงถึงเวลาของข้าแล้วซินะ’
จินเฟยเทียนหลับตาของตัวเองลงเพื่อเตรียมรับคมดาบที่กำลังจะฟันลงมา...
แต่ผ่านมาได้สักพักเขาก็ยังไม่รู้สึกถึงคมดาบที่ควรจะฟันลงมาโดนตัวเขา แต่เขากลับรู้สึกถึงหยดน้ำที่หยดลงมาโดนแผ่นหลังของเขาแทน
จินเฟยเทียนจึงลืมตาของตัวเองขึ้น แล้วหันกลับไปมองที่ด้านหลังของเขา แล้วเขาก็ต้องตกใจ! เมื่อเห็นหยงหม่ายืนหันหลังให้เขาอยู่...หยงหม่าที่ควรจะสลบอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง แต่ยามนี้กลับเข้ามารับคมดาบแทนเขา
จินเฟยเทียนเดินเข้าไปหาหยงหม่า...เขาเห็นมือของอีกฝ่ายจับดาบที่เสียบเข้าไปยังท้องของนักฆ่า และเมื่อเขามองที่ตัวของหยงหม่า...เขาก็เห็นบาดแผลจากดาบที่ฟันพาดยาวตั้งแต่ไหล่มาจนถึงกลางอก
หยงหม่าดึงดาบออกจากร่างของนักฆ่า แล้วถีบร่างนั้นลงไปกองกับพื้น จากนั้นเขาก็ทรุดตัวลงไปนั่งด้วยการชันเข่าลงไปข้างนึงแล้วใช้ดาบยันพื้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้ร่างกายของตัวเองทรุดลงไปกอง...
“อาหม่า เจ้า...ฮือๆๆๆ”
จินเฟยเทียนพูดอะไรต่อไม่ออก ยามนี้เขาทำได้เพียงเดินเข้าไปหยงหม่า...แล้วเอาชายเสื้อของตัวเองพยายามซับเลือดที่กำลังไหลซึมออกมาจากบาดแผลของหยงหม่า โดยมีหยางหมิงเซียนคอยยืนอยู่ข้างๆ
ไห่เฟิงเมื่อจัดการนักฆ่าทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบเดินเข้าไปหาผู้เป็นนาย
จินเฟยเทียนเมื่อเห็นไห่เฟิงเดินเข้ามาหาตน เขาก็รีบเรียกหาอีกฝ่ายทันที
“อาไห่! ช่วยอาหม่าด้วย ฮือๆ”
ไห่เฟิงเห็นผู้เป็นนายพยายามเรียกหาเขา...ในขณะที่ตัวเองกำลังยืนร้องไห้พร้อมกับซับเลือดให้หยงหม่าก็ทำให้เขารู้สึกสงสาร แต่พอเขาหันไปมองที่หยงหม่า ตอนนี้อีกฝ่ายก็หันหน้ามามองที่เขาอยู่พอดี แล้วหยงหม่าก็พยายามสื่อความหมายให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เจ้าตัวต้องการบอก...
หยงหม่าตอนนี้กำลังมองผู้เป็นนายที่ยืนร้องไห้และคอยซับเลือดให้กับเขา แล้วยังพยายามที่จะเรียกหาไห่เฟิงให้เข้ามาช่วยเขา...มันทำให้เขาทั้งรู้สึกซึ้งใจและรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก เพราะตัวเขาในยามนี้ไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะเอ่ยปากปลอบผู้เป็นนายด้วยซ้ำ เขาจึงทำได้เพียงหันไปส่ายหน้าให้ไห่เฟิงแล้วหันกลับมามองที่ผู้เป็นนาย จากนั้นก็หันกลับไปพยักหน้าให้ไห่เฟิง...โดยที่พวกเขารู้ความหมายของสัญญาณที่ส่งให้กัน
“คุณชายใหญ่ขอรับ เราต้องรีบหนีกันแล้วขอรับ...ข้าต้องขอโทษด้วยนะขอรับ” ไห่เฟิงพูดจบก็เอื้อมมือไปอุ้มจินเฟยเทียนและหยางหมิงเซียนด้วยแขนคนละข้าง
“เดี๋ยว...แล้วอาหม่าล่ะ อาไห่! พาอาหม่าไปด้วย!!”
จินเฟยเทียนมองไปทางหยงหม่าที่กำลังกระอักเลือด แต่พยายามที่จะเงยหน้าขึ้นมาส่ายหน้าให้กับเขาอย่างช้าๆ
“อาหม่าไปต่อไม่ไหวแล้วขอรับ”
“คุณชายใหญ่ขอรับ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วขอรับ” ไห่เฟิงกัดฟันใช้ลมปราณส่วนที่เหลือรีบพาผู้เป็นนายกับเด็กชายอีกคนพุ่งตัวออกไปทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ทันที
จินเฟยเทียนที่ยังคงมองเข้าไปในห้องและพยายามดิ้นให้หลุดออกจากแขนของไห่เฟิงเพื่อกลับลงไปช่วยหยงหม่า แต่เขากลับเห็นหยงหม่าพยายามที่จะส่ายหน้าแล้วยกยิ้มขึ้นมาให้กับเขา และหลังจากนั้นเขาก็เห็นหยงหม่ากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น
“อาหม่า!!! ม่ายยย”
“ทำไม... ฮือ ฮือออ”
‘ทำไมถึงทำแบบนี้’
หยงหม่ายิ้มส่งผู้เป็นนายของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะทรุดตัวลงไปนอนกับพื้นอย่างสุดฝืน
ชีวิตของเขาตอนนี้ช่างคุ้มแล้ว เขาสามารถปกป้องผู้เป็นนายได้ด้วยชีวิตของตัวเขาเอง...เขาสามารถรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับตัวเองและนายท่านได้แล้ว แม้ว่าเขาจะเสียดายที่ต่อจากนี้เขาจะไม่สามารถอยู่ข้างกาย คอยดูแล และคอยปกป้องผู้เป็นนายได้อีกแล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงแต่หวัง...หวังเพียงให้ไห่เฟิงคุ้มครองผู้เป็นนายหนีรอดออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น
หยงหม่าหลับตาของตัวเองลงอย่างช้าๆ แล้วฝากคำลาของเขาถึงผู้เป็นนายไปกับสายลม...
‘ลาก่อนขอรับ คุณชายใหญ่’
ในป่าท้ายหมู่บ้านยามนี้มีเงาดำสี่สายกำลังพุ่งตัวตามเงาดำสายหนึ่งอยู่... ไห่เฟิงหลังจากพาจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนหลบหนีออกมาจากเรือนของหยงหม่าได้ เขาก็รีบพาคนทั้งคู่เข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้าน โดยใช้วิชาตัวเบาสลับกับการเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ เพื่ออาศัยความมืดในการพรางตัวเนื่องจากไห่เฟิงได้สูญเสียลมปราณไปกับการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมาไม่น้อย จึงทำให้เขาในยามนี้ต้องใช้พลังกายและพยายามดึงเอาลมปราณส่วนที่ยังเหลือออกมาใช้ เพื่อพาผู้เป็นนายหลบหนีจากกลุ่มนักฆ่าให้เร็วที่สุด ไห่เฟิงที่รับรู้ว่ายามนี้มีกลุ่มคนกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ เขาจึงกระซิบบอกผู้เป็นนายในอ้อมแขนของตัวเองเบาๆ “คุณชายใหญ่ขอรับ ตอนนี้พวกเรากำลังถูกติดตามจากพวกนักฆ่า คุณชายใหญ่สงบลงก่อนนะขอรับ” จินเฟยเทียนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับ แล้วพยายามสงบใจของตัวเองลง จากนั้นเขาก็พยายามกลั้นสะอื้นเพื่อไม่ให้มีเสียงหลุดลอดออกมาได้
จินเฟยเทียนจากที่จะเตรียมตัวทำตามสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ ก็ต้องหันกลับลงมามองหยางหมิงเซียนที่ยามนี้อีกฝ่ายเอื้อมมือมากอดตัวเขาเอาไว้จนแน่น “เด็กน้อยเจ้า...” “เจ้าไม่กลัวตายหรือ...คนพวกนั้นหวังเอาชีวิตข้าไม่ใช่ชีวิตเจ้า ข้าไม่ต้องการจะให้ใครต้องมาตายเพื่อข้าอีกแล้ว” จินเฟยเทียนพูดทั้งน้ำตาและพยายามแกะมือของเด็กชายที่กำลังกอดเขาอยู่ออก หยางหมิงเซียนพยายามกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาไม่คิดจะปล่อยมือจากคนผู้นี้ เขารู้ว่าหากทำแบบนี้...เขาอาจจะต้องตายไปพร้อมกับคนตรงหน้า แต่จะให้เขาทิ้งอีกฝ่ายไปเพื่อหนีเอาตัวรอดเขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ คนผู้นี้เข้ามาปกป้องเขาจากอันตราย คอยดูแล คอยเอาใจใส่เขา แบบที่ตัวเขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน และยามนี้คนตรงหน้าก็ยังพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อแลกกับชีวิตของเด็กที่ไม่มีใครต้องการแบบเขาอีก จินเฟยเทียนเมื่อโดนหยางหมิงเซียนกอดแน่นขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาต้องกา
แสงของดวงอาทิตย์ส่องเข้ามากระทบร่างของเด็กชายสองคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้หลังพุ่มไม้ใหญ่ จินเฟยเทียนรู้สึกได้ถึงแสงที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้าของตนเอง เขาจึงพยายามลืมตาที่หนักอึ้งและปูดบวมของเขาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นสภาพของตัวเองที่กำลังนอนซบอยู่กับบ่าน้อยๆ ของหยางหมิงเซียนและไหนจะแขนขาของเขาที่กำลังกอดก่ายอีกฝ่ายอยู่ แล้วยังมีแขนของเด็กชายที่พาดอยู่ที่เอวของเขาอีก... จินเฟยเทียนค่อยๆ ยกแขนของหยางหมิงเซียนออกจากเอวของเขา จากนั้นเขาก็ยกแขนยกขาแล้วเอาตัวเองลุกขึ้นจากตัวของอีกฝ่ายให้เบาที่สุด ถึงแม้ทั้งเขาและหยางหมิงเซียนจะเป็นเด็กผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แต่มานอนกอดกันแบบนี้มันก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล ‘แต่มาลองคิดดูอีกที...ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนอนกอดกับผู้ชายเสียเมื่อไหร่! กับน้องชายของเขาก็เคยนอนกอดแล้วหลับไปพร้อมกันออกบ่อยไป’ เมื่อคิดได้ดังนั้นจินเฟยเทียนก็ลุกขึ้นไปจัดท่านอนให้หยางหม
หยางหมิงเซียนที่แกล้งหลับแต่คอยแอบมองเด็กชายอยู่ตลอดเวลา...เขาได้เห็นว่าอีกฝ่ายเดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็ฮึดสู้ จากนั้นอีกฝ่ายก็กลับไปนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วเขาก็เห็นอีกฝ่ายเดี๋ยวก็นั่งขมวดคิ้วคิดหนักบ้าง ทำหน้าตึงเครียดบ้าง ถอนหายใจอยู่คนเดียวบ้าง นี่ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม...แต่อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าออกมาหลากหลาย จนคนแอบมองอย่างเขาอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไปมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายไม่นั่งจมอยู่กับความเศร้า จินเฟยเทียนหลังจากนั่งใช้ความคิดอยู่นาน เขาก็คิดได้ว่า...สิ่งแรกที่เขาควรทำก็คือการพาหยางหมิงเซียนไปตามทางที่ไห่เฟิงได้บอกเอาไว้เสียก่อน เพื่อที่พวกเขาจะได้หาทางเข้าหมู่บ้าน จากนั้นเขาค่อยกลับมาคิดเรื่องหลังจากนั้นอีกที... หยางหมิงเซียนที่เห็นว่าเด็กชายเริ่มหันมามองทางเขาบ่อยครั้งขึ้น เขาจึงลืมตาของตัวเองขึ้น ขยับตัว แล้วลุกขึ้นมานั่ง จินเฟยเทียนที่หัน
จินเฟยเทียนพาหยางหมิงเซียนเดินลัดเลาะต้นไม้ในป่า ไปทางทิศตะวันออกตามที่ไห่เฟิงบอกไว้ โดยอาศัยดวงอาทิตย์ในการนำทาง ซึ่งในระหว่างที่ทั้งสองคนเดินทางด้วยกันนั้น หยางหมิงเซียนก็ยังคงจับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อย ทำให้จินเฟยเทียนที่เข้าใจว่าหยางหมิงเซียนยังคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ จึงหันไปเอ่ยปลอบเด็กชายตัวน้อยข้างกาย “หมิงเซียน เจ้าไม่ต้องกลัวนะ...จากนี้ไปเจ้าจะมีเฟยเกออยู่เคียงข้าง คอยดูแลและคอยปกป้องเจ้าเอง” หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่จินเฟยเทียนพูด เขาก็หันหน้ากลับไปมองที่อีกฝ่ายทันที ยามนี้เขารู้สึกว่านัยน์ตาของเขาเริ่มร้อนผ่าว เขาจึงรีบก้มหน้าลง... “เฟยเกอ ท่านพูด...” หยางหมิงเซียนที่คิดจะเอ่ยถามว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นจริงหรือไม่? แต่เขาเองก็เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาโดยวัดได้จากสิ่งที่จินเฟยเทียนทำให้เขาเห็นเมื่อคืน เขาจึงไม่คิดจะเอ่ยคำถามต่อจนจบ ยามนี้หยางหมิงเซียนรู
จินเฟยเทียนเมื่อขึ้นมาบนฝั่งแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในป่าที่อยู่ข้างแม่น้ำไม่ไกลจากบริเวณที่พวกเขาลงไปล้างตัวมากนัก เพื่อให้หยางหมิงเซียนที่ตามขึ้นมาทีหลังจะได้หาเขาเจอได้ง่าย จินเฟยเทียนเมื่อเดินเข้ามาในป่าเขาก็รีบหาจุดที่พอจะให้พวกเขาทั้งสองคนใช้นอนในคืนนี้ได้ เนื่องจากตอนนี้น่าจะเข้าปลายยามเซินแล้ว (ยามเซิน เวลา 15:00 - 16:59 น.) ดังนั้นพวกเขาควรที่จะหยุดพักเอาแรงกันก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น จินเฟยเทียนเดินหาไม่นานเขาก็เจอกับต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขาสามารถใช้นอนพักในคืนนี้ได้ เมื่อเจอบริเวณที่พอจะปลอดภัยแล้ว จินเฟยเทียนจึงเดินเข้าไปเอาชุดที่ซักเรียบร้อยแล้วของพวกเขาไปผึ่งลมตามต้นไม้ต้นเล็กๆ ในบริเวณนั้นทันที จากนั้นเขาก็เดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งมาก่อเป็นกองเตรียมจุดไฟไว้รอหยางหมิงเซียน แล้วจินเฟยเทียนก็หยิบเอากิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่มาวางเป็นฐานแล้วนำกิ่งไม้ที่มีขนาดเล็กกว่ามาปั่นลงตรงกึ่งกลางของฐานไม้ที่เขาวางเอาไว้ จากนั้นจินเฟยเทียนก็เห็นหยางหมิงเซียน
‘เอ๊ะ! ที่นี่ที่ไหน?’ จินเฟยเทียนที่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพียงความมืดมิดและความว่างเปล่า รอบตัวเขาไม่มีสิ่งใดอยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว จินเฟยเทียนพยายามเพ่งสายตามองไปรอบๆ เผื่อว่าเขาจะเจอทางออกที่สามารถใช้ออกไปจากที่นี่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่กลัวการที่ต้องอยู่เพียงตัวคนเดียว แต่เขากลับกลัวความมืดมิด ความอ้างว้าง และความว่างเปล่าแบบที่นี่ เขาจึงพยายามมองไปรอบตัวให้มากที่สุด จนเขามองเห็นเงาดำที่มีรูปร่างเหมือนคนยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่ตอนนี้มากนัก จินเฟยเทียนจึงตัดสินใจค่อยๆ เดินเข้าไปหาเงานั้นช้าๆ แล้วเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้เงานั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เห็นว่าเงานั้นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่เพียงลำพังเหมือนกันกับเขา แต่ทำไมยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับรูปร่างและการแต่งกายของเด็กหนุ่มตรงหน้านัก จินเฟยเทียนที่ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น จนยามนี้เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ...
หยางหมิงเซียนที่เห็นจินเฟยเทียนนอนละเมอไม่ได้สติแบบนี้ มันทำให้เขานึกไปถึงบิดาของตัวเองขึ้นมา เขาคิดไปถึงวันสุดท้ายที่ตัวเขาได้อยู่กับบิดา ก่อนที่บิดาจะทิ้งเขาไว้ให้อยู่เพียงลำพัง หยางหมิงเซียนจำวันนั้นได้ดี...เป็นวันที่เขาย้ายตัวเองเข้าไปนอนห้องเดียวกับบิดา หลังจากที่มารดาหนีออกไปจากเรือน ทิ้งให้เขาอยู่กับบิดาเพียงแค่สองคน บิดาหลังจากที่รู้เรื่องมารดาหนีออกจากเรือนไป วันๆก็แทบไม่ยอมกินข้าว กินยา จนร่างกายทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ ส่วนเขาก็ต้องคอยดูแลทั้งงานบ้าน ทั้งบิดา และรับงานเล็กๆน้อยๆที่ชาวบ้านหยิบยื่นมาให้เขาทำด้วยความสงสาร เพื่อแลกกับเงินและอาหารที่พอจะใช้ประทังชีวิตพวกเขาสองพ่อลูกได้ในแต่ละวัน คืนนั้นหลังจากที่หยางหมิงเซียนจัดการงานบ้านและปิดเรือนจนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในห้องของบิดา แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าข้างบิดาที่หลับไปแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หยางหมิงเซียนที่หลับไปได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อบิดาของเขาละเมอร้องไห้ออกมาและพยายามเอื้อมมือไปไขว่คว้าบางอย่าง ส่วนปากก
“เจ้ามาอีกแล้วหรือหลวนคุน พักนี้เจ้ามาที่นี่บ่อยเกินไปหรือไม่?” “พักนี้ข้าว่างเลยแวะมาเยี่ยมสหายอย่างพวกเจ้าไม่ได้หรือ...” จินเฟยเทียนหลุดจากภวังค์ความคิด เมื่อได้ยินเสียงคนทะเลาะกันหน้าห้องพักของเขา เขาจึงเดินออกมาดูที่หน้าห้องก็เห็นหยางหมิงเซียนกำลังยืนกันชิงหลวนคุนไม่ให้อีกฝ่ายเดินมาหาเขาที่ห้องพัก จากนั้นเขาก็เห็นเจ้าลูกกวางแอบส่งสัญญาณบางอย่างให้กับหลงจิ้นเปียวที่กำลังยืนแอบมองพวกเขาทั้งสองคนจากหน้าห้องผู้ป่วย ด้วยเจ้าตัวแสบหลงจิ้นเปียวยามนี้ได้ขออยู่เล่นกับเกาเล่อและเกาเผิงที่โรงหมอต่อ หลังจากที่ราชครูหลงจิ้นสิงและจางเลี่ยงซูพาอีกฝ่ายแวะมาเยี่ยมพวกเขาที่นี่ “องค์ชายสิบสองพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ช่วยมาดูอะไรกับกระหม่อมสักครู่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลงจิ้นเปียววัยเจ็ดหนาวเดินเข้ามาพูดพร้อมกับกระตุกชุดคลุมของชิงหลวนคุน “เพียงไม่นานพ่ะย่ะค่ะ มันอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้เองพ่ะย่ะค่ะ” “ได้ เราจะไปดูก
จินเฟยเทียนลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่...ใบหน้าแรกที่เขาได้เจอก็คือใบหน้าของหยางหมิงเซียน จินเฟยเทียนจึงเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของคนที่ยังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างกายเขา... หากนึกย้อนไปในวันแรกที่เขาทะลุเข้ามาอยู่ในโลกแห่งนี้ โดยไม่นับรวมชาติที่เขาตายจากโลกแห่งนี้ไป คนแรกที่เขาเจอก็คือหยางหมิงเซียน และไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุข ยามที่เขาหัวเราะหรือแม้แต่ในยามที่เขาร้องไห้ คนที่อยู่ข้างกายเขามาโดยตลอดก็คือหยางหมิงเซียน แม้แต่ในเวลาที่เขารู้สึกโดดเดี่ยวที่สุด เขาก็มีอีกฝ่ายเป็นที่เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ... “ขอบคุณนะที่รักกัน” “ขอรับ ข้ารักเฟยเกอนะขอรับ” หยางหมิงเซียนเอ่ยตอบอีกฝ่ายพร้อมกับลืมตาขึ้นมามองคนรักของเขา ที่จริงเขารู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมาสัมผัสใบหน้าของเขาแล้ว “ข้าก็รักเจ้าหมิงเซียน เจ้าลูกกวางของข้า” “ขอรับ ข้าเป็นเจ้าลูกกวางของเฟยเกอ แต่..
หยางหมิงเซียนรีบประคองจินเฟยเทียนกลับมาที่เรือนของพวกเขา ดีที่พวกเขาสร้างโรงหมอไม่ไกลจากเรือนของพวกเขามากนัก และดีที่ตอนปรับปรุงเรือนหลังเก่าให้กลายเป็นเรือนหอของพวกเขา...ได้สร้างเรือนหลังเล็กแยกไปอีกสามหลัง เพื่อให้เกาเล่อกับเกาเผิงและบ่าวคนอื่นๆ ที่จินเฟยหมิงและราชครูหลงจิ้นสิงส่งมาให้อยู่ดูแลพวกเขาไปพักอาศัยอยู่ที่นั่น เพื่อที่ทุกคนจะได้มีที่พักเป็นสัดส่วนของตัวเอง ดังนั้นในเรือนใหญ่หลังนี้จึงมีเพียงแค่พวกเขาที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันแค่สองคน หยางหมิงเซียนประคองจินเฟยเทียนเข้ามานั่งพักในห้องนอนของพวกเขา ก่อนที่เขาจะลงไปนั่งคุกเข่าและมองคนที่นั่งอยู่บนเตียง ที่ในยามนี้ทั้งผิวหน้าและผิวกายของอีกฝ่ายมีสีแดงไม่ต่างไปจากผลผิงกั่ว ดวงตาของอีกฝ่ายยามนี้ก็เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากบางของอีกฝ่ายก็กำลังขบเม้มกันแน่น...คนตรงหน้ายามนี้คงกำลังพยายามฝืนความต้องการของตัวเองอยู่เป็นแน่ “เฟยเกอเป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ข้าขอโทษนะขอรับ ยาที่ท่านเพิ่งกินเข้าไปไม่ใช่ยาแก้ปวดต
“อาเล่อเจ้ากำลังทำอะไร?” หยางหมิงเซียนเข้ามาในห้องปรุงยา หลังจากไปส่งยาสมานแผลที่ค่ายทหาร ก็เจอเข้ากับเกาเล่อที่มาก้มๆเงยๆ อยู่แถวชั้นปรุงยาของเขา “ข้าน้อยกำลังจะต้มยาแก้ปวดตัวให้คุณชายใหญ่จินขอรับ” “เฟยเกอเป็นอะไร?” หยางหมิงเซียนรีบเอ่ยถาม เพราะเมื่อเช้าพวกเขาก็ออกมาจากเรือนพักพร้อมกันเหมือนทุกวัน อีกฝ่ายก็ยังปกติดีไม่เห็นมีอาการปวดตัวอะไรให้เห็น “วันนี้คุณชายใหญ่จินมีตรวจรักษาคนไข้ตั้งแต่เช้าเลยขอรับ และวันนี้ก็มีท่านป้าท่านหนึ่งที่ขยับตัวค่อนข้างจะลำบากเข้ามาขอรับการรักษา คุณชายใหญ่จินจึงต้องคอยช่วยนางขยับตัวตอนตรวจรักษาด้วยขอรับ ยามนี้คุณชายใหญ่จินเลยให้ข้าน้อยมาต้มยาแก้ปวดตัวให้ขอรับ” “เจ้ากลับไปช่วยเฟยเกอดูคนไข้ต่อเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องยาของเฟยเกอให้เอง อีกสักพักเจ้าค่อยกลับออกมาเอา และข้าฝากบอกเฟยเกอด้วยว่า...ข้ากลับมาแล้ว และเดี๋ยวถ้าข้าต้มยาให้ท่านลุงเจียงเสร็จ ข้าจะรีบเข้าไปหา” “ได้ขอรับ”
หยางหมิงเซียนเฝ้ามองตัวเขาในที่แห่งนี้เริ่มทำเรื่องเลวร้ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามนี้ตัวเขาในที่แห่งนี้ได้เป็นถึงผู้ช่วยเจ้ากรมกลาโหมแล้ว และตัวเขาในที่แห่งนี้ก็มีเกาเล่อเป็นลูกน้องคนสนิทและยังมีเสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงเป็นดั่งมือและเท้าคอยออกไปทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ ให้เขา พวกเขาทำตัวไม่ต่างอะไรจากโจร...ทั้งยักยอกของหลวง ทั้งติดสินบน ทั้งตัดเสบียงอาหารและยาที่จะส่งไปยังค่ายทหาร...เพียงเพื่อต้องการกลั่นแกล้งรองแม่ทัพจินเฟยหลง ด้วยเพราะอีกฝ่ายเข้ามาติดพันกับสตรีที่ตัวเขาในที่แห่งนี้กำลังลุ่มหลง จนวันหนึ่งหยางหมิงเซียนเห็นตัวเขาในที่แห่งนี้ได้เจอกับผู้เป็นมารดา จากนั้นชีวิตของตัวเขาในที่แห่งนี้ก็เริ่มเลวร้ายลงไปจากเดิมเป็นเท่าตัว หยางหมิงเซียนมองตัวเขาในที่แห่งนี้ถูกมารดาชักจูงให้ทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่การดึงตัวเขาในที่แห่งนี้เข้าไปร่วมมือกับหานเฟิง ตอนนี้หยางหมิงเซียนมองตัวเขาในที่แห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากคนเลวคนหนึ่ง ทั้งลงมือทำร้ายผู้คนอย่างไม่มีเหตุผล ยิ่งกับคนที่เคยทำร้ายจิตใจตัวเองด้
“ข้าขอร้องได้หรือไม่ ช่วยปล่อยเด็กคนนั้นไป เด็กคนนั้น...ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าเลย หากคนที่จ้างเจ้าต้องการให้เจ้ามาเอาชีวิตข้า อย่างนั้นเจ้าก็เข้ามาเอาชีวิตข้าไปเสียเถอะ แต่ข้าขออย่างเดียว...ช่วยปล่อยเด็กที่ไม่เกี่ยวข้องคนนั้นไป” จินเฟยเทียนยามนี้เจ็บปวดใจยิ่งนัก เพียงเพราะชีวิตตัวภาระอย่างเขา ทำให้ผู้คนรอบข้างและผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องเดือดร้อน ต้องมาบาดเจ็บล้มตาย เพียงเพราะต้องการช่วยเหลือตัวภาระเช่นเขาแบบนี้ หากไม่มีเขาสักคนทุกคนคงไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เป็นแน่... ‘ชีวิตของข้ามันช่างดูไร้ค่า และเป็นภาระของผู้อื่นอย่างที่ฮูหยินรองพูดไว้จริงๆด้วย’ นักฆ่าคนนั้นเดินเข้าไปหาจินเฟยเทียนแล้วก้มลงหยิบดาบของตัวเองขึ้นมา ก่อนที่เจ้าตัวจะโยนร่างของเด็กชายไปยังจุดที่จินเฟยเทียนกำลังยืนอยู่ จินเฟยเทียนที่เห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคองเด็กชายให้กลับขึ้นมายืนข้างตัวเองทันที “ข้าคงทำแบบนั้นให้ท่านไม่ได้หรอกคุณช
หยางหมิงเซียนลืมตาขึ้นมาเขาก็เห็นว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางห้องเล็กห้องหนึ่ง เขาจึงมองไปรอบๆ ห้อง ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย... ‘ที่นี่? หรือว่า?’ หยางหมิงเซียนเดินไปที่เตียงขนาดกลางตรงมุมห้อง แล้วเขาก็ได้เห็นตัวเขาเองกับจินเฟยเทียนในวัยเยาว์ที่กำลังนอนอยู่ข้างกันบนเตียงหลังนั้น ‘นั่นข้ากับเฟยเกอนี่’ จากนั้นหยางหมิงเซียนก็เห็นหยงหม่าเดินเข้ามาในห้อง อีกฝ่ายเดินทะลุผ่านร่างของเขาเข้าไปปลุกคนบนเตียง ดูเหมือนว่ายามนี้คนที่นี่จะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเขาและมองไม่เห็นเขาที่ยืนอยู่ในห้องนี้ด้วย “คุณชายใหญ่ขอรับ...ตื่นได้แล้วขอรับ เราต้องรีบออกเดินทางกันแล้วนะขอรับ พวกองครักษ์บอกว่าเห็นพวกนักฆ่าเข้ามาแถวในหมู่บ้านนี้แล้วขอรับ” หยงหม่าหลังจากเห็นผู้เป็นนายรู้สึกตัวแล้ว เขาก็รีบเดินเข้าไปหยิบเสื้อคลุมให้ผู้เป็นนายและเด็กชายอีกคนบนเตียงทันที&nbs
จินเฟยเทียนหลังจากที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสของคนตรงหน้า แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับตัวลุกออกจากตัวเขา แล้วเอื้อมมือไปหยิบน้ำมันหอมใต้เตียงขึ้นมา... และเมื่อเขาได้เห็นเครื่องแสดงความเป็นบุรุษของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา... ยามนี้สติที่เตลิดไปไกลของเขาก็ได้วิ่งกลับมาเข้าในร่างเขาอย่างสมบูรณ์ทันที จินเฟยเทียนมองไปที่เครื่องแสดงความเป็นบุรุษของตัวเองกับของหยางหมิงเซียนแล้ว เขาก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น... แม้ยามนี้เขาอยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้มากแค่ไหน และรู้ว่าตัวเองกำลังจะต้องพบเจอกับอะไร แต่เมื่อเขาเห็นแววตาของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็กลั้นใจลุกออกไปจากเตียงหลังนี้ไม่ลงจริงๆ และยามนี้ในหัวของจินเฟยเทียนก็คิดแต่เพียงสำนวนที่ว่า...อย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง หยางหมิงเซียนเมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็เริ่มลงมือเตรียมความพร้อมของจินเฟยเทียนต่อทันที “เฟยเกอเ
งานมงคลสมรสระหว่างจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนก็ถูกจัดขึ้นตามฤกษ์ยามอย่างเรียบง่ายที่เรือนหอของพวกเขาตามความต้องการของจินเฟยเทียน แต่กว่าที่หยางหมิงเซียนจะเอาตัวเองเข้ามาในห้องหอได้ก็เกือบครึ่งค่อนคืนไปแล้ว เพราะเขาถูกทั้งคนในครอบครัวของจินเฟยเทียนและชิงหลวนคุนกับซานมู่ดึงตัวชนสุราและถ่วงเวลาเขาเอาไว้... หยางหมิงเซียนเมื่อเดินเข้ามาในห้องหอ เขาก็เดินเข้าไปหาจินเฟยเทียนที่นั่งอยู่บนเตียง จากนั้นเขาก็ใช้พัดเปิดผ้าแดงที่คลุมใบหน้าของอีกฝ่ายในยามนี้ออก...แล้วเขาก็ได้เห็นใบหน้าของคนรักของเขา หลังจากที่พวกเขาไม่ได้เห็นหน้าและไม่ได้พบเจอกันเลยมาเป็นเวลาสามวัน ด้วยเพราะพวกเขาต้องทำตามประเพณี...คนตรงหน้าเลยถูกแยกให้ไปพักอยู่ที่ค่ายทหารของจินเฟยหลง “เฟยเกอขอรับ ท่านรู้ตัวหรือไม่ขอรับว่าวันนี้...ท่านรูปงามยิ่งนักขอรับ” จินเฟยเทียนเงยหน้าขึ้นมองหยางหมิงเซียนที่วันนี้เจ้าตัวก็สวมชุดคลุมสีแดงไม่ต่างไปจากเขา แต่ทำไม...