จินเฟยเทียนก้มมองมือของตนเอง และยามนี้เขาได้ข้อสรุปให้กับตัวเองแล้ว คือ...เขาจะทำตามเรื่องราวที่ตัวเองแต่ง เพื่อให้นิยายได้ดำเนินต่อไปตามที่มันควรจะเป็น เขาถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่ง เป็นการเคารพต่อบทบาทของตัวละคร และที่สำคัญหากเขาตายจากที่นี่ เขาอาจจะได้กลับไปยังโลกของตนเอง แต่ถ้าเขาตายแล้วตายเลย ก็ถือเสียว่า...เป็นคราวซวยของเขาแล้วกัน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจินเฟยเทียนจึงขานรับ แล้วหยงหม่าก็เดินถือถาดใส่สำรับของเขา และข้าวต้มกับยาของคนป่วยเข้ามา พร้อมกับมาแจ้งเรื่องที่พวกเขาจะต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
ถึงจินเฟยเทียนจะรู้ดีว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงตอบรับคำของหยงหม่าเท่านั้น
ในระหว่างที่จินเฟยเทียนนั่งรอหยงหม่าจัดวางสำรับให้เขาอยู่นั้น เขาก็คิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ในตอนที่เขาเปลี่ยนชุดของตนเอง เขาได้เจอกับถุงเงินของจินเฟยเทียนคนเก่า ด้านในถุงนั้นมีเงินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวเขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ดังนั้นเขาควรจะมอบมันให้กับหยงหม่าและหยางหมิงเซียน ถือเสียว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เขาพอจะทำก็ได้แล้วกัน
“อาหม่า เจ้าช่วยนำเงินในถุงนี้ไปแบ่งเป็นสองถุงเท่าๆ กัน โดยถุงหนึ่งให้เจ้าเก็บเอาไว้กับตัว ส่วนอีกถุงที่เหลือให้เจ้านำกลับมาให้ข้า” หยงหม่าเมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้เป็นนายสั่งก็เตรียมที่จะปฏิเสธ
แต่จินเฟยเทียนเมื่อเห็นสีหน้าของหยงหม่าเขาจึงรีบพูดต่อทันที “อาหม่าข้าไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้พวกเราจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แต่ข้าแค่อยากให้เจ้ามีเงินพกติดตัวเอาไว้บ้าง เผื่อยามลำบากเจ้าจะได้มีเงินไว้ใช้สอย และข้าก็ไม่อนุญาตให้เจ้าโต้แย้งเพราะนี้คือคำสั่งของข้า”
หยงหม่าหลังจากฟังที่ผู้เป็นนายกล่าวเขาก็รู้สึกซึ้งใจ แม้ตัวเขาอยากจะโต้แย้ง แต่เมื่อเห็นแววตาเด็ดขาดของผู้เป็นนาย เขาจึงได้แต่ยินยอมยื่นมือออกไปรับถุงเงินมาเท่านั้น
“คุณชายใหญ่ขอรับ บ่าวขอสัญญาว่าบ่าวจะดูแลและปกป้องคุณชายใหญ่ด้วยชีวิต จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณชายของบ่าวได้เลยขอรับ” หยงหม่าเอ่ยคำสัญญาต่อผู้เป็นนายตน และเขาเองก็จะขอยึดมั่นในคำสัญญาของตนเองด้วย
จินเฟยเทียนเมื่อได้ฟังคำสัญญาของหยงหม่าและได้เห็นแววตาที่แสดงถึงความจงรักภักดีของอีกฝ่าย เขาจึงพยักหน้ารับและยิ้มให้กับคนตรงหน้า
“อาหม่า เจ้าออกไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ ไม่ต้องมาคอยอยู่ดูแลข้าหรอก และหากงานเสร็จแล้วเจ้าก็จงรีบกลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันอีกไกล ส่วนเรื่องเงินถ้าเจ้าแบ่งเรียบร้อยแล้วค่อยเอาเข้ามาให้ข้าพร้อมกับสำรับช่วงเย็นเลย ส่วนเรื่องของเด็กคนนี้เดี๋ยวข้าจัดการต่อเอง” หยงหม่าแม้จะอยากอยู่ต่อ แต่คำสั่งของผู้เป็นนายเขาไม่อาจขัด เมื่อจัดสำรับเสร็จหยงหม่าจึงได้แต่ถอยออกจากห้องผู้เป็นนายไป
เมื่อหยงหม่าออกจากห้องไปแล้ว จินเฟยเทียนจึงประคองหยางหมิงเซียนขึ้นมาพิงกับอกของตัวเองอีกครั้งเพื่อป้อนข้าวต้ม และเมื่อข้าวต้มคำแรกผ่านคอของเด็กชาย ก็เหมือนจะเรียกสติของเจ้าตัวกลับคืนมาด้วย
หยางหมิงเซียนเมื่อเริ่มรู้สึกตัว เขาก็ค่อยๆ ลืมตาของตนเองขึ้นมามองเด็กชายตรงหน้า...
จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนวัยเยาว์เริ่มรู้สึกตัวแล้ว และอีกฝ่ายก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแหบแห้งจนฟังไม่รู้เรื่อง เขาจึงเอื้อมมือออกไปรินน้ำแล้วนำมาป้อนเด็กชายตรงหน้าทันที
“เด็กน้อยเจ้าอย่าเพิ่งใช้เสียงตอนนี้เลย ยามนี้เจ้าควรกินข้าว กินยา แล้วพักผ่อนให้มากๆ เสียก่อน ร่างกายของเจ้าจะได้ฟื้นตัว จากนั้นเราค่อยมาพูดคุยกันดีหรือไม่” จินเฟยเทียนเอ่ยกับเด็กชายตรงหน้า
จากนั้นจินเฟยเทียนก็ค่อยๆป้อนข้าว และป้อนยาหยางหมิงเซียนต่อ... อีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมืออ้าปากรับของทุกอย่างที่เขาป้อนเป็นอย่างดี แม้สายตาของเด็กชายจะคอยจ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของจินเฟยเทียนอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
หลังจากป้อนข้าวป้อนยาคนป่วยเสร็จ จินเฟยเทียนก็ประคองหยางหมิงเซียนให้กลับลงไปนอนตามเดิม และผ่านไปได้ไม่นานเด็กชายตัวน้อยก็ผล็อยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา
จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนหลับไปแล้ว เขาจึงหันมาจัดการกับสำรับของตัวเองบ้าง เขาใช้เวลาเพียงไม่นาน อาหารในสำรับก็หมดลง และเมื่อหนังท้องตึง หนังตาของเขาก็เริ่มจะหย่อน จินเฟยเทียนจึงคิดจะกลับขึ้นไปนอน...
แต่ก่อนที่เขาจะนอน เขาขอเตรียมอะไรบางอย่างให้เสร็จเสียก่อน ด้วยเขาไม่รู้ว่าพรุ่งนี้นักฆ่าจะมาเวลาไหน ต้องโทษที่เขาไม่ได้ลงรายละเอียดตอนนี้ไว้ในนิยาย แต่ยังไงเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนก็คงไม่เสียหาย ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่า...จะสละชีวิตให้กับหยางหมิงเซียน จึงมีของสำคัญชิ้นหนึ่งที่เขาจะต้องเตรียมเอาไว้ให้อีกฝ่าย นั่นก็คือ สร้อยหยก
จินเฟยเทียนยกมือขึ้นมาคลำหาสร้อยหยกที่คอของตนเอง แล้วเขาก็พบกับสร้อยเงินที่มีจี้เป็นหยก...รูปหยดน้ำห้อยอยู่
สร้อยหยกเส้นนี้ จินเฟยเทียนได้รับมาจากมารดาของเขา ที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษให้เหมือนกันสองเส้น เส้นหนึ่งมารดาได้นำมามอบให้กับเขา ส่วนอีกเส้นมารดาได้มอบให้กับจินเฟยหลง
ด้วยสร้อยหยกเส้นนี้มีความสำคัญมากในช่วงท้ายของเรื่อง และในวันพรุ่งนี้มันจะต้องไปอยู่กับหยางหมิงเซียน
ในนิยายเขาได้บรรยายเอาไว้ว่า...สร้อยหยกเส้นนี้จะขาดแล้วตกลงไปที่ตัวของหยางหมิงเซียน ตอนที่จินเฟยเทียนวิ่งเข้าไปรับคมดาบของนักฆ่าแทนหยางหมิงเซียน จากนั้นหยางหมิงเซียนจึงพกสร้อยหยกเส้นนี้เอาไว้กับตัวตลอดเวลา
‘แต่...สร้อยเส้นนี้มันค่อนข้างจะแข็งแรง หากตอนที่นักฆ่าฟันลงมาแล้วไม่โดนสร้อยล่ะ? หรือถ้าโดนสร้อยแล้วมันไม่ขาดล่ะ?’
‘งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน’
จินเฟยเทียนค่อยๆ ทำการอ้าตะขอของสร้อยออกเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผื่อตอนที่เขาโดนฟันแล้วเกิดเหตุสร้อยไม่ขาด เขาจะได้กระตุกแล้วโยนมันไปให้หยางหมิงเซียนได้
“แค่นี้ก็เรียบร้อย”
‘เอาวะ! กายพร้อม ใจพร้อม หยกห้อยคอก็พร้อม พรุ่งนี้เป็นไงเป็นกัน!’
เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย และสร้างความฮึกเหิมให้กับตัวเองแล้วด้วย...
จินเฟยเทียนจึงปีนขึ้นเตียงไปนอนหลับข้างหยางหมิงเซียนทันที
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
เมื่อท้องฟ้ามืดลง...หยงหม่าที่ยืนเคาะประตูเรียกผู้เป็นนายอยู่หน้าห้องมาได้สักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับกลับมา เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง... แล้วเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง หยงหม่าก็เห็นผู้เป็นนายนอนหลับอยู่บนเตียงข้างเด็กชายที่มาสลบอยู่ที่ข้างเรือนของเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจที่ผู้เป็นนายต้องมาคอยดูแลเด็กที่ไหนก็ไม่รู้...แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อผู้เป็นนายออกปากจะเป็นผู้ดูแลเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง หยงหม่าเมื่อเห็นผู้เป็นนายยังนอนหลับอยู่ เขาจึงถอยออกไปจากห้องเพื่อออกไปเตรียมน้ำสำหรับอาบกับสำรับไว้รอผู้เป็นนายตื่น และเขายังต้องออกไปเตรียมข้าวต้มกับยาของเด็กคนนั้นเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจทำ...แต่เขาก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว หยางหมิงเซียนจึงลืมตาขึ้น เขารู้สึกตัว...ตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่แกล้งหลับต่อไป ตอนนี้ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงกล้าลืมตาขึ้นมามองสำรวจที่ที่เขาอยู่ และจ้องมองเด็กชายที่นอนอยู่ข้างตัวเขา ‘นี่ข้ามานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’ ‘แล้วเด็ก
ส่วนจินเฟยเทียนก็ยังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ได้หันมาสนใจปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กชายตรงหน้าเลย “เด็กน้อยเจ้าหิวข้าวแล้วหรือไม่? หรือเจ้าจะไปอาบน้ำก่อน? แต่...เจ้าเพิ่งฟื้นตัวจากไข้ เจ้าก็คงยังอาบน้ำไม่ได้ งั้นข้าเช็ดตัวให้เจ้าก่อนดีกว่า...แล้วค่อยให้เจ้ากินข้าวกินยา” จินเฟยเทียนพูดเองตอบเอง แล้วจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปเตรียมของ แต่ก็ถูกหยางหมิงเซียนเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่เด็กชายตรงหน้าพูด เขาก็พยายามจะเอ่ยโต้แย้ง แต่ด้วยเสียงที่ออกมากลับแหบแห้งไม่เป็นคำ เขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า...แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมมองมาที่เขาเลย “เด็กน้อย...ตอนนี้ร่างกายของเจ้ามีแต่เหงื่อ ยังไงเจ้าก็ต้องเช็ดตัวเปลี่ยนชุด เจ้าจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น หรือว่า...เจ้าอายข้า” จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนพยายามปฏิเสธในสิ่งที่เขาจะทำให้ เขาจึงพยายามอธิบายและสังเกตปฏิกิริยาของเด็กชายตรงหน้าไปด้วย แล้วเขาก็ได้เห็นแก้มของเด็กชายที่เริ่มแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วมันไม่น่าจะเกิดจากพิษไข้ หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลงจนแทบจะติดเตียง ‘หึๆ
‘ที่นี่ที่ไหน?’ คำถามแรกที่เข้ามาในหัวของไผ่ พอเขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้สี่เสา สภาพห้องคล้ายกับในซีรีส์จีนโบราณที่เขาเคยดูมา...มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วเมื่อเขาลองขยับตัวก็ต้องตกใจ! เพราะมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มานอนหันหลังให้กับเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน เด็กคนนี้ ผมยาว ตัวเล็ก อายุน่าจะประมาณ 9 ขวบ และแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณ ไผ่พยายามพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุด ด้วยเพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นจะตื่น แต่เมื่อเขาเห็นแขนที่สั้นลงของตัวเอง เขาก็รีบพุ่งตัวไปที่กระจกตรงโต๊ะข้างเตียงทันที แล้วเงาที่สะท้อนออกมาให้เขาเห็นนั้น...มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ ‘เด็กคนนี้คือใคร?’ ใบหน้าเรียวเล็กที่ดูซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษ ขาและแขนก็ดูทั้งเล็กทั้งสั้น ผมก็ยาวสยายไปจนถึงกลางหลัง แถมยังใส่ชุดจีนโบราณ อายุก็น่าจะประมาณสัก 10 ขวบ “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ!” ไผ่รีบเอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน ‘อย่าบอกนะว่าเขาทะลุมิติมา?’ ‘ไม่ใช่มั้ง’ ‘หรือจะมีคนแกล้ง?’ ไผ่เลยตัดสินใจนั่งรอ และคอยมองทางซ้ายทีทางขวาทีแต่
พากร แซ่ง้วน หรือไผ่ อายุ 25 ปี เป็นลูกชายคนโตของที่บ้าน ครอบครัวของไผ่เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อกับแม่รับราชการเป็นครูสอนในโรงเรียนแถวบ้าน ไผ่มีน้องชาย 1 คน อายุห่างกัน 8 ปี ไผ่กับน้องชายสนิทกันมาก เนื่องจากพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับพวกเขา ไผ่จึงรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่วันที่น้องชายเขาเกิด เมื่อไผ่อายุครบ 19 ปี ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตของเขา เขาได้สูญเสียทั้งพ่อ แม่ และน้องชายไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ญาติพี่น้องที่เคยมีก็ขาดการติดต่อ ไร้ซึ่งการเหลียวแล ปล่อยให้ไผ่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไผ่เริ่มต้นการใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยอาศัยเงินประกันที่พ่อกับแม่ได้ทำทิ้งเอาไว้ให้กับเขา พร้อมกันนั้นไผ่ก็เริ่มออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำ...จนเขาสามารถส่งเสียตัวเองเรียนจนจบได้ และโชคดีที่เมื่อไผ่เรียนจบ...เขาก็ได้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากที่ไผ่สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตมาได้ เขาก็ได้กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่น ใช้ชีวิตเรียบง่าย เช้าตื่นไปทำงานเย็นเลิกงานกลับบ้าน วันไหนไม่ได้ไปทำ
“คุณชายใหญ่ ตื่นแล้วหรือขอรับ” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาไผ่ในห้อง ในมือของอีกฝ่ายมีถาดใส่อ่างล้างหน้ากับชุดน้ำชา เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างผอมสูงอายุก็น่าจะมากกว่าร่างที่ไผ่เข้ามาอาศัยอยู่ตอนนี้ หลังจากที่ไผ่ได้นั่งทบทวนความทรงจำของตนเองมาได้สักพัก เวลานี้เขาจะต้องรีบทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า และเมื่อไผ่เริ่มสงบใจของตัวเองได้แล้ว เขาจึงพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง แล้วดึงเอาคำพูดโบราณที่เขามักจะใช้ในการเขียนนิยายมาลองพูด เพื่อใช้ตอบคำถามของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ข้า...ข้าเพิ่งตื่น” เมื่อพูดจบไผ่ก็สังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้า และเมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขาก็เริ่มรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองสามารถสื่อสารกับคนที่นี่ได้ “คุณชายใหญ่ขอรับ บ่าวไปสอบถามองครักษ์ด้านนอกมาแล้ว เราคงซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้อีกแค่สองวันนะขอรับ หากนานกว่านี้เกรงว่าพวกนักฆ่าอาจไล่ตามเรามาทันขอรับ” หยงหม่าพูดพร้อมกับลอบมองสีหน้าของผู้เป็นนายไปด้วย เมื่อไผ่ได้ยินเรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูด และได้เห็นแววตาที
เสียงครางและเสียงหอบหายใจ เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบา ของเด็กชายบนเตียงเรียกให้จินเฟยเทียนคนใหม่ตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง จินเฟยเทียนหันกลับมาสนใจเด็กชายบนเตียงอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปจับเด็กชายให้นอนหงาย แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสโดนร่างกายของเด็กชาย มันก็ทำให้เขาไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป... จินเฟยเทียนรีบเอื้อมมือไปหยิบผ้าสะอาดมาชุบน้ำในอ่างล้างหน้าแล้วบิดจนหมาด จากนั้นก็นำไปเช็ดตามหน้าตาและเนื้อตัวของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์ เมื่อเช็ดตัวเสร็จเขาจึงประคองอีกฝ่ายขึ้นมาพิงกับอกของตัวเองไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปรินน้ำใส่ถ้วยชา ก่อนจะนำมาป้อนให้เด็กชายอย่างช้าๆ เพื่อเป็นการระบายความร้อน แล้วเมื่อให้เด็กชายดื่มน้ำเสร็จแล้ว เขาจึงทำการเปลี่ยนชุดให้กับอีกฝ่ายด้วยเสื้อผ้าที่เขาค้นเจอในห้อง และเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาจึงประคองเด็กชายให้กลับลงไปนอนห่มผ้าเหมือนเดิม จากนั้นจินเฟยเทียนจึงเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศในห้องถ่ายเทได้สะดวกมากขึ้น อาการของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เมื่อเห็นดังนั้นจินเฟยเทียนจึงกลับมาดูแลร่างกายที่ตัวเองอาศัยอยู่บ้าง เมื่อดูแลร่างกายขอ
ส่วนจินเฟยเทียนก็ยังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ได้หันมาสนใจปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กชายตรงหน้าเลย “เด็กน้อยเจ้าหิวข้าวแล้วหรือไม่? หรือเจ้าจะไปอาบน้ำก่อน? แต่...เจ้าเพิ่งฟื้นตัวจากไข้ เจ้าก็คงยังอาบน้ำไม่ได้ งั้นข้าเช็ดตัวให้เจ้าก่อนดีกว่า...แล้วค่อยให้เจ้ากินข้าวกินยา” จินเฟยเทียนพูดเองตอบเอง แล้วจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปเตรียมของ แต่ก็ถูกหยางหมิงเซียนเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่เด็กชายตรงหน้าพูด เขาก็พยายามจะเอ่ยโต้แย้ง แต่ด้วยเสียงที่ออกมากลับแหบแห้งไม่เป็นคำ เขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า...แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมมองมาที่เขาเลย “เด็กน้อย...ตอนนี้ร่างกายของเจ้ามีแต่เหงื่อ ยังไงเจ้าก็ต้องเช็ดตัวเปลี่ยนชุด เจ้าจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น หรือว่า...เจ้าอายข้า” จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนพยายามปฏิเสธในสิ่งที่เขาจะทำให้ เขาจึงพยายามอธิบายและสังเกตปฏิกิริยาของเด็กชายตรงหน้าไปด้วย แล้วเขาก็ได้เห็นแก้มของเด็กชายที่เริ่มแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วมันไม่น่าจะเกิดจากพิษไข้ หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลงจนแทบจะติดเตียง ‘หึๆ
เมื่อท้องฟ้ามืดลง...หยงหม่าที่ยืนเคาะประตูเรียกผู้เป็นนายอยู่หน้าห้องมาได้สักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับกลับมา เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง... แล้วเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง หยงหม่าก็เห็นผู้เป็นนายนอนหลับอยู่บนเตียงข้างเด็กชายที่มาสลบอยู่ที่ข้างเรือนของเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจที่ผู้เป็นนายต้องมาคอยดูแลเด็กที่ไหนก็ไม่รู้...แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อผู้เป็นนายออกปากจะเป็นผู้ดูแลเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง หยงหม่าเมื่อเห็นผู้เป็นนายยังนอนหลับอยู่ เขาจึงถอยออกไปจากห้องเพื่อออกไปเตรียมน้ำสำหรับอาบกับสำรับไว้รอผู้เป็นนายตื่น และเขายังต้องออกไปเตรียมข้าวต้มกับยาของเด็กคนนั้นเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจทำ...แต่เขาก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว หยางหมิงเซียนจึงลืมตาขึ้น เขารู้สึกตัว...ตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่แกล้งหลับต่อไป ตอนนี้ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงกล้าลืมตาขึ้นมามองสำรวจที่ที่เขาอยู่ และจ้องมองเด็กชายที่นอนอยู่ข้างตัวเขา ‘นี่ข้ามานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’ ‘แล้วเด็ก
จินเฟยเทียนก้มมองมือของตนเอง และยามนี้เขาได้ข้อสรุปให้กับตัวเองแล้ว คือ...เขาจะทำตามเรื่องราวที่ตัวเองแต่ง เพื่อให้นิยายได้ดำเนินต่อไปตามที่มันควรจะเป็น เขาถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่ง เป็นการเคารพต่อบทบาทของตัวละคร และที่สำคัญหากเขาตายจากที่นี่ เขาอาจจะได้กลับไปยังโลกของตนเอง แต่ถ้าเขาตายแล้วตายเลย ก็ถือเสียว่า...เป็นคราวซวยของเขาแล้วกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นจินเฟยเทียนจึงขานรับ แล้วหยงหม่าก็เดินถือถาดใส่สำรับของเขา และข้าวต้มกับยาของคนป่วยเข้ามา พร้อมกับมาแจ้งเรื่องที่พวกเขาจะต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ถึงจินเฟยเทียนจะรู้ดีว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงตอบรับคำของหยงหม่าเท่านั้น ในระหว่างที่จินเฟยเทียนนั่งรอหยงหม่าจัดวางสำรับให้เขาอยู่นั้น เขาก็คิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ในตอนที่เขาเปลี่ยนชุดของตนเอง เขาได้เจอกับถุงเงินของจินเฟยเทียนคนเก่า ด้านในถุงนั้นมีเงินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวเขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ดังนั้นเขาควรจะมอบมันให้กับหยงหม่าและหยางหมิงเซียน ถือเสียว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เขาพอจะทำก็ได้แล้วกัน “อาหม่า เจ้าช่วยนำเงินในถุงนี้ไ
เสียงครางและเสียงหอบหายใจ เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบา ของเด็กชายบนเตียงเรียกให้จินเฟยเทียนคนใหม่ตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง จินเฟยเทียนหันกลับมาสนใจเด็กชายบนเตียงอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปจับเด็กชายให้นอนหงาย แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสโดนร่างกายของเด็กชาย มันก็ทำให้เขาไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป... จินเฟยเทียนรีบเอื้อมมือไปหยิบผ้าสะอาดมาชุบน้ำในอ่างล้างหน้าแล้วบิดจนหมาด จากนั้นก็นำไปเช็ดตามหน้าตาและเนื้อตัวของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์ เมื่อเช็ดตัวเสร็จเขาจึงประคองอีกฝ่ายขึ้นมาพิงกับอกของตัวเองไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปรินน้ำใส่ถ้วยชา ก่อนจะนำมาป้อนให้เด็กชายอย่างช้าๆ เพื่อเป็นการระบายความร้อน แล้วเมื่อให้เด็กชายดื่มน้ำเสร็จแล้ว เขาจึงทำการเปลี่ยนชุดให้กับอีกฝ่ายด้วยเสื้อผ้าที่เขาค้นเจอในห้อง และเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาจึงประคองเด็กชายให้กลับลงไปนอนห่มผ้าเหมือนเดิม จากนั้นจินเฟยเทียนจึงเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศในห้องถ่ายเทได้สะดวกมากขึ้น อาการของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เมื่อเห็นดังนั้นจินเฟยเทียนจึงกลับมาดูแลร่างกายที่ตัวเองอาศัยอยู่บ้าง เมื่อดูแลร่างกายขอ
“คุณชายใหญ่ ตื่นแล้วหรือขอรับ” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาไผ่ในห้อง ในมือของอีกฝ่ายมีถาดใส่อ่างล้างหน้ากับชุดน้ำชา เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างผอมสูงอายุก็น่าจะมากกว่าร่างที่ไผ่เข้ามาอาศัยอยู่ตอนนี้ หลังจากที่ไผ่ได้นั่งทบทวนความทรงจำของตนเองมาได้สักพัก เวลานี้เขาจะต้องรีบทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า และเมื่อไผ่เริ่มสงบใจของตัวเองได้แล้ว เขาจึงพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง แล้วดึงเอาคำพูดโบราณที่เขามักจะใช้ในการเขียนนิยายมาลองพูด เพื่อใช้ตอบคำถามของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ข้า...ข้าเพิ่งตื่น” เมื่อพูดจบไผ่ก็สังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้า และเมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขาก็เริ่มรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองสามารถสื่อสารกับคนที่นี่ได้ “คุณชายใหญ่ขอรับ บ่าวไปสอบถามองครักษ์ด้านนอกมาแล้ว เราคงซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้อีกแค่สองวันนะขอรับ หากนานกว่านี้เกรงว่าพวกนักฆ่าอาจไล่ตามเรามาทันขอรับ” หยงหม่าพูดพร้อมกับลอบมองสีหน้าของผู้เป็นนายไปด้วย เมื่อไผ่ได้ยินเรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูด และได้เห็นแววตาที
พากร แซ่ง้วน หรือไผ่ อายุ 25 ปี เป็นลูกชายคนโตของที่บ้าน ครอบครัวของไผ่เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อกับแม่รับราชการเป็นครูสอนในโรงเรียนแถวบ้าน ไผ่มีน้องชาย 1 คน อายุห่างกัน 8 ปี ไผ่กับน้องชายสนิทกันมาก เนื่องจากพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับพวกเขา ไผ่จึงรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่วันที่น้องชายเขาเกิด เมื่อไผ่อายุครบ 19 ปี ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตของเขา เขาได้สูญเสียทั้งพ่อ แม่ และน้องชายไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ญาติพี่น้องที่เคยมีก็ขาดการติดต่อ ไร้ซึ่งการเหลียวแล ปล่อยให้ไผ่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไผ่เริ่มต้นการใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยอาศัยเงินประกันที่พ่อกับแม่ได้ทำทิ้งเอาไว้ให้กับเขา พร้อมกันนั้นไผ่ก็เริ่มออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำ...จนเขาสามารถส่งเสียตัวเองเรียนจนจบได้ และโชคดีที่เมื่อไผ่เรียนจบ...เขาก็ได้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากที่ไผ่สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตมาได้ เขาก็ได้กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่น ใช้ชีวิตเรียบง่าย เช้าตื่นไปทำงานเย็นเลิกงานกลับบ้าน วันไหนไม่ได้ไปทำ
‘ที่นี่ที่ไหน?’ คำถามแรกที่เข้ามาในหัวของไผ่ พอเขาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้สี่เสา สภาพห้องคล้ายกับในซีรีส์จีนโบราณที่เขาเคยดูมา...มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ แล้วเมื่อเขาลองขยับตัวก็ต้องตกใจ! เพราะมีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มานอนหันหลังให้กับเขาอยู่บนเตียงเดียวกัน เด็กคนนี้ ผมยาว ตัวเล็ก อายุน่าจะประมาณ 9 ขวบ และแต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณ ไผ่พยายามพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงให้เบาที่สุด ด้วยเพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นจะตื่น แต่เมื่อเขาเห็นแขนที่สั้นลงของตัวเอง เขาก็รีบพุ่งตัวไปที่กระจกตรงโต๊ะข้างเตียงทันที แล้วเงาที่สะท้อนออกมาให้เขาเห็นนั้น...มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจแทบสิ้นสติ ‘เด็กคนนี้คือใคร?’ ใบหน้าเรียวเล็กที่ดูซีดขาวยิ่งกว่ากระดาษ ขาและแขนก็ดูทั้งเล็กทั้งสั้น ผมก็ยาวสยายไปจนถึงกลางหลัง แถมยังใส่ชุดจีนโบราณ อายุก็น่าจะประมาณสัก 10 ขวบ “เฮ้ย! เดี๋ยวนะ!” ไผ่รีบเอามือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน ‘อย่าบอกนะว่าเขาทะลุมิติมา?’ ‘ไม่ใช่มั้ง’ ‘หรือจะมีคนแกล้ง?’ ไผ่เลยตัดสินใจนั่งรอ และคอยมองทางซ้ายทีทางขวาทีแต่