หยางหมิงเซียนที่เห็นจินเฟยเทียนนอนละเมอไม่ได้สติแบบนี้ มันทำให้เขานึกไปถึงบิดาของตัวเองขึ้นมา เขาคิดไปถึงวันสุดท้ายที่ตัวเขาได้อยู่กับบิดา ก่อนที่บิดาจะทิ้งเขาไว้ให้อยู่เพียงลำพัง
หยางหมิงเซียนจำวันนั้นได้ดี...เป็นวันที่เขาย้ายตัวเองเข้าไปนอนห้องเดียวกับบิดา หลังจากที่มารดาหนีออกไปจากเรือน ทิ้งให้เขาอยู่กับบิดาเพียงแค่สองคน บิดาหลังจากที่รู้เรื่องมารดาหนีออกจากเรือนไป วันๆก็แทบไม่ยอมกินข้าว กินยา จนร่างกายทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ ส่วนเขาก็ต้องคอยดูแลทั้งงานบ้าน ทั้งบิดา และรับงานเล็กๆน้อยๆที่ชาวบ้านหยิบยื่นมาให้เขาทำด้วยความสงสาร เพื่อแลกกับเงินและอาหารที่พอจะใช้ประทังชีวิตพวกเขาสองพ่อลูกได้ในแต่ละวัน
คืนนั้นหลังจากที่หยางหมิงเซียนจัดการงานบ้านและปิดเรือนจนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในห้องของบิดา แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าข้างบิดาที่หลับไปแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หยางหมิงเซียนที่หลับไปได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อบิดาของเขาละเมอร้องไห้ออกมาและพยายามเอื้อมมือไปไขว่คว้าบางอย่าง ส่วนปากก
รุ่งเช้าจินเฟยเทียนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะกลิ่นปลาย่างหอมๆ ที่โชยเข้ามาปลุกเขาให้ตื่นจากการหลับไหล จินเฟยเทียนแม้จะยังงัวเงีย แต่เขาก็ลุกขึ้นมานั่ง แล้วมองไปยังที่มาของกลิ่นหอมที่โชยมาปลุกให้เขาตื่น แล้วเขาก็เห็นหยางหมิงเซียนกำลังนั่งย่างปลาอยู่ เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที หยางหมิงเซียนที่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามาหาตนเองเขาจึงเงยหน้าขึ้นมาดู แล้วเขาก็เห็นจินเฟยเทียนกำลังเดินเข้ามาหาเขา เขาจึงยิ้มให้และเอ่ยทักทายอีกฝ่าย “เฟยเกอตื่นแล้วหรือขอรับ เฟยเกอไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะขอรับ กลับมาปลาน่าจะสุกพอดีขอรับ” “ได้ งั้นเดี๋ยวข้ามานะ” จินเฟยเทียนเมื่อเดินไปถึงที่แม่น้ำ เขาก็ก้มหน้าลงไปล้างหน้าล้างตา แต่เมื่อเขาเห็นเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในน้ำ ก็ทำให้เขานึกถึงสิ่งที่ตัวเองฝันเมื่อคืน แม้เมื่อคืนเขาจะฝันหลายเรื่องและก็มีทั้งฝันดีและฝันร้าย แล้วบางฝันเขาก็จำได
จินเฟยเทียนที่ได้แต่มองแม่ลูกคู่นั้น แต่เขาไม่รู้ว่าคนทั้งสองคนพูดคุยอะไรกัน แต่ว่าการกระทำของคนทั้งคู่ได้ทำให้เขารู้สึกสงสารจนจับใจ ผ่านไปไม่นานเถ้าแก่เจ้าของร้านบะหมี่ก็ได้นำบะหมี่สองชามมาให้เขากับหยางหมิงเซียนที่โต๊ะ เขาจึงรีบเอ่ยสั่งบะหมี่เพิ่มอีกสองชามทันที จากนั้นเขาจึงหันมาพูดกับหยางหมิงเซียน... “หมิงเซียนเจ้าหิวมากหรือไม่?” “ข้ายังไม่ค่อยหิวขอรับ” “งั้น...ข้าจะขอนำบะหมี่สองชามนี้ไปให้แม่ลูกคู่นั้นก่อน เพราะข้าดูแล้วสองคนนั้นน่าจะหิวมากกว่าเรา แล้วเราค่อยรอบะหมี่สองชามใหม่ที่ข้าเพิ่งสั่งไป...เจ้าพอจะรอไหวหรือไม่หมิงเซียน?” จินเฟยเทียนเอ่ยถามหยางหมิงเซียน “ได้ขอรับ” “ขอบใจเจ้ามากนะหมิงเซียนเด็กดี งั้นเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวข้ามา” จินเฟยเทียนยิ้มให้หยางหมิงเซียนแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวของเด็กชาย จากนั้นเขาจึงยกชามบะหมี่ทั้งสองชามเดินเข้าไปหาแม่ลูกคู่นั้น จินเฟยเทียนรู้ตัวว่าเขาไม่ได้เป็นคนดีถึงขนาดคอยช่ว
จินเฟยเทียนเมื่อพาหยางหมิงเซียนเดินมาถึงตู้บริจาคเขาก็หยิบเงินออกมาจากถุงเงินหกอีแปะ โดยแบ่งใส่มือหยางหมิงเซียนสามอีแปะ และใส่มือของตัวเองสามอีแปะ “หมิงเซียน เจ้านำเงินนี้ไปอธิษฐานอุทิศผลบุญให้กับคนที่ล่วงลับไปแล้ว จากนั้นก็นำเงินใส่ลงไปในตู้บริจาคนะ” จินเฟยเทียนพูดจบก็พนมมือหลับตาลงอธิษฐานก่อนจะนำเงินใส่ลงไปในตู้บริจาค ‘ข้าขอให้บุญกุศลที่ข้าได้ทำในครั้งนี้จงสำเร็จแก่บิดา มารดา น้องชายของข้า และก็ขอให้สำเร็จแก่มารดาของเจ้าของร่างนี้ หยงหม่า ไห่เฟิง และทุกท่านที่ล่วงลับไปด้วยเหตุการณ์ลอบฆ่าที่ผ่านมาด้วยเถิด’ หยางหมิงเซียนที่ได้รับเงินจากจินเฟยเทียนก็มองตามที่คนตรงหน้ากำลังทำ ก่อนจะลงมือทำตามอีกฝ่ายทันที ‘ข้าขอให้บุญกุศลที่ข้าได้ทำในครั้งนี้จงสำเร็จแก่บิดาของข้า และจงสำเร็จแก่ผู้ที่ติดตามของเฟยเกอที่ล่วงลับจากเหตุการณ์การไล่ฆ่าที่ผ่านมาด้วยเถิด’&
“เกิดอะไรขึ้นอาเหมา?” ราชครูหลงจิ้นสิงเปิดม่านหน้าต่างรถม้า แล้วเอ่ยถามบ่าวคนสนิทที่ขี่ม้าเข้ามาเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อจู่ ๆ ขบวนรถม้าก็หยุดวิ่งกระทันหัน ดีที่เขาประคองผู้เป็นภรรยาของเขาเอาไว้ได้ทัน “เรียนนายท่านมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้วิ่งขึ้นมาบนถนนตัดหน้าขบวนรถม้าขอรับ ดีที่อาชางดึงบังเหียนหยุดรถม้าเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่ม้าจะชนเข้ากับตัวเด็กคนนั้นโดยตรงขอรับ แต่ด้วยระยะที่กระชั้นชิดจึงทำให้เด็กคนนั้นได้รับบาดเจ็บจากการโดนขาม้ากระแทกเข้าที่ตัวขอรับ และตอนนี้อาชางกำลังเข้าไปดูอาการของเด็กอยู่ขอรับ” เหมาอานรายงานผู้เป็นนายตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ท่านพี่เจ้าคะ ข้าขอลงไปดูอาการเด็กที่ได้รับบาดเจ็บได้หรือไม่เจ้าคะ?” จางเลี่ยงซูเอ่ยปากขอผู้เป็นสามี ด้วยความที่นางมีความรู้ด้านการแพทย์ และเมื่อได้ยินว่ามีคนบาดเจ็บนางจึงไม่สามารถนิ่งดูดายได้ “ได้สิ พี่ก็จะลงไปดูกับเจ้าด้วยซูซู” ราชครูหลงจิ้นสิงพูดพร้อมกับก้าวออกไปจากตัวรถม้า ก่อนจะยื่นมือรับผู้เป็นภรรยาที
ความจริงแล้วราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูสังเกตเห็นเด็กชายสองคนนี้ ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเดินเข้ามายังร้านบะหมี่ที่พวกเขากำลังนั่งกินอยู่ก่อนแล้ว อาจจะด้วยเพราะท่าทางการพูดจาและการปฏิบัติตัวกับคนรอบข้างของเด็กชายทั้งสองจึงทำให้พวกเขาที่คอยมองอยู่เกิดความรู้สึกเอ็นดูและรู้สึกว่าถูกชะตากับเด็กสองคนนี้เป็นอย่างมาก หรืออาจจะด้วยเพราะพวกเขายังไม่มีบุตรให้คอยอุ้มชู พอได้เห็นเด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูสองคนเดินจูงมือกันเข้าในอารามโดยไม่มีผู้ใหญ่มาด้วยแบบนั้น จึงทำให้พวกเขาเมื่อเข้าไปในอารามแล้วได้เจอกับเด็กชายทั้งสองอีกครั้ง เลยพาตัวเองเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับเด็กทั้งสองและคิดอยากจะเข้าไปพูดคุยและซักถาม แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าไปเอ่ยปากซักถามหรือพูดคุย ท่านเจ้าอาวาสก็ให้คนมาแจ้งว่าสามารถเข้าไปพบกับท่านได้เสียก่อน ราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูจึงเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่น้อย หลังจากราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูเข้าพบกับท่านเจ้าอาวาสเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมาพูดคุยเรื่องเด็กทั้งสองคนกันอีกครั้งบนรถม้า และด้วยอุบัติเหตุที่พวกเขาก็ไม่คาด
เสียงเคาะประตูดังขึ้น หยางหมิงเซียนรีบเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะส่งเสียงตอบกลับคนที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามาในห้องได้ ราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูเข้ามาเยี่ยม มาใส่ยาและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กับจินเฟยเทียน และยังคงพยายามชวนหยางหมิงเซียนพูดคุยเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่เด็กชายก็ยังคงถามคำตอบคำเหมือนเดิม ก่อนที่ท่านเจ้าของจวนทั้งสองจะพากันเดินออกจากห้องรับรองไป เมื่อเห็นราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูเดินออกจากห้องไปแล้ว หยางหมิงเซียนก็กลับลงมานั่งที่เก้าอี้และเอื้อมมือไปกุมมือของจินเฟยเทียนเอาไว้เหมือนเดิม แล้วหยางหมิงเซียนก็ก้มหน้าลงไปฟุบกับเตียงอย่างอ่อนแรง “หมิงเซียน...” หยางหมิงเซียนเงยหน้าขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบาแต่กลับเป็นเสียงที่เขาคิดถึงเหลือเกิน “เฟยเกอ!” “เฟยเกอ...เฟยเกอท่านฟ
หลังจากท่านเจ้าของจวนทั้งสองออกจากห้องไปแล้ว หยางหมิงเซียนก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงแล้วเอื้อมมือไปจับมือของคนตรงหน้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของจินเฟยเทียน “เฟยเกอขอรับ ข้า...” หลายวันที่ผ่านมาตอนที่จินเฟยเทียนยังไม่ได้สติหยางหมิงเซียนมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับคนตรงหน้า แต่ทำไมพอตอนนี้ที่อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมาแล้ว เขากลับไม่รู้ว่า...จะพูดอะไรดี “หมิงเซียนที่ผ่านมาลำบากเจ้าแล้ว เหนื่อยมากหรือไม่?” “ข้าไม่เหนื่อยขอรับเฟยเกอ ข้า...” “เก่งมากแล้ว...หมิงเซียนเด็กดี” จินเฟยเทียนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแววตาที่ดูสับสน และคลอไปด้วยน้ำตาของเด็กชายตรงหน้า จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปลูบหัวและดึงแขนหยางหมิงเซียนให้ขึ้นมานั่งกับเขาบนเตียง แล้วเขาใช้แขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บกอดปลอบเด็กชายตรงหน้าเบาๆ “อยากร้องไห้ก็ร้องออกมา เจ้าอ่อนแอต่อหน้าข้าได้นะหมิงเซียน ข้าขอโทษ...ที่ปล่อยให้เจ้าต้องอ
จนถึงช่วงค่ำ ราชครูหลงจิ้นสิงพาจางเลี่ยงซูเข้ามาตรวจดูอาการให้จินเฟยเทียนและใส่ยา แต่ครั้งนี้ไม่ต้องพันผ้าปิดแผลอีกแล้ว เนื่องจากแผลของจินเฟยเทียนเริ่มแห้งและตกสะเก็ดบ้างแล้ว เมื่อจางเลี่ยงซูตรวจร่างกายของจินเฟยเทียนเสร็จนางก็หันไปพยักหน้าให้กับผู้เป็นสามี และพอราชครูหลงจิ้นสิงเห็นสัญญาณที่ผู้เป็นภรรยาส่งมาให้ เขาจึงเริ่มขอพูดคุยกับเด็กชายทั้งสองทันที “ฟางเฟยเทียน หยางหมิงเซียน ข้ามีเรื่องที่จะขอถามพวกเจ้าทั้งสอง” “ขอรับ/ขอรับ” “จากนี้พวกเจ้าทั้งสองคิดจะทำอะไร? แล้วไปที่ไหนกันต่อ?” “เรียนท่านราชครูและหลงฮูหยินตามตรง ข้าน้อยทั้งสองยังไม่รู้เลยขอรับ ตอนแรกข้าน้อยคิดว่าจะพาหยางหมิงเซียนเข้าไปพักในหมู่บ้านก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกทีขอรับ” “ฟางเฟยเทียนหยางหมิงเซียนอีกสองวันข้างหน้า ข้ากับฮูหยินจะต้องเดินทางกลับจวนที่เมืองเลี่ยหลิว(เมืองหลวงของแคว้นตง)แล้ว หลังจากวันนั้นที่พวกข้าได้ฟังเรื่องราวของพวกเจ้าทั้งสองคน ข้ากับ
หยางหมิงเซียนเดินนำเสี่ยวเปากับเสี่ยงปิงเข้ามาในห้องปรุงยาแล้วให้บ่าวชายที่มีหน้าที่ช่วยงานภายในห้องนี้ออกไปยืนเฝ้าที่หน้าประตูห้อง เพื่อกันไม่ให้จินเฟยเทียนหรือคนอื่นๆในเรือนสมุนไพร เข้ามารับรู้เรื่องราวที่พวกเขากำลังจะพูดคุยกันในตอนนี้ “อาเปาอาปิง พวกเจ้ารู้สึกเหมือนกับข้าหรือไม่ว่า...บทลงโทษของท่านลุงที่ให้กับคนพวกนั้น มันช่างดูเบาเกินไป หากเทียบกับสิ่งที่คนพวกนั้นได้ลงมือทำร้ายผู้มีพระคุณของพวกมัน!” หยางหมิงเซียนพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกแค้นใจ เพราะในยามที่มีบ่าวในจวนเกิดล้มป่วย...ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จินเฟยเทียนจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ จนในบ้างครั้ง...อีกฝ่ายถึงกับต้องมาคอยนอนเฝ้าดูอาการป่วยของคนพวกนั้นที่เรือนสมุนไพรแห่งนี้ด้วย “ขอรับ” เสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงตอบรับคำของผู้เป็นนายพร้อมกัน เพราะยามนี้พวกเขาก็คิดไม่ต่างจากผู้เป็นนาย “อาเปาอาปิง หากข้าต้องการมอบบทลงโทษของข้าให้กับคนพวกนั้นเพิ่ม พวกเจ้ายินดีที่จะร่วมมือกับข้าหรือไม่?” “พวกบ่า
จินเฟยเทียนแอบแปลกใจกับแววตาของชางเย่ที่ชำเลืองมองมาทางหยางหมิงเซียน... “แม่นมหมิง” เมื่อตัดสินความผิดและมอบบทลงโทษให้ชางเย่เสร็จแล้ว ราชครูหลงจิ้นสิงก็กลับมาจัดการเรื่องของแม่นมหมิงต่อทันที “คุณหนู! บ่าวไม่ไปจากคุณหนูนะเจ้าคะ นายท่าน! นายท่านโปรดเมตตาบ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวขอร้อง...บ่าวจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหมิงอ้อนวอนและร้องขอความเมตตาจากผู้เป็นนายทั้งสอง “ข้าแล้วแต่ท่านพี่เลยเจ้าค่ะ” จางเลี่ยงซูรีบออกตัว...เพื่อที่ผู้เป็นสามีจะได้ตัดสินลงโทษแม่นมหมิงได้แบบไม่ต้องเกรงใจนาง เพราะถึงแม้คนตรงหน้าจะเป็นคนสนิทของนาง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยกโทษให้กันได้โดยง่าย และที่สำคัญ! คนที่อีกฝ่ายลงมือทำร้าย...ก็คือหลานชายที่นางรัก “แม่นมหมิง ความผิดของเจ้ามันช่างร้ายแรงนัก เพราะมันเป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของหลานชายข้า และเจ้าก็ยังทำให้บ่าวในจวนเกิดการแบ่งแยกและตีตนเสมอนาย และที่สำคัญ
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนก็ถูกตามตัวให้ไปรับสำรับเช้าที่เรือนใหญ่ และหลังจากรับสำรับเสร็จ ราชครูหลงจิ้นสิงก็พาทุกคนย้ายจากห้องรับสำรับไปยังห้องโถง จากนั้นก็ให้พ่อบ้านหลี่ส่งคนให้ไปเรียกบ่าวทุกคนในจวนให้มารวมกันที่ห้องโถงแห่งนี้ และก่อนที่ทุกคนจะมากันครบ ราชครูหลงจิ้นสิงได้พาหยางหมิงเซียนกับพ่อบ้านหลี่เข้าไปพูดคุยกันในห้องหนังสือ และเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว ราชครูหลงจิ้นสิงก็เริ่มแจ้งเรื่องราวต่างๆ หลังจากนั้นทันที “วันนี้ที่ข้าให้คนไปตามพวกเจ้ามารวมตัวกัน ก็เพราะในยามนี้มีการเล่าลือกันเกี่ยวกับเรื่องราวของหลานชายทั้งสองของข้า...ในเรื่องที่พวกเจ้าไม่มีสิทธิที่จะมาพูด หรือมาแสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น!” ราชครูหลงจิ้นสิงพูดพร้อมกับกวาดสายตาดูบ่าวในจวนที่นั่งอยู่กลางห้องโถงทั้งหมด “ในวันที่ข้าพาหลานชายทั้งสองของข้า เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้! ข้าได้ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกันไปแล้วว่า...สองคนนี้คือหลานชายของข้าที่มาจากต่างเมือง ดังนั้นหลานชายของข้า! ก็คือเจ้านายของพวกเจ้า!!” &n
“หมิงเซียน เฟยเทียน มีเรื่องเกิดขึ้นขนาดนี้...ทำไมถึงไม่ยอมมาบอกลุง?” ราชครูหลงจิ้นสิงเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องนอนของจินเฟยเทียน หลังจากที่เขาบังเอิญมาได้ยินเรื่องราวที่ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยกัน ราชครูหลงจิ้นสิงหลังจากพาผู้เป็นภรรยาเข้าห้องไปนอนพักแล้ว เขาก็แอบออกมาที่เรือนพักของหลานชายทั้งสอง ด้วยต้องการจะมาขอบใจจินเฟยเทียนที่ช่วยพูดจนผู้เป็นภรรยาของเขายินยอมทำตามในสิ่งที่ตัวเขาต้องการ และจะแวะมาถามไถ่อาการป่วยของหยางหมิงเซียนด้วย เพราะตอนที่รับสำรับเย็นเขายังไม่มีโอกาสได้ถามอาการของอีกฝ่าย... แต่พอเขากำลังจะเคาะประตูเรียกคนในเรือนพัก เขากลับได้ยินบทสนทนาของหลานชายกับบ่าวคนสนิท เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในจวนของเขา...แต่เขากลับไม่เคยได้รับรู้ เขาจึงยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งสี่จนจบ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปพูดคุยกับคนในเรือนพัก “ท่านลุงขอรับ...ข้า...พวกข้า” จินเฟยเทียนตกใจที่ราชครูหลงจิ้นสิง อยู่ ๆ ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง แถมยังดูเหมือนอีก
“เฟยเกอขอรับ ท่าน...” หยางหมิงเซียนพูดขึ้นด้วยดวงตาที่สั่นไหว หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้องนอนของจินเฟยเทียน “ข้า...ข้ามีอะไรหรือ?” จินเฟยเทียนหันไปมองหน้าหยางหมิงเซียนที่เอ่ยคำพูด ที่เหมือนจะพูดกับเขา แต่กลับไม่ยอมพูดให้จบประโยค ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับหยางหมิงเซียน “ท่านมีเรื่องไม่สบายใจ...แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมบอกข้าล่ะขอรับเฟยเกอ?” หยางหมิงเซียนพูดออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ในวันนี้เขาได้ออกไปเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่าคนตรงหน้าต้องพบเจอกับอะไรบ้าง และมันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หากไม่เพราะเกรงใจราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูที่มีบุญคุณกับพวกเขา เขาคงไม่ทำเพียงแค่กำหมัด และใช้แววตาข่มขู่อีกฝ่ายเป็นแน่... “ข้าน่ะหรือมีเรื่องไม่สบายใจ?” “ขอรับ” “ก็เรื่องที่แม่นมหมิงกับบ่าวในเรือนใหญ่บางคนที่เอาเรื่องของพวกเราไปป่าวประกาศอย่างไรล่ะขอ
“มากันแล้วหรือเฟยเทียน หมิงเซียน” จางเลี่ยงซูเมื่อเห็นหลานชายทั้งสองเดินเข้ามาในห้องโถง นางจึงเอ่ยทักคนทั้งคู่ โดยมีแม่นมหมิงยืนอยู่ข้างกายผู้เป็นนายไม่ยอมห่าง “ขอรับท่านป้า” จินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนเอ่ยตอบรับคำ และเดินเข้าไปคำนับจางเลี่ยงซูพร้อมกัน แต่พอพวกเขาเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็เห็นสายตาของแม่นมหมิงกับบ่าวในเรือนใหญ่บางคนที่แอบมองมาที่พวกเขาด้วยแววตาที่รังเกียจและดูถูก “หมิงเซียนอาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” “ดีขึ้นมากแล้วขอรับท่านป้า เหลือแต่อาการร้อนจากภายในเท่านั้น ที่ยังคงมีเกิดขึ้นมาบ้างในบางครั้งขอรับ” หยางหมิงเซียนตอบคำถามอีกฝ่าย และแอบใช้สายตากดข่มไปทางแม่นมหมิงกับบ่าวพวกนั้น และเขาก็แอบกำหมัดไว้ในเสื้อ...เพื่อระงับอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของตัวเอง “ป้าว่า...มันน่าจะเป็นพิษที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกายของเจ้า งั้นช่วงนี้เจ้าก็ต้องขยันปรับการไหลเวียนของลมปราณ มันจะได้ช่วยให้เจ้าหายเป็นปกติเร็วขึ้น” “ข
จินเฟยเทียนนั่งอ่านหนังสือและแอบมองคนป่วยที่ถอยกลับลงไปนอนหนุนหมอนของตัวเอง พร้อมกับนอนหันหลังให้กับเขาด้วยความรู้สึกที่ยังแคลงใจ เพราะเมื่อครู่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็มาเอ่ยบอกรักเขา ตอนแรกเขาเองก็รู้สึกตกใจ แต่พอมาคิดอีกที...อีกฝ่ายก็คงจะบอกรักเขาในแบบที่น้องชายบอกรักพี่ชายเพียงเท่านั้น เพราะในยามนี้อีกฝ่ายกำลังไม่สบาย...เจ้าตัวก็คงอยากจะแสดงความรัก และก็คงอยากจะอ้อนพี่ชายอย่างเขาเป็นแน่… จินเฟยเทียนจึงตัดสินใจบอกรักอีกฝ่ายกลับไป แถมยังบอกอีกว่า...ตัวเขานั้นรักอีกฝ่ายเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเขาเลยนะ! แต่ทำไมพอเขาพูดแบบนั้นออกไป...เขาถึงได้เห็นแววตาเจ็บปวดและไม่ยินยอมจากเจ้าลูกกวางล่ะ... ‘ไม่หรอกมั้ง! ข้าคงคิดมากเกินไป บางทีเจ้าลูกกวางอาจจะกำลังดีใจมาก...จนแสดงสีหน้าออกมาไม่ถูกก็เป็นได้’ เมื่อเห็นหยางหมิงเซียนยังคงนอนหันหลังให้กับตัวเอง จินเฟยเทียนจึงเอื้อมมือไปจับหน้าผากวัดไข้ของเจ้าลูกกวางอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปดับไฟและล้มตัวลงนอนตามอีกฝ่ายไป แต่...เม
จินเฟยเทียนหลังจากกล่าวลาชิงหลวนคุนเขาก็ประคองหยางหมิงเซียนเดินกลับเข้ามาที่ห้องนอนของตัวเอง "หมิงเซียนเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่น่าออกไปต้องลมหนาวด้านนอกเลย...รีบขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนเร็ว" จินเฟยเทียนพูดพร้อมประคองหยางหมิงเซียนขึ้นไปนั่งบนเตียง "ขอรับเฟยเกอ" "อาปิง...เจ้าช่วยไปเอาน้ำอุ่น ผ้าสะอาด กับยาแก้ไอมาให้ข้าหน่อยนะ" "ได้ขอรับคุณชายฟาง" "ขอบใจเจ้ามากนะอาปิง จากนี้...เดี๋ยวข้าจะจัดการต่อเอง" จินเฟยเทียนหันไปขอบคุณเสี่ยวปิงที่เอาของที่เขาต้องการมาให้ "ขอรับคุณชายฟาง" เสี่ยวปิงหลังจากเข้าไปวางถาดใส่ของให้ผู้เป็นนายเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบถอยออกจากห้องนอนของจินเฟยเทียนทันที "หมิงเซียน เจ้ากินยาแก้ไอก่อน แล้วดื่มน้ำอุ่นตามมากๆด้วยนะ" จินเฟยเทียนเอายาแก้ไอให้เจ้าลูกกวางกิน จากนั้นเขาก็เอาผ้าสะอาดไปชุบน้ำ
หยางหมิงเซียนเก็บความไม่พอใจ และบรรยากาศกดดันที่ตัวเขาได้แผ่ออกมาจนหมด ก่อนจะส่งเสียงไอออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องโถงโดยมีเสี่ยวปิงคอยช่วยพยุง แค่ก แค่ก แค่ก.... เมื่อเข้าไปด้านในห้องโถงหยางหมิงเซียนกับเสี่ยวปิงก็หันไปทำความเคารพแขกผู้สูงศักดิ์ที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับจินเฟยเทียน “หมิงเซียนเจ้าตื่นแล้วหรือ? แล้วทำไมถึงใส่เสื้อคลุมที่บางแบบนี้ออกมาด้านนอก!” จินเฟยเทียนเห็นหยางหมิงเซียนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอาการไอ เขาจึงลุกเข้าไปช่วยประคองคนป่วย แต่พอเห็นเสื้อคลุมที่เจ้าลูกกวางใส่ออกมาด้านนอกในยามนี้แล้ว....เขาแทบอยากจะตีอีกฝ่ายตรงนี้เสียจริง ๆ “ขอโทษขอรับเฟยเกอ ข้าลืมเปลี่ยนเสื้อคลุมก่อนออกมาด้านนอกขอรับ” “อาปิง...เจ้ากลับเข้าไปเอาเสื้อคลุมของหมิงเซียนออกมา เลือกตัวที่หนาๆ หน่อยนะ” “ขอรับคุณชายฟาง” “หมิงเซีย