พากร แซ่ง้วน หรือไผ่ อายุ 25 ปี เป็นลูกชายคนโตของที่บ้าน ครอบครัวของไผ่เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อกับแม่รับราชการเป็นครูสอนในโรงเรียนแถวบ้าน ไผ่มีน้องชาย 1 คน อายุห่างกัน 8 ปี ไผ่กับน้องชายสนิทกันมาก เนื่องจากพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้กับพวกเขา ไผ่จึงรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่วันที่น้องชายเขาเกิด
เมื่อไผ่อายุครบ 19 ปี ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชีวิตของเขา เขาได้สูญเสียทั้งพ่อ แม่ และน้องชายไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ญาติพี่น้องที่เคยมีก็ขาดการติดต่อ ไร้ซึ่งการเหลียวแล ปล่อยให้ไผ่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ไผ่เริ่มต้นการใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยอาศัยเงินประกันที่พ่อกับแม่ได้ทำทิ้งเอาไว้ให้กับเขา พร้อมกันนั้นไผ่ก็เริ่มออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำ...จนเขาสามารถส่งเสียตัวเองเรียนจนจบได้ และโชคดีที่เมื่อไผ่เรียนจบ...เขาก็ได้เข้าไปทำงานเป็นพนักงานบัญชีที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
หลังจากที่ไผ่สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์การสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตมาได้ เขาก็ได้กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่น ใช้ชีวิตเรียบง่าย เช้าตื่นไปทำงานเย็นเลิกงานกลับบ้าน วันไหนไม่ได้ไปทำงานเขาก็มักจะเก็บตัวอยู่บ้าน ดูหนังฟังเพลง และอ่านนิยาย ไผ่อ่านนิยายได้ทุกแนวแต่นิยายแนวที่ไผ่ชอบมากที่สุดก็คือ นิยายแนวจีนโบราณ
ไผ่ชื่นชอบนิยายแนวนี้มากจนนึกอยากจะลองแต่งนิยายแนวนี้ดูสักเรื่อง...
และด้วยความคิดนั้นของไผ่ ‘ลิขิตรักของท่านแม่ทัพไร้ใจ’ จึงเป็นนิยายเรื่องแรกในชีวิตของไผ่ ซึ่งตอนนี้ไผ่ก็ได้แต่งนิยายเรื่องนี้มาจนถึงช่วงท้ายของเรื่องแล้ว และตอนนี้ไผ่ก็กำลังแต่งถึงบทที่เป็นจุดจบ...ของตัวร้ายในนิยายของไผ่
..............................................
ณ กระท่อมร้างกลางป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ‘หยางหมิงเซียน’ กำลังนั่งขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งในกระท่อมร้างหลังนั้น ด้วยสภาพที่ทั้งอ่อนล้า อ่อนแรง และอิดโรย ร่างกายของหยางหมิงเซียนยามนี้เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกฟันและถูกแทงหลายแห่ง ซึ่งบาดแผลฉกรรจ์ที่น่าจะรุนแรงที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นบาดแผลจากการถูกแทงที่หน้าท้อง...ซึ่งยามนี้ก็ยังคงมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด จนทำให้อาภรณ์ที่เขากำลังสวมใส่อยู่ตอนนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเขา แต่เขาก็หาได้สนใจบาดแผลเหล่านั้นไม่
หลังจากที่หยางหมิงเซียนได้รู้ความจริงจากปากของมารดา เขาก็พาตัวเองวิ่งเตลิดเข้ามาป่า ยามนี้เขาต้องการที่จะหนี... ใช่! เขาต้องการหนีจากผู้คน หนีจากความเป็นจริง หนีจากสิ่งที่ได้รับรู้
จนหยางหมิงเซียนมาเจอเข้ากับกระท่อมร้างหลังนี้
หยางหมิงเซียนนั่งจมอยู่กับตัวเองมาได้สักพัก ความเจ็บปวดจากบาดแผลทางกายที่เขาได้รับ มันเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดทางใจที่เขากำลังเผชิญอยู่...
‘พี่ชาย...ชีวิตท่านที่สละให้ข้ามา ข้ากลับใช้มันไปทำร้ายคนที่ท่านรัก คนในครอบครัวของท่าน’
‘ข้าขออภัยท่าน’
‘ฮุ่ยหลิง...แม้ข้าจะทุ่มเทมากมายเพียงใด สุดท้ายเจ้าก็คงไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเจ้าเลยใช่ไหม?’
‘ท่านแม่...ท่านเคยรักข้าจริงๆ สักครั้งบ้างหรือไม่ ท่านเคยต้องการหรือเคยเห็นข้าเป็นลูกของท่านบ้างหรือเปล่า?’
‘สวรรค์...ท่านคงเกลียดข้ามากใช่ไหม? ถึงได้ลิขิตชีวิตข้าให้เป็นเช่นนี้ ท่านจะให้ข้ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ในเมื่อไม่มีใครต้องการข้าเลย’
‘ข้าเหนื่อยล้าเหลือเกินแล้ว...’
ความหนาวเย็นของหิมะไม่อาจช่วยเยียวยาบาดแผลทางกายและทางใจของหยางหมิงเซียนได้เลย
และในคืนนั้นหยางหมิงเซียนก็ได้ทิ้งร่างอันไร้วิญญาณของตนเองไว้ที่กระท่อมร้างกลางป่าหลังนั้น
...............................................
“โอ้ย! เศร้าจัง!!”
‘เขียนเอง...เศร้าเอง นักเลงพอ!’
‘ทำไมถึงได้เขียนบทของตัวร้ายออกมาได้น่าสงสารขนาดนี้นะ’
‘เขียนบทนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ขอไปคิดบทอื่นก่อนแล้วกัน ไม่งั้นหดหู่จนนอนไม่หลับแน่คืนนี้’
และนี่คือความทรงจำสุดท้ายของไผ่ก่อนมาโผล่ ณ. ที่แปลกๆ แห่งนี้...
“คุณชายใหญ่ ตื่นแล้วหรือขอรับ” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาไผ่ในห้อง ในมือของอีกฝ่ายมีถาดใส่อ่างล้างหน้ากับชุดน้ำชา เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างผอมสูงอายุก็น่าจะมากกว่าร่างที่ไผ่เข้ามาอาศัยอยู่ตอนนี้ หลังจากที่ไผ่ได้นั่งทบทวนความทรงจำของตนเองมาได้สักพัก เวลานี้เขาจะต้องรีบทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า และเมื่อไผ่เริ่มสงบใจของตัวเองได้แล้ว เขาจึงพยักหน้าขึ้นลงหนึ่งครั้ง แล้วดึงเอาคำพูดโบราณที่เขามักจะใช้ในการเขียนนิยายมาลองพูด เพื่อใช้ตอบคำถามของเด็กหนุ่มตรงหน้า “ข้า...ข้าเพิ่งตื่น” เมื่อพูดจบไผ่ก็สังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มตรงหน้า และเมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขาก็เริ่มรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองสามารถสื่อสารกับคนที่นี่ได้ “คุณชายใหญ่ขอรับ บ่าวไปสอบถามองครักษ์ด้านนอกมาแล้ว เราคงซ่อนตัวอยู่ที่นี่ได้อีกแค่สองวันนะขอรับ หากนานกว่านี้เกรงว่าพวกนักฆ่าอาจไล่ตามเรามาทันขอรับ” หยงหม่าพูดพร้อมกับลอบมองสีหน้าของผู้เป็นนายไปด้วย เมื่อไผ่ได้ยินเรื่องที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูด และได้เห็นแววตาที
เสียงครางและเสียงหอบหายใจ เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวเบา ของเด็กชายบนเตียงเรียกให้จินเฟยเทียนคนใหม่ตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง จินเฟยเทียนหันกลับมาสนใจเด็กชายบนเตียงอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปจับเด็กชายให้นอนหงาย แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสโดนร่างกายของเด็กชาย มันก็ทำให้เขาไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป... จินเฟยเทียนรีบเอื้อมมือไปหยิบผ้าสะอาดมาชุบน้ำในอ่างล้างหน้าแล้วบิดจนหมาด จากนั้นก็นำไปเช็ดตามหน้าตาและเนื้อตัวของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์ เมื่อเช็ดตัวเสร็จเขาจึงประคองอีกฝ่ายขึ้นมาพิงกับอกของตัวเองไว้ จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปรินน้ำใส่ถ้วยชา ก่อนจะนำมาป้อนให้เด็กชายอย่างช้าๆ เพื่อเป็นการระบายความร้อน แล้วเมื่อให้เด็กชายดื่มน้ำเสร็จแล้ว เขาจึงทำการเปลี่ยนชุดให้กับอีกฝ่ายด้วยเสื้อผ้าที่เขาค้นเจอในห้อง และเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาจึงประคองเด็กชายให้กลับลงไปนอนห่มผ้าเหมือนเดิม จากนั้นจินเฟยเทียนจึงเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศในห้องถ่ายเทได้สะดวกมากขึ้น อาการของหยางหมิงเซียนวัยเยาว์เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เมื่อเห็นดังนั้นจินเฟยเทียนจึงกลับมาดูแลร่างกายที่ตัวเองอาศัยอยู่บ้าง เมื่อดูแลร่างกายขอ
จินเฟยเทียนก้มมองมือของตนเอง และยามนี้เขาได้ข้อสรุปให้กับตัวเองแล้ว คือ...เขาจะทำตามเรื่องราวที่ตัวเองแต่ง เพื่อให้นิยายได้ดำเนินต่อไปตามที่มันควรจะเป็น เขาถือว่ามันเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่ง เป็นการเคารพต่อบทบาทของตัวละคร และที่สำคัญหากเขาตายจากที่นี่ เขาอาจจะได้กลับไปยังโลกของตนเอง แต่ถ้าเขาตายแล้วตายเลย ก็ถือเสียว่า...เป็นคราวซวยของเขาแล้วกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นจินเฟยเทียนจึงขานรับ แล้วหยงหม่าก็เดินถือถาดใส่สำรับของเขา และข้าวต้มกับยาของคนป่วยเข้ามา พร้อมกับมาแจ้งเรื่องที่พวกเขาจะต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ถึงจินเฟยเทียนจะรู้ดีว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงตอบรับคำของหยงหม่าเท่านั้น ในระหว่างที่จินเฟยเทียนนั่งรอหยงหม่าจัดวางสำรับให้เขาอยู่นั้น เขาก็คิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ในตอนที่เขาเปลี่ยนชุดของตนเอง เขาได้เจอกับถุงเงินของจินเฟยเทียนคนเก่า ด้านในถุงนั้นมีเงินอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ตัวเขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว ดังนั้นเขาควรจะมอบมันให้กับหยงหม่าและหยางหมิงเซียน ถือเสียว่าเป็นสิ่งดีๆ ที่เขาพอจะทำก็ได้แล้วกัน “อาหม่า เจ้าช่วยนำเงินในถุงนี้ไ
เมื่อท้องฟ้ามืดลง...หยงหม่าที่ยืนเคาะประตูเรียกผู้เป็นนายอยู่หน้าห้องมาได้สักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับกลับมา เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้อง... แล้วเมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้อง หยงหม่าก็เห็นผู้เป็นนายนอนหลับอยู่บนเตียงข้างเด็กชายที่มาสลบอยู่ที่ข้างเรือนของเขา แม้ว่าเขาจะไม่พอใจที่ผู้เป็นนายต้องมาคอยดูแลเด็กที่ไหนก็ไม่รู้...แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อผู้เป็นนายออกปากจะเป็นผู้ดูแลเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง หยงหม่าเมื่อเห็นผู้เป็นนายยังนอนหลับอยู่ เขาจึงถอยออกไปจากห้องเพื่อออกไปเตรียมน้ำสำหรับอาบกับสำรับไว้รอผู้เป็นนายตื่น และเขายังต้องออกไปเตรียมข้าวต้มกับยาของเด็กคนนั้นเอาไว้ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจทำ...แต่เขาก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว หยางหมิงเซียนจึงลืมตาขึ้น เขารู้สึกตัว...ตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่แกล้งหลับต่อไป ตอนนี้ในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นออกจากห้องไปแล้ว เขาจึงกล้าลืมตาขึ้นมามองสำรวจที่ที่เขาอยู่ และจ้องมองเด็กชายที่นอนอยู่ข้างตัวเขา ‘นี่ข้ามานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’ ‘แล้วเด็ก
ส่วนจินเฟยเทียนก็ยังคงกล่าวต่อไปโดยไม่ได้หันมาสนใจปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กชายตรงหน้าเลย “เด็กน้อยเจ้าหิวข้าวแล้วหรือไม่? หรือเจ้าจะไปอาบน้ำก่อน? แต่...เจ้าเพิ่งฟื้นตัวจากไข้ เจ้าก็คงยังอาบน้ำไม่ได้ งั้นข้าเช็ดตัวให้เจ้าก่อนดีกว่า...แล้วค่อยให้เจ้ากินข้าวกินยา” จินเฟยเทียนพูดเองตอบเอง แล้วจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปเตรียมของ แต่ก็ถูกหยางหมิงเซียนเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้เสียก่อน หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินที่เด็กชายตรงหน้าพูด เขาก็พยายามจะเอ่ยโต้แย้ง แต่ด้วยเสียงที่ออกมากลับแหบแห้งไม่เป็นคำ เขาจึงทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า...แต่คนตรงหน้ากลับไม่ยอมมองมาที่เขาเลย “เด็กน้อย...ตอนนี้ร่างกายของเจ้ามีแต่เหงื่อ ยังไงเจ้าก็ต้องเช็ดตัวเปลี่ยนชุด เจ้าจะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น หรือว่า...เจ้าอายข้า” จินเฟยเทียนเมื่อเห็นหยางหมิงเซียนพยายามปฏิเสธในสิ่งที่เขาจะทำให้ เขาจึงพยายามอธิบายและสังเกตปฏิกิริยาของเด็กชายตรงหน้าไปด้วย แล้วเขาก็ได้เห็นแก้มของเด็กชายที่เริ่มแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วมันไม่น่าจะเกิดจากพิษไข้ หยางหมิงเซียนเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ก้มหน้าลงจนแทบจะติดเตียง ‘หึๆ
ฟิ้ว! ปึก! เคร้งๆๆ เสียงต่อสู้ที่ดังขึ้นมาจากภายนอกห้อง ปลุกจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนให้ตื่นจากการหลับไหล ด้วยเรือนของหยงหม่าอยู่ห่างจากเรือนหลังอื่นๆ ในหมู่บ้าน และด้านหลังเรือนหลังนี้ก็ยังติดกับป่าจึงไม่ค่อยมีใครผ่านมาทางนี้บ่อยนัก จะมีบ้างก็นานๆ ครั้งที่ชาวบ้านจะเข้าไปหาของป่าออกมาขาย ดังนั้นเสียงที่ดังขึ้นในตอนนี้จึงทำให้จินเฟยเทียนอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ‘ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?’ แต่ยังไม่ทันที่จินเฟยเทียนจะได้หาคำตอบ หยงหม่าและชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งก็เปิดประตูห้องแล้วรีบเดินเข้ามาหาเขาที่เตียง ในมือของคนทั้งสองต่างก็ถือดาบกันคนละเล่ม “คุณชายใหญ่ขอรับ! แย่แล้วขอรับ พวกนักฆ่าตามหาพวกเราเจอแล้วขอรับ ตอนนี้พวกองครักษ์กำลังต้านพวกมันเอาไว้ไม่ให้เข้ามาภายในเรือนขอรับ” หยงหม่าพูดพร้อมกับยื่นเสื้อคลุมตัวนอกให้ผู้เป็นนายกับเด็กชายที่อยู่บนเตียงข้างนายตน “คุณชายใหญ่ขอรับ เราต้องรีบหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแล้วขอรับ เท่าที่บ่าวสังเกตฝีมือของพวกนักฆ่าน่าจะเป็นพวกมืออาชีพเลยขอรับ พวกองครักษ์อาจจะต้านเอาไว้ได้ไม่นานขอรับ” “พวกนักฆ่าตามหาพวกเราเจอแล้ว
จินเฟยเทียนถึงจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้าเขาตอนนี้ เขากลับรับมือกับมันไม่ได้เลย... จินเฟยเทียนที่ยามนี้ทำได้เพียงยืนมองไห่เฟิงกวัดแกว่งดาบรับมือกับนักฆ่าถึงสองคน และยืนมองหยงหม่าที่ถูกนักฆ่าซัดฝ่ามือใส่จนร่างกระเด็นไปสลบอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ตอนนี้น้ำตาของเขาก็เริ่มไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว จินเฟยเทียนพยายามจะเดินเข้าไปหาหยงหม่า แต่นักฆ่าที่ซัดฝ่ามือใส่หยงหม่ากลับเดินเข้ามาขวางเขาเอาไว้ แล้วนักฆ่าคนนั้นก็เดินย่างสามขุมเข้ามาหาจินเฟยเทียนอย่างช้าๆ ไห่เฟิงที่เห็นหยงหม่าพลาดท่าให้กับนักฆ่าไปแล้ว และตอนนี้นักฆ่าคนนั้นก็กำลังจะเข้าไปทำร้ายผู้เป็นนายของเขา เขาจึงพยายามสลัดนักฆ่าสองคนที่พยายามจู่โจมเขาเพื่อเข้าไปปกป้องผู้เป็นนาย แต่เขาก็ไม่สามารถหลุดออกไปจากการต่อสู้ตรงหน้าได้เลย จินเฟยเทียนพยายามก้าวถอยหลัง เพื่อรักษาระยะห่างจากนักฆ่าโดยให้หยางหมิงเซียนหลบไปอยู่ด้านหลังของตนเองอีกที “คุณชายใหญ่! ท่านช่างตายยากตายเย็นเสียจริง ท่านน่าจะตายไปพร้อมกับมารดาของท่านที่ชายป่า ท่านไม่ควรกระเสือกกระสนมาตายไกลถึงที่
ในป่าท้ายหมู่บ้านยามนี้มีเงาดำสี่สายกำลังพุ่งตัวตามเงาดำสายหนึ่งอยู่... ไห่เฟิงหลังจากพาจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนหลบหนีออกมาจากเรือนของหยงหม่าได้ เขาก็รีบพาคนทั้งคู่เข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้าน โดยใช้วิชาตัวเบาสลับกับการเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ เพื่ออาศัยความมืดในการพรางตัวเนื่องจากไห่เฟิงได้สูญเสียลมปราณไปกับการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านมาไม่น้อย จึงทำให้เขาในยามนี้ต้องใช้พลังกายและพยายามดึงเอาลมปราณส่วนที่ยังเหลือออกมาใช้ เพื่อพาผู้เป็นนายหลบหนีจากกลุ่มนักฆ่าให้เร็วที่สุด ไห่เฟิงที่รับรู้ว่ายามนี้มีกลุ่มคนกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ เขาจึงกระซิบบอกผู้เป็นนายในอ้อมแขนของตัวเองเบาๆ “คุณชายใหญ่ขอรับ ตอนนี้พวกเรากำลังถูกติดตามจากพวกนักฆ่า คุณชายใหญ่สงบลงก่อนนะขอรับ” จินเฟยเทียนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับ แล้วพยายามสงบใจของตัวเองลง จากนั้นเขาก็พยายามกลั้นสะอื้นเพื่อไม่ให้มีเสียงหลุดลอดออกมาได้
หยางหมิงเซียนเดินนำเสี่ยวเปากับเสี่ยงปิงเข้ามาในห้องปรุงยาแล้วให้บ่าวชายที่มีหน้าที่ช่วยงานภายในห้องนี้ออกไปยืนเฝ้าที่หน้าประตูห้อง เพื่อกันไม่ให้จินเฟยเทียนหรือคนอื่นๆในเรือนสมุนไพร เข้ามารับรู้เรื่องราวที่พวกเขากำลังจะพูดคุยกันในตอนนี้ “อาเปาอาปิง พวกเจ้ารู้สึกเหมือนกับข้าหรือไม่ว่า...บทลงโทษของท่านลุงที่ให้กับคนพวกนั้น มันช่างดูเบาเกินไป หากเทียบกับสิ่งที่คนพวกนั้นได้ลงมือทำร้ายผู้มีพระคุณของพวกมัน!” หยางหมิงเซียนพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกแค้นใจ เพราะในยามที่มีบ่าวในจวนเกิดล้มป่วย...ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จินเฟยเทียนจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ จนในบ้างครั้ง...อีกฝ่ายถึงกับต้องมาคอยนอนเฝ้าดูอาการป่วยของคนพวกนั้นที่เรือนสมุนไพรแห่งนี้ด้วย “ขอรับ” เสี่ยวเปากับเสี่ยวปิงตอบรับคำของผู้เป็นนายพร้อมกัน เพราะยามนี้พวกเขาก็คิดไม่ต่างจากผู้เป็นนาย “อาเปาอาปิง หากข้าต้องการมอบบทลงโทษของข้าให้กับคนพวกนั้นเพิ่ม พวกเจ้ายินดีที่จะร่วมมือกับข้าหรือไม่?” “พวกบ่า
จินเฟยเทียนแอบแปลกใจกับแววตาของชางเย่ที่ชำเลืองมองมาทางหยางหมิงเซียน... “แม่นมหมิง” เมื่อตัดสินความผิดและมอบบทลงโทษให้ชางเย่เสร็จแล้ว ราชครูหลงจิ้นสิงก็กลับมาจัดการเรื่องของแม่นมหมิงต่อทันที “คุณหนู! บ่าวไม่ไปจากคุณหนูนะเจ้าคะ นายท่าน! นายท่านโปรดเมตตาบ่าวด้วยเจ้าค่ะ บ่าวขอร้อง...บ่าวจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหมิงอ้อนวอนและร้องขอความเมตตาจากผู้เป็นนายทั้งสอง “ข้าแล้วแต่ท่านพี่เลยเจ้าค่ะ” จางเลี่ยงซูรีบออกตัว...เพื่อที่ผู้เป็นสามีจะได้ตัดสินลงโทษแม่นมหมิงได้แบบไม่ต้องเกรงใจนาง เพราะถึงแม้คนตรงหน้าจะเป็นคนสนิทของนาง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำลงไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยกโทษให้กันได้โดยง่าย และที่สำคัญ! คนที่อีกฝ่ายลงมือทำร้าย...ก็คือหลานชายที่นางรัก “แม่นมหมิง ความผิดของเจ้ามันช่างร้ายแรงนัก เพราะมันเป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของหลานชายข้า และเจ้าก็ยังทำให้บ่าวในจวนเกิดการแบ่งแยกและตีตนเสมอนาย และที่สำคัญ
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนก็ถูกตามตัวให้ไปรับสำรับเช้าที่เรือนใหญ่ และหลังจากรับสำรับเสร็จ ราชครูหลงจิ้นสิงก็พาทุกคนย้ายจากห้องรับสำรับไปยังห้องโถง จากนั้นก็ให้พ่อบ้านหลี่ส่งคนให้ไปเรียกบ่าวทุกคนในจวนให้มารวมกันที่ห้องโถงแห่งนี้ และก่อนที่ทุกคนจะมากันครบ ราชครูหลงจิ้นสิงได้พาหยางหมิงเซียนกับพ่อบ้านหลี่เข้าไปพูดคุยกันในห้องหนังสือ และเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว ราชครูหลงจิ้นสิงก็เริ่มแจ้งเรื่องราวต่างๆ หลังจากนั้นทันที “วันนี้ที่ข้าให้คนไปตามพวกเจ้ามารวมตัวกัน ก็เพราะในยามนี้มีการเล่าลือกันเกี่ยวกับเรื่องราวของหลานชายทั้งสองของข้า...ในเรื่องที่พวกเจ้าไม่มีสิทธิที่จะมาพูด หรือมาแสดงความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น!” ราชครูหลงจิ้นสิงพูดพร้อมกับกวาดสายตาดูบ่าวในจวนที่นั่งอยู่กลางห้องโถงทั้งหมด “ในวันที่ข้าพาหลานชายทั้งสองของข้า เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้! ข้าได้ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกันไปแล้วว่า...สองคนนี้คือหลานชายของข้าที่มาจากต่างเมือง ดังนั้นหลานชายของข้า! ก็คือเจ้านายของพวกเจ้า!!” &n
“หมิงเซียน เฟยเทียน มีเรื่องเกิดขึ้นขนาดนี้...ทำไมถึงไม่ยอมมาบอกลุง?” ราชครูหลงจิ้นสิงเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้องนอนของจินเฟยเทียน หลังจากที่เขาบังเอิญมาได้ยินเรื่องราวที่ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยกัน ราชครูหลงจิ้นสิงหลังจากพาผู้เป็นภรรยาเข้าห้องไปนอนพักแล้ว เขาก็แอบออกมาที่เรือนพักของหลานชายทั้งสอง ด้วยต้องการจะมาขอบใจจินเฟยเทียนที่ช่วยพูดจนผู้เป็นภรรยาของเขายินยอมทำตามในสิ่งที่ตัวเขาต้องการ และจะแวะมาถามไถ่อาการป่วยของหยางหมิงเซียนด้วย เพราะตอนที่รับสำรับเย็นเขายังไม่มีโอกาสได้ถามอาการของอีกฝ่าย... แต่พอเขากำลังจะเคาะประตูเรียกคนในเรือนพัก เขากลับได้ยินบทสนทนาของหลานชายกับบ่าวคนสนิท เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในจวนของเขา...แต่เขากลับไม่เคยได้รับรู้ เขาจึงยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งสี่จนจบ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปพูดคุยกับคนในเรือนพัก “ท่านลุงขอรับ...ข้า...พวกข้า” จินเฟยเทียนตกใจที่ราชครูหลงจิ้นสิง อยู่ ๆ ก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง แถมยังดูเหมือนอีก
“เฟยเกอขอรับ ท่าน...” หยางหมิงเซียนพูดขึ้นด้วยดวงตาที่สั่นไหว หลังจากที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้องนอนของจินเฟยเทียน “ข้า...ข้ามีอะไรหรือ?” จินเฟยเทียนหันไปมองหน้าหยางหมิงเซียนที่เอ่ยคำพูด ที่เหมือนจะพูดกับเขา แต่กลับไม่ยอมพูดให้จบประโยค ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับหยางหมิงเซียน “ท่านมีเรื่องไม่สบายใจ...แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมบอกข้าล่ะขอรับเฟยเกอ?” หยางหมิงเซียนพูดออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ในวันนี้เขาได้ออกไปเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่าคนตรงหน้าต้องพบเจอกับอะไรบ้าง และมันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หากไม่เพราะเกรงใจราชครูหลงจิ้นสิงกับจางเลี่ยงซูที่มีบุญคุณกับพวกเขา เขาคงไม่ทำเพียงแค่กำหมัด และใช้แววตาข่มขู่อีกฝ่ายเป็นแน่... “ข้าน่ะหรือมีเรื่องไม่สบายใจ?” “ขอรับ” “ก็เรื่องที่แม่นมหมิงกับบ่าวในเรือนใหญ่บางคนที่เอาเรื่องของพวกเราไปป่าวประกาศอย่างไรล่ะขอ
“มากันแล้วหรือเฟยเทียน หมิงเซียน” จางเลี่ยงซูเมื่อเห็นหลานชายทั้งสองเดินเข้ามาในห้องโถง นางจึงเอ่ยทักคนทั้งคู่ โดยมีแม่นมหมิงยืนอยู่ข้างกายผู้เป็นนายไม่ยอมห่าง “ขอรับท่านป้า” จินเฟยเทียนกับหยางหมิงเซียนเอ่ยตอบรับคำ และเดินเข้าไปคำนับจางเลี่ยงซูพร้อมกัน แต่พอพวกเขาเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็เห็นสายตาของแม่นมหมิงกับบ่าวในเรือนใหญ่บางคนที่แอบมองมาที่พวกเขาด้วยแววตาที่รังเกียจและดูถูก “หมิงเซียนอาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” “ดีขึ้นมากแล้วขอรับท่านป้า เหลือแต่อาการร้อนจากภายในเท่านั้น ที่ยังคงมีเกิดขึ้นมาบ้างในบางครั้งขอรับ” หยางหมิงเซียนตอบคำถามอีกฝ่าย และแอบใช้สายตากดข่มไปทางแม่นมหมิงกับบ่าวพวกนั้น และเขาก็แอบกำหมัดไว้ในเสื้อ...เพื่อระงับอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นของตัวเอง “ป้าว่า...มันน่าจะเป็นพิษที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกายของเจ้า งั้นช่วงนี้เจ้าก็ต้องขยันปรับการไหลเวียนของลมปราณ มันจะได้ช่วยให้เจ้าหายเป็นปกติเร็วขึ้น” “ข
จินเฟยเทียนนั่งอ่านหนังสือและแอบมองคนป่วยที่ถอยกลับลงไปนอนหนุนหมอนของตัวเอง พร้อมกับนอนหันหลังให้กับเขาด้วยความรู้สึกที่ยังแคลงใจ เพราะเมื่อครู่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็มาเอ่ยบอกรักเขา ตอนแรกเขาเองก็รู้สึกตกใจ แต่พอมาคิดอีกที...อีกฝ่ายก็คงจะบอกรักเขาในแบบที่น้องชายบอกรักพี่ชายเพียงเท่านั้น เพราะในยามนี้อีกฝ่ายกำลังไม่สบาย...เจ้าตัวก็คงอยากจะแสดงความรัก และก็คงอยากจะอ้อนพี่ชายอย่างเขาเป็นแน่… จินเฟยเทียนจึงตัดสินใจบอกรักอีกฝ่ายกลับไป แถมยังบอกอีกว่า...ตัวเขานั้นรักอีกฝ่ายเหมือนน้องชายแท้ๆ ของเขาเลยนะ! แต่ทำไมพอเขาพูดแบบนั้นออกไป...เขาถึงได้เห็นแววตาเจ็บปวดและไม่ยินยอมจากเจ้าลูกกวางล่ะ... ‘ไม่หรอกมั้ง! ข้าคงคิดมากเกินไป บางทีเจ้าลูกกวางอาจจะกำลังดีใจมาก...จนแสดงสีหน้าออกมาไม่ถูกก็เป็นได้’ เมื่อเห็นหยางหมิงเซียนยังคงนอนหันหลังให้กับตัวเอง จินเฟยเทียนจึงเอื้อมมือไปจับหน้าผากวัดไข้ของเจ้าลูกกวางอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปดับไฟและล้มตัวลงนอนตามอีกฝ่ายไป แต่...เม
จินเฟยเทียนหลังจากกล่าวลาชิงหลวนคุนเขาก็ประคองหยางหมิงเซียนเดินกลับเข้ามาที่ห้องนอนของตัวเอง "หมิงเซียนเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าไม่น่าออกไปต้องลมหนาวด้านนอกเลย...รีบขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนเร็ว" จินเฟยเทียนพูดพร้อมประคองหยางหมิงเซียนขึ้นไปนั่งบนเตียง "ขอรับเฟยเกอ" "อาปิง...เจ้าช่วยไปเอาน้ำอุ่น ผ้าสะอาด กับยาแก้ไอมาให้ข้าหน่อยนะ" "ได้ขอรับคุณชายฟาง" "ขอบใจเจ้ามากนะอาปิง จากนี้...เดี๋ยวข้าจะจัดการต่อเอง" จินเฟยเทียนหันไปขอบคุณเสี่ยวปิงที่เอาของที่เขาต้องการมาให้ "ขอรับคุณชายฟาง" เสี่ยวปิงหลังจากเข้าไปวางถาดใส่ของให้ผู้เป็นนายเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบถอยออกจากห้องนอนของจินเฟยเทียนทันที "หมิงเซียน เจ้ากินยาแก้ไอก่อน แล้วดื่มน้ำอุ่นตามมากๆด้วยนะ" จินเฟยเทียนเอายาแก้ไอให้เจ้าลูกกวางกิน จากนั้นเขาก็เอาผ้าสะอาดไปชุบน้ำ
หยางหมิงเซียนเก็บความไม่พอใจ และบรรยากาศกดดันที่ตัวเขาได้แผ่ออกมาจนหมด ก่อนจะส่งเสียงไอออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินเข้าไปในห้องโถงโดยมีเสี่ยวปิงคอยช่วยพยุง แค่ก แค่ก แค่ก.... เมื่อเข้าไปด้านในห้องโถงหยางหมิงเซียนกับเสี่ยวปิงก็หันไปทำความเคารพแขกผู้สูงศักดิ์ที่กำลังนั่งพูดคุยอยู่กับจินเฟยเทียน “หมิงเซียนเจ้าตื่นแล้วหรือ? แล้วทำไมถึงใส่เสื้อคลุมที่บางแบบนี้ออกมาด้านนอก!” จินเฟยเทียนเห็นหยางหมิงเซียนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับอาการไอ เขาจึงลุกเข้าไปช่วยประคองคนป่วย แต่พอเห็นเสื้อคลุมที่เจ้าลูกกวางใส่ออกมาด้านนอกในยามนี้แล้ว....เขาแทบอยากจะตีอีกฝ่ายตรงนี้เสียจริง ๆ “ขอโทษขอรับเฟยเกอ ข้าลืมเปลี่ยนเสื้อคลุมก่อนออกมาด้านนอกขอรับ” “อาปิง...เจ้ากลับเข้าไปเอาเสื้อคลุมของหมิงเซียนออกมา เลือกตัวที่หนาๆ หน่อยนะ” “ขอรับคุณชายฟาง” “หมิงเซีย