จินเฟยเทียนก้มมองมือของตนเอง และยามนี้เขาได้ข้อสรุปให้กับตัวเองแล้ว คือ...เขาจะทำตามเรื่องราวที่ตัวเองแต่ง เพื่อให้นิยายได้ดำเนินต่อไปตามที่มันควรจะเป็น เขาถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่ง เป็นการเคารพต่อบทบาทของตัวละคร และที่สำคัญหากเขาตายจากที่นี่ เขาอาจจะได้กลับไปยังโลกของตนเอง แต่ถ้าเขาตายแล้วตายเลย ก็ถือเสียว่า...เป็นคราวซวยของเขาแล้วกัน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจินเฟยเทียนจึงขานรับ แล้วหยงหม่าก็เดินถือถาดใส่สำรับของเขา และข้าวต้มกับยาของคนป่วยเข้ามา พร้อมกับมาแจ้งเรื่องที่พวกเขาจะต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
ถึงจินเฟยเทียนจะรู้ดีว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงตอบรับคำของหยงหม่าเท่านั้น
ในระหว่างที่จินเฟยเทียนนั่งรอหยงหม่าจัดวางสำรับให้เขาอยู่นั้น เขาก็คิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ในตอนที่เขาเปลี่ยนชุดของตนเอง เขาได้เจอกับถุงเงินของจินเฟยเทียนคนเก่า ด้านในถุงนั้นมีเงินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวเขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ดังนั้นเขาควรจะมอบมันให้กับหยงหม่าและหยางหมิงเซียน ถือเสียว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เขาพอจะทำก็ได้แล้วกัน
“อาหม่า เจ้าช่วยนำเงินในถุงนี้ไปแบ่งเป็นสองถุงเท่าๆ กัน โดยถุงหนึ่งให้เจ้าเก็บเอาไว้กับตัว ส่วนอีกถุงที่เหลือให้เจ้านำกลับมาให้ข้า” หยงหม่าเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้เป็นนายสั่งก็เตรียมที่จะปฏิเสธ
แต่จินเฟยเทียนเมื่อเห็นสีหน้าของหยงหม่าเขาจึงรีบพูดต่อทันที “อาหม่าข้าไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้พวกเราจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แต่ข้าแค่อยากให้เจ้ามีเงินพกติดตัวเอาไว้บ้าง เผื่อยามลำบากเจ้าจะได้มีเงินไว้ใช้สอย และข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าโต้แย้งเพราะนี้คือคำสั่งของข้า”
หยงหม่าหลังจากฟังที่ผู้เป็นนายกล่าวเขาก็รู้สึกซึ้งใจ แม้ตัวเขาอยากจะโต้แย้ง แต่เมื่อเห็นแววตาเด็ดขาดของผู้เป็นนาย เขาจึงได้แต่ยินยอมยื่นมือออกไปรับถุงเงินมาเท่านั้น
“คุณชายใหญ่ขอรับ บ่าวขอสัญญาว่าบ่าวจะดูแลและปกป้องคุณชายใหญ่ด้วยชีวิต จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณชายของบ่าวได้เลยขอรับ” หยงหม่าเอ่ยคำสัญญาต่อผู้เป็นนายตน และเขาเองก็จะขอยึดมั่นในคำสัญญาของตนเองด้วย
จินเฟยเทียนเมื่อได้ฟังคำสัญญาของหยงหม่าและได้เห็นแววตาที่แสดงถึงความจงรักภักดีของอีกฝ่าย เขาจึงพยักหน้ารับและยิ้มให้กับคนตรงหน้า
“อาหม่า เจ้าออกไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ ไม่ต้องมาคอยอยู่ดูแลข้าหรอก และหากงานเสร็จแล้วเจ้าก็จงรีบกลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันอีกไกล ส่วนเรื่องเงินถ้าเจ้าแบ่งเรียบร้อยแล้วค่อยเอาเข้ามาให้ข้าพร้อมกับสำรับช่วงเย็นเลย ส่วนเรื่องของเด็กคนนี้เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง” หยงหม่าแม้จะอยากอยู่ต่อ แต่คำสั่งของผู้เป็นนายเขาไม่อาจขัด เมื่อจัดสำรับเสร็จหยงหม่าจึงได้แต่ถอยออกจากห้องผู้เป็นนายไป
เมื่อหยงหม่าออกจากห้องไปแล้ว จินเฟยเทียนจึงประคองหยางหมิงเซียนขึ้นมาพิงกับอกของตัวเองอีกครั้งเพื่อป้อนข้าวต้ม และเมื่อข้าวต้มคำแรกผ่านคอของเด็กชาย ก็เหมือนจะเรียกสติของเจ้าตัวกลับคืนมาด้วย
หยางหมิงเซียนเมื่อเริ่มรู้สึกตัว เขาก็ค่อยๆ ลืมตาของตนเองขึ้นมามองเด็กชายตรงหน้า...
จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนวัยเยาว์เริ่มรู้สึกตัวแล้ว และอีกฝ่ายก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแหบแห้งจนฟังไม่รู้เรื่อง เขาจึงเอื้อมมือออกไปรินน้ำแล้วนำมาป้อนเด็กชายตรงหน้าทันที
“เด็กน้อยเจ้าอย่าเพิ่งใช้เสียงตอนนี้เลย ยามนี้เจ้าควรกินข้าว กินยา แล้วพักผ่อนให้มากๆ เสียก่อน ร่างกายของเจ้าจะได้ฟื้นตัว จากนั้นเราค่อยมาพูดคุยกันดีหรือไม่” จินเฟยเทียนเอ่ยกับเด็กชายตรงหน้า
จากนั้นจินเฟยเทียนก็ค่อยๆป้อนข้าว และป้อนยาหยางหมิงเซียนต่อ... อีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมืออ้าปากรับของทุกอย่างที่เขาป้อนเป็นอย่างดี แม้สายตาของเด็กชายจะคอยจ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของจินเฟยเทียนอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
หลังจากป้อนข้าวป้อนยาคนป่วยเสร็จ จินเฟยเทียนก็ประคองหยางหมิงเซียนให้กลับลงไปนอนตามเดิม และผ่านไปได้ไม่นานเด็กชายตัวน้อยก็ผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา
จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนหลับไปแล้ว เขาจึงหันมาจัดการกับสำรับของตัวเองบ้าง เขาใช้เวลาเพียงไม่นาน อาหารในสำรับก็หมดลง และเมื่อหนังท้องตึง หนังตาของเขาก็เริ่มจะหย่อน จินเฟยเทียนจึงคิดจะกลับขึ้นไปนอน...
แต่ก่อนที่เขาจะนอน เขาขอเตรียมอะไรบางอย่างให้เสร็จเสียก่อน ด้วยเขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้นักฆ่าจะมาเวลาไหน ต้องโทษที่เขาไม่ได้ลงรายละเอียดตอนนี้ไว้ในนิยาย แต่ยังไงเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนก็คงไม่เสียหาย ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่า...จะสละชีวิตให้กับหยางหมิงเซียน จึงมีของสำคัญชิ้นหนึ่งที่เขาจะต้องเตรียมเอาไว้ให้อีกฝ่าย นั่นก็คือ สร้อยหยก
จินเฟยเทียนยกมือขึ้นมาคลำหาสร้อยหยกที่คอของตนเอง แล้วเขาก็พบกับสร้อยเงินที่มีจี้เป็นหยก...รูปหยดน้ำห้อยอยู่
สร้อยหยกเส้นนี้ จินเฟยเทียนได้รับมาจากมารดาของเขา ที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เหมือนกันสองเส้น เส้นหนึ่งมารดาได้นำมามอบให้กับเขา ส่วนอีกเส้นมารดาได้มอบให้กับจินเฟยหลง
ด้วยสร้อยหยกเส้นนี้มีความสำคัญมากในช่วงท้ายของเรื่อง และในวันพรุ่งนี้มันจะต้องไปอยู่กับหยางหมิงเซียน
ในนิยายเขาได้บรรยายเอาไว้ว่า...สร้อยหยกเส้นนี้จะขาดแล้วตกลงไปที่ตัวของหยางหมิงเซียน ตอนที่จินเฟยเทียนวิ่งเข้าไปรับคมดาบของนักฆ่าแทนหยางหมิงเซียน จากนั้นหยางหมิงเซียนจึงพกสร้อยหยกเส้นนี้เอาไว้กับตัวตลอดเวลา
‘แต่...สร้อยเส้นนี้มันค่อนข้างจะแข็งแรง หากตอนที่นักฆ่าฟันลงมาแล้วไม่โดนสร้อยล่ะ? หรือถ้าโดนสร้อยแล้วมันไม่ขาดล่ะ?’
‘งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน’
จินเฟยเทียนค่อยๆ ทำการอ้าตะขอของสร้อยออกเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผื่อตอนที่เขาโดนฟันแล้วเกิดเหตุสร้อยไม่ขาด เขาจะได้กระตุกแล้วโยนมันไปให้หยางหมิงเซียนได้
“แค่นี้ก็เรียบร้อย”
‘เอาวะ! กายพร้อม ใจพร้อม หยกห้อยคอก็พร้อม พรุ่งนี้เป็นไงเป็นกัน!’
เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย และสร้างความฮึกเหิมให้กับตัวเองแล้วด้วย...
จินเฟยเทียนจึงปีนขึ้นเตียงไปนอนหลับข้างหยางหมิงเซียนทันที
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
เมื่อท้องฟ้ามืดลง...หยงหม่าที่ยืนเคาะประตูเรียกผู้เป็นนายอยู่หน้าห้องมาได้สักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับกลับมา เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง... แล้วเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง หยงหม่าก็เห็นผู้เป็นนายนอนหลับอยู่บนเตียงข้างเด็กชายที่มาสลบอยู่ที่ข้างเรือนของเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจที่ผู้เป็นนายต้องมาคอยดูแลเด็กที่ไหนก็ไม่รู้...แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อผู้เป็นนายออกปากจะเป็นผู้ดูแลเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง หยงหม่าเมื่อเห็นผู้เป็นนายยังนอนหลับอยู่ เขาจึงถอยออกไปจากห้องเพื่อออกไปเตรียมน้ำสำหรับอาบกับสำรับไว้รอผู้เป็นนายตื่น และเขายังต้องออกไปเตรียมข้าวต้มกับยาของเด็กคนนั้นเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจทำ...แต่เขาก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว หยางหมิงเซียนจึงลืมตาขึ้น เขารู้สึกตัว...ตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่แกล้งหลับต่อไป ตอนนี้ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงกล้าลืมตาขึ้นมามองสำรวจที่ที่เขาอยู่ และจ้องมองเด็กชายที่นอนอยู่ข้างตัวเขา ‘นี่ข้ามานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’ ‘แล้วเด็ก
ส่วนจินเฟยเทียนก็ยังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ได้หันมาสนใจปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กชายตรงหน้าเลย “เด็กน้อยเจ้าหิวข้าวแล้วหรือไม่? หรือเจ้าจะไปอาบน้ำก่อน? แต่...เจ้าเพิ่งฟื้นตัวจากไข้ เจ้าก็คงยังอาบน้ำไม่ได้ งั้นข้าเช็ดตัวให้เจ้าก่อนดีกว่า...แล้วค่อยให้เจ้ากินข้าวกินยา” จินเฟยเทียนพูดเองตอบเอง แล้วจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปเตรียมของ แต่ก็ถูกหยางหมิงเซียนเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่เด็กชายตรงหน้าพูด เขาก็พยายามจะเอ่ยโต้แย้ง แต่ด้วยเสียงที่ออกมากลับแหบแห้งไม่เป็นคำ เขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า...แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมมองมาที่เขาเลย “เด็กน้อย...ตอนนี้ร่างกายของเจ้ามีแต่เหงื่อ ยังไงเจ้าก็ต้องเช็ดตัวเปลี่ยนชุด เจ้าจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น หรือว่า...เจ้าอายข้า” จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนพยายามปฏิเสธในสิ่งที่เขาจะทำให้ เขาจึงพยายามอธิบายและสังเกตปฏิกิริยาของเด็กชายตรงหน้าไปด้วย แล้วเขาก็ได้เห็นแก้มของเด็กชายที่เริ่มแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วมันไม่น่าจะเกิดจากพิษไข้ หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลงจนแทบจะติดเตียง ‘หึๆ
ฟิ้ว! ปึก! เคร้งๆๆ เสียงต่อสู้ที่ดังขึ้นมาจากภายนอกห้อง ปลุกจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนให้ตื่นจากการหลับไหล ด้วยเรือนของหยงหม่าอยู่ห่างจากเรือนหลังอื่นๆ ในหมู่บ้าน และด้านหลังเรือนหลังนี้ก็ยังติดกับป่าจึงไม่ค่อยมีใครผ่านมาทางนี้บ่อยนัก จะมีบ้างก็นานๆ ครั้งที่ชาวบ้านจะเข้าไปหาของป่าออกมาขาย ดังนั้นเสียงที่ดังขึ้นในตอนนี้จึงทำให้จินเฟยเทียนอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ‘ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?’ แต่ยังไม่ทันที่จินเฟยเทียนจะได้หาคำตอบ หยงหม่าและชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งก็เปิดประตูห้องแล้วรีบเดินเข้ามาหาเขาที่เตียง ในมือของคนทั้งสองต่างก็ถือดาบกันคนละเล่ม “คุณชายใหญ่ขอรับ! แย่แล้วขอรับ พวกนักฆ่าตามหาพวกเราเจอแล้วขอรับ ตอนนี้พวกองครักษ์กำลังต้านพวกมันเอาไว้ไม่ให้เข้ามาภายในเรือนขอรับ” หยงหม่าพูดพร้อมกับยื่นเสื้อคลุมตัวนอกให้ผู้เป็นนายกับเด็กชายที่อยู่บนเตียงข้างนายตน “คุณชายใหญ่ขอรับ เราต้องรีบหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแล้วขอรับ เท่าที่บ่าวสังเกตฝีมือของพวกนักฆ่าน่าจะเป็นพวกมืออาชีพเลยขอรับ พวกองครักษ์อาจจะต้านเอาไว้ได้ไม่นานขอรับ” “พวกนักฆ่าตามหาพวกเราเจอแล้ว
จินเฟยเทียนถึงจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขากลับรับมือกับมันไม่ได้เลย... จินเฟยเทียนที่ยามนี้ทำได้เพียงยืนมองไห่เฟิงกวัดแกว่งดาบรับมือกับนักฆ่าถึงสองคน และยืนมองหยงหม่าที่ถูกนักฆ่าซัดฝ่ามือใส่จนร่างกระเด็นไปสลบอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ตอนนี้น้ำตาของเขาก็เริ่มไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว จินเฟยเทียนพยายามจะเดินเข้าไปหาหยงหม่า แต่นักฆ่าที่ซัดฝ่ามือใส่หยงหม่ากลับเดินเข้ามาขวางเขาเอาไว้ แล้วนักฆ่าคนนั้นก็เดินย่างสามขุมเข้ามาหาจินเฟยเทียนอย่างช้าๆ ไห่เฟิงที่เห็นหยงหม่าพลาดท่าให้กับนักฆ่าไปแล้ว และตอนนี้นักฆ่าคนนั้นก็กำลังจะเข้าไปทำร้ายผู้เป็นนายของเขา เขาจึงพยายามสลัดนักฆ่าสองคนที่พยายามจู่โจมเขาเพื่อเข้าไปปกป้องผู้เป็นนาย แต่เขาก็ไม่สามารถหลุดออกไปจากการต่อสู้ตรงหน้าได้เลย จินเฟยเทียนพยายามก้าวถอยหลัง เพื่อรักษาระยะห่างจากนักฆ่าโดยให้หยางหมิงเซียนหลบไปอยู่ด้านหลังของตนเองอีกที “คุณชายใหญ่! ท่านช่างตายยากตายเย็นเสียจริง ท่านน่าจะตายไปพร้อมกับมารดาของท่านที่ชายป่า ท่านไม่ควรกระเสือกกระสนมาตายไกลถึงที่
ในป่าท้ายหมู่บ้านยามนี้มีเงาดำสี่สายกำลังพุ่งตัวตามเงาดำสายหนึ่งอยู่... ไห่เฟิงหลังจากพาจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนหลบหนีออกมาจากเรือนของหยงหม่าได้ เขาก็รีบพาคนทั้งคู่เข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้าน โดยใช้วิชาตัวเบาสลับกับการเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ เพื่ออาศัยความมืดในการพรางตัวเนื่องจากไห่เฟิงได้สูญเสียลมปราณไปกับการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมาไม่น้อย จึงทำให้เขาในยามนี้ต้องใช้พลังกายและพยายามดึงเอาลมปราณส่วนที่ยังเหลือออกมาใช้ เพื่อพาผู้เป็นนายหลบหนีจากกลุ่มนักฆ่าให้เร็วที่สุด ไห่เฟิงที่รับรู้ว่ายามนี้มีกลุ่มคนกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ เขาจึงกระซิบบอกผู้เป็นนายในอ้อมแขนของตัวเองเบาๆ “คุณชายใหญ่ขอรับ ตอนนี้พวกเรากำลังถูกติดตามจากพวกนักฆ่า คุณชายใหญ่สงบลงก่อนนะขอรับ” จินเฟยเทียนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับ แล้วพยายามสงบใจของตัวเองลง จากนั้นเขาก็พยายามกลั้นสะอื้นเพื่อไม่ให้มีเสียงหลุดลอดออกมาได้
จินเฟยเทียนจากที่จะเตรียมตัวทำตามสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้ ก็ต้องหันกลับลงมามองหยางหมิงเซียนที่ยามนี้อีกฝ่ายเอื้อมมือมากอดตัวเขาเอาไว้จนแน่น “เด็กน้อยเจ้า...” “เจ้าไม่กลัวตายหรือ...คนพวกนั้นหวังเอาชีวิตข้าไม่ใช่ชีวิตเจ้า ข้าไม่ต้องการจะให้ใครต้องมาตายเพื่อข้าอีกแล้ว” จินเฟยเทียนพูดทั้งน้ำตาและพยายามแกะมือของเด็กชายที่กำลังกอดเขาอยู่ออก หยางหมิงเซียนพยายามกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาไม่คิดจะปล่อยมือจากคนผู้นี้ เขารู้ว่าหากทำแบบนี้...เขาอาจจะต้องตายไปพร้อมกับคนตรงหน้า แต่จะให้เขาทิ้งอีกฝ่ายไปเพื่อหนีเอาตัวรอดเขาก็ทำแบบนั้นไม่ได้ คนผู้นี้เข้ามาปกป้องเขาจากอันตราย คอยดูแล คอยเอาใจใส่เขา แบบที่ตัวเขาไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน และยามนี้คนตรงหน้าก็ยังพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อแลกกับชีวิตของเด็กที่ไม่มีใครต้องการแบบเขาอีก จินเฟยเทียนเมื่อโดนหยางหมิงเซียนกอดแน่นขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาต้องกา
แสงของดวงอาทิตย์ส่องเข้ามากระทบร่างของเด็กชายสองคนที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้หลังพุ่มไม้ใหญ่ จินเฟยเทียนรู้สึกได้ถึงแสงที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้าของตนเอง เขาจึงพยายามลืมตาที่หนักอึ้งและปูดบวมของเขาขึ้นมาอย่างยากลำบาก แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นสภาพของตัวเองที่กำลังนอนซบอยู่กับบ่าน้อยๆ ของหยางหมิงเซียนและไหนจะแขนขาของเขาที่กำลังกอดก่ายอีกฝ่ายอยู่ แล้วยังมีแขนของเด็กชายที่พาดอยู่ที่เอวของเขาอีก... จินเฟยเทียนค่อยๆ ยกแขนของหยางหมิงเซียนออกจากเอวของเขา จากนั้นเขาก็ยกแขนยกขาแล้วเอาตัวเองลุกขึ้นจากตัวของอีกฝ่ายให้เบาที่สุด ถึงแม้ทั้งเขาและหยางหมิงเซียนจะเป็นเด็กผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แต่มานอนกอดกันแบบนี้มันก็รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล ‘แต่มาลองคิดดูอีกที...ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยนอนกอดกับผู้ชายเสียเมื่อไหร่! กับน้องชายของเขาก็เคยนอนกอดแล้วหลับไปพร้อมกันออกบ่อยไป’ เมื่อคิดได้ดังนั้นจินเฟยเทียนก็ลุกขึ้นไปจัดท่านอนให้หยางหม
หยางหมิงเซียนที่แกล้งหลับแต่คอยแอบมองเด็กชายอยู่ตลอดเวลา...เขาได้เห็นว่าอีกฝ่ายเดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็ฮึดสู้ จากนั้นอีกฝ่ายก็กลับไปนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วเขาก็เห็นอีกฝ่ายเดี๋ยวก็นั่งขมวดคิ้วคิดหนักบ้าง ทำหน้าตึงเครียดบ้าง ถอนหายใจอยู่คนเดียวบ้าง นี่ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม...แต่อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าออกมาหลากหลาย จนคนแอบมองอย่างเขาอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่อีกฝ่ายสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไปมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายไม่นั่งจมอยู่กับความเศร้า จินเฟยเทียนหลังจากนั่งใช้ความคิดอยู่นาน เขาก็คิดได้ว่า...สิ่งแรกที่เขาควรทำก็คือการพาหยางหมิงเซียนไปตามทางที่ไห่เฟิงได้บอกเอาไว้เสียก่อน เพื่อที่พวกเขาจะได้หาทางเข้าหมู่บ้าน จากนั้นเขาค่อยกลับมาคิดเรื่องหลังจากนั้นอีกที... หยางหมิงเซียนที่เห็นว่าเด็กชายเริ่มหันมามองทางเขาบ่อยครั้งขึ้น เขาจึงลืมตาของตัวเองขึ้น ขยับตัว แล้วลุกขึ้นมานั่ง จินเฟยเทียนที่หัน
“คุณชาย...ท่านฟื้นแล้ว!” จินเฟยเทียนลืมตาขึ้นมาเขาก็ได้เห็นว่า...ตอนนี้ตัวเขากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียกของบุรุษ ดังขึ้นมาจากข้างเตียง...เขาจึงหันไปมองตามเสียงนั้น แล้วเขาก็ได้เห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขา “อย่าเพิ่งลุกขอรับ” ซานมู่รีบเข้าไปประคองคนเจ็บ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะลุกขึ้นจากเตียง “เอ่อ...ที่นี่ที่ไหนหรือขอรับ? แล้ว...ตัวข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือขอรับ?” จินเฟยเทียนเอ่ยถามเมื่อมองไปรอบๆ แล้ว เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ... ‘นี่ข้าได้กลับมาเป็นจินเฟยเทียนหรือไม่นะ?’ “ที่นี่คือเรือนพักกลางป่าของพวกข้าน้อยเองเจ้าค่ะ พวกข้าน้อยเจอคุณชายนอนไม่ได้สติอยู่ที่ริมแม่น้ำ...เลยพาคุณชายเข้าไปรักษาตัวที่โรงหมอในหมู่บ้าน จากนั้นก็พาคุณชายกลับมารักษาตัวต่อที่เรือนไม้หลังนี้เจ้าค่ะ แต่ในระหว่างที่คุณชายมารักษาตัวอ
จนเวลาล่วงเลยผ่านมาแล้วถึงสองเดือน...ที่พวกเขายังคงตามหาจินเฟยเทียนไม่พบ แม้หยางหมิงเซียนจะยังคงออกตามหาจินเฟยเทียนทั้งกลางวันและกลางคืนเหมือนเดิม โดยมีชิงหลวนคุน จินเฟยหลงและราชครูหลงจิ้นสิงที่คอยส่งคนออกมาช่วยตามหา และถ้าเมื่อใดที่พวกเขาว่าง...พวกเขาก็จะลงมาช่วยตามหาจินเฟยเทียนด้วยตัวเองทุกครั้งก็ตาม ส่วนจินเฟยหมิง...อาการจากการถูกลอบวางยาพิษถึงจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ลมปราณและวรยุทธของเขากลับถูกยาพิษของหานเฟิงทำลายจนไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้เหมือนเดิม เขาจึงทำเรื่องทูลขอต่อฮ่องเต้ เพื่อส่งมอบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้น...ไปให้กับผู้ที่เหมาะสมนั่นก็คือจินเฟยหลง ให้ขึ้นรับตำแหน่งนี้แทนเขาทันที และหลังจากที่พวกเขาจัดการกับพิธีศพของชิงจิวซิน และจัดการกับพิธีส่งมอบตำแหน่งให้จินเฟยหลงเสร็จแล้ว จินเฟยหมิงและจินเฟยฮวาก็ย้ายตัวเองมาอยู่ที่ค่ายทหารแถบชายแดนทันที... จินเฟยเทียนที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับความว่างเปล่า ด้วยเพราะรอบกายเขาในยามนี้ มันไม่มีอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
หยางหมิงเซียนที่แยกออกไปจัดการดูแลตัวเองจนเรียบร้อย เขาได้เดินกลับออกมา...พร้อมกับยื่นชุดเก่าของผู้เป็นบิดา ไปทางชิงหลวนคุนกับคนที่ติดตามพวกเขามาด้วย “บ่อน้ำด้านหลังเรือนยังใช้ได้อยู่ ส่วนของในเรือนพวกเจ้าสามารถหยิบใช้ได้ตามสบาย” หยางหมิงเซียนพูดจบก็คิดจะเดินออกจากเรือนทันที “หมิงเซียนเจ้าอยู่รอทำแผลของตัวเองและอยู่รอพวกข้าก่อน เดี๋ยวพวกเราค่อยออกไปตามหาเฟยเทียนต่อพร้อมกัน ตอนนี้เฟยหลงกำลังกลับไปเอายาและของที่พวกเราต้องใช้ในคืนนี้อยู่” ชิงหลวนคุนเอ่ยรั้งหยางหมิงเซียนเอาไว้ เพราะบาดแผลตามร่างกายของอีกฝ่ายยังไม่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะบาดแผลที่มารดาของอีกฝ่ายได้ลงมือฝากเอาไว้ ยามนี้...มันยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาให้เห็น “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าจัดการดูแลตัวเองเสร็จ ค่อยตามข้าออกไปแล้วกัน” “หมิงเซียนหากเจ้าไม่ดูแลตัวเอง และรีบร้อนจนเป็นอะไรไปอีกคน ยามนั้นมันจะไม่ยิ่งแย่ไปกว่านี้หรือ?” “แต่ตอนนี้เฟยเกออยู่ด้านนอกนั้นคนเดียว! แ
หยางหมิงเซียนที่ถูกจับตัวเอาไว้โดยชิงหลวนคุนและจินเฟยหลง ยามนี้เขาปล่อยให้ตัวเองทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น พร้อมกับสหายทั้งสองของเขาอย่างหมดแรง “พวกเจ้ารีบกระจายตัวออกไปหาเส้นทางที่สามารถใช้ไต่ลงไปด้านล่างได้ หากเจอแล้วให้รีบกลับมาบอกข้า” ชิงหลวนคุนที่ดึงสติกลับมาได้ก่อน รีบหันไปสั่งการคนของเขาทันที “หึ! เป็นเช่นไร...เจ็บปวดดีหรือไม่เล่า กับการที่ต้องสูญเสียคนที่ตัวเองรักแต่เท่านี้มันยังไม่เพียงพอ...ชดใช้ให้กับสิ่งที่พวกข้าต้องสูญเสียไปหรอกนะ ความจริงแล้วพวกเจ้าก็น่าจะตกลงไปตายพร้อมกับคุณชายใหญ่นั่นด้วยเลยนะ” หานเฟิงที่ถูกจับตัวโดยคนของซูเทียนฉินเอ่ยขึ้น “ชดใช้อย่างนั้นหรือ...ได้! อย่างนั้นพวกเจ้าก็จงชดใช้มาให้ข้าเสียสิ!!” หยางหมิงเซียนลุกขึ้นปาดน้ำตาพร้อมกับเดินเข้าไปคว้าดาบในมือของซูเทียนฉิน ก่อนจะเดินเข้าไปฟันคอของหานเฟิงจนขาดภายในดาบเดียว จากนั้นเขาก็ตรงเข้าไปจัดการกับลูกน้องของหานเฟิงต่อทันที “หมิงเซียนหยุด! เก็บแร
“พวกเจ้ารีบพานางออกไปจากที่นี่ ส่วนพวกที่เหลือ...ตามข้ามา!” หานเฟิงหันไปสั่งคนของเขา พร้อมกับกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังม้า หลังจากที่ตัวเขามาถึงหลังกระท่อม แล้วเห็นพ่อบ้านจวนแม่ทัพ กำลังพาคนในกระท่อมหลบหนีโดยใช้รถม้าที่พวกเขาได้เตรียมเอาไว้หนี... แต่ดีที่คนของเขาได้พาว่านซิ่นหลิงไปขึ้นรถม้าอีกคันที่พวกเขาได้จอดทิ้งเอาไว้หน้ากระท่อม เขาจึงรีบแยกคนของเขาที่เหลืออยู่เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้พาว่านซิ่นหลิงหลบออกไปจากที่นี่ ส่วนที่เหลือให้ตามเขาไปจัดการกับคนพวกนั้น แต่ก่อนที่หานเฟิงจะควบม้าออกไป เขาได้หันกลับไปมองที่ชิงจิวซิน ยามนี้นางได้ท่านกุนซือเข้ามาช่วยเหลือ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังจะช่วยถอนพิษให้กับนาง เขาจึงเอ่ยปากขอธนูกับลูกธนูจากคนของเขา จากนั้นจึงยิงไปที่ชิงจิวซินก่อนที่เขาจะพุ่งตัวออกไปจากที่นั่น ‘คนชั่วช้าอย่างเจ้า ไม่ควรได้รับความเมตตาจากใครทั้งนั้น...จินฮูหยิน’ “อึก!” “จินฮูหยิน!” ชิงจิว
“ท่านพ่อเป็นอะไรหรือขอรับ?” จินเฟยเทียนเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่าบิดาอยู่ ๆ ก็ฝืนเกรงตัวขึ้น...ในขณะที่เขากำลังแก้เชือกให้อีกฝ่ายอยู่ ส่วนจินเฟยฮวาก็ลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินเข้ามาหลบด้านหลังเขา จินเฟยเทียนจึงเงยหน้าขึ้น...แล้วมองไปตามสายตาของคนทั้งสอง “บ่าวมาช่วยขอรับ คุณชายใหญ่” ชุนฉือเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแววตาระแวดระวังจากคนในกระท่อม “อืม...ขอบคุณท่านมาก ท่านพ่อบ้าน” จินเฟยเทียนกล่าวตอบเพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้ามาช่วยเหลือพวกเขา ระหว่างที่ชุนฉือเข้ามาช่วยจินเฟยเทียนแก้มัดให้จินเฟยหมิง จินเฟยเทียนก็แอบมองไปที่ดวงตาและท่าทางของอีกฝ่าย จากที่เขาสังเกต...เขาคิดว่ายามนี้ชุนฉือน่าจะกำลังทำแบบในนิยายที่เขาได้เขียนเอาไว้ คือ...ทำตัวไหลไปตามแผนการณ์ของพวกหานเฟิงแต่ก็ดูเหมือนว่าชุนฉือจะไม่ได้ทำเหมือนที่เขาได้เขียนเอาไว้ทั้งหมด อย่างเช่น การนำแผนการณ์ของพวกหานเฟิงไปบอกเล่าให้กับจินเฟยหลงได้ฟัง เพราะตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเขายังไม่เห็นจินเฟยหลงมาปรากฏตัวที่นี่ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการที
หานเฟิงมองไปที่จินเฟยหมิงกับชิงจิวซินที่กำลังพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น และพยายามที่จะพาตัวเองตามไปช่วยบุตรชายและบุตรสาว เขาจึงหันไปเอ่ยปากพูดกับคนทั้งสองอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพใหญ่ท่านอยากตายพร้อมกับบุตรชายและบุตรสาวของท่านใช่หรือไม่... ในเมื่อท่านอยากตาย ข้าก็ให้ท่านได้ตายสมใจอยาก แต่...กับสำหรับสตรีชั่วช้าเช่นเจ้า! จินฮูหยิน...ข้าจะยังไม่ให้เจ้าได้ตายสมใจในตอนนี้เพราะข้าอยากให้เจ้าได้อยู่และได้เห็นคนที่เจ้ารักค่อยๆ ตายลงไปต่อหน้าเจ้า โดยที่ตัวเจ้าไม่สามารถช่วยอะไรคนที่เจ้ารักได้เลย จากนั้น...ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าค่อยๆ ตาย ด้วยยาพิษที่ข้าเตรียมเอาไว้สำหรับเจ้าโดยเฉพาะ...ตัวนี้!” พูดจบหานเฟิงก็ให้คนนำยาพิษไปกรอกปากชิงจิวซินแล้วให้คนนำตัวจินเฟยหมิงเข้าไปไว้ในกระท่อมเดียวกับจินเฟยฮวาและจินเฟยเทียน แล้วหันกลับไปรับคบไฟที่ถูกจุดไฟมาเรียบร้อยแล้วจากคนของเขาที่ยื่นมาทางเขากับว่านซิ่นหลิงคนล่ะอัน ชิงจิวซินร้องไห้แทบขาดใจ เมื่อตัวนางถูกกรอกยาพิษไปพ
จินเฟยหลงเมื่อได้ยินเรื่องราวที่ว่านซิ่นหลิงและหานเฟิงพูด เขาก็แทบอยากจะพุ่งตัวลงไปจัดการกับจินฮูหยิน เพราะที่ผ่านมา...เขาต้องแบกรับความรู้สึกผิดในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาเขาได้เคยทำเอาไว้ และความรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องคนสำคัญที่สุดในชีวิตทั้งสองคนของเขาเอาไว้ได้... ตั้งแต่ที่จินเฟยหลงจำความได้ เขาก็ได้รับทั้งความรักและการดูแลเอาใจใส่จากท่านแม่ใหญ่กับพี่ใหญ่ของเขา จนตัวเขาแทบจะลืมไปแล้วว่าที่จริง... เขาหาบุตรชายแท้ๆ หรือน้องชายแท้ๆ ของคนทั้งสองไม่ จนมีวันหนึ่ง เป็นวันที่พี่ใหญ่ของเขาเกิดล้มป่วย แล้วมีบ่าวในจวนเผลอหลุดปากพูดเรื่องที่ผู้เป็นมารดาเขาได้เคยทำไว้จนส่งผลทำให้พี่ใหญ่ของเขามีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่เกิด และด้วยเพราะร่างกายที่อ่อนแอนี้พี่ใหญ่จึงไม่สามารถฝึกวรยุทธหรือไปเรียนที่สำนักศึกษาแบบเขาได้ ตอนนั้นเขาทั้งรู้สึกเสียใจ และรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก และในตอนนั้น...พี่ใหญ่ที่กำลังล้มป่วยจนแทบจะลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว ก็รีบฝืนลุกขึ้นมาสั่งบ่าวผู้นั้นให้หยุดพูด และนำ
“องค์ชายสิบสองใจเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ! คุณชายหยางด้วยนะขอรับ รอคนของพวกเราตามมาสมทบก่อน ตอนนี้หากพวกท่านบุกลงไป มีแต่จะทำให้ทุกอย่างมันดูแย่ลงกว่าเดิมนะพ่ะย่ะค่ะ” ซงหยวนเอ่ยพูดกับผู้เป็นนายและคุณชายหยาง เนื่องจากเขากับบ่าวอีกคนเกือบจะจับคนทั้งสองเอาไว้ไม่ทัน หลังจากที่ผู้เป็นนายและคุณชายหยางเห็นคุณชายฟางถูกคนด้านล่างลงมือทำร้าย... หยางหมิงเซียนยามนี้รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนักที่ต้องมาทนเห็นจินเฟยเทียนถูกทำร้ายต่อหน้า...แต่เขากลับไม่สามารถช่วยอะไรอีกฝ่ายได้เลย และยังไม่พอ...คนที่กำลังลงมือทำร้ายจินเฟยเทียนดันเป็นมารดาของเขาเองทำไม! ทำไม...ทุกอย่างถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย หากเป็นคนอื่นทำกับคนของเขาแบบนี้! เขาสาบานเลยว่า...ปากที่มันใช้สั่งการหรือมือข้างที่มันใช้กระชากผมของจินเฟยเทียน เขาจะลงมือสับมัน! และจัดการกับคนผู้นั้นด้วยตัวของเขาเอง แต่...พอคนผู้นั้นเป็นมารดาของเขา หยางหมิงเซียนจึงรู้สึกทั้งอึดอัดและรู้สึกเจ็บปวดใจในเวลาเดียวกัน “พี่ใหญ่!” จินเฟยหลงเอ่ยขึ้นหลังจากได้ยินส