ในป่าท้ายหมู่บ้านยามนี้มีเงาดำสี่สายกำลังพุ่งตัวตามเงาดำสายหนึ่งอยู่...
ไห่เฟิงหลังจากพาจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนหลบหนีออกมาจากเรือนของหยงหม่าได้ เขาก็รีบพาคนทั้งคู่เข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้าน โดยใช้วิชาตัวเบาสลับกับการเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ เพื่ออาศัยความมืดในการพรางตัว เนื่องจากไห่เฟิงได้สูญเสียลมปราณไปกับการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมาไม่น้อย จึงทำให้เขาในยามนี้ต้องใช้พลังกายและพยายามดึงเอาลมปราณส่วนที่ยังเหลือออกมาใช้ เพื่อพาผู้เป็นนายหลบหนีจากกลุ่มนักฆ่าให้เร็วที่สุด
ไห่เฟิงที่รับรู้ว่ายามนี้มีกลุ่มคนกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ เขาจึงกระซิบบอกผู้เป็นนายในอ้อมแขนของตัวเองเบาๆ
“คุณชายใหญ่ขอรับ ตอนนี้พวกเรากำลังถูกติดตามจากพวกนักฆ่า คุณชายใหญ่สงบลงก่อนนะขอรับ”
จินเฟยเทียนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับ แล้วพยายามสงบใจของตัวเองลง จากนั้นเขาก็พยายามกลั้นสะอื้นเพื่อไม่ให้มีเสียงหลุดลอดออกมาได้
ไห่เฟิงเห็นผู้เป็นนายพยายามกลั้นสะอื้นจนร่างเล็กในอ้อมแขนเริ่มสั่นเทา ก็ทำให้เขารู้สึกสงสารผู้เป็นนายจนจับใจ
‘คุณชายใหญ่อายุก็เพียงเท่านี้ เหตุใดถึงต้องมาเจอเหตุการณ์ที่หนักหนาขนาดนี้ด้วย’
ไห่เฟิงเพิ่มความเร็วในการหลบหนี เพื่อจะได้ทิ้งห่างจากพวกนักฆ่า ยามนี้เขาพยายามสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาที่ปลอดภัย...พอจะให้ผู้เป็นนายและเด็กอีกคนสามารถเข้าไปหลบซ่อนตัวได้
ไห่เฟิงมองเห็นพุ่มไม้ที่มีขนาดใหญ่ข้างต้นไม้ต้นหนึ่ง ขนาดของพุ่มไม้น่าจะพอให้เด็กสองคนเข้าไปหลบซ่อนตัวได้ เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้พุ่มนั้นทันที จากนั้นเขาก็ค่อยๆ วางผู้เป็นนายกับเด็กอีกคนลงอย่างเบามือ
“คุณชายใหญ่ขอรับ หากเดินจากจุดนี้ไปทางทิศตะวันออก คุณชายใหญ่จะเจอกับแม่น้ำสายหนึ่ง ถ้าเจอแม่น้ำสายนั้นแล้วให้คุณชายใหญ่เดินตามกระแสน้ำไปเรื่อย ๆ แล้วคุณชายใหญ่ก็จะเจอกับอารามของเมืองนี้ จากนั้นคุณชายใหญ่สามารถเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระในอารามแห่งนั้นได้ขอรับ” ไห่เฟิงมองผู้เป็นนายที่ตั้งใจฟังในสิ่งที่ตนบอกด้วยใบหน้าที่แดงก่ำน้ำตาไหลลงมาคลอหน่วย ปากเม้มแน่นด้วยพยายามที่จะกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้...ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งปวดใจยิ่งนัก
หากเลือกได้เขาคงไม่คิดจะทิ้งผู้เป็นนายไว้แบบนี้เป็นแน่ แต่หากพวกเขายังเลือกที่จะเดินทางหลบหนีแบบเดิม ฝั่งตรงข้ามคงตามพวกเขามาทันเป็นแน่ เพราะตอนนี้ตัวเขาได้ใช้แรงกายและดึงลมปราณของตัวเองออกมาใช้จนถึงขีดสุดแล้ว
“คุณชายใหญ่ขอรับ... ข้าคงมาส่งคุณชายใหญ่ได้เพียงเท่านี้ หลังจากนี้หากเกิดอะไรขึ้น คุณชายใหญ่ห้ามออกไปจากตรงนี้โดยเด็ดขาดนะขอรับ รอให้ทุกอย่างสงบลงก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อนะขอรับ ข้าขอลาคุณชายใหญ่ตรงนี้เลยขอรับ” ไห่เฟิงพูดจบก็ลุกขึ้นยืนก้มหัวคำนับให้กับจินเฟยเทียนหนึ่งครั้ง แล้วสะบัดตัวจากไปทันที
จินเฟยเทียนได้ยินดังนั้นจึงเอื้อมมือออกไป หวังจะคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้ แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศเท่านั้น
“อาไห่! อย่าไป! กลับมา...”
ไห่เฟิงรีบใช้วิชาตัวเบาพุ่งกลับไปยังทางเดิมเพื่อดักรอฝ่ายตรงข้ามที่กำลังไล่ตามรอยของพวกเขาอยู่ และเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงอีกฝ่าย เขาก็รีบพุ่งตัวออกไปเพื่อล่อให้อีกฝ่ายได้ติดตามตัวเขาออกไปด้วย...ให้พวกมันออกห่างจากบริเวณที่ผู้เป็นนายซ่อนตัวอยู่...
ไห่เฟิงเมื่อล่อให้พวกนักฆ่าไล่ตามตัวเองจนห่างออกมาไกลพอสมควรแล้ว เขาจึงลดความเร็วของตัวเองลง จากนั้นเขาจึงดึงดาบของตัวเองออกมารอ... ยามนี้เขาพร้อมแล้วที่จะสู้ เพื่อปกป้องผู้เป็นนายของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ตัวเขาแม้ต้องตายก็ไม่คิดเสียดาย...เขาขอเพียงให้ผู้เป็นนายปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว
หลังจากไห่เฟิงพุ่งตัวออกไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ จินเฟยเทียนก็ได้ยินเสียงต่อสู้ที่ดังมาจากในป่าฝั่งตรงข้ามจากบริเวณที่พวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่ น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็ไหลออกมาอีกครั้ง ยามนี้เขาได้แต่ภาวนาให้ไห่เฟิงปลอดภัยเท่านั้น
จากนั้นไม่นานจินเฟยเทียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าซึ่งดังห่างจากที่พวกเขาหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนัก เขาจึงรีบเอื้อมมือไปดึงหยางหมิงเซียนเข้ามากอดไว้แล้วใช้มือข้างหนึ่งปิดปากของเด็กชาย แล้วใช้มืออีกข้างที่เหลือปิดปากของตนเอง
สวบ สวบ สวบ!
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จินเฟยเทียนพยายามมองผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้เพื่อหาต้นตอของเสียง แล้วเขาก็ได้เห็นชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดคล้ายกับพวกนักฆ่าที่เข้ามาทำร้ายพวกเขา
จินเฟยเทียนก้มมองหยางหมิงเซียน แล้วรีบตัดสินใจในสถานการณ์ตรงหน้าทันที
“เด็กน้อย ฟังข้านะ...เจ้าจำที่อาไห่บอกก่อนออกไป ได้หรือไม่?” จินเฟยเทียนกระซิบถามเด็กชายในอ้อมแขน แล้วเมื่อเขาเห็นเด็กชายพยักหน้ารับ เขาจึงรีบเอ่ยชม...
“เก่งมาก เด็กดี”
“เดี๋ยวข้าจะวิ่งออกไปล่อสองคนนั้นให้ไปอีกทางหนึ่ง เมื่อเจ้าเห็นสองคนนั้นวิ่งตามข้าจนห่างออกไปแล้ว เจ้าค่อยออกจากที่ซ่อนนี้ แล้วไปตามทางที่อาไห่บอกไว้นะ” จินเฟยเทียนแม้ปากจะเอ่ยพูดกับหยางหมิงเซียน แต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่กับสองนักฆ่าสองคนนั้น
หยางหมิงเซียนเมื่อได้ฟังที่เด็กชายตรงหน้าพูด เขาก็รีบเอื้อมมือไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วส่ายหน้าเบาๆ ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายทันที
“ไม่ขอรับ! หากจะไปก็ต้องไปด้วยกัน”
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
จินเฟยเทียนจากที่จะเตรียมตัวทำตามสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ ก็ต้องหันกลับลงมามองหยางหมิงเซียนที่ยามนี้อีกฝ่ายเอื้อมมือมากอดตัวเขาเอาไว้จนแน่น “เด็กน้อยเจ้า...” “เจ้าไม่กลัวตายหรือ...คนพวกนั้นหวังเอาชีวิตข้าไม่ใช่ชีวิตเจ้า ข้าไม่ต้องการจะให้ใครต้องมาตายเพื่อข้าอีกแล้ว” จินเฟยเทียนพูดทั้งน้ำตาและพยายามแกะมือของเด็กชายที่กำลังกอดเขาอยู่ออก หยางหมิงเซียนพยายามกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาไม่คิดจะปล่อยมือจากคนผู้นี้ เขารู้ว่าหากทำแบบนี้...เขาอาจจะต้องตายไปพร้อมกับคนตรงหน้า แต่จะให้เขาทิ้งอีกฝ่ายไปเพื่อหนีเอาตัวรอดเขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ คนผู้นี้เข้ามาปกป้องเขาจากอันตราย คอยดูแล คอยเอาใจใส่เขา แบบที่ตัวเขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน และยามนี้คนตรงหน้าก็ยังพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อแลกกับชีวิตของเด็กที่ไม่มีใครต้องการแบบเขาอีก จินเฟยเทียนเมื่อโดนหยางหมิงเซียนกอดแน่นขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาต้องกา
แสงของดวงอาทิตย์ส่องเข้ามากระทบร่างของเด็กชายสองคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้หลังพุ่มไม้ใหญ่ จินเฟยเทียนรู้สึกได้ถึงแสงที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้าของตนเอง เขาจึงพยายามลืมตาที่หนักอึ้งและปูดบวมของเขาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นสภาพของตัวเองที่กำลังนอนซบอยู่กับบ่าน้อยๆ ของหยางหมิงเซียนและไหนจะแขนขาของเขาที่กำลังกอดก่ายอีกฝ่ายอยู่ แล้วยังมีแขนของเด็กชายที่พาดอยู่ที่เอวของเขาอีก... จินเฟยเทียนค่อยๆ ยกแขนของหยางหมิงเซียนออกจากเอวของเขา จากนั้นเขาก็ยกแขนยกขาแล้วเอาตัวเองลุกขึ้นจากตัวของอีกฝ่ายให้เบาที่สุด ถึงแม้ทั้งเขาและหยางหมิงเซียนจะเป็นเด็กผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แต่มานอนกอดกันแบบนี้มันก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล ‘แต่มาลองคิดดูอีกที...ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนอนกอดกับผู้ชายเสียเมื่อไหร่! กับน้องชายของเขาก็เคยนอนกอดแล้วหลับไปพร้อมกันออกบ่อยไป’ เมื่อคิดได้ดังนั้นจินเฟยเทียนก็ลุกขึ้นไปจัดท่านอนให้หยางหม
หยางหมิงเซียนที่แกล้งหลับแต่คอยแอบมองเด็กชายอยู่ตลอดเวลา...เขาได้เห็นว่าอีกฝ่ายเดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็ฮึดสู้ จากนั้นอีกฝ่ายก็กลับไปนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วเขาก็เห็นอีกฝ่ายเดี๋ยวก็นั่งขมวดคิ้วคิดหนักบ้าง ทำหน้าตึงเครียดบ้าง ถอนหายใจอยู่คนเดียวบ้าง นี่ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม...แต่อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าออกมาหลากหลาย จนคนแอบมองอย่างเขาอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไปมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายไม่นั่งจมอยู่กับความเศร้า จินเฟยเทียนหลังจากนั่งใช้ความคิดอยู่นาน เขาก็คิดได้ว่า...สิ่งแรกที่เขาควรทำก็คือการพาหยางหมิงเซียนไปตามทางที่ไห่เฟิงได้บอกเอาไว้เสียก่อน เพื่อที่พวกเขาจะได้หาทางเข้าหมู่บ้าน จากนั้นเขาค่อยกลับมาคิดเรื่องหลังจากนั้นอีกที... หยางหมิงเซียนที่เห็นว่าเด็กชายเริ่มหันมามองทางเขาบ่อยครั้งขึ้น เขาจึงลืมตาของตัวเองขึ้น ขยับตัว แล้วลุกขึ้นมานั่ง จินเฟยเทียนที่หัน
จินเฟยเทียนพาหยางหมิงเซียนเดินลัดเลาะต้นไม้ในป่า ไปทางทิศตะวันออกตามที่ไห่เฟิงบอกไว้ โดยอาศัยดวงอาทิตย์ในการนำทาง ซึ่งในระหว่างที่ทั้งสองคนเดินทางด้วยกันนั้น หยางหมิงเซียนก็ยังคงจับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อย ทำให้จินเฟยเทียนที่เข้าใจว่าหยางหมิงเซียนยังคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ จึงหันไปเอ่ยปลอบเด็กชายตัวน้อยข้างกาย “หมิงเซียน เจ้าไม่ต้องกลัวนะ...จากนี้ไปเจ้าจะมีเฟยเกออยู่เคียงข้าง คอยดูแลและคอยปกป้องเจ้าเอง” หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่จินเฟยเทียนพูด เขาก็หันหน้ากลับไปมองที่อีกฝ่ายทันที ยามนี้เขารู้สึกว่านัยน์ตาของเขาเริ่มร้อนผ่าว เขาจึงรีบก้มหน้าลง... “เฟยเกอ ท่านพูด...” หยางหมิงเซียนที่คิดจะเอ่ยถามว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นจริงหรือไม่? แต่เขาเองก็เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาโดยวัดได้จากสิ่งที่จินเฟยเทียนทำให้เขาเห็นเมื่อคืน เขาจึงไม่คิดจะเอ่ยคำถามต่อจนจบ ยามนี้หยางหมิงเซียนรู
จินเฟยเทียนเมื่อขึ้นมาบนฝั่งแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในป่าที่อยู่ข้างแม่น้ำไม่ไกลจากบริเวณที่พวกเขาลงไปล้างตัวมากนัก เพื่อให้หยางหมิงเซียนที่ตามขึ้นมาทีหลังจะได้หาเขาเจอได้ง่าย จินเฟยเทียนเมื่อเดินเข้ามาในป่าเขาก็รีบหาจุดที่พอจะให้พวกเขาทั้งสองคนใช้นอนในคืนนี้ได้ เนื่องจากตอนนี้น่าจะเข้าปลายยามเซินแล้ว (ยามเซิน เวลา 15:00 - 16:59 น.) ดังนั้นพวกเขาควรที่จะหยุดพักเอาแรงกันก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น จินเฟยเทียนเดินหาไม่นานเขาก็เจอกับต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขาสามารถใช้นอนพักในคืนนี้ได้ เมื่อเจอบริเวณที่พอจะปลอดภัยแล้ว จินเฟยเทียนจึงเดินเข้าไปเอาชุดที่ซักเรียบร้อยแล้วของพวกเขาไปผึ่งลมตามต้นไม้ต้นเล็กๆ ในบริเวณนั้นทันที จากนั้นเขาก็เดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งมาก่อเป็นกองเตรียมจุดไฟไว้รอหยางหมิงเซียน แล้วจินเฟยเทียนก็หยิบเอากิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่มาวางเป็นฐานแล้วนำกิ่งไม้ที่มีขนาดเล็กกว่ามาปั่นลงตรงกึ่งกลางของฐานไม้ที่เขาวางเอาไว้ จากนั้นจินเฟยเทียนก็เห็นหยางหมิงเซียน
‘เอ๊ะ! ที่นี่ที่ไหน?’ จินเฟยเทียนที่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพียงความมืดมิดและความว่างเปล่า รอบตัวเขาไม่มีสิ่งใดอยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว จินเฟยเทียนพยายามเพ่งสายตามองไปรอบๆ เผื่อว่าเขาจะเจอทางออกที่สามารถใช้ออกไปจากที่นี่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่กลัวการที่ต้องอยู่เพียงตัวคนเดียว แต่เขากลับกลัวความมืดมิด ความอ้างว้าง และความว่างเปล่าแบบที่นี่ เขาจึงพยายามมองไปรอบตัวให้มากที่สุด จนเขามองเห็นเงาดำที่มีรูปร่างเหมือนคนยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่ตอนนี้มากนัก จินเฟยเทียนจึงตัดสินใจค่อยๆ เดินเข้าไปหาเงานั้นช้าๆ แล้วเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้เงานั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เห็นว่าเงานั้นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่เพียงลำพังเหมือนกันกับเขา แต่ทำไมยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับรูปร่างและการแต่งกายของเด็กหนุ่มตรงหน้านัก จินเฟยเทียนที่ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น จนยามนี้เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ...
หยางหมิงเซียนที่เห็นจินเฟยเทียนนอนละเมอไม่ได้สติแบบนี้ มันทำให้เขานึกไปถึงบิดาของตัวเองขึ้นมา เขาคิดไปถึงวันสุดท้ายที่ตัวเขาได้อยู่กับบิดา ก่อนที่บิดาจะทิ้งเขาไว้ให้อยู่เพียงลำพัง หยางหมิงเซียนจำวันนั้นได้ดี...เป็นวันที่เขาย้ายตัวเองเข้าไปนอนห้องเดียวกับบิดา หลังจากที่มารดาหนีออกไปจากเรือน ทิ้งให้เขาอยู่กับบิดาเพียงแค่สองคน บิดาหลังจากที่รู้เรื่องมารดาหนีออกจากเรือนไป วันๆก็แทบไม่ยอมกินข้าว กินยา จนร่างกายทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ ส่วนเขาก็ต้องคอยดูแลทั้งงานบ้าน ทั้งบิดา และรับงานเล็กๆน้อยๆที่ชาวบ้านหยิบยื่นมาให้เขาทำด้วยความสงสาร เพื่อแลกกับเงินและอาหารที่พอจะใช้ประทังชีวิตพวกเขาสองพ่อลูกได้ในแต่ละวัน คืนนั้นหลังจากที่หยางหมิงเซียนจัดการงานบ้านและปิดเรือนจนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในห้องของบิดา แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าข้างบิดาที่หลับไปแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หยางหมิงเซียนที่หลับไปได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อบิดาของเขาละเมอร้องไห้ออกมาและพยายามเอื้อมมือไปไขว่คว้าบางอย่าง ส่วนปากก
รุ่งเช้าจินเฟยเทียนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เพราะกลิ่นปลาย่างหอมๆ ที่โชยเข้ามาปลุกเขาให้ตื่นจากการหลับไหล จินเฟยเทียนแม้จะยังงัวเงีย แต่เขาก็ลุกขึ้นมานั่ง แล้วมองไปยังที่มาของกลิ่นหอมที่โชยมาปลุกให้เขาตื่น แล้วเขาก็เห็นหยางหมิงเซียนกำลังนั่งย่างปลาอยู่ เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทันที หยางหมิงเซียนที่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามาหาตนเองเขาจึงเงยหน้าขึ้นมาดู แล้วเขาก็เห็นจินเฟยเทียนกำลังเดินเข้ามาหาเขา เขาจึงยิ้มให้และเอ่ยทักทายอีกฝ่าย “เฟยเกอตื่นแล้วหรือขอรับ เฟยเกอไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะขอรับ กลับมาปลาน่าจะสุกพอดีขอรับ” “ได้ งั้นเดี๋ยวข้ามานะ” จินเฟยเทียนเมื่อเดินไปถึงที่แม่น้ำ เขาก็ก้มหน้าลงไปล้างหน้าล้างตา แต่เมื่อเขาเห็นเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในน้ำ ก็ทำให้เขานึกถึงสิ่งที่ตัวเองฝันเมื่อคืน แม้เมื่อคืนเขาจะฝันหลายเรื่องและก็มีทั้งฝันดีและฝันร้าย แล้วบางฝันเขาก็จำได
“คุณชาย...ท่านฟื้นแล้ว!” จินเฟยเทียนลืมตาขึ้นมาเขาก็ได้เห็นว่า...ตอนนี้ตัวเขากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียกของบุรุษ ดังขึ้นมาจากข้างเตียง...เขาจึงหันไปมองตามเสียงนั้น แล้วเขาก็ได้เห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขา “อย่าเพิ่งลุกขอรับ” ซานมู่รีบเข้าไปประคองคนเจ็บ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะลุกขึ้นจากเตียง “เอ่อ...ที่นี่ที่ไหนหรือขอรับ? แล้ว...ตัวข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือขอรับ?” จินเฟยเทียนเอ่ยถามเมื่อมองไปรอบๆ แล้ว เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ... ‘นี่ข้าได้กลับมาเป็นจินเฟยเทียนหรือไม่นะ?’ “ที่นี่คือเรือนพักกลางป่าของพวกข้าน้อยเองเจ้าค่ะ พวกข้าน้อยเจอคุณชายนอนไม่ได้สติอยู่ที่ริมแม่น้ำ...เลยพาคุณชายเข้าไปรักษาตัวที่โรงหมอในหมู่บ้าน จากนั้นก็พาคุณชายกลับมารักษาตัวต่อที่เรือนไม้หลังนี้เจ้าค่ะ แต่ในระหว่างที่คุณชายมารักษาตัวอ
จนเวลาล่วงเลยผ่านมาแล้วถึงสองเดือน...ที่พวกเขายังคงตามหาจินเฟยเทียนไม่พบ แม้หยางหมิงเซียนจะยังคงออกตามหาจินเฟยเทียนทั้งกลางวันและกลางคืนเหมือนเดิม โดยมีชิงหลวนคุน จินเฟยหลงและราชครูหลงจิ้นสิงที่คอยส่งคนออกมาช่วยตามหา และถ้าเมื่อใดที่พวกเขาว่าง...พวกเขาก็จะลงมาช่วยตามหาจินเฟยเทียนด้วยตัวเองทุกครั้งก็ตาม ส่วนจินเฟยหมิง...อาการจากการถูกลอบวางยาพิษถึงจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ลมปราณและวรยุทธของเขากลับถูกยาพิษของหานเฟิงทำลายจนไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม เขาจึงทำเรื่องทูลขอต่อฮ่องเต้ เพื่อส่งมอบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้น...ไปให้กับผู้ที่เหมาะสมนั่นก็คือจินเฟยหลง ให้ขึ้นรับตำแหน่งนี้แทนเขาทันที และหลังจากที่พวกเขาจัดการกับพิธีศพของชิงจิวซิน และจัดการกับพิธีส่งมอบตำแหน่งให้จินเฟยหลงเสร็จแล้ว จินเฟยหมิงและจินเฟยฮวาก็ย้ายตัวเองมาอยู่ที่ค่ายทหารแถบชายแดนทันที... จินเฟยเทียนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความว่างเปล่า ด้วยเพราะรอบกายเขาในยามนี้ มันไม่มีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
หยางหมิงเซียนที่แยกออกไปจัดการดูแลตัวเองจนเรียบร้อย เขาได้เดินกลับออกมา...พร้อมกับยื่นชุดเก่าของผู้เป็นบิดา ไปทางชิงหลวนคุนกับคนที่ติดตามพวกเขามาด้วย “บ่อน้ำด้านหลังเรือนยังใช้ได้อยู่ ส่วนของในเรือนพวกเจ้าสามารถหยิบใช้ได้ตามสบาย” หยางหมิงเซียนพูดจบก็คิดจะเดินออกจากเรือนทันที “หมิงเซียนเจ้าอยู่รอทำแผลของตัวเองและอยู่รอพวกข้าก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยออกไปตามหาเฟยเทียนต่อพร้อมกัน ตอนนี้เฟยหลงกำลังกลับไปเอายาและของที่พวกเราต้องใช้ในคืนนี้อยู่” ชิงหลวนคุนเอ่ยรั้งหยางหมิงเซียนเอาไว้ เพราะบาดแผลตามร่างกายของอีกฝ่ายยังไม่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะบาดแผลที่มารดาของอีกฝ่ายได้ลงมือฝากเอาไว้ ยามนี้...มันยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาให้เห็น “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าจัดการดูแลตัวเองเสร็จ ค่อยตามข้าออกไปแล้วกัน” “หมิงเซียนหากเจ้าไม่ดูแลตัวเอง และรีบร้อนจนเป็นอะไรไปอีกคน ยามนั้นมันจะไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้หรือ?” “แต่ตอนนี้เฟยเกออยู่ด้านนอกนั้นคนเดียว! แ
หยางหมิงเซียนที่ถูกจับตัวเอาไว้โดยชิงหลวนคุนและจินเฟยหลง ยามนี้เขาปล่อยให้ตัวเองทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น พร้อมกับสหายทั้งสองของเขาอย่างหมดแรง “พวกเจ้ารีบกระจายตัวออกไปหาเส้นทางที่สามารถใช้ไต่ลงไปด้านล่างได้ หากเจอแล้วให้รีบกลับมาบอกข้า” ชิงหลวนคุนที่ดึงสติกลับมาได้ก่อน รีบหันไปสั่งการคนของเขาทันที “หึ! เป็นเช่นไร...เจ็บปวดดีหรือไม่เล่า กับการที่ต้องสูญเสียคนที่ตัวเองรักแต่เท่านี้มันยังไม่เพียงพอ...ชดใช้ให้กับสิ่งที่พวกข้าต้องสูญเสียไปหรอกนะ ความจริงแล้วพวกเจ้าก็น่าจะตกลงไปตายพร้อมกับคุณชายใหญ่นั่นด้วยเลยนะ” หานเฟิงที่ถูกจับตัวโดยคนของซูเทียนฉินเอ่ยขึ้น “ชดใช้อย่างนั้นหรือ...ได้! อย่างนั้นพวกเจ้าก็จงชดใช้มาให้ข้าเสียสิ!!” หยางหมิงเซียนลุกขึ้นปาดน้ำตาพร้อมกับเดินเข้าไปคว้าดาบในมือของซูเทียนฉิน ก่อนจะเดินเข้าไปฟันคอของหานเฟิงจนขาดภายในดาบเดียว จากนั้นเขาก็ตรงเข้าไปจัดการกับลูกน้องของหานเฟิงต่อทันที “หมิงเซียนหยุด! เก็บแร
“พวกเจ้ารีบพานางออกไปจากที่นี่ ส่วนพวกที่เหลือ...ตามข้ามา!” หานเฟิงหันไปสั่งคนของเขา พร้อมกับกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้า หลังจากที่ตัวเขามาถึงหลังกระท่อม แล้วเห็นพ่อบ้านจวนแม่ทัพ กำลังพาคนในกระท่อมหลบหนีโดยใช้รถม้าที่พวกเขาได้เตรียมเอาไว้หนี... แต่ดีที่คนของเขาได้พาว่านซิ่นหลิงไปขึ้นรถม้าอีกคันที่พวกเขาได้จอดทิ้งเอาไว้หน้ากระท่อม เขาจึงรีบแยกคนของเขาที่เหลืออยู่เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้พาว่านซิ่นหลิงหลบออกไปจากที่นี่ ส่วนที่เหลือให้ตามเขาไปจัดการกับคนพวกนั้น แต่ก่อนที่หานเฟิงจะควบม้าออกไป เขาได้หันกลับไปมองที่ชิงจิวซิน ยามนี้นางได้ท่านกุนซือเข้ามาช่วยเหลือ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังจะช่วยถอนพิษให้กับนาง เขาจึงเอ่ยปากขอธนูกับลูกธนูจากคนของเขา จากนั้นจึงยิงไปที่ชิงจิวซินก่อนที่เขาจะพุ่งตัวออกไปจากที่นั่น ‘คนชั่วช้าอย่างเจ้า ไม่ควรได้รับความเมตตาจากใครทั้งนั้น...จินฮูหยิน’ “อึก!” “จินฮูหยิน!” ชิงจิว
“ท่านพ่อเป็นอะไรหรือขอรับ?” จินเฟยเทียนเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่าบิดาอยู่ ๆ ก็ฝืนเกรงตัวขึ้น...ในขณะที่เขากำลังแก้เชือกให้อีกฝ่ายอยู่ ส่วนจินเฟยฮวาก็ลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินเข้ามาหลบด้านหลังเขา จินเฟยเทียนจึงเงยหน้าขึ้น...แล้วมองไปตามสายตาของคนทั้งสอง “บ่าวมาช่วยขอรับ คุณชายใหญ่” ชุนฉือเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแววตาระแวดระวังจากคนในกระท่อม “อืม...ขอบคุณท่านมาก ท่านพ่อบ้าน” จินเฟยเทียนกล่าวตอบเพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้ามาช่วยเหลือพวกเขา ระหว่างที่ชุนฉือเข้ามาช่วยจินเฟยเทียนแก้มัดให้จินเฟยหมิง จินเฟยเทียนก็แอบมองไปที่ดวงตาและท่าทางของอีกฝ่าย จากที่เขาสังเกต...เขาคิดว่ายามนี้ชุนฉือน่าจะกำลังทำแบบในนิยายที่เขาได้เขียนเอาไว้ คือ...ทำตัวไหลไปตามแผนการณ์ของพวกหานเฟิงแต่ก็ดูเหมือนว่าชุนฉือจะไม่ได้ทำเหมือนที่เขาได้เขียนเอาไว้ทั้งหมด อย่างเช่น การนำแผนการณ์ของพวกหานเฟิงไปบอกเล่าให้กับจินเฟยหลงได้ฟัง เพราะตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเขายังไม่เห็นจินเฟยหลงมาปรากฏตัวที่นี่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการที
หานเฟิงมองไปที่จินเฟยหมิงกับชิงจิวซินที่กำลังพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น และพยายามที่จะพาตัวเองตามไปช่วยบุตรชายและบุตรสาว เขาจึงหันไปเอ่ยปากพูดกับคนทั้งสองอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพใหญ่ท่านอยากตายพร้อมกับบุตรชายและบุตรสาวของท่านใช่หรือไม่... ในเมื่อท่านอยากตาย ข้าก็ให้ท่านได้ตายสมใจอยาก แต่...กับสำหรับสตรีชั่วช้าเช่นเจ้า! จินฮูหยิน...ข้าจะยังไม่ให้เจ้าได้ตายสมใจในตอนนี้เพราะข้าอยากให้เจ้าได้อยู่และได้เห็นคนที่เจ้ารักค่อยๆ ตายลงไปต่อหน้าเจ้า โดยที่ตัวเจ้าไม่สามารถช่วยอะไรคนที่เจ้ารักได้เลย จากนั้น...ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าค่อยๆ ตาย ด้วยยาพิษที่ข้าเตรียมเอาไว้สำหรับเจ้าโดยเฉพาะ...ตัวนี้!” พูดจบหานเฟิงก็ให้คนนำยาพิษไปกรอกปากชิงจิวซินแล้วให้คนนำตัวจินเฟยหมิงเข้าไปไว้ในกระท่อมเดียวกับจินเฟยฮวาและจินเฟยเทียน แล้วหันกลับไปรับคบไฟที่ถูกจุดไฟมาเรียบร้อยแล้วจากคนของเขาที่ยื่นมาทางเขากับว่านซิ่นหลิงคนล่ะอัน ชิงจิวซินร้องไห้แทบขาดใจ เมื่อตัวนางถูกกรอกยาพิษไปพ
จินเฟยหลงเมื่อได้ยินเรื่องราวที่ว่านซิ่นหลิงและหานเฟิงพูด เขาก็แทบอยากจะพุ่งตัวลงไปจัดการกับจินฮูหยิน เพราะที่ผ่านมา...เขาต้องแบกรับความรู้สึกผิดในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาเขาได้เคยทำเอาไว้ และความรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องคนสำคัญที่สุดในชีวิตทั้งสองคนของเขาเอาไว้ได้... ตั้งแต่ที่จินเฟยหลงจำความได้ เขาก็ได้รับทั้งความรักและการดูแลเอาใจใส่จากท่านแม่ใหญ่กับพี่ใหญ่ของเขา จนตัวเขาแทบจะลืมไปแล้วว่าที่จริง... เขาหาบุตรชายแท้ๆ หรือน้องชายแท้ๆ ของคนทั้งสองไม่ จนมีวันหนึ่ง เป็นวันที่พี่ใหญ่ของเขาเกิดล้มป่วย แล้วมีบ่าวในจวนเผลอหลุดปากพูดเรื่องที่ผู้เป็นมารดาเขาได้เคยทำไว้จนส่งผลทำให้พี่ใหญ่ของเขามีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่เกิด และด้วยเพราะร่างกายที่อ่อนแอนี้พี่ใหญ่จึงไม่สามารถฝึกวรยุทธหรือไปเรียนที่สำนักศึกษาแบบเขาได้ ตอนนั้นเขาทั้งรู้สึกเสียใจ และรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก และในตอนนั้น...พี่ใหญ่ที่กำลังล้มป่วยจนแทบจะลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว ก็รีบฝืนลุกขึ้นมาสั่งบ่าวผู้นั้นให้หยุดพูด และนำ
“องค์ชายสิบสองใจเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ! คุณชายหยางด้วยนะขอรับ รอคนของพวกเราตามมาสมทบก่อน ตอนนี้หากพวกท่านบุกลงไป มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันดูแย่ลงกว่าเดิมนะพ่ะย่ะค่ะ” ซงหยวนเอ่ยพูดกับผู้เป็นนายและคุณชายหยาง เนื่องจากเขากับบ่าวอีกคนเกือบจะจับคนทั้งสองเอาไว้ไม่ทัน หลังจากที่ผู้เป็นนายและคุณชายหยางเห็นคุณชายฟางถูกคนด้านล่างลงมือทำร้าย... หยางหมิงเซียนยามนี้รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนักที่ต้องมาทนเห็นจินเฟยเทียนถูกทำร้ายต่อหน้า...แต่เขากลับไม่สามารถช่วยอะไรอีกฝ่ายได้เลย และยังไม่พอ...คนที่กำลังลงมือทำร้ายจินเฟยเทียนดันเป็นมารดาของเขาเองทำไม! ทำไม...ทุกอย่างถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย หากเป็นคนอื่นทำกับคนของเขาแบบนี้! เขาสาบานเลยว่า...ปากที่มันใช้สั่งการหรือมือข้างที่มันใช้กระชากผมของจินเฟยเทียน เขาจะลงมือสับมัน! และจัดการกับคนผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แต่...พอคนผู้นั้นเป็นมารดาของเขา หยางหมิงเซียนจึงรู้สึกทั้งอึดอัดและรู้สึกเจ็บปวดใจในเวลาเดียวกัน “พี่ใหญ่!” จินเฟยหลงเอ่ยขึ้นหลังจากได้ยินส