เมื่อชะตานำพา ให้ผู้กุมหัวใจของเขา โคจรมาพบกันอีกครั้ง ทว่าเขาจะทำเช่นไรเล่า เมื่อคนผู้นั้นกลับจำเขาไม่ได้ กุนซือหนุ่มจะทำเช่นไร เพื่อให้ท่านอ๋องสิบแปดจดจำเขาได้ หรือว่าเขาจะยอมปล่อย ให้ทุกอย่างเลือนหายไปกับความทรงจำ ของอ๋องหนุ่มผู้กุมหัวใจเขามาเนิ่นนาน
View Moreแม้บุตรชายจะพูดเพียงแค่ว่า ‘แม้นางจะเกิดจากความผิดพลาดของข้า กับมารดาของนาง แต่หลันเอ๋อ์คือของขวัญที่ล้ำค่าสำหรับข้า’ แต่สำหรับสกุลลู่แล้ว หลันฮวายิ่งกว่าของขวัญล้ำค่า เพราะนางเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว ของจวนแม่ทัพแดนใต้ ที่มีเขาเป็นประมุขถ้าเป็นลูกหลานของพี่ชายน้องชายของเขานั้น เขามินับว่าสำคัญเพราะเด็กสาวเหล่านั้น มิได้เกิดจากบุตรชายหญิงของเขาสักคน จึงอย่าได้คิดจะมาเทียบเคียง เด็กน้อยของเขาเป็นอันขาด“หรือเจ้ามิอยากได้นางมาอยู่ด้วย”ในที่สุดท่านแม่ทัพลู่ก็เริ่มหาแนวร่วม เมื่อนึกวาดฝันที่จะได้ตัวหลานสาวเพียงเดียวมาอยู่ด้วย ต่อให้เฉินเซียนจะหวงลูกมากแค่ไหน แต่รับรองว่าเฉินเซียน จะไม่มีวันยอมให้หลันฮวาต้องไปลำบาก หรือตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน“ไยข้าจะมิต้องการนางเหล่าขอรับ แต่เจ้าหนูนั่น จะยอมให้ดอกกล้วยไม้ห่างกายหรือไม่เท่านั้น”แม้เขาอยากจะได้ใกล้ชิดหลานสาว แต่เพราะรู้จักนิสัยของน้องชายดี จึงไม่มั่นใจเท่าใดนัก เรื่องที่เฉินเซียนจะปล่อยหลันฮวา มาอยู่ในมือของเขากับบิดา“พวกข้า ก็อยากเล่นกับคุณหนูหลันเอ๋อร์ เช่นกันนะขอรับท่านแม่ทัพ”สี่นายกอง ต่างพากันมีดวงตาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงเด็กน้
“ฝ่าบาททรงคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ขอรับท่านแม่ทัพ ไยจึงทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้ได้”หนึ่งในสี่นายกองเอ่ยขึ้น เมื่อเขาไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ฮ่องเต้ตัดพระทัยกับเรื่องนี้ โดยมิทรงคิดถึงผลกระทบที่อาจร้ายแรงมิแพ้กัน กองทัพขาดกุนซือ ย่อมมิต่างจากเสียดวงตาไปข้างหนึ่งก็มิปาน “หนอนคงเริ่มอยากกินท้อทั้งลูกแล้วกระมัง ระวังตัวกันเอาไว้ให้ดี เรื่องนี้ย่อมต้องมีเบื้องหลัง พวกเจ้ารู้จักเขาดี ว่าคนเช่นนั้นย่อมมีตัวแทนอยู่เสมอ เพียงแต่เขาจะให้ใครทำหน้าที่ทดแทนเท่านั้น” ลู่ฉางเอินไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาตรง ๆ เขารู้ดีว่าในค่ายของเขามีหนอนที่คอยซอนไซอยู่มิน้อย การกระทำของพวกเขาทุกอย่าง มักตรงกันข้ามกับความเป็นจริงเสมอ ใครจะมาตื่นตกใจ กับการที่กุนซืออย่างเฉินเซียนถูกเรียกตัวไปจากกองทัพ แต่เมื่อมีละครให้เล่น ก็ต้องสมบทบาทกันสักหน่อย น้ำเสียงของทุกคนดูเคร่งเครียด แต่ทว่าเวลานี้ มันกลับตรงกันข้าม เพราะใบหน้าของทุกคน ล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง คนเยี่ยงลู่เฉินเซียนและฮ่องเต้น่ะหรือ จะไม่มีหมากสำรอง แต่การทำเหมือนกองทัพกำลังระส่ำระสายสักหน่อยก็ดี หนอนตัวอ้วน จะได้รีบคลานไปแจ้งข่าว ให้นายมันหยา
ไยภรรยาเจ้าเมือง จึงเอาความคิดคร่ำครึนั่นมาทำร้ายลูกตัวเอง เรื่องนี้คงต้องจัดการเสียใหม่ หาไม่แล้วเด็กสาวอีกมาก ต้องตกที่นั่งลำบากไปจนวันตาย“ลูกรัก เจ้ามิต้องทำเช่นนั้นเลย เข้าใจหรือไม่ ดูท่านอาเยว่ฉี ท่านย่าของเจ้าสิ มีผู้ใดทำแบบนั้นกัน สตรีที่จะมีค่า ต้องเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด เพียงเจ้ามิเป็นคนเลว นั่นก็ดีมากแล้วรู้หรือไม่ ฮูหยินท่านเจ้าเมืองนางวิปลาสไปแล้ว หากเลี่ยงที่จะพบปะนางได้ ย่อมเป็นการดีเข้าใจหรือไม่”เฉินเซียน ข่มกลั้นความไม่พอใจสตรีผู้นั้นเอาไว้ในใจ สักวันเขาจะสั่งสอนนางให้หลาบจำ ที่กล้ามาว่าบุตรสาวของเขาไร้ค่า เพราะเขารู้ดีอย่างไรเล่าว่าบุตรสาวในสกุลใหญ่จะต้องพบเจอสิ่งใดบ้างเขาจึงหอบลูกหนีมาอยู่ถึงชายแดน บิดามารดาของเขาเลี้ยงน้องสาวของเขาโดยให้อิสระแก่นาง เขาก็ทำเช่นเดียวกับบิดา ‘ไยลูกข้าต้องเหมือนผู้อื่น ต่อให้นางไร้สามีนางก็มิมีวันอดตาย’“จริงนะเจ้าคะท่านพ่อ หลันเอ๋อร์มิต้องทรมานตนเองเช่นนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”เด็กน้อยยังคงมีสีหน้ากังวลอยู่มาก นับตั้งแต่วันนั้น เมื่อนางกลับมาถึงบ้าน นางก็ได้สอบถามกับท่านย่าซีเหนียง ถึงสิ่งที่ได้รับรู้มา ซึ่งคำตอบก็มิได้กระจ่างชัดเท่า
สำหรับสกุลลู่แล้ว คือความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและหน้าที่ นางจึงมิเคยรั้งบิดาไว้ ยามที่ต้องออกไปทำหน้าที่ และแม้ว่าบางครั้ง จะใช้เวลานานอยู่มากก็ตามที“ใช่จ้ะคนดี พ่อมิอยู่...เจ้าต้องเชื่อฟังท่านปู่เกา กับท่านย่าชีเหนียงนะ เข้าใจหรือไม่”ชายหนุ่มฉวยโอกาสนี้หอมแก้มบุตรสาว พร้อมเอ่ยกำชับสิ่งที่เขาห่วงกับนางอีกครั้ง“เจ้าค่ะท่านพ่อ แต่สัญญากับหลันเอ๋อร์นะเจ้าคะ ว่าท่านพ่อจะกลับมา”ชายหนุ่มยกมือลูบหัวลูกสาวก่อนจะ จับหัวทุยนั้นเข้าแนบอก ใช่แล้ว...เขาต้องมีชีวิตเพื่อนาง ไม่ว่าจะอย่างไรเขาต้องไม่ตาย หากไม่มีเขาอยู่นางอาจตกเป็นเครื่องมือ ของขุนนางผู้ไม่หวังดีบางสกุลก็เป็นได้เพราะนางคือธิดาจากสกุลแม่ทัพใหญ่ ยากนักที่จะหลีกพ้นในบางเรื่อง แต่ตราบใดที่เขายังอยู่ ใครหน้าไหนก็แตะต้องนางมิได้“พ่อเคยทอดทิ้งเจ้าหรือ”เฉินเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาไม่เอ่ยคำสัญญา แต่จะเป็นคำถามกลับไปเสียทุกครั้ง เขารู้กฎของคำสัญญาดี เขาจะไม่เอ่ยมัน ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะรักษามันได้ดีพอหลันฮวาส่ายหัวไปมาน้อยๆ ก่อนจะซบลงกับอกของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง พร้อมรบเร้าให้คนที่อุ้มนางไว้บนตัก อ่านตำราพิชัยยุทธ์ให้ฟังเช่นทุกครั้ง
เมื่อพูดจบร่างสูง มิคิดรั้งรอคำพูดใด ๆ จากบิดา เขารีบก้าวยาว ๆ กลับไปที่ม้าของตน ก่อนจะเหวี่ยงกายขึ้นม้า แล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่กำลังไล่เรียงคำพูดของบุตรชาย ได้แต่ทำปากขมุบขมิบ เพราะรู้แล้วว่าตนเอง ถูกบุตรชายกลั่นแกล้งเข้าอีกแล้ว“พวกเจ้าเป็นทหารที่ดี ต่างมากด้วยความสามารถนัก ไหน ๆ ก็อาจเกิดสงครามขึ้นอย่างที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ข้าเลยอยากเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พวกเจ้าอีกสักหน่อย พวกเจ้าว่าดีหรือไม่ ข้ามั่นใจว่ารองแม่ทัพลู่ฉงสามารถทำให้พวกเจ้าเก่งกาจกว่าทหารอื่น ๆ อีกหลายเท่าตัว” แม่ทัพใหญ่ลู่ฉางเอิน กล่าวกับทหารติดตามที่ไปเจรจาเมื่อครู่ ก่อนจะก้าวเดินจากไป พร้อมเสียงก่นด่าบุตรชายอย่างไม่จริงจังนัก และคงมีเสียงหัวเราะเบาๆ จากบุตรชายคนรอง และบรรดาแม่ทัพนายกอง ไล่หลังมาให้ได้ยินลู่ฉง หยุดหัวเราะในทันมี เมื่อเห็นทิศทางที่บิดากำลังเดินไป มันมิใช่ทางกลับค่ายทหาร แต่มันคือภูเขาที่อยู่ถัดไปอีกลูกต่างหาก ชายหนุ่มสั่งให้คนไปนำม้าของเขาและบิดามาให้ ส่วนคนอื่นๆ กลับค่ายไปพร้อมแม่ทัพที่เหลือได้เลย“ตาเฒ่า! คิดที่จะไปหาหลันเอ๋อร์คนเดียวเช่นนั้นรึ! ฝันไปเถอะ!”ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
“อยากได้หัวข้า ก็เอาหัวเขามาแลก เจ้าว่าข้อเสนอสุดท้ายเพิ่มเติมแบบนี้ดีหรือไม่!” “บังอาจ!” “ฮึ! ในเมื่อนายเจ้าไม่รู้จักกฎของการทูต เช่นนี้แล้ว...ยังจะหาญกล้ามาเจรจาอยู่อีกหรือ อย่าคิดว่าตนเองเป็นองค์ชาย จะกระทำการเยี่ยงไรก็ได้ ไม่เคยมีใครสอนเขาบ้างเลยรึ! ว่าการอยู่เหนือคนที่แท้จริงต้องทำเช่นไร!อยากรู้ไหม...ว่าทำไมอดีตแม่ทัพเหลียว ถึงได้รับความยำเกรงจากแคว้นหลี่เรา นั่นเพราะเขารู้จักการนอบน้อมต่อผู้อื่น เขาจึงได้รับสิ่งเดียวกันตอบแทน น่าเสียดายแทนองค์ชายของเจ้า หวังเพียงอยากสร้างผลงาน เพื่อก้าวสู่ตำแหน่งรัชทายาท จนลืมนึกไปว่านี่เป็นการฆ่าตัวตาย”คำพูดของลู่เฉินเซียน เสมือนตบหน้ากองทัพเหลียว เปลี่ยนผู้บัญชาการได้เพียงครึ่งปีก็ก่อสงคราม ซ้ำยังนำความพ่ายแพ้กลับไปให้อับอายผู้คน ความสงบนับสิบปีสลายไปดั่งสายลมเลยก็ว่าได้ “เช่นนั้นข้อสุดท้าย ถือเสียว่าเป็นเรื่องเย้าเล่น จากท่านแม่ทัพของข้าเถิด”เมื่อถูกสอนเสียจนไปไม่เป็น รองแม่ทัพจำต้องยอมอ่อนข้อ หากยังดึงดันต่อไป สงครามคงไม่จบเป็นแน่ ที่สำคัญคือแม่ทัพฝั่งเขา ไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย นอกจากจะเป็นเพียงคนพิการไปตลอดช
แคว้นหลี่ ณ ชายแดนใต้ร่างสูงในชุดเกราะสีเงินยวง กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับรองแม่ทัพแคว้นเหลียว หลังจากที่หลายวันก่อน สองแคว้นยกทัพเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด จนเมื่อแม่ทัพเหลียวได้รับบาดเจ็บสาหัสแคว้นเหลียวจึงได้ถอยทัพกลับยังฐานที่ตั้งค่าย ทว่าผ่านไปได้เพียงสองวัน ก็มีสาสน์ขอเสนอการเจรจาเกิดขึ้น นี่เป็นเหตุให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้ จากสายตาที่เขาประเมินแล้ว อีกฝ่ายหาได้เต็มใจ ที่การเจรจากับเขาเท่าใดนัก“รองแม่ทัพเหลียว ผยองใช่เล่นเลยนะขอรับ ท่านกุนซือ”ทหารติดตามเอ่ยกับผู้เป็นนาย เมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของรองแม่ทัพแคว้นเหลียว“นกเพิ่งได้บินเองครั้งแรก ย่อมต้องสร้างความน่าเกรงขาม โดยที่เขาไม่รู้เลย ว่ามันไม่เป็นผลต่อคนเช่นข้า”ลู่เฉินเซียนรู้สึกขบขันอย่างที่พูดจริง เขาเติบโตมาท่ามกลางกองทัพ สกุลลู่ ซึ่งในทุกรุ่นล้วนเป็นนักรบทั้งสิ้น เขาย่อมต้องผ่านศัตรูมานับไม่ถ้วน ส่วนรองแม่ทัพเหลียวคนใหม่ ดูจะยังไม่คุ้นกับกองทัพสกุลลู่เท่าใดนักเพราะหากลูกนกเหล่านี้ รู้จักโบยบินในพื้นที่ของตนเอง คงไม่นำชีวิตของทหารและประชาชน มาสังเวยภายใต้คมดาบของสงคราม นับว่าฮ่องเต้เหลียวมองคนไม่ขาด เห็นแก่คำว่าพ่อลูก
แคว้นหลี่ ณ ชายแดนใต้ร่างสูงในชุดเกราะสีเงินยวง กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับรองแม่ทัพแคว้นเหลียว หลังจากที่หลายวันก่อน สองแคว้นยกทัพเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด จนเมื่อแม่ทัพเหลียวได้รับบาดเจ็บสาหัสแคว้นเหลียวจึงได้ถอยทัพกลับยังฐานที่ตั้งค่าย ทว่าผ่านไปได้เพียงสองวัน ก็มีสาสน์ขอเสนอการเจรจาเกิดขึ้น นี่เป็นเหตุให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้ จากสายตาที่เขาประเมินแล้ว อีกฝ่ายหาได้เต็มใจ ที่การเจรจากับเขาเท่าใดนัก“รองแม่ทัพเหลียว ผยองใช่เล่นเลยนะขอรับ ท่านกุนซือ”ทหารติดตามเอ่ยกับผู้เป็นนาย เมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของรองแม่ทัพแคว้นเหลียว“นกเพิ่งได้บินเองครั้งแรก ย่อมต้องสร้างความน่าเกรงขาม โดยที่เขาไม่รู้เลย ว่ามันไม่เป็นผลต่อคนเช่นข้า”ลู่เฉินเซียนรู้สึกขบขันอย่างที่พูดจริง เขาเติบโตมาท่ามกลางกองทัพ สกุลลู่ ซึ่งในทุกรุ่นล้วนเป็นนักรบทั้งสิ้น เขาย่อมต้องผ่านศัตรูมานับไม่ถ้วน ส่วนรองแม่ทัพเหลียวคนใหม่ ดูจะยังไม่คุ้นกับกองทัพสกุลลู่เท่าใดนักเพราะหากลูกนกเหล่านี้ รู้จักโบยบินในพื้นที่ของตนเอง คงไม่นำชีวิตของทหารและประชาชน มาสังเวยภายใต้คมดาบของสงคราม นับว่าฮ่องเต้เหลียวมองคนไม่ขาด เห็นแก่คำว่าพ่อลูก...
Comments