“ฝ่าบาททรงคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ขอรับท่านแม่ทัพ ไยจึงทรงตัดสินพระทัยเช่นนี้ได้”
หนึ่งในสี่นายกองเอ่ยขึ้น เมื่อเขาไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ฮ่องเต้ตัดพระทัยกับเรื่องนี้ โดยมิทรงคิดถึงผลกระทบที่อาจร้ายแรงมิแพ้กัน กองทัพขาดกุนซือ ย่อมมิต่างจากเสียดวงตาไปข้างหนึ่งก็มิปาน
“หนอนคงเริ่มอยากกินท้อทั้งลูกแล้วกระมัง ระวังตัวกันเอาไว้ให้ดี เรื่องนี้ย่อมต้องมีเบื้องหลัง พวกเจ้ารู้จักเขาดี ว่าคนเช่นนั้นย่อมมีตัวแทนอยู่เสมอ เพียงแต่เขาจะให้ใครทำหน้าที่ทดแทนเท่านั้น”
ลู่ฉางเอินไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาตรง ๆ เขารู้ดีว่าในค่ายของเขามีหนอนที่คอยซอนไซอยู่มิน้อย การกระทำของพวกเขาทุกอย่าง มักตรงกันข้ามกับความเป็นจริงเสมอ ใครจะมาตื่นตกใจ กับการที่กุนซืออย่างเฉินเซียนถูกเรียกตัวไปจากกองทัพ แต่เมื่อมีละครให้เล่น ก็ต้องสมบทบาทกันสักหน่อย
น้ำเสียงของทุกคนดูเคร่งเครียด แต่ทว่าเวลานี้ มันกลับตรงกันข้าม เพราะใบหน้าของทุกคน ล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง คนเยี่ยงลู่เฉินเซียนและฮ่องเต้น่ะหรือ จะไม่มีหมากสำรอง แต่การทำเหมือนกองทัพกำลังระส่ำระสายสักหน่อยก็ดี หนอนตัวอ้วน จะได้รีบคลานไปแจ้งข่าว ให้นายมันหยามใจ
สิ่งที่ทำให้แม่ทัพใหญ่หนักใจนั้น คือทำอย่างไรที่จะให้บุตรชายจากไป โดยมิพรากหลานรักของเขาไปไกลตา อีกทั้งเรื่องราวระหว่างบุตรชาย กับแม่ทัพแดนเหนือจ้าวตงซินนั่นอีกเล่า ด้วยเขาเกรงว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นั้น จะมิได้ตายเพราะศัตรูจากต่างแคว้น แต่จะเป็นบุตรชายของเขา ที่เป็นคนลงมือเสียเอง
แผนการแยกพวกเขาออกจากกันของหนอนร้าย เหมือนจะเป็นเรื่องที่คนพวกนั้นคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าแม่ทัพชราเช่นเขา หากขาดมันสมองสำคัญ ผู้มากด้วยเล่ห์กลเช่นบุตรชายคนเล็กไป ก็ง่ายต่อการกำจัดกองทัพลู่ให้พ้นทาง ส่วนคนสำคัญของฮ่องเต้ ก็ถูกแยกจากให้ห่างไกลมิต่างกัน
พวกเจ้าวางแผนเป็นฝ่ายเดียวได้หรืออย่างไรกัน หนอนโง่! พวกเจ้าตกลงไปในหลุมพรางของฮ่องเต้ กับท่านอ๋องสิบแปดแล้วต่างหาก ‘เจ้าช่างคาดการณ์ทุกอย่างได้แม่นยำนักเฉินเซียน ครั้งนี้อยู่ที่เจ้าจะจัดการแล้ว’ ลู่ฉางเอินยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะยิ้มมุมปากด้วยความพึงใจ กับการแสดงละคร ที่ดูจะจริงจังของสี่นายกองกับรองแม่ทัพ ซึ่งกำลังพากันแข่งโอดครวญ เรื่องของกุนซือ
‘ให้ห้าอีแปะ แต่ทำงานประหนึ่งได้พันตำลัง หึ ๆ’ ลู่ฉางอันกลั้นหัวเราะ จนไหล่หนาไหวสะท้าน เมื่อเห็นท่าทาง จวนเจียนจะขาดใจของคนทั้งห้า
จวนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อคิดว่าการถกเถียงกัน สมควรยุติได้แล้ว ทั้งห้าคนก็เงียบเสียงลงเสียดื้อ ๆ ก่อนจะพากันยกสุราขึ้นดื่มต่อ เหมือนเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกไป
“พรุ่งนี้...ข้าจะให้คนไปตามน้องสามเองนะขอรับท่านพ่อ”
ลู่ฉงเอ่ยขึ้น เขาคิดถึงหลานสาวเป็นที่สุด จึงรีบอาสาไปตามตัวน้องชาย เพื่อมาหารือ เรื่องการเดินทางไปยังชายแดนทิศเหนือ ท่านแม่ทัพลู่ชำเลืองมองบุตรชาย ด้วยสายตามิพอใจ ยิ่งดวงตาเป็นประกาย และรอยยิ้มอย่างมีความหวังของลู่ฉง เขารู้ดีถึงเป้าหมายของบุตรชาย ‘ฝันไปเถอะ’
“ไม่ต้อง! พวกเจ้าทุกคน เตรียมการเรื่องศึกกับเหลียวไปเถอะ ข้าจะไปคุยกับเขาเอง อีกอย่าง...ข้าคิดถึงเจ้าเด็กอ้วนนั้นด้วย ดีซะอีก...พ่อนางมิอยู่ ข้าจะได้ขโมยนางมาอยู่ด้วย”
จบคำพูดของผู้เป็นพ่อ ลู่ฉงมีสีหน้าเหมือนคนกำลังจะตกลงสู่ก้นเหวก็มิปาน เขาตั้งใจว่าจะไปกอดหลานสาวตัวน้อยให้หายคิดถึง ไยตาเฒ่าผู้ร้ายกาจ จึงใช้อำนาจในทางที่มิชอบเช่นนี้ จงใจกลั่นแกล้งมิให้พบหน้าหลานสาว
“ท่านพ่อน่าจะตื่นจากความฝันได้แล้วนะขอรับ หลันเอ๋อร์เชื่อฟังน้องสามจะตายไป ต่อให้สิบท่านพ่อ ก็มิอาจเอาตัวนางมาได้หรอก”
เมื่อถูกผู้เป็นพ่อดับฝัน พอได้โอกาส ชายหนุ่มก็มิยอมปล่อยให้การเอาคืนหลุดลอยไปเช่นกัน
แม่ทัพลู่มองลูกชายคนรองตาขวาง สรุปพวกมันเป็นลูกเขา หรือบิดาเขากันแน่ เป็นมาตั้งแต่บุตรชายคนโตลู่หยาง ที่ฝีปากจัดจ้าน สุดท้ายก็หนีเขาไปสอบจองหงวน จนได้เป็นผู้ตรวจการ อยู่หัวเมืองทิศเหนือ นานๆ ครั้งจะกลับเมืองหลวง บางครั้งก็ส่งหลานชายของเขา ลู่หยวนชีกับลู่หยางหลง มาเยี่ยมเยียนแทนอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนลู่ฉง ติดตามเขาทำผลงาน จนเลื่อนขึ้นเป็นรองแม่ทัพ และยังไร้คู่ชีวิต หรือจะพูดกันตามตรง นั่นคือมิมีสตรีใดเอาไปทำสามีนั่นเอง ด้วยฝีปากที่เชือดเฉือน จนหญิงสาวหลายคนถอยห่าง บางคนถึงขั้นเลิกสนทนาไปเลยก็มี
บุตรชายคนเล็กลู่เฉินเซียน แม้จะรับตำแหน่งกุนซือให้กองทัพ แต่มักออกเดินทางท่องเที่ยว ในยามชายแดนสงบ จนเมื่อเก้าปีก่อน เฉินเซียนกลับบ้าน มาพร้อมเด็กทารกเพศหญิงคนหนึ่ง
พร้อมประกาศว่านางคือลูกสาวแท้ๆ ที่เกิดกับสตรีต่างแคว้น คนนอกไม่มีใครรู้ ว่ามารดาที่แท้จริงของลู่หลันฮวาคือผู้ใด มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ ว่ามารดาของนางคือใคร ทว่าก็ไม่มีผู้ใดคิดจะเอ่ยถึงหรือแม้แต่จะเอ่ยชื่อ
แม้บุตรชายจะพูดเพียงแค่ว่า ‘แม้นางจะเกิดจากความผิดพลาดของข้า กับมารดาของนาง แต่หลันเอ๋อ์คือของขวัญที่ล้ำค่าสำหรับข้า’ แต่สำหรับสกุลลู่แล้ว หลันฮวายิ่งกว่าของขวัญล้ำค่า เพราะนางเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว ของจวนแม่ทัพแดนใต้ ที่มีเขาเป็นประมุขถ้าเป็นลูกหลานของพี่ชายน้องชายของเขานั้น เขามินับว่าสำคัญเพราะเด็กสาวเหล่านั้น มิได้เกิดจากบุตรชายหญิงของเขาสักคน จึงอย่าได้คิดจะมาเทียบเคียง เด็กน้อยของเขาเป็นอันขาด“หรือเจ้ามิอยากได้นางมาอยู่ด้วย”ในที่สุดท่านแม่ทัพลู่ก็เริ่มหาแนวร่วม เมื่อนึกวาดฝันที่จะได้ตัวหลานสาวเพียงเดียวมาอยู่ด้วย ต่อให้เฉินเซียนจะหวงลูกมากแค่ไหน แต่รับรองว่าเฉินเซียน จะไม่มีวันยอมให้หลันฮวาต้องไปลำบาก หรือตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน“ไยข้าจะมิต้องการนางเหล่าขอรับ แต่เจ้าหนูนั่น จะยอมให้ดอกกล้วยไม้ห่างกายหรือไม่เท่านั้น”แม้เขาอยากจะได้ใกล้ชิดหลานสาว แต่เพราะรู้จักนิสัยของน้องชายดี จึงไม่มั่นใจเท่าใดนัก เรื่องที่เฉินเซียนจะปล่อยหลันฮวา มาอยู่ในมือของเขากับบิดา“พวกข้า ก็อยากเล่นกับคุณหนูหลันเอ๋อร์ เช่นกันนะขอรับท่านแม่ทัพ”สี่นายกอง ต่างพากันมีดวงตาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงเด็กน้
“ข้ามิเคยพบคุณชายสามสกุลลู่เลยหรือ”อ๋องหนุ่มเอ่ยถามด้วยท่าทางครุ่นคิด เขายอมรับว่ามีหลายสิ่งอย่าง ที่คล้ายจะจดจำได้ ทว่าพอตั้งใจนึกให้ออก หัวของเขาก็ราวกับจะระเบิดออกมาเสียอย่างนั้น“คุณชายสามสกุลลู่ มิชอบการสังสรรค์ จึงไม่ค่อยได้มาร่วมงานเลี้ยงในเมืองหลวงเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ และส่วนมากเขาจะใช้ชีวิตอยู่ชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”“จะว่าไปตัวข้าเอ งก็มิค่อยได้ออกไปพบผู้ใดสักเท่าไหร่ จะรู้จักผู้คนไปเสียหมดก็แปลกแล้ว ข้าเองรู้ดีว่าพี่น้องสกุลลู่นั้นมากด้วยสามารถ แต่มิคิดว่าท่านผู้เฒ่า จะกล้าควักดวงตาของกองทัพลู่มาไว้ในมือข้า แล้วเช่นนี้ผู้ใดจะทำหน้าที่แทนลู่เฉินเซียนเล่า”เสวี่ยนเซียนเหยา ยอมรับว่าการที่แม่ทัพจ้าวบาดเจ็บสาหัส เป็นเรื่องที่ถูกวางเอาไว้แล้วจากหนอนร้าย เขาเองก็ได้มีสิ่งรองรับ กับเรื่องเหล่านี้เอาไว้แล้ว ในทุกทิศทางเช่นกันเขาจึงไม่แปลกใจเลยสักนิด ที่ขุนนางบางส่วน เสนอให้เป็นตัวเขา ที่ต้องออกเดินทางไปยังทิศเหนือในครั้งนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นอันรู้กันดี ว่าเขามิได้เก่งการในเชิงการต่อสู่เท่าใดนักและสิ่งที่ขุนนางเฒ่าพวกนั้น มองเห็นมาช้านาน คือกำลังทหารในมือเขานั้น มีเพียงจำนวน แต่มิได้มีศักยภาพ
“ปู่ก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกัน ว่าแต่นี่...เด็กดี เจ้าผอมลงหรืออย่างไร ทำไมตัวถึงเบาหวิวเช่นนี้กัน”ชายชราเอ่ยเย้าหลานสาว กึ่งประชดคนที่กำลังเดินมา ก่อนจะพาร่างกลมในอ้อมแขน หมุนตัวอยู่หลายรอบ ชายสูงวัยยิ้มจนแก้มแทบปริ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ ของหลานสาวเพียงคนเดียว “แก่แล้วมิเจียมสังขาร เกิดล้มแล้วพิการขึ้นมา จะลำบากฮูหยินของท่าน ต้องหาสามีใหม่มาช่วยดูแลลูกหลาน ช่างชอบหาเรื่องให้ผู้อื่นลำบากอยู่เรื่อย” ท่านแม่ทัพใหญ่ หันไปถลึงตาใส่บุตรชาย ขนาดเขายังไม่ได้เอ่ยปากเอ่ยสิ่งใด ก็ถูกวาจาถากถางมาก่อนแล้ว เหอะ! คิดจะให้ภรรยาเขามีสามีใหม่ รอเขาตายในอีกห้าสิบปีข้างหน้าก็แล้วกัน “ฮูหยินข้า ก็มารดาเจ้ามิใช่รึ ถ้าหากนางคิดหาสามีใหม่ เจ้าก็ต้องมีบิดาเพิ่มจริงหรือไม่” “ก็ดีนะ มีพ่อหลายๆ คนคงสนุกดี ฮ่า ๆ”คำพูดของชายหนุ่ม หาได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจไม่ กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกสนานไปเสียนี่ “คนอย่างข้า มิเป็นอันใดไปง่ายๆ หรอกนะ เพราะข้าจะต้องคอยดูแลหลันเอ๋อร์ของข้าไปอีกนาน”ท่านแม่ทัพใหญ่ หาได้ยอมลดละ การต่อคำกับบุตรชายคนเล็ก ซึ่งคำพูดประชดหรือเหน็บแนมกั
“นางจะสิบขวบแล้ว มีข้าอยู่มิต้องกังวลกับเรื่องเหล่านั้นเลย แต่ท่านแม่ชรามากแล้ว หากเดินทางมาไกลคงไม่ดีนัก อีกทั้งกำลังจะมีสงครามเกิดขึ้น ท่านพ่อยังจะให้ท่านแม่มาอีกหรือ นี่ท่านพ่อมิเข็ดหรืออย่างไรกับเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้น”คนหวงลูกสาว พูดตอกย้ำเรื่องราวในอดีต ที่เคยเกิดกับมารดาเมื่อหลายปีก่อน อันที่จริงเขาเองก็กลัวเหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้นอีก จึงจำต้องยอมเสี่ยง นำบุตรสาวเดินทางไกลเพื่อไปฝากพี่ชายคนโต ยังหัวเมืองทิศเหนือ ดูจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ผู้เป็นพ่อ กับพี่ชายคนรองต้องรับภาระหนัก ทั้งสงครามและครอบครัว หากตัวเขาต้องเดินทางไกล และถ้าหลันฮวาอยู่ที่นี่ นางจะกลายเป็นจุดอ่อนของบิดาและพี่ชายในทันทีแต่ถ้าจะให้เขาส่งนางเข้าเมืองหลวง สู้เขาเอานางไปฝากไว้กับพี่ชายที่อยู่หัวเมืองทางเหนือ ยังจะดีกว่าเสียอีก แม้พี่ชายจะดูเหมือนจองหงวนที่คงแก่เรียน แต่น้อยคนนัก จะรู้ว่าแท้จริงแล้วลู่หยาง มีฝีมือสูงส่งยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก“เจ้ามิกลัวนางฆ่าตัวตายหรืออย่างไร ที่หาญกล้าไปว่านางชราเช่นนั้น”แม่ทัพใหญ่เอ่ยเย้าบุตรชาย ที่อาจหาญเอ่ยถึงภรรยาสุดที่รักองเขาว่าชรา“ท่านไม่พูด แล้วนางจะรู้ได้อย่างไร จ
ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะ หลานชายของพระชายานั้น น้อยคนที่รู้จักเขาจะอยากต่อกรด้วย แต่นี่มิใช่สิ่งที่เขาควรกระทำ ทว่าความด้วยอยากรู้ ทั้งมีความคึกคะนองในแบบของบุรุษที่กำลังจะเข้าวัยหนุ่มเต็มตัวในอีกไม่กี่ปี จึงทำให้เด็กหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลา แทนที่จะหมุนกาย กลับเข้าไปด้านในของงานเลี้ยง หรือเลี่ยงไปยังที่อื่นภายในจวนแทน ยิ่งเข้าใกล้...หัวใจของเด็กหนุ่ม ก็ยิ่งเต้นรัวประหนึ่งกองศึกยิ่งเห็นเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งดีดพิณอยู่ ภายใต้เงาสลัวของแสงจากคบไฟ ยิ่งทำให้เลือดในการสูบฉีด ดั่งม้าศึกกำลังห้อตะบึงสู่กลางสนามรบเลยทีเดียว“แม่นางน้อยเป็นกุลสตรี ไยจึงได้มานั่งอยู่ในที่แบบนี้ เพียงลำพังกันเล่า”คนที่ถูกเรียกขานว่าแม่นางน้อย เงยหน้าหันไปมองตามเสียง คราแรกตัวเขาคิดจะบอก ว่าตนเองมิใช่สตรี แต่ด้วยความนึกสนุก ทั้งยังเป็นความคิดในแบบของเด็ก จึงอยากรู้ว่าหากเขา แสร้งยอมรับว่าเป็นสตรี อย่างที่ผู้มาใหม่เรียกขาน เด็กหนุ่มผู้นี้จะจับได้หรือไม่ ว่าแท้จริงเขามิใช่สตรีอย่างที่อีกฝ่ายคิด“คือว่า...ข้าเบื่องานเลี้ยงเช่นนี้เจ้าค่ะคุณชาย”เด็กน้อยลอบยิ้มอยู่ภายในใจ และยังดีว่าตอนนี้ เสียงของเขายังมิแตกวัยหนุ่ม จึงคง
“ยังเจ้าค่ะ ท่านพี่เฉินเซียนถามทำไมหรือเจ้าคะ”เมื่อได้ยินคำตอบ เฉินเซียนคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามของต้วนเหยา ทว่าเขากลับเอาแต่จ้องนางบรรเลงเพลงต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควร เสียงพิณได้เงียบเสียงลง จึงปลุกเฉินเซียนออกจากภวังค์...“นี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ายังมิกลับจวนอีกหรือเหยาเอ๋อร์”เมื่อตื่นจากภวังค์ความคิด เฉินเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แน่นอนว่าเวลานี้ สำหรับผู้ใหญ่นั้น ยังมิถือว่าดึกมากมายอันใด ทว่ากับเด็กแล้วย่อมต่างออกไป“ข้าเองก็กำลังจะบอกท่านอยู่ ว่าข้าง่วงแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เวลาเพียงไม่นาน ที่เซียวเหยาได้พูดคุยกับคนตรงหน้า ทำให้เขาได้ยิ้มได้หัวเราะออกมาได้อย่างเต็มที่ และเป็นกันเอง มิเหมือนตอนอยู่ในวังที่ตัวเขามิอาจไว้ใจใครได้มากนัก มันเป็นครั้งแรก ที่เขาได้ยิ้มเต็มทีอย่างแท้จริง แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ที่หลอกลวงอีกฝ่าย ว่าตนเป็นหญิงก็ตาม ตัวเขาเองไม่คิดว่าอีกฝ่าย จะเชื่อตนสนิทใจขนาดนี้ อาจเพราะฤทธิ์สุราด้วยกระมัง ที่ทำให้คนตรงหน้ามิได้ทันจับผิดตัวเขาเฉินเซียนนั้นเรียกว่าตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัยสิบเจ็ดมานี้ เขามิเคยสนใจบุตรสาวบ้านใด
แม้แต่คนที่กำลังตกอยู่ ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นคู่หมายของเขาเมื่อครู่ ด้วยความตกตะลึง และความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ทำให้ได้แต่ยืนนิ่งมิได้ขยับกาย จนคนตัวโตกว่า ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว นั่นเอง ต้วนเหยาจึงได้กลับมาหายใจเป็นปกติ“พี่ขอโทษเหยาเอ๋อ แต่พี่มิอยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากเจ้าเข้าใจไหม เวลานี้พี่ล่วงเกินเจ้าแล้ว นับจากนี้เจ้าคือคู่หมายของพี่อย่างแท้จริง พรุ่งนี้พี่จะให้ท่านพ่อ ทำการสู่ขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน”ต้วนเหยาทั้งโกธรและอับอาย ก่อนจะผลักร่างแกร่งออกให้ห่างกาย แล้ววิ่งออกจากสวนไปอย่างรวดเร็ว แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย ก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ที่หลอกลวงเฉินเซียนก่อนเฉินเซียนกำลังจะพุ่งตามเด็กสาวไป แต่มีบุรุษในชุดองครักษ์ ออกมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย ว่าไยองครักษ์จากวังหลวง ถึงได้ตามติดคุณหนูสกุลต้วน แทนที่จะเป็นคนของสกุลต้วน“ได้โปรดคุณชายลู่ อย่าได้คิดตามเจ้านายพวกเราไปเลย มิเช่นนั้นเราจำเป็นต้องลงมือกับท่าน”เฉินเซียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะทรุดนั่งลงคุกเข่าด้วยความสับสน เมื่อเขายังคิดไม่ตก ถึงความเป
เจ็ดปีต่อมา ณ เมืองฉางกวง ในการแข่งขันล่าสัตว์ ของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ได้จัดขึ้นยังป่าในเขตเมืองฉางกวง ครั้งนี้แม่ทัพลู่ฉางเอินไม่ได้เข้าร่วม ในการอารักษ์ขาฮ่องเต้ แต่เขาได้ส่งบุตรชายทั้งสาม ให้มาทำหน้าที่แทนอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้ และองครักษ์คนสนิทเท่านั้นที่รู้ ว่าทั้งสามที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ หน้ากากพยัคฆ์ คือสามทายาท ของท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน สามองครักษ์ ผู้มีหนาม หยาง ฉง เฉิน นักรบผู้ไร้ที่มาในความเข้าใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลาย“น้องสามเจ้าเป็นอันใดไปเล่า ข้าเห็นเอาแต่จ้องมองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตา”เป็นลู่ฉงที่เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นน้องชาย มองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตาอยู่เป็นนานเฉินเซียนรู้สึกคุ้นหน้าอ๋องสิบแปดยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่เคยที่จะได้พบปะ หรือทำความรู้จักกับชินอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง เพียงแค่รู้สึกเหมือนเคยพบกัน ที่ไหนมาก่อนก็เท่านั้น‘อ่า...ข้าลืมไปได้อย่างไร ว่าท่านอ๋องสิบแปด เป็นญาติกับเหยาเอ๋อร์ หากนางเติบโตมา ก็ต้องมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านอ๋องอยู่มิน้อยสินะ’ สายตาเหยี่ยว สอดส่องหาใครบางคนไปทั่วทั้งลาน แต่ก็มิอาจพบ...‘แต่ทำไมนางม
ครึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อเข้าสู่เขตป่า ลู่ฉงได้รับหน้าที่พาทหารออกต้อนสัตว์ป่า ส่วนลู่เฉินเซียนทำหน้าที่ คอยอารักขาใกล้ชิดเจ้านายทั้งสาม พร้อมองครักษ์ส่วนพระองค์อีกบางส่วน รวมทั้งคนติดตามของคุณหนูลู่เยว่ฉี อีกสองคนลู่เฉินเซียนอดมิได้ ที่จะคอยชำเลืองมอง คนที่นั่งบนหลังม้าเคียงข้าเขาในตอนนี้ และแน่นอนว่าเขารู้สึกขุ่นเคือง กับความดื้อรั้นของอ๋องสิบแปดผู้นี้นัก ด้วยก่อนหน้าที่จะมาถึงตรงนี้ เขาได้เอ่ยทัดทานอีกฝ่าย ว่ามิควรอยู่ตรงนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แต่คำตอบที่ได้รับ ทำให้เขาเองถึงกับพูดมิออกเช่นกัน‘เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้คิดว่าคนเช่นข้า อ่อนแอถึงเพียงนั้น’ใช่แล้ว...เขามิเคยรู้จักอ๋องสิบแปด เสวี่ยนเซียวเหยามาก่อนเลย จึงมิรู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานดุจสตรีเช่นนี้ จะหยิ่งผยองเกินกว่าที่คิดไปมากทีเดียว ‘สักวัน...เจ้าต้องเจอดีเข้าจนได้ ต่อให้เจ้าเป็นน้องชายฮ่องเต้ ก็มิได้หมายความว่าร่างกายเจ้า จะแข็งดุจเหล็กกล้าเสียเมื่อไหร่กัน’ ชายหนุ่มได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจใบหน้าหล่อเหลาที่ช่วงครึ่งบนของวงหน้า ที่ได้ปิดบังด้วยหน้ากากเสือดำ มองเห็นเพียงเรียวปากหยักที่ยังยกยิ
“ฮ่าๆ”สามพี่น้องแอบนินทาน้องสาวที่ตอนนี้ ได้นั่งในฐานะตัวแทนสกุลลู่ เด็กสาววัยสิบห้า นางเป็นลูกหลงของพ่อแม่ ด้วยอายุห่างจากพี่ชายคนเล็กถึงสิบปี ทำให้นางไม่เคยถูกขัดใจจากทั้งสามเลยลู่เยว่ฉีแอบชำเลืองมองชายหนุ่ม ที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ทั้งสาม ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ นางเมื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่ต้องนั่งปั้นหน้าวางท่า เป็นบุตรีที่เพียบพร้อม ทั้งที่ความเป็นจริง นางอยากจะถอดชุดรุ่มร่ามสีหวานนี่ออกเต็มทีแล้วทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เมื่อบุรุษในชุดมังกร ก้าวเข้ามาในลานพร้อมด้วยสตรีผู้เป็นคู่บารมี ทุกคนได้ยืนขึ้นทำความเคารพ กันอย่างพร้อมเพรียง การล่ากำลังจะเริ่มแล้ว“ทุกท่านเชิญตามสบาย วันนี้เป็นวันที่เราทุกคน มาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่าได้มากพิธีไป”ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น หลังจากเข้านั่งประจำที่ของตนเองแล้ว สายตามังกรกวาดมองไปรอบบริเวณ เพื่อดูเหล่าผู้มาแข่งขันในครั้งนี้“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทุกคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียง โดยมิต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า ถึงคำพูดใด ๆ เป็นที่รู้กันดี ว่าฮ่องเต้ชอบความเรียบง่าย ยิ่งเวลานี้ออกมาอยู่นอกเขตวังหลวง ยิ่งทรงสั่งห้ามพิธีการต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก การออกล่า
เจ็ดปีต่อมา ณ เมืองฉางกวง ในการแข่งขันล่าสัตว์ ของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ได้จัดขึ้นยังป่าในเขตเมืองฉางกวง ครั้งนี้แม่ทัพลู่ฉางเอินไม่ได้เข้าร่วม ในการอารักษ์ขาฮ่องเต้ แต่เขาได้ส่งบุตรชายทั้งสาม ให้มาทำหน้าที่แทนอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้ และองครักษ์คนสนิทเท่านั้นที่รู้ ว่าทั้งสามที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ หน้ากากพยัคฆ์ คือสามทายาท ของท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน สามองครักษ์ ผู้มีหนาม หยาง ฉง เฉิน นักรบผู้ไร้ที่มาในความเข้าใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลาย“น้องสามเจ้าเป็นอันใดไปเล่า ข้าเห็นเอาแต่จ้องมองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตา”เป็นลู่ฉงที่เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นน้องชาย มองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตาอยู่เป็นนานเฉินเซียนรู้สึกคุ้นหน้าอ๋องสิบแปดยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่เคยที่จะได้พบปะ หรือทำความรู้จักกับชินอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง เพียงแค่รู้สึกเหมือนเคยพบกัน ที่ไหนมาก่อนก็เท่านั้น‘อ่า...ข้าลืมไปได้อย่างไร ว่าท่านอ๋องสิบแปด เป็นญาติกับเหยาเอ๋อร์ หากนางเติบโตมา ก็ต้องมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านอ๋องอยู่มิน้อยสินะ’ สายตาเหยี่ยว สอดส่องหาใครบางคนไปทั่วทั้งลาน แต่ก็มิอาจพบ...‘แต่ทำไมนางม
แม้แต่คนที่กำลังตกอยู่ ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นคู่หมายของเขาเมื่อครู่ ด้วยความตกตะลึง และความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ทำให้ได้แต่ยืนนิ่งมิได้ขยับกาย จนคนตัวโตกว่า ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว นั่นเอง ต้วนเหยาจึงได้กลับมาหายใจเป็นปกติ“พี่ขอโทษเหยาเอ๋อ แต่พี่มิอยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากเจ้าเข้าใจไหม เวลานี้พี่ล่วงเกินเจ้าแล้ว นับจากนี้เจ้าคือคู่หมายของพี่อย่างแท้จริง พรุ่งนี้พี่จะให้ท่านพ่อ ทำการสู่ขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน”ต้วนเหยาทั้งโกธรและอับอาย ก่อนจะผลักร่างแกร่งออกให้ห่างกาย แล้ววิ่งออกจากสวนไปอย่างรวดเร็ว แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย ก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ที่หลอกลวงเฉินเซียนก่อนเฉินเซียนกำลังจะพุ่งตามเด็กสาวไป แต่มีบุรุษในชุดองครักษ์ ออกมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย ว่าไยองครักษ์จากวังหลวง ถึงได้ตามติดคุณหนูสกุลต้วน แทนที่จะเป็นคนของสกุลต้วน“ได้โปรดคุณชายลู่ อย่าได้คิดตามเจ้านายพวกเราไปเลย มิเช่นนั้นเราจำเป็นต้องลงมือกับท่าน”เฉินเซียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะทรุดนั่งลงคุกเข่าด้วยความสับสน เมื่อเขายังคิดไม่ตก ถึงความเป
“ยังเจ้าค่ะ ท่านพี่เฉินเซียนถามทำไมหรือเจ้าคะ”เมื่อได้ยินคำตอบ เฉินเซียนคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามของต้วนเหยา ทว่าเขากลับเอาแต่จ้องนางบรรเลงเพลงต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควร เสียงพิณได้เงียบเสียงลง จึงปลุกเฉินเซียนออกจากภวังค์...“นี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ายังมิกลับจวนอีกหรือเหยาเอ๋อร์”เมื่อตื่นจากภวังค์ความคิด เฉินเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แน่นอนว่าเวลานี้ สำหรับผู้ใหญ่นั้น ยังมิถือว่าดึกมากมายอันใด ทว่ากับเด็กแล้วย่อมต่างออกไป“ข้าเองก็กำลังจะบอกท่านอยู่ ว่าข้าง่วงแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เวลาเพียงไม่นาน ที่เซียวเหยาได้พูดคุยกับคนตรงหน้า ทำให้เขาได้ยิ้มได้หัวเราะออกมาได้อย่างเต็มที่ และเป็นกันเอง มิเหมือนตอนอยู่ในวังที่ตัวเขามิอาจไว้ใจใครได้มากนัก มันเป็นครั้งแรก ที่เขาได้ยิ้มเต็มทีอย่างแท้จริง แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ที่หลอกลวงอีกฝ่าย ว่าตนเป็นหญิงก็ตาม ตัวเขาเองไม่คิดว่าอีกฝ่าย จะเชื่อตนสนิทใจขนาดนี้ อาจเพราะฤทธิ์สุราด้วยกระมัง ที่ทำให้คนตรงหน้ามิได้ทันจับผิดตัวเขาเฉินเซียนนั้นเรียกว่าตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัยสิบเจ็ดมานี้ เขามิเคยสนใจบุตรสาวบ้านใด
ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะ หลานชายของพระชายานั้น น้อยคนที่รู้จักเขาจะอยากต่อกรด้วย แต่นี่มิใช่สิ่งที่เขาควรกระทำ ทว่าความด้วยอยากรู้ ทั้งมีความคึกคะนองในแบบของบุรุษที่กำลังจะเข้าวัยหนุ่มเต็มตัวในอีกไม่กี่ปี จึงทำให้เด็กหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลา แทนที่จะหมุนกาย กลับเข้าไปด้านในของงานเลี้ยง หรือเลี่ยงไปยังที่อื่นภายในจวนแทน ยิ่งเข้าใกล้...หัวใจของเด็กหนุ่ม ก็ยิ่งเต้นรัวประหนึ่งกองศึกยิ่งเห็นเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งดีดพิณอยู่ ภายใต้เงาสลัวของแสงจากคบไฟ ยิ่งทำให้เลือดในการสูบฉีด ดั่งม้าศึกกำลังห้อตะบึงสู่กลางสนามรบเลยทีเดียว“แม่นางน้อยเป็นกุลสตรี ไยจึงได้มานั่งอยู่ในที่แบบนี้ เพียงลำพังกันเล่า”คนที่ถูกเรียกขานว่าแม่นางน้อย เงยหน้าหันไปมองตามเสียง คราแรกตัวเขาคิดจะบอก ว่าตนเองมิใช่สตรี แต่ด้วยความนึกสนุก ทั้งยังเป็นความคิดในแบบของเด็ก จึงอยากรู้ว่าหากเขา แสร้งยอมรับว่าเป็นสตรี อย่างที่ผู้มาใหม่เรียกขาน เด็กหนุ่มผู้นี้จะจับได้หรือไม่ ว่าแท้จริงเขามิใช่สตรีอย่างที่อีกฝ่ายคิด“คือว่า...ข้าเบื่องานเลี้ยงเช่นนี้เจ้าค่ะคุณชาย”เด็กน้อยลอบยิ้มอยู่ภายในใจ และยังดีว่าตอนนี้ เสียงของเขายังมิแตกวัยหนุ่ม จึงคง
“นางจะสิบขวบแล้ว มีข้าอยู่มิต้องกังวลกับเรื่องเหล่านั้นเลย แต่ท่านแม่ชรามากแล้ว หากเดินทางมาไกลคงไม่ดีนัก อีกทั้งกำลังจะมีสงครามเกิดขึ้น ท่านพ่อยังจะให้ท่านแม่มาอีกหรือ นี่ท่านพ่อมิเข็ดหรืออย่างไรกับเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้น”คนหวงลูกสาว พูดตอกย้ำเรื่องราวในอดีต ที่เคยเกิดกับมารดาเมื่อหลายปีก่อน อันที่จริงเขาเองก็กลัวเหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้นอีก จึงจำต้องยอมเสี่ยง นำบุตรสาวเดินทางไกลเพื่อไปฝากพี่ชายคนโต ยังหัวเมืองทิศเหนือ ดูจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ผู้เป็นพ่อ กับพี่ชายคนรองต้องรับภาระหนัก ทั้งสงครามและครอบครัว หากตัวเขาต้องเดินทางไกล และถ้าหลันฮวาอยู่ที่นี่ นางจะกลายเป็นจุดอ่อนของบิดาและพี่ชายในทันทีแต่ถ้าจะให้เขาส่งนางเข้าเมืองหลวง สู้เขาเอานางไปฝากไว้กับพี่ชายที่อยู่หัวเมืองทางเหนือ ยังจะดีกว่าเสียอีก แม้พี่ชายจะดูเหมือนจองหงวนที่คงแก่เรียน แต่น้อยคนนัก จะรู้ว่าแท้จริงแล้วลู่หยาง มีฝีมือสูงส่งยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก“เจ้ามิกลัวนางฆ่าตัวตายหรืออย่างไร ที่หาญกล้าไปว่านางชราเช่นนั้น”แม่ทัพใหญ่เอ่ยเย้าบุตรชาย ที่อาจหาญเอ่ยถึงภรรยาสุดที่รักองเขาว่าชรา“ท่านไม่พูด แล้วนางจะรู้ได้อย่างไร จ
“ปู่ก็คิดถึงเจ้ามากเช่นกัน ว่าแต่นี่...เด็กดี เจ้าผอมลงหรืออย่างไร ทำไมตัวถึงเบาหวิวเช่นนี้กัน”ชายชราเอ่ยเย้าหลานสาว กึ่งประชดคนที่กำลังเดินมา ก่อนจะพาร่างกลมในอ้อมแขน หมุนตัวอยู่หลายรอบ ชายสูงวัยยิ้มจนแก้มแทบปริ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจ ของหลานสาวเพียงคนเดียว “แก่แล้วมิเจียมสังขาร เกิดล้มแล้วพิการขึ้นมา จะลำบากฮูหยินของท่าน ต้องหาสามีใหม่มาช่วยดูแลลูกหลาน ช่างชอบหาเรื่องให้ผู้อื่นลำบากอยู่เรื่อย” ท่านแม่ทัพใหญ่ หันไปถลึงตาใส่บุตรชาย ขนาดเขายังไม่ได้เอ่ยปากเอ่ยสิ่งใด ก็ถูกวาจาถากถางมาก่อนแล้ว เหอะ! คิดจะให้ภรรยาเขามีสามีใหม่ รอเขาตายในอีกห้าสิบปีข้างหน้าก็แล้วกัน “ฮูหยินข้า ก็มารดาเจ้ามิใช่รึ ถ้าหากนางคิดหาสามีใหม่ เจ้าก็ต้องมีบิดาเพิ่มจริงหรือไม่” “ก็ดีนะ มีพ่อหลายๆ คนคงสนุกดี ฮ่า ๆ”คำพูดของชายหนุ่ม หาได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจไม่ กลับเห็นเป็นเรื่องสนุกสนานไปเสียนี่ “คนอย่างข้า มิเป็นอันใดไปง่ายๆ หรอกนะ เพราะข้าจะต้องคอยดูแลหลันเอ๋อร์ของข้าไปอีกนาน”ท่านแม่ทัพใหญ่ หาได้ยอมลดละ การต่อคำกับบุตรชายคนเล็ก ซึ่งคำพูดประชดหรือเหน็บแนมกั
“ข้ามิเคยพบคุณชายสามสกุลลู่เลยหรือ”อ๋องหนุ่มเอ่ยถามด้วยท่าทางครุ่นคิด เขายอมรับว่ามีหลายสิ่งอย่าง ที่คล้ายจะจดจำได้ ทว่าพอตั้งใจนึกให้ออก หัวของเขาก็ราวกับจะระเบิดออกมาเสียอย่างนั้น“คุณชายสามสกุลลู่ มิชอบการสังสรรค์ จึงไม่ค่อยได้มาร่วมงานเลี้ยงในเมืองหลวงเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ และส่วนมากเขาจะใช้ชีวิตอยู่ชายแดนพ่ะย่ะค่ะ”“จะว่าไปตัวข้าเอ งก็มิค่อยได้ออกไปพบผู้ใดสักเท่าไหร่ จะรู้จักผู้คนไปเสียหมดก็แปลกแล้ว ข้าเองรู้ดีว่าพี่น้องสกุลลู่นั้นมากด้วยสามารถ แต่มิคิดว่าท่านผู้เฒ่า จะกล้าควักดวงตาของกองทัพลู่มาไว้ในมือข้า แล้วเช่นนี้ผู้ใดจะทำหน้าที่แทนลู่เฉินเซียนเล่า”เสวี่ยนเซียนเหยา ยอมรับว่าการที่แม่ทัพจ้าวบาดเจ็บสาหัส เป็นเรื่องที่ถูกวางเอาไว้แล้วจากหนอนร้าย เขาเองก็ได้มีสิ่งรองรับ กับเรื่องเหล่านี้เอาไว้แล้ว ในทุกทิศทางเช่นกันเขาจึงไม่แปลกใจเลยสักนิด ที่ขุนนางบางส่วน เสนอให้เป็นตัวเขา ที่ต้องออกเดินทางไปยังทิศเหนือในครั้งนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นอันรู้กันดี ว่าเขามิได้เก่งการในเชิงการต่อสู่เท่าใดนักและสิ่งที่ขุนนางเฒ่าพวกนั้น มองเห็นมาช้านาน คือกำลังทหารในมือเขานั้น มีเพียงจำนวน แต่มิได้มีศักยภาพ