ในป่าท้ายหมู่บ้านยามนี้มีเงาดำสี่สายกำลังพุ่งตัวตามเงาดำสายหนึ่งอยู่...
ไห่เฟิงหลังจากพาจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนหลบหนีออกมาจากเรือนของหยงหม่าได้ เขาก็รีบพาคนทั้งคู่เข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้าน โดยใช้วิชาตัวเบาสลับกับการเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ เพื่ออาศัยความมืดในการพรางตัว เนื่องจากไห่เฟิงได้สูญเสียลมปราณไปกับการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมาไม่น้อย จึงทำให้เขาในยามนี้ต้องใช้พลังกายและพยายามดึงเอาลมปราณส่วนที่ยังเหลือออกมาใช้ เพื่อพาผู้เป็นนายหลบหนีจากกลุ่มนักฆ่าให้เร็วที่สุด
ไห่เฟิงที่รับรู้ว่ายามนี้มีกลุ่มคนกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ เขาจึงกระซิบบอกผู้เป็นนายในอ้อมแขนของตัวเองเบาๆ
“คุณชายใหญ่ขอรับ ตอนนี้พวกเรากำลังถูกติดตามจากพวกนักฆ่า คุณชายใหญ่สงบลงก่อนนะขอรับ”
จินเฟยเทียนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับ แล้วพยายามสงบใจของตัวเองลง จากนั้นเขาก็พยายามกลั้นสะอื้นเพื่อไม่ให้มีเสียงหลุดลอดออกมาได้
ไห่เฟิงเห็นผู้เป็นนายพยายามกลั้นสะอื้นจนร่างเล็กในอ้อมแขนเริ่มสั่นเทา ก็ทำให้เขารู้สึกสงสารผู้เป็นนายจนจับใจ
‘คุณชายใหญ่อายุก็เพียงเท่านี้ เหตุใดถึงต้องมาเจอเหตุการณ์ที่หนักหนาขนาดนี้ด้วย’
ไห่เฟิงเพิ่มความเร็วในการหลบหนี เพื่อจะได้ทิ้งห่างจากพวกนักฆ่า ยามนี้เขาพยายามสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาที่ปลอดภัย...พอจะให้ผู้เป็นนายและเด็กอีกคนสามารถเข้าไปหลบซ่อนตัวได้
ไห่เฟิงมองเห็นพุ่มไม้ที่มีขนาดใหญ่ข้างต้นไม้ต้นหนึ่ง ขนาดของพุ่มไม้น่าจะพอให้เด็กสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวได้ เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้พุ่มนั้นทันที จากนั้นเขาก็ค่อยๆ วางผู้เป็นนายกับเด็กอีกคนลงอย่างเบามือ
“คุณชายใหญ่ขอรับ หากเดินจากจุดนี้ไปทางทิศตะวันออก คุณชายใหญ่จะเจอกับแม่น้ำสายหนึ่ง ถ้าเจอแม่น้ำสายนั้นแล้วให้คุณชายใหญ่เดินตามกระแสน้ำไปเรื่อย ๆ แล้วคุณชายใหญ่ก็จะเจอกับอารามของเมืองนี้ จากนั้นคุณชายใหญ่สามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระในอารามแห่งนั้นได้ขอรับ” ไห่เฟิงมองผู้เป็นนายที่ตั้งใจฟังในสิ่งที่ตนบอกด้วยใบหน้าที่แดงก่ำน้ำตาไหลลงมาคลอหน่วย ปากเม้มแน่นด้วยพยายามที่จะกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้...ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งปวดใจยิ่งนัก
หากเลือกได้เขาคงไม่คิดจะทิ้งผู้เป็นนายไว้แบบนี้เป็นแน่ แต่หากพวกเขายังเลือกที่จะเดินทางหลบหนีแบบเดิม ฝั่งตรงข้ามคงตามพวกเขามาทันเป็นแน่ เพราะตอนนี้ตัวเขาได้ใช้แรงกายและดึงลมปราณของตัวเองออกมาใช้จนถึงขีดสุดแล้ว
“คุณชายใหญ่ขอรับ... ข้าคงมาส่งคุณชายใหญ่ได้เพียงเท่านี้ หลังจากนี้หากเกิดอะไรขึ้น คุณชายใหญ่ห้ามออกไปจากตรงนี้โดยเด็ดขาดนะขอรับ รอให้ทุกอย่างสงบลงก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อนะขอรับ ข้าขอลาคุณชายใหญ่ตรงนี้เลยขอรับ” ไห่เฟิงพูดจบก็ลุกขึ้นยืนก้มหัวคำนับให้กับจินเฟยเทียนหนึ่งครั้ง แล้วสะบัดตัวจากไปทันที
จินเฟยเทียนได้ยินดังนั้นจึงเอื้อมมือออกไป หวังจะคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้ แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศเท่านั้น
“อาไห่! อย่าไป! กลับมา...”
ไห่เฟิงรีบใช้วิชาตัวเบาพุ่งกลับไปยังทางเดิมเพื่อดักรอฝ่ายตรงข้ามที่กำลังไล่ตามรอยของพวกเขาอยู่ และเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงอีกฝ่าย เขาก็รีบพุ่งตัวออกไปเพื่อล่อให้อีกฝ่ายได้ติดตามตัวเขาออกไปด้วย...ให้พวกมันออกห่างจากบริเวณที่ผู้เป็นนายซ่อนตัวอยู่...
ไห่เฟิงเมื่อล่อให้พวกนักฆ่าไล่ตามตัวเองจนห่างออกมาไกลพอสมควรแล้ว เขาจึงลดความเร็วของตัวเองลง จากนั้นเขาจึงดึงดาบของตัวเองออกมารอ... ยามนี้เขาพร้อมแล้วที่จะสู้ เพื่อปกป้องผู้เป็นนายของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ตัวเขาแม้ต้องตายก็ไม่คิดเสียดาย...เขาขอเพียงให้ผู้เป็นนายปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว
หลังจากไห่เฟิงพุ่งตัวออกไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ จินเฟยเทียนก็ได้ยินเสียงต่อสู้ที่ดังมาจากในป่าฝั่งตรงข้ามจากบริเวณที่พวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมาอีกครั้ง ยามนี้เขาได้แต่ภาวนาให้ไห่เฟิงปลอดภัยเท่านั้น
จากนั้นไม่นานจินเฟยเทียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าซึ่งดังห่างจากที่พวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนัก เขาจึงรีบเอื้อมมือไปดึงหยางหมิงเซียนเข้ามากอดไว้แล้วใช้มือข้างหนึ่งปิดปากของเด็กชาย แล้วใช้มืออีกข้างที่เหลือปิดปากของตนเอง
สวบ สวบ สวบ!
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จินเฟยเทียนพยายามมองผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้เพื่อหาต้นตอของเสียง แล้วเขาก็ได้เห็นชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดคล้ายกับพวกนักฆ่าที่เข้ามาทำร้ายพวกเขา
จินเฟยเทียนก้มมองหยางหมิงเซียน แล้วรีบตัดสินใจในสถานการณ์ตรงหน้าทันที
“เด็กน้อย ฟังข้านะ...เจ้าจำที่อาไห่บอกก่อนออกไป ได้หรือไม่?” จินเฟยเทียนกระซิบถามเด็กชายในอ้อมแขน แล้วเมื่อเขาเห็นเด็กชายพยักหน้ารับ เขาจึงรีบเอ่ยชม...
“เก่งมาก เด็กดี”
“เดี๋ยวข้าจะวิ่งออกไปล่อสองคนนั้นให้ไปอีกทางหนึ่ง เมื่อเจ้าเห็นสองคนนั้นวิ่งตามข้าจนห่างออกไปแล้ว เจ้าค่อยออกจากที่ซ่อนนี้ แล้วไปตามทางที่อาไห่บอกไว้นะ” จินเฟยเทียนแม้ปากจะเอ่ยพูดกับหยางหมิงเซียน แต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่กับสองนักฆ่าสองคนนั้น
หยางหมิงเซียนเมื่อได้ฟังที่เด็กชายตรงหน้าพูด เขาก็รีบเอื้อมมือไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วส่ายหน้าเบาๆ ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายทันที
“ไม่ขอรับ! หากจะไปก็ต้องไปด้วยกัน”
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
จินเฟยเทียนจากที่จะเตรียมตัวทำตามสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ ก็ต้องหันกลับลงมามองหยางหมิงเซียนที่ยามนี้อีกฝ่ายเอื้อมมือมากอดตัวเขาเอาไว้จนแน่น “เด็กน้อยเจ้า...” “เจ้าไม่กลัวตายหรือ...คนพวกนั้นหวังเอาชีวิตข้าไม่ใช่ชีวิตเจ้า ข้าไม่ต้องการจะให้ใครต้องมาตายเพื่อข้าอีกแล้ว” จินเฟยเทียนพูดทั้งน้ำตาและพยายามแกะมือของเด็กชายที่กำลังกอดเขาอยู่ออก หยางหมิงเซียนพยายามกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาไม่คิดจะปล่อยมือจากคนผู้นี้ เขารู้ว่าหากทำแบบนี้...เขาอาจจะต้องตายไปพร้อมกับคนตรงหน้า แต่จะให้เขาทิ้งอีกฝ่ายไปเพื่อหนีเอาตัวรอดเขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ คนผู้นี้เข้ามาปกป้องเขาจากอันตราย คอยดูแล คอยเอาใจใส่เขา แบบที่ตัวเขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน และยามนี้คนตรงหน้าก็ยังพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อแลกกับชีวิตของเด็กที่ไม่มีใครต้องการแบบเขาอีก จินเฟยเทียนเมื่อโดนหยางหมิงเซียนกอดแน่นขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาต้องกา
แสงของดวงอาทิตย์ส่องเข้ามากระทบร่างของเด็กชายสองคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้หลังพุ่มไม้ใหญ่ จินเฟยเทียนรู้สึกได้ถึงแสงที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้าของตนเอง เขาจึงพยายามลืมตาที่หนักอึ้งและปูดบวมของเขาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นสภาพของตัวเองที่กำลังนอนซบอยู่กับบ่าน้อยๆ ของหยางหมิงเซียนและไหนจะแขนขาของเขาที่กำลังกอดก่ายอีกฝ่ายอยู่ แล้วยังมีแขนของเด็กชายที่พาดอยู่ที่เอวของเขาอีก... จินเฟยเทียนค่อยๆ ยกแขนของหยางหมิงเซียนออกจากเอวของเขา จากนั้นเขาก็ยกแขนยกขาแล้วเอาตัวเองลุกขึ้นจากตัวของอีกฝ่ายให้เบาที่สุด ถึงแม้ทั้งเขาและหยางหมิงเซียนจะเป็นเด็กผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แต่มานอนกอดกันแบบนี้มันก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล ‘แต่มาลองคิดดูอีกที...ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนอนกอดกับผู้ชายเสียเมื่อไหร่! กับน้องชายของเขาก็เคยนอนกอดแล้วหลับไปพร้อมกันออกบ่อยไป’ เมื่อคิดได้ดังนั้นจินเฟยเทียนก็ลุกขึ้นไปจัดท่านอนให้หยางหม
หยางหมิงเซียนที่แกล้งหลับแต่คอยแอบมองเด็กชายอยู่ตลอดเวลา...เขาได้เห็นว่าอีกฝ่ายเดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็ฮึดสู้ จากนั้นอีกฝ่ายก็กลับไปนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วเขาก็เห็นอีกฝ่ายเดี๋ยวก็นั่งขมวดคิ้วคิดหนักบ้าง ทำหน้าตึงเครียดบ้าง ถอนหายใจอยู่คนเดียวบ้าง นี่ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม...แต่อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าออกมาหลากหลาย จนคนแอบมองอย่างเขาอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไปมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายไม่นั่งจมอยู่กับความเศร้า จินเฟยเทียนหลังจากนั่งใช้ความคิดอยู่นาน เขาก็คิดได้ว่า...สิ่งแรกที่เขาควรทำก็คือการพาหยางหมิงเซียนไปตามทางที่ไห่เฟิงได้บอกเอาไว้เสียก่อน เพื่อที่พวกเขาจะได้หาทางเข้าหมู่บ้าน จากนั้นเขาค่อยกลับมาคิดเรื่องหลังจากนั้นอีกที... หยางหมิงเซียนที่เห็นว่าเด็กชายเริ่มหันมามองทางเขาบ่อยครั้งขึ้น เขาจึงลืมตาของตัวเองขึ้น ขยับตัว แล้วลุกขึ้นมานั่ง จินเฟยเทียนที่หัน
จินเฟยเทียนพาหยางหมิงเซียนเดินลัดเลาะต้นไม้ในป่า ไปทางทิศตะวันออกตามที่ไห่เฟิงบอกไว้ โดยอาศัยดวงอาทิตย์ในการนำทาง ซึ่งในระหว่างที่ทั้งสองคนเดินทางด้วยกันนั้น หยางหมิงเซียนก็ยังคงจับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อย ทำให้จินเฟยเทียนที่เข้าใจว่าหยางหมิงเซียนยังคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ จึงหันไปเอ่ยปลอบเด็กชายตัวน้อยข้างกาย “หมิงเซียน เจ้าไม่ต้องกลัวนะ...จากนี้ไปเจ้าจะมีเฟยเกออยู่เคียงข้าง คอยดูแลและคอยปกป้องเจ้าเอง” หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่จินเฟยเทียนพูด เขาก็หันหน้ากลับไปมองที่อีกฝ่ายทันที ยามนี้เขารู้สึกว่านัยน์ตาของเขาเริ่มร้อนผ่าว เขาจึงรีบก้มหน้าลง... “เฟยเกอ ท่านพูด...” หยางหมิงเซียนที่คิดจะเอ่ยถามว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นจริงหรือไม่? แต่เขาเองก็เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาโดยวัดได้จากสิ่งที่จินเฟยเทียนทำให้เขาเห็นเมื่อคืน เขาจึงไม่คิดจะเอ่ยคำถามต่อจนจบ ยามนี้หยางหมิงเซียนรู
จินเฟยเทียนเมื่อขึ้นมาบนฝั่งแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในป่าที่อยู่ข้างแม่น้ำไม่ไกลจากบริเวณที่พวกเขาลงไปล้างตัวมากนัก เพื่อให้หยางหมิงเซียนที่ตามขึ้นมาทีหลังจะได้หาเขาเจอได้ง่าย จินเฟยเทียนเมื่อเดินเข้ามาในป่าเขาก็รีบหาจุดที่พอจะให้พวกเขาทั้งสองคนใช้นอนในคืนนี้ได้ เนื่องจากตอนนี้น่าจะเข้าปลายยามเซินแล้ว (ยามเซิน เวลา 15:00 - 16:59 น.) ดังนั้นพวกเขาควรที่จะหยุดพักเอาแรงกันก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น จินเฟยเทียนเดินหาไม่นานเขาก็เจอกับต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขาสามารถใช้นอนพักในคืนนี้ได้ เมื่อเจอบริเวณที่พอจะปลอดภัยแล้ว จินเฟยเทียนจึงเดินเข้าไปเอาชุดที่ซักเรียบร้อยแล้วของพวกเขาไปผึ่งลมตามต้นไม้ต้นเล็กๆ ในบริเวณนั้นทันที จากนั้นเขาก็เดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งมาก่อเป็นกองเตรียมจุดไฟไว้รอหยางหมิงเซียน แล้วจินเฟยเทียนก็หยิบเอากิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่มาวางเป็นฐานแล้วนำกิ่งไม้ที่มีขนาดเล็กกว่ามาปั่นลงตรงกึ่งกลางของฐานไม้ที่เขาวางเอาไว้ จากนั้นจินเฟยเทียนก็เห็นหยางหมิงเซียน
‘เอ๊ะ! ที่นี่ที่ไหน?’ จินเฟยเทียนที่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพียงความมืดมิดและความว่างเปล่า รอบตัวเขาไม่มีสิ่งใดอยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว จินเฟยเทียนพยายามเพ่งสายตามองไปรอบๆ เผื่อว่าเขาจะเจอทางออกที่สามารถใช้ออกไปจากที่นี่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่กลัวการที่ต้องอยู่เพียงตัวคนเดียว แต่เขากลับกลัวความมืดมิด ความอ้างว้าง และความว่างเปล่าแบบที่นี่ เขาจึงพยายามมองไปรอบตัวให้มากที่สุด จนเขามองเห็นเงาดำที่มีรูปร่างเหมือนคนยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่ตอนนี้มากนัก จินเฟยเทียนจึงตัดสินใจค่อยๆ เดินเข้าไปหาเงานั้นช้าๆ แล้วเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้เงานั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เห็นว่าเงานั้นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่เพียงลำพังเหมือนกันกับเขา แต่ทำไมยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับรูปร่างและการแต่งกายของเด็กหนุ่มตรงหน้านัก จินเฟยเทียนที่ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น จนยามนี้เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ...
หยางหมิงเซียนที่เห็นจินเฟยเทียนนอนละเมอไม่ได้สติแบบนี้ มันทำให้เขานึกไปถึงบิดาของตัวเองขึ้นมา เขาคิดไปถึงวันสุดท้ายที่ตัวเขาได้อยู่กับบิดา ก่อนที่บิดาจะทิ้งเขาไว้ให้อยู่เพียงลำพัง หยางหมิงเซียนจำวันนั้นได้ดี...เป็นวันที่เขาย้ายตัวเองเข้าไปนอนห้องเดียวกับบิดา หลังจากที่มารดาหนีออกไปจากเรือน ทิ้งให้เขาอยู่กับบิดาเพียงแค่สองคน บิดาหลังจากที่รู้เรื่องมารดาหนีออกจากเรือนไป วันๆก็แทบไม่ยอมกินข้าว กินยา จนร่างกายทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ ส่วนเขาก็ต้องคอยดูแลทั้งงานบ้าน ทั้งบิดา และรับงานเล็กๆน้อยๆที่ชาวบ้านหยิบยื่นมาให้เขาทำด้วยความสงสาร เพื่อแลกกับเงินและอาหารที่พอจะใช้ประทังชีวิตพวกเขาสองพ่อลูกได้ในแต่ละวัน คืนนั้นหลังจากที่หยางหมิงเซียนจัดการงานบ้านและปิดเรือนจนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในห้องของบิดา แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าข้างบิดาที่หลับไปแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หยางหมิงเซียนที่หลับไปได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อบิดาของเขาละเมอร้องไห้ออกมาและพยายามเอื้อมมือไปไขว่คว้าบางอย่าง ส่วนปากก
รุ่งเช้าจินเฟยเทียนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะกลิ่นปลาย่างหอมๆ ที่โชยเข้ามาปลุกเขาให้ตื่นจากการหลับไหล จินเฟยเทียนแม้จะยังงัวเงีย แต่เขาก็ลุกขึ้นมานั่ง แล้วมองไปยังที่มาของกลิ่นหอมที่โชยมาปลุกให้เขาตื่น แล้วเขาก็เห็นหยางหมิงเซียนกำลังนั่งย่างปลาอยู่ เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที หยางหมิงเซียนที่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามาหาตนเองเขาจึงเงยหน้าขึ้นมาดู แล้วเขาก็เห็นจินเฟยเทียนกำลังเดินเข้ามาหาเขา เขาจึงยิ้มให้และเอ่ยทักทายอีกฝ่าย “เฟยเกอตื่นแล้วหรือขอรับ เฟยเกอไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะขอรับ กลับมาปลาน่าจะสุกพอดีขอรับ” “ได้ งั้นเดี๋ยวข้ามานะ” จินเฟยเทียนเมื่อเดินไปถึงที่แม่น้ำ เขาก็ก้มหน้าลงไปล้างหน้าล้างตา แต่เมื่อเขาเห็นเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในน้ำ ก็ทำให้เขานึกถึงสิ่งที่ตัวเองฝันเมื่อคืน แม้เมื่อคืนเขาจะฝันหลายเรื่องและก็มีทั้งฝันดีและฝันร้าย แล้วบางฝันเขาก็จำได
หยางหมิงเซียนเดินนำเสี่ยวเปากับเสี่ยงปิงเข้ามาในห้องปรุงยาแล้วให้บ่าวชายที่มีหน้าที่ช่วยงานภายในห้องนี้ออกไปยืนเฝ้าที่หน้าประตูห้อง เพื่อกันไม่ให้จินเฟยเทียนหรือคนอื่นๆในเรือนสมุนไพร เข้ามารับรู้เรื่องราวที่พวกเขากำลังจะพูดคุยกันในตอนนี้ “อาเปาอาปิง พวกเจ้ารู้สึกเหมือนกับข้าหรือไม่ว่า...บทลงโทษของท่านลุงที่ให้กับคนพวกนั้น มันช่างดูเบาเกินไป หากเทียบกับสิ่งที่คนพวกนั้นได้ลงมือทำร้ายผู้มีพระคุณของพวกมัน!” หยางหมิงเซียนพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกแค้นใจ เพราะในยามที่มีบ่าวในจวนเกิดล้มป่วย...ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จินเฟยเทียนจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ จนในบ้างครั้ง...อีกฝ่ายถึงกับต้องมาคอยนอนเฝ้าดูอาการป่วยของคนพวกนั้นที่เรือนสมุนไพรแห่งนี้ด้วย “ขอรับ” เสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงตอบรับคำของผู้เป็นนายพร้อมกัน เพราะยามนี้พวกเขาก็คิดไม่ต่างจากผู้เป็นนาย “อาเปาอาปิง หากข้าต้องการมอบบทลงโทษของข้าให้กับคนพวกนั้นเพิ่ม พวกเจ้ายินดีที่จะร่วมมือกับข้าหรือไม่?” “พวกบ่า
จินเฟยเทียนแอบแปลกใจกับแววตาของชางเย่ที่ชำเลืองมองมาทางหยางหมิงเซียน... “แม่นมหมิง” เมื่อตัดสินความผิดและมอบบทลงโทษให้ชางเย่เสร็จแล้ว ราชครูหลงจิ้นสิงก็กลับมาจัดการเรื่องของแม่นมหมิงต่อทันที “คุณหนู! บ่าวไม่ไปจากคุณหนูนะเจ้าคะ นายท่าน! นายท่านโปรดเมตตาบ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวขอร้อง...บ่าวจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหมิงอ้อนวอนและร้องขอความเมตตาจากผู้เป็นนายทั้งสอง “ข้าแล้วแต่ท่านพี่เลยเจ้าค่ะ” จางเลี่ยงซูรีบออกตัว...เพื่อที่ผู้เป็นสามีจะได้ตัดสินลงโทษแม่นมหมิงได้แบบไม่ต้องเกรงใจนาง เพราะถึงแม้คนตรงหน้าจะเป็นคนสนิทของนาง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยกโทษให้กันได้โดยง่าย และที่สำคัญ! คนที่อีกฝ่ายลงมือทำร้าย...ก็คือหลานชายที่นางรัก “แม่นมหมิง ความผิดของเจ้ามันช่างร้ายแรงนัก เพราะมันเป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของหลานชายข้า และเจ้าก็ยังทำให้บ่าวในจวนเกิดการแบ่งแยกและตีตนเสมอนาย และที่สำคัญ
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนก็ถูกตามตัวให้ไปรับสำรับเช้าที่เรือนใหญ่ และหลังจากรับสำรับเสร็จ ราชครูหลงจิ้นสิงก็พาทุกคนย้ายจากห้องรับสำรับไปยังห้องโถง จากนั้นก็ให้พ่อบ้านหลี่ส่งคนให้ไปเรียกบ่าวทุกคนในจวนให้มารวมกันที่ห้องโถงแห่งนี้ และก่อนที่ทุกคนจะมากันครบ ราชครูหลงจิ้นสิงได้พาหยางหมิงเซียนกับพ่อบ้านหลี่เข้าไปพูดคุยกันในห้องหนังสือ และเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว ราชครูหลงจิ้นสิงก็เริ่มแจ้งเรื่องราวต่างๆ หลังจากนั้นทันที “วันนี้ที่ข้าให้คนไปตามพวกเจ้ามารวมตัวกัน ก็เพราะในยามนี้มีการเล่าลือกันเกี่ยวกับเรื่องราวของหลานชายทั้งสองของข้า...ในเรื่องที่พวกเจ้าไม่มีสิทธิที่จะมาพูด หรือมาแสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น!” ราชครูหลงจิ้นสิงพูดพร้อมกับกวาดสายตาดูบ่าวในจวนที่นั่งอยู่กลางห้องโถงทั้งหมด “ในวันที่ข้าพาหลานชายทั้งสองของข้า เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้! ข้าได้ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกันไปแล้วว่า...สองคนนี้คือหลานชายของข้าที่มาจากต่างเมือง ดังนั้นหลานชายของข้า! ก็คือเจ้านายของพวกเจ้า!!” &n
“หมิงเซียน เฟยเทียน มีเรื่องเกิดขึ้นขนาดนี้...ทำไมถึงไม่ยอมมาบอกลุง?” ราชครูหลงจิ้นสิงเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องนอนของจินเฟยเทียน หลังจากที่เขาบังเอิญมาได้ยินเรื่องราวที่ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยกัน ราชครูหลงจิ้นสิงหลังจากพาผู้เป็นภรรยาเข้าห้องไปนอนพักแล้ว เขาก็แอบออกมาที่เรือนพักของหลานชายทั้งสอง ด้วยต้องการจะมาขอบใจจินเฟยเทียนที่ช่วยพูดจนผู้เป็นภรรยาของเขายินยอมทำตามในสิ่งที่ตัวเขาต้องการ และจะแวะมาถามไถ่อาการป่วยของหยางหมิงเซียนด้วย เพราะตอนที่รับสำรับเย็นเขายังไม่มีโอกาสได้ถามอาการของอีกฝ่าย... แต่พอเขากำลังจะเคาะประตูเรียกคนในเรือนพัก เขากลับได้ยินบทสนทนาของหลานชายกับบ่าวคนสนิท เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในจวนของเขา...แต่เขากลับไม่เคยได้รับรู้ เขาจึงยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งสี่จนจบ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปพูดคุยกับคนในเรือนพัก “ท่านลุงขอรับ...ข้า...พวกข้า” จินเฟยเทียนตกใจที่ราชครูหลงจิ้นสิง อยู่ ๆ ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง แถมยังดูเหมือนอีก
“เฟยเกอขอรับ ท่าน...” หยางหมิงเซียนพูดขึ้นด้วยดวงตาที่สั่นไหว หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้องนอนของจินเฟยเทียน “ข้า...ข้ามีอะไรหรือ?” จินเฟยเทียนหันไปมองหน้าหยางหมิงเซียนที่เอ่ยคำพูด ที่เหมือนจะพูดกับเขา แต่กลับไม่ยอมพูดให้จบประโยค ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับหยางหมิงเซียน “ท่านมีเรื่องไม่สบายใจ...แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมบอกข้าล่ะขอรับเฟยเกอ?” หยางหมิงเซียนพูดออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ในวันนี้เขาได้ออกไปเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่าคนตรงหน้าต้องพบเจอกับอะไรบ้าง และมันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หากไม่เพราะเกรงใจราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูที่มีบุญคุณกับพวกเขา เขาคงไม่ทำเพียงแค่กำหมัด และใช้แววตาข่มขู่อีกฝ่ายเป็นแน่... “ข้าน่ะหรือมีเรื่องไม่สบายใจ?” “ขอรับ” “ก็เรื่องที่แม่นมหมิงกับบ่าวในเรือนใหญ่บางคนที่เอาเรื่องของพวกเราไปป่าวประกาศอย่างไรล่ะขอ
“มากันแล้วหรือเฟยเทียน หมิงเซียน” จางเลี่ยงซูเมื่อเห็นหลานชายทั้งสองเดินเข้ามาในห้องโถง นางจึงเอ่ยทักคนทั้งคู่ โดยมีแม่นมหมิงยืนอยู่ข้างกายผู้เป็นนายไม่ยอมห่าง “ขอรับท่านป้า” จินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนเอ่ยตอบรับคำ และเดินเข้าไปคำนับจางเลี่ยงซูพร้อมกัน แต่พอพวกเขาเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็เห็นสายตาของแม่นมหมิงกับบ่าวในเรือนใหญ่บางคนที่แอบมองมาที่พวกเขาด้วยแววตาที่รังเกียจและดูถูก “หมิงเซียนอาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” “ดีขึ้นมากแล้วขอรับท่านป้า เหลือแต่อาการร้อนจากภายในเท่านั้น ที่ยังคงมีเกิดขึ้นมาบ้างในบางครั้งขอรับ” หยางหมิงเซียนตอบคำถามอีกฝ่าย และแอบใช้สายตากดข่มไปทางแม่นมหมิงกับบ่าวพวกนั้น และเขาก็แอบกำหมัดไว้ในเสื้อ...เพื่อระงับอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของตัวเอง “ป้าว่า...มันน่าจะเป็นพิษที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกายของเจ้า งั้นช่วงนี้เจ้าก็ต้องขยันปรับการไหลเวียนของลมปราณ มันจะได้ช่วยให้เจ้าหายเป็นปกติเร็วขึ้น” “ข
จินเฟยเทียนนั่งอ่านหนังสือและแอบมองคนป่วยที่ถอยกลับลงไปนอนหนุนหมอนของตัวเอง พร้อมกับนอนหันหลังให้กับเขาด้วยความรู้สึกที่ยังแคลงใจ เพราะเมื่อครู่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็มาเอ่ยบอกรักเขา ตอนแรกเขาเองก็รู้สึกตกใจ แต่พอมาคิดอีกที...อีกฝ่ายก็คงจะบอกรักเขาในแบบที่น้องชายบอกรักพี่ชายเพียงเท่านั้น เพราะในยามนี้อีกฝ่ายกำลังไม่สบาย...เจ้าตัวก็คงอยากจะแสดงความรัก และก็คงอยากจะอ้อนพี่ชายอย่างเขาเป็นแน่… จินเฟยเทียนจึงตัดสินใจบอกรักอีกฝ่ายกลับไป แถมยังบอกอีกว่า...ตัวเขานั้นรักอีกฝ่ายเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเขาเลยนะ! แต่ทำไมพอเขาพูดแบบนั้นออกไป...เขาถึงได้เห็นแววตาเจ็บปวดและไม่ยินยอมจากเจ้าลูกกวางล่ะ... ‘ไม่หรอกมั้ง! ข้าคงคิดมากเกินไป บางทีเจ้าลูกกวางอาจจะกำลังดีใจมาก...จนแสดงสีหน้าออกมาไม่ถูกก็เป็นได้’ เมื่อเห็นหยางหมิงเซียนยังคงนอนหันหลังให้กับตัวเอง จินเฟยเทียนจึงเอื้อมมือไปจับหน้าผากวัดไข้ของเจ้าลูกกวางอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปดับไฟและล้มตัวลงนอนตามอีกฝ่ายไป แต่...เม
จินเฟยเทียนหลังจากกล่าวลาชิงหลวนคุนเขาก็ประคองหยางหมิงเซียนเดินกลับเข้ามาที่ห้องนอนของตัวเอง "หมิงเซียนเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่น่าออกไปต้องลมหนาวด้านนอกเลย...รีบขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนเร็ว" จินเฟยเทียนพูดพร้อมประคองหยางหมิงเซียนขึ้นไปนั่งบนเตียง "ขอรับเฟยเกอ" "อาปิง...เจ้าช่วยไปเอาน้ำอุ่น ผ้าสะอาด กับยาแก้ไอมาให้ข้าหน่อยนะ" "ได้ขอรับคุณชายฟาง" "ขอบใจเจ้ามากนะอาปิง จากนี้...เดี๋ยวข้าจะจัดการต่อเอง" จินเฟยเทียนหันไปขอบคุณเสี่ยวปิงที่เอาของที่เขาต้องการมาให้ "ขอรับคุณชายฟาง" เสี่ยวปิงหลังจากเข้าไปวางถาดใส่ของให้ผู้เป็นนายเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบถอยออกจากห้องนอนของจินเฟยเทียนทันที "หมิงเซียน เจ้ากินยาแก้ไอก่อน แล้วดื่มน้ำอุ่นตามมากๆด้วยนะ" จินเฟยเทียนเอายาแก้ไอให้เจ้าลูกกวางกิน จากนั้นเขาก็เอาผ้าสะอาดไปชุบน้ำ
หยางหมิงเซียนเก็บความไม่พอใจ และบรรยากาศกดดันที่ตัวเขาได้แผ่ออกมาจนหมด ก่อนจะส่งเสียงไอออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องโถงโดยมีเสี่ยวปิงคอยช่วยพยุง แค่ก แค่ก แค่ก.... เมื่อเข้าไปด้านในห้องโถงหยางหมิงเซียนกับเสี่ยวปิงก็หันไปทำความเคารพแขกผู้สูงศักดิ์ที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับจินเฟยเทียน “หมิงเซียนเจ้าตื่นแล้วหรือ? แล้วทำไมถึงใส่เสื้อคลุมที่บางแบบนี้ออกมาด้านนอก!” จินเฟยเทียนเห็นหยางหมิงเซียนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอาการไอ เขาจึงลุกเข้าไปช่วยประคองคนป่วย แต่พอเห็นเสื้อคลุมที่เจ้าลูกกวางใส่ออกมาด้านนอกในยามนี้แล้ว....เขาแทบอยากจะตีอีกฝ่ายตรงนี้เสียจริง ๆ “ขอโทษขอรับเฟยเกอ ข้าลืมเปลี่ยนเสื้อคลุมก่อนออกมาด้านนอกขอรับ” “อาปิง...เจ้ากลับเข้าไปเอาเสื้อคลุมของหมิงเซียนออกมา เลือกตัวที่หนาๆ หน่อยนะ” “ขอรับคุณชายฟาง” “หมิงเซีย