“ข้าเยี่ยหยาง คนนั้นลู่เฉินเป็นลูกพี่ลูกน้องข้า อีกคนคือสือหลงโหยว ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าน้องชาย”
เยี่ยหยางทักทายยอมรับน้ำใจเล็กน้อยอย่างเป็นกันเอง เขารู้สึกว่าคุณชายน้อยผู้นี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรดูร่าเริงกระฉับกระเฉงดี“นี่พี่ชาย พวกท่านผ่านด่านมาได้อย่างไรบ้าง กว่าข้าจะผ่านด่าน เล่นข้าเอาตัวแทบไม่รอด ที่รอดมานี่หวุดหวิดแบบสุด ๆ” อวี้หย่าอวิ๋นบ่นพวกเขาให้ฟัง เยี่ยหยางแอบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ของข้าน่ะเป็นด่านในป่าสุสานอาถรรพ์ ผีนี่ชุกชุมยั้วเยี้ยเต็มไปหมด วิยงวิญญาณผีดิบศพอาฆาตมีมาครบ ดีที่ท่านพ่อของข้าให้ของวิเศษติดตัวมา ทำให้พวกผีทำอะไรข้าไม่ได้ มีทางเดียวที่ข้าสามารถผ่านฝ่าออกมาได้แค่วิ่งใส่ตีนสุนัขลูกเดียวมาตลอดทาง” อวี้หย่าอวิ๋นสาธยายการผ่านด่านประเมินของตัวเองให้ทุกคนได้ฟังพวกเขาทั้งหมดเดินออกจากประตูจิงเฉินฉือไท่คงมาพร้อมกัน เดินไปพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนานจูเฉิงเยว่เพิ่งผ่านด่านของตนโผล่พ้นมาจากซุ้มประตูจิงเฉินฉือไท่คง มีสภาพราวผ่านสงครามมาอย่างหนักหน่วง เสื้อไหมชั้นดีขาดวิ่นเป็นริ้ว ทั้งตัวเหลังจากรอให้จบการประเมินการคัดเลือกจากจิงเฉินฉือไท่คงมาร่วมสี่วัน คนมากมายก็ทยอยผ่านซุ้มประตูมาเรื่อย ๆ หลายร้อยคนจากที่ว่างเปล่าเมื่อเยี่ยหยาง อวี้หย่าอวิ๋น ลู่เฉินและ สือหลงโหยวผ่านประตูมาเป็นกลุ่มแรก ๆ ทั้งที่เข้าเป็นกลุ่มสุดท้าย เขาไม่ค่อยเข้าใจว่า การผ่านการประเมินนั้นยากอย่างไร? เพราะที่เขาเผชิญมันง่ายมาก จนแทบไม่เสียเหงื่อทั้งที่เขาแอบกังวลว่าจะไม่สามารถผ่านมาได้ ทั้งยังไม่มีพลังลมปราณก็เหอะ ถึงแม้จะมีเรื่องหยอกล้อของด่านคัดเลือกบ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาเท่าใด ถ้าไม่รวมสภาพหน้าที่ดําเมี่ยมของสือหลงโหยวจากหนอนจอมเขมือบเผามาในที่สุดประตูจิงเฉินฉือไท่คงก็ปิดลง มีบุรุษชายหญิงคู่หนึ่งออกมาต้อนรับผู้ที่สามารถผ่านประตูคัดสรรมาได้ พวกเขาทั้งคู่แต่ชุดเหมือนกันต่างกันที่สีของชุด ยืนอยู่ตรงบันไดส่วนด้านบนมองไปด้านล่างลานหินที่เต็มไปด้วยผู้ศึกษารุ่นใหม่ของสำนัก ด้านหลังของพวกเขาเป็นประตูบานใหญ่สีแดงสดที่เปิดออกตัดกับสีอาทิตย์ยามอัสดงเป็นทัศนียภาพที่งดงาม“ข้า เมิ่งจวิ้นผิง และ ฟางเหวยซูเป็นศิษย์พี่ใหญ่หัวหน้าเหล่าศิษย์ชายหญิงของเทียนถูหวู่ในปีนี้ ยินดีต้อนรับเหล่า
ไพลินสีน้ำเงินอยู่ด้านบนตัวแทนแห่งเทพอสูรเสวียนอู่ เต่านิลถูกพันรอบด้วยอสรพิษผู้พิทักษ์ความศรัทธาและผืนน้ำ ปกปักรักษาท้องทะเล และ ซ้ายคือสีอำพันตัวแทนแห่งเทพอสูรไป๋หู่พยัคฆ์ขาวสัญลักษณ์แห่งความภักดีผู้เป็นราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวงอัญมณีสี่ทั้งลอยอยู่ด้านบนแท่นหมุนวนไปรอบ ๆ แผ่รังสีบางอย่างออกมาจนเยี่ยหยางสัมผัสได้ เขาตกอยู่ในภวังค์ขบคิดสิ่งกระจกหกเหลี่ยมด้านหน้า จนกระทั่ง…“สวัสดีศิษย์ใหม่และศิษย์เทียนถูหวู่ทุกคน ข้าฉางไท้เจ้าสำนักคนปัจจุบัน”บุคคลผู้หนึ่งก้าวออกมาด้านลานด้านหน้า ซึ่งหลังลานเป็นตึกจวนขนาดใหญ่ เส้นผมหนวดเคราสีขาวถูกจัดเรียบร้อยในชุดสีขาวสะอาดตาที่น่าเลื่อมใส ลมปราณแผ่ความน่าเกรงขาม แต่ขัดกับความคิดของใครบางคนที่มีสายเลือดเดียวกันที่เห็นภาพแล้วคิ้วถึงกับกระตุกเมื่อเห็นเจ้าสำนัก‘เฮอะ...เสแสร้ง / จอมตบตา’“วันนี้เป็นวันดีที่พวกเรามากหน้าหลายตา สวรรค์นำพามาพบเจอโชคชะตานำพามาให้รู้จัก ตอนนี้เหล่าศิษย์ทั้งหลายคงอยากรู้จักศิษย์น้องที่จะร่วม
การคัดสรรอย่างมีอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงบุคคลอีกคนที่ทุกคนต่างจับตาดูไม่น้อย“มู่หรงลู่เฉิน”เสียงพูดคุยที่มีอยู่บ้างประปรายเงียบสนิททันทีที่นามขององค์รัชทายาทแห่งราชอาณาจักรซีเว่ยอัจฉริยะที่เลื่องลือถูกเอ่ยขึ้น เขาก้าวเดินออกมาอย่างมั่นคง ไม่สนสายตาจับจ้องราวกับเคยชินจนเป็นเรื่องปกติอยู่ทุกวัน แต่ถ้าสังเกตดี ๆ อาจจะเห็นท่าทางทอดถอนหายใจเบื่อหน่ายเล็กน้อยมือของลู่เฉินแบวางทาบลงกับกระจกอยู่นาน นานกว่าคนอื่น ๆ ที่เคยวางทาบมือลงที่ตรงนี้ ดวงตาคมหลับตาลงเหมือนอยู่ห้วงนึกคิด ทุกคนต่างมองอย่างตระหนก เพราะรู้สึกนานผิดปกติตอนนี้แม้เสียงลมหายใจก็แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง จ้องมองผลลัพธ์อย่างไม่กะพริบตา แต่คงต้องยกเว้นเยี่ยหยางที่ไม่รู้สึกแปลกอะไร มองเชื้อพระวงศ์ด้านหน้าด้วยความคิดและสายตาที่ต่างออกไป‘เจ้าก้อนหินหนังหน้าตายด้าน สีหน้าไม่รู้สึกรู้สาไม่เปลี่ยนสักนิด’เยี่ยหยางแอบคิดเมื่อสังเกตท่าทางลูกพี่ลูกน้องตามตัวตนของเขาตอนนี้มู่หรงลู่เฉินเกือบคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินเสียงบังเอิญดังเข้ามาในหัวเป็นครั้งครา
ชินอ๋องตัวป่วนของราชอาณาจักรซีเว่ยนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับศิษย์ใหม่ของเป่ยจงที่มีเพียงสามคนช่างเงียบเหงานักต่างกับหมู่ตึกอื่นที่สมาชิกแน่นขนัด บางโต๊ะแทบจะนั่งตักกันทานข้าว ส่วนเป่ยจงนอนบนโต๊ะทานข้าว ก็ยังมีที่เหลือเฟือ บ่งบอกถึงจำนวนศิษย์ที่น้อยมากเยี่ยหยางมองหน้าหง๋อย ๆ ของอวี้หย่าอวิ๋นตั้งแต่ตอนทานอาหารค่ำ จนถึงตอนนี้เหมือนลูกหมาถูกทิ้งเรียกความเอ็นดูต่อเด็กชาย เขาเดินตามรวมกับศิษย์พี่ของเป่ยจงกลับหมู่ตึก“นี่คือหมู่ตึกเป่ยจง บ้านหลังใหม่ของพวกเจ้า ข้าเจินหยุนฟาน หัวหน้าหมู่ตึกเป่ยจงเป็นตัวแทนศิษย์พี่พวกเจ้าเอ่ยต้อนรับ” เด็กหนุ่มย่างเข้าวัยหนุ่มสวมเสื้อผาวสีขาว ด้านในเป็นชุดสีน้ำเงินเข้มดูสง่าไขว้ทับกัน ผูกรัดด้วยผ้าคาดเอวสีน้ำเงินสลับขาวปิดทับด้วยเข็มขัดเงินอีกชั้นหนึ่ง ที่เอวห้อยหยกขาวสลักรูปอสรพิษพันรอบตัวเต่าบรรพกาลแสดงสัญญาลักษณ์หัวหน้าศิษย์หมู่เป่ยจง“ข้ามู่หรงลู่เฉิน”“ข้ารู้จักท่าน องค์รัชทายาทแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย” เจินหยุนฟานกล่าว และเดินนำศิษย์ใหม่ทั้งสาม“ศิษย์พี่เจินไม่ต้องมากพิธีรีตองให้มากความ ข้
“เจ้าไม่ใช่สตรี แต่เป็นบุรุษใส่ชุดหญิงสาวซะมากกว่า” เจินหยุนฟานยังคงโต้ตอบอย่างไม่กลัวคลื่นอารมณ์หญิงสาวที่กำลังเดินตรงมา“นี่เจ้า!!!” ศิษย์พี่เจินยังคงยืนนิ่งอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “หึ...แล้วจะได้เห็นดี ข้าฉู่ซูเซียว ยินดีที่ได้พบศิษย์น้อง”“ศิษย์น้องเยี่ยหยาง ลู่เฉิน และ อวี้หย่าอวิ๋น ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์พี่หญิงฉู่เช่นกัน” เยี่ยหยางแนะนำตัวพร้อมเพื่อนร่วมชั้น ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจไปเป็นทัพหน้ามารยาทของเยี่ยหยางเรียกสีหน้าพอใจของฉู๋ซูเซียว เขาเคารพนางสมเป็นศิษย์น้องหน้าใหม่ นางส่งรอยยิ้มให้ทั้งสาม แล้วหันกลับไปแยกเขี้ยวของเธอให้เจินหยุนฟานซึ่งหาสนใจท่าทีของนางไม่“ศิษย์น้องทั้งสามพักผ่อนเถอะ พวกเจ้าเลือกห้องว่างตามชอบได้เลย ข้าไม่รบกวนแล้วขอตัว” เจินหยุนฟานพูดจบก็เดินกลับห้องพักตัวเอง“อ๊ะ!” อวี้หย่าอวิ๋นอุทาน เขาลอบสังเกตว่ามีใครเห็นท่าทางที่ผิดปกติไปของตนหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเห็นก็รีบบอกแยกทางกับทุกคน “พี่หยาง คุณชายลู่ น้องชายขอตัวไปนอนก่อนนะขอรับ วันนี้เหนื่อยมาก ๆ เลย&r
ตารางเรียนถูกจัดขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ต้องเข้าเรียนสี่วันทั้งเช้าบ่ายเย็น มีสอนตั้งแต่วิชาลมปราณขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นเซียน วิชาบังคับขี่กระบี่ วิชาปรุงโอสถ วิชาอสูรลมปราณ วิชาหมัดหมวย วิชาฝึกกระบี่ วิชาสรรพาวุธ วิชาการเมืองการปกครอง วิชาประวัติศาสตร์บรรพกาล วิชาปรัชญาสวรรค์ วิชาจรรยาบรรณผู้ฝึกตนและอีกมากมาย ซึ่งวิชาเหล่านี้จะถูกคัดเลือกให้เหมาะสมกับระดับความรู้ความสามารถของศิษย์ที่ศึกษา เยี่ยหยางมองดูวิชาที่ตัวเองต้องเรียนวิชาปราณยุทธพื้นฐาน...คราวนี้ยากที่จะเอาตัวรอด ไม่มีปราณให้เบ่งออกมาสักนิดวิชาปรุงโอสถต้องอาศัยลมปราณเหมือนกัน...หวังว่าความรู้ระดับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงของศาสตร์ปรุงยาจะช่วยได้ล่ะมั้ง?วิชาฝึกบังคับกระบี่...ใช้คาถาแปลงร่างเปลี่ยนรูปไม้กวาดเป็นกระบี่ ต่างแค่หน้าตาแต่ก็ยังเป็นไม้กวาดน่าจะใช้ได้ แค่ต้องยืนบนไม้กวาดแทน ไม่น่ายากวิชาอสูรลมปราณ...ดูแล้วน่าจะเป็นวิชาฝึกสัตว์ประหลาด อย่างนี้ฉงฉงก็เข้าข่าย หน้าตาอัปลักษณ์อยู่ไม่น้อย น่าใช้แทนกันได้วิชาปรัชญาสวรรค์...ปรัชญาชีวิตยังไม่ค่อยมี ยังต้องศึกษาของสวรรค์ที่ไหนก็ไม่รู้
จ้าวถิงเซียวสอนการสังเกตดู การดมกลิ่น การชิมรสชาติที่แตกต่าง ลักษณะของสมุนไพรประเภทต่างที่เป็นพื้นฐานในการเลือกวัตถุดิบปรุงโอสถ ทั้งสี กลิ่น อายุ และคุณภาพจากตัวอย่างสมุนไพรที่เขานำมาให้ดูในวันนี้เขายังไม่สอนการปรุงโอสถใด ๆ จนกว่าจะถึงเวลาที่ศิษย์จะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเพียงพอ รวมทั้งความสามารถในการควบคุมไฟในการหลอมโอสถที่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการปรุงโอสถยิ่งกว่าสมุนไพร เพราะต่อให้สมุนไพรดีแค่ไหน ถ้าควบคุมไฟในการสกัดหลอมไม่เป็น พวกมันก็กลายเป็นได้แค่ขี้เถ้ากองขยะกองหนึ่งศิษย์ทุกคนต่างไม่กล้าจะไม่สนใจ อีกทั้งสุดจะเกรงใจไม่กล้าขัดที่จะถาม แม้ว่าจะไม่เข้าใจในเนื้อหาวิชาบ้างก็ตามด้วยความหวาดหวั่น นั่งฟังหัวผงก ๆ เรียนอย่างจริงจังตั้งใจอย่างยิ่งยวดเนื่องจากมีตัวอย่างเชือดไก่ให้ลิงดูในปีที่แล้ว ๆ มาเป็นตัวอย่างนับร้อย ๆ ตัวอย่างเช่นมีศิษย์ผู้หนึ่งที่มั่นใจในพรสวรรค์ของตัวเอง และคิดว่าตระกูลตนเองใหญ่มีชื่อเสียงเป็นปรมาจารย์ในเรื่องของโอสถตั้งแต่บรรพบุรุษอยู่ในยุทธภพเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ผู้คนต่างยำเกรงอยู่หลายส่วนทำให้ศิษย์ผู้นั้น
เสียงร้องตะโกนของเยี่ยหยางดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาคนทั้งกลุ่มสะดุ้งเฮือกหันหรี่มองไปรอบ ๆ เขากลัวอาจารย์ไม่รับรู้สถานการณ์ให้คล้อยตาม เจ้าตัวจึงร่ายคาถาสาดน้ำใส่หน้าคนเป็นอาจารย์ไปโครมใหญ่และร่ายมนตร์ให้ตัวแห้งในพริบตาไม่เหลือหลักฐานเอาความผิดใด ๆ“ไหน ๆ ที่ไหนไฟไหม้” อาจารย์ผู้อยู่ในห้วงนิทราสะดุ้งตื่นหาเพลิงที่ไร้ควัน“ท่านคืออาจารย์หวังหลี่ฉินใช่หรือไม่ พวกข้าเป็นศิษย์ใหม่ที่จะมาเรียนวิชาปราณยุทธขั้นพื้นฐานขอรับ” เยี่ยหยางตีหน้าซื่อเหมือนเหตุการณ์ที่ตัวเองตะโกนแหกปากดังลั่นไม่เคยเกิดขึ้น“อะแฮ่ม...ใช่ ข้าหวังหลี่ฉิน อาจารย์สอนวิชาปราณยุทธขั้นพื้นฐาน” ผู้เป็นอาจารย์กระแอมกระไอปรับบุคลิกให้ดูเป็นอาจารย์ที่น่าเชื่อถือ“พวกเจ้าเป็นศิษย์เพิ่งเข้ามาใหม่สินะ ไหนมีกี่คนกัน ข้าไม่มีลูกศิษย์ให้สอนหลายสิบปีแล้ว พวกเจ้าเป็นศิษย์รุ่นแรกในรอบหลายสิบปีเชียว”“ท่านอาจารย์จะสอนไหวมั้ยเนี่ย” อวี้หย่าอวิ๋นหวาดหวั่นกับประสบการณ์สอนของอาจารย์ผู้นี้“พวกเจ้าคิดไงกันถึงมาเรียนกับข้า ศิษย์ส่ว
ข่าวรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ยถูกอสูรเทาเทียทำร้ายและชินอ๋องบาดเจ็บสาหัส ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ย จนวุ่นวายไปทั่วราชสำนักเหล่าขุนนางต่างออกมาโต้แย้งสนทนาซุบซิบเรื่องนี้ บรรดาฮูหยินตราตั้งยันชาวบ้านต่างหยิบยกมาพูดคุยเรื่องรัชทายาท นินทาชินอ๋อง บ้างก็ว่าถึงคราต้องตั้งรัชทายาทคนใหม่ บ้างก็ว่าบ้านเมืองจะสงบเพราะชินอ๋องนอนเป็นผักปลาแต่ข่าวลือย่อมมีความจริงผสมอยู่ มู่หรงหย่งสือฮ่องเต้แห่งราชอาณาจักรซีเว่ยรับสารมาจากสือหลงโหยว ผู้ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นสหายและองครักษ์ประจำตัวของพระโอรสเพียงองค์เดียว เนื้อความในสารเล่ารายงานตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของชินอ๋องผู้เลื่องชื่อเจ็ดส่วนสิบ ซึ่งแต่ละเรื่องผู้นั่งบัลลังก์มังกรก็คาดไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้นตามปกติส่วนตอนนี้อาการของมู่หรงลู่เฉินรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ย ก็พ้นขีดอันตรายไม่มีบาดแผลภายนอก เพราะโอสถพิเศษของเส้าหยาง จะมีก็แต่พิษเทาเทียที่ยังค้างอยู่ในร่างกาย ต้องใช้เวลารักษาให้พิษค่อย ๆ สลายจือจาง ส่วนหลานชายตัวปัญหาตอนนี้ก็กระโดดโลดเต้นก่อเรื่องได้แล้วซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดข
ชินอ๋องตะโกนเรียกคนที่รอรับคำสั่งอยู่ด้านนอก“ส่งคนพวกนี้ไปให้กู้ซีเจ๋อดูแล ให้พวกเขาฝึกร่วมกลับกลุ่มของเหวินชา อย่าให้เสด็จอาทราบ ส่วนค่าใช้จ่ายทุกอย่างทำบัญชีอย่าละเอียด”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉีหลินเหลียงรับคำสั่ง แล้วเดินออกไปเตรียมการตามคำสั่งชินอ๋อง“ไปกัน”“โอ๊ะเสร็จแล้ว กลับกันเถอะ” หูลี่เซียนเริ่มมึนแล้วลุกขึ้นยืน นางอยากไปซบอกลู่เฉินนอน“งานเรายังไม่เสร็จนะ ข้ายังไม่รู้เลยว่าใครเป็นตัวการ เกิดมันลงมือก่อเรื่องอีก เราจะตั้งรับไม่ทัน” เยี่ยหยางที่แม้ดื่มสุราไปมาก แต่เขาไม่รู้สึกเมาเลยสักนิด เอ่ยจุดประสงค์ที่เขากลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง“แล้วเราจะทำยังไง?”“ลี่เซียนเจ้าเมาแล้ว?”เยี่ยหยางมองหน้าเพื่อนสาว ที่เหมือนความคิดหยุดลงพร้อมสุราที่เข้าปาก “เจ้าพวกนี้ไม่รู้ แต่หัวหน้าพวกมันรู้ เราก็ไปถามหัวหน้าพวกมันสิ”“ต่อให้ตาย ก็ต้องปลุกมาถามก่อน ใครให้พวกมันรับงานนี้ล่ะ? รับงานมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ”“เยี่ย
หวงฉีเจิ้งเริ่มทำการสอดส่องความทรงจำของผู้หลับใหล ค่อย ๆ แผ่จิตแทรกเข้าไปในห้วงความฝัน ย้อนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เขามองดูความฝันของคนหลายร้อยคน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้วพวกมันแค่ต้องการอาวุธวิญญาณร้อยปีเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง คนเหล่านี้เป็นแค่ลูกกระจ๊อกของกลุ่มโจรหลาย ๆ กลุ่ม ที่ถูกหัวหน้าพวกมันสั่งมาเท่านั้น ไม่แม้จะเห็นหรือได้ยินเสียงตัวการสั่งการแม้แต่น้อยหวงฉีเจิ้งสั่นหัว หลังจากถอนจิตคืนกลับมา “ไม่มีประโยชน์ พวกมันไม่รู้อะไรเลย แต่พวกมันถูกหัวหน้าพวกมันใช้วิชาพิสดารลงอักขระเลือดไว้ หากคิดจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาคือตาย”“อักขระเลือด?”“อืม พวกหัวหน้าโจรภูเขาพวกนี้เป็นคนทำให้ลูกน้องมันเอง แต่ว่าใครเป็นคนสอน ข้าไม่รู้”“เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อีกฝ่ายสามารถหาเทาเทียมาลงมือด้วย คิดว่ามันคงวางแผนการมาอย่างดี” หูลี่เซียนครุ่นคิด“เก็บคนพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เปลืองค่าข้าวตำหนักข้า” เยี่ยมยางบ่นหงุดหงิดไม่พอใจที่ไม่ได้เรื่อ
หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ข่าวคราวของผู้บุกรุกเงียบหายไปสืบสาวหาต้นเหตุไม่ได้ เพราะทันทีที่สอบปากคำ พวกมันต่างไม่ยอมปริปากแม้แต่น้อยแม้ว่าบางคนที่ถูกอาจารย์จ้าวเป็นคนสอบสวนต้องยอมเอ่ยวาจา แต่เพียงแค่คิดจะพูด ก็กลายเป็นศพต่อหน้าต่อตาจ้าวถิงเซียวด้วยพิษกลืนวิญญาณอย่างไม่รู้ตัวด้วยวิธีปกปิดความลับที่โหดเหี้ยมอำมหิต จึงได้แต่ปล่อยผู้บุกรุกที่มีชีวิตที่เหลือไป เนื่องจากคนที่รู้ต้นตอเรื่องราวตายเรียบหมดแล้วแน่นอนว่าเยี่ยหยางไม่ยอมแพ้ จอมเวทสามคนแอบกลับไปที่เมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ย่องเข้าตำหนักชินอ๋อง“นี่เยี่ยหยาง ทำไมเจ้าจะต้องย่องแอบเข้าบ้านตัวเอง?” จอมเวทสาวถามเจ้าของบ้าน“แม่นางหูลี่เซียน แม่นางรู้หรือไม่ว่าเปิ่นหวางเป็นผู้ใด”เยี่ยหยางถามทีเล่นทีจริงกับอลิซาเบธ หรือ หูลี่เซียน นามที่แม่บุญธรรมตั้งให้นาง นามที่มีความหมายเทพธิดาที่งดงามเฮอะ ๆ …ส่วนญาติผู้น้องเขาก็เรียกนางว่าลี่ลี่ นามที่มีความหมายว่า น่ารักงดงามความงดงามเอย เทพธิดาเอย ความน่ารักเอย เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพื่อนสาวเขาควรมีชื่อที่มีค
ร่างจิ้งจอกแดงเรืองแสงสว่างขนาดตัวที่ค่อย ๆ ขยายขึ้นจากยืนสี่ขาเป็นสองเท้า หลังที่ขนานกับพื้นดินค่อย ๆ เหยียดตรง เงาของสตรีอยู่ท่ามกลางเงาควัน เส้นผมยาวสลวยจรดพื้น“เฮ้ย! ลืม!!! เสื้อ ๆ อยู่ไหน”เยี่ยหยางที่เห็นเงาร่างเปลือยเปล่าของเพื่อนสาว ก็รีบปิดตาเรียกเสื้อผาวตัวใหญ่ลอยไปคลุมสาวเจ้าไม่ให้อุจาดตาเขา เขาไม่อยากฝันร้ายเพราะเห็นร่างแม่มดโป๊ขี้วีน“ไอ้...ไอ้บ้า...เกรก นายทำบ้าอะไร”เสียงแหบแห้งตะกุกตะกักเพราะไม่ได้พูดมานานโวยขึ้น เสื้อผาวตัวใหญ่คลุมหัวปิดหน้าปิดตาจนมองไม่เห็นไรอะไรแสงและควันจางหายนางดึงเสื้อมาคลุมร่างไร้อาภรณ์ เสื้อผาวนุ่มลื่นเว้าไปตามส่วนโค้ง จนเห็นทรวดทรงโฉมงามล่มเมือง นิ้วมือเรียวยาวดังกิ่งหลิวรวบเส้นผมยาวลากออกมานอกอาภรณ์ สองหนุ่มเห็นหน้าตาคุ้นเคยยืนหน้าหงิกกลบความสวยจนหมด“ไง ยังอยู่ดีนิพ่อคุณชาย” คำทักทายแรกหลังจากด่าทอของแม่มดสาวนามอลิซาเบธ“ไม่เลวเลยสหายข้า ได้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของที่นี่ ตอแหลเนียนได้ตลอด”อลิซาเบธตบไหล่เพื่อนชายคนนี้ ที่ชอบทำหน้าเ
เยี่ยหยางเห็นโอกาสคืนฐานะ ก็สลับตัวกับร่างหลอมแร่แปรธาตุทันทีที่พ้นสายตาอาจารย์ประจำวิชาปรุงโอสถ เขาถอดหน้ากากออกดื่มน้ำยารสชาติย่ำแย่ลงคอ กลับมาเป็นชินอ๋องตามเดิมส่วนร่างปลอมก็โยนเข้าห้วงมิติเก็บรักษาไว้เผื่อคราวหน้ามีโอกาสได้ใช้ในห้องหนึ่งของมิติที่เต็มไปด้วยร่างหลอมที่รูปลักษณ์ต่างกันไปจ้าวถิงเซียวเมื่อเข้ามาอีกครั้งก็ไม่เห็นศิษย์ผู้สวมหน้ากากแล้ว เขายอมปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนในตอนนี้ แต่ไม่มีทางที่จะไม่สืบหาราวเรื่องอาจารย์ปรุงโอสถเดินผ่านเตียงของศิษย์ชายที่อาการหนัก เพราะโดนพิษเทาเทียเหมือนกันที่นอนอยู่ด้านข้างผู้ที่เข้ามาใหม่ ยาเม็ดใหญ่ถูกป้อนเข้าปากลู่เฉินเพื่อสลายพิษ จากนั้นก็ไปดูอาการอีกคนที่ตอนนี้นั่งหันซ้ายหันขวาไม่มีอาการเจ็บปวด คือ ชินอ๋องจอมเสเพลที่เขาอยากจะสั่งสอนหนัก ๆ เหลือเกิน“ไม่เป็นอะไรแล้ว ก็กลับไปนอนที่ห้องตัวเอง อย่ามาเกะกะ” ผู้เป็นใหญ่ในจวนเยียวยาไล่ศิษย์ที่ไม่ต้องดูแลแล้วออกไป แต่ก็เห็นสายตามองคนเจ็บไม่ไปไหน“เขาไม่เป็นอะไรมากแล้วพิษในกายจะค่อย ๆ สลายไปเอง”“ขอบคุณที่ท่านอาจารย์จ้าวดูแล
ดวงตาของสัตว์เทพกวาดตามองเทาเทียหลายร้อยตัวที่ยังไม่สงบอ้าปากกว้างน้ำลายไหลยืดตามคมเคี้ยวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันรู้สึกว่าปากพวกนี้เหม็นสุด ๆ พวกไม่รักษาความสะอาดของช่องปากเลย‘แหยะ...ข้าไม่อยากฟัดกับพวกหมาบ้าน้ำลายอย่างเทาเทียเลยหยางหยาง’‘เจ้าไม่ฟัด ข้าฟัดกับพวกมันเอง’เยี่ยหยางตอบกลับสัตว์เทพคู่ตัวเองเสียงเย็น เขารู้ว่าฉงหยิ๋นพูดแบบนี้กำลังเรียกสติให้เขาควบคุมอารมณ์ เขาไม่คลุ้มคลั่งตอนนี้หรอก ยังมีอะไรให้ต้องจัดการอีกมากเขาส่งญาติผู้น้องให้สือหลงโหยวดูแลอย่างดีแล้ว ก่อนจะร่ายเกราะเวทคุ้มกายให้พวกเขา จากเก็บไม้กายสิทธิ์และเรียกไม้เท้าออกมาจัดการกับหมาบ้าน้ำลาย ทั้งยกทั้งฟาดทั้งสาปส่ง จนพวกมันแน่นิ่งไปหลายสิบตัวมือซ้ายก็ถือดาบประจำตระกูลวินเซอร์จ้วงแทงไม่ยั้ง เทาเทียแม้จะรู้สึกสัมผัสถึงอันตราย แต่มันก็ช้าไป แม้ว่ารวมกำลังพลต่อสู้เยี่ยหยางที่ฆ่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อย่างโกรธแค้น ก็ไม่อาจสู้จอมเวทที่โทสะเดือดดาลพุ่งสะท้านฟ้าได้ ต่อให้เขาแสดงตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย กลั่นแกล้งคน จนอายฟ้าดิน ย่อมขีดกำจัดขีดไว้ฝ่ายผู้บุกรุกเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด
เส้นผมสีเงินสะท้อนแสงตกกระทบสว่างเป็นเด่นชัด เดินออกมาเป็นคนแรกตามด้วยคนอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ในชุดของศิษย์เทียนถูหวู่ ทุกคนไม่มีล่องลอยของการบาดเจ็บมีเพียงอาการเหนื่อยล้าเมื่อยกล้ามเนื้อเท่านั้น ใบหน้า หน้าตา สีหน้าแจ่มใสไม่มีแววตาหวาดกลัวใด ๆ เดินออกมาเหมือนคนเพิ่มออกมาจากห้องนอนดวงตาผู้คนที่อยู่นอกตำหนักทั้งสองฝ่ายเบิกกว้างตกใจ จนลูกตาแทบกระเด็นกระบี่ทวนง้าวร่วงหล่นจากมือกระทบพื้น ส่งเสียงเคร้งคร้างดังเป็นทอด ๆ ภาพเลวร้ายต่าง ๆ ที่คิดไปไกลได้กลับตาลปัตรความหวังของฝ่ายบุกรุกเหมือนปีนถึงยอดผากลับถูกถีบลงมาเหยียบขยี้เละไม่เหลือซาก ผู้ที่บุกเข้าไปภายในตำหนักที่เหลืออีกครึ่งจากการเก็บไว้สอบปากคำด้วยอำนาจชินอ๋อง ตอนนี้ถูกมัดมือมัดปากไม่กล้าหืออือเดินเรียงแถวกันมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งกว่าทหารในกองทัพ สีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเดินคอตกหมดอาลัยตายอยากกันทุกคน“เกิดอะไรขึ้น”น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยเรียบ ๆ ดวงตาคมหรี่มองภาพด้านนอก บุคลิกของผู้สวมหน้ากากอำพรางตัวตนคนนี้ ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างรู้สึกว่ามีอำนาจอัดแน่นในร่างสูงสง่า จนทำให้ดูน่าเกรงขาม แต่น
ถึงพังพอนเหลืองที่เคารพหลานชายสุดที่รักของท่านถูกพวกมันรังแกย่ำยี พวกมันกระทืบข้า ลวนลามข้า เหยียดหยามวงศ์ตระกูลข้า จนไม่มีหน้ารักษา อีกทั้งกล่าวหาว่าท่านไม่มีน้ำยาสั่งสอนข้า จนกลายเป็นสวะรกแผ่นดินเท่ากับพวกมันลบหลู่เบื้องสูงเท่ากับเหยียบหน้าฝ่าบาท พวกมันเป็นคนของตาเฒ่าหลี่ที่หวังสร้างคลื่นใต้น้ำก่อเรื่อง มีโทษสมควรตาย เรื่องนี้ไท่จื่อเป็นสักขีพยานได้ ยังเคราะห์ดีที่มีผู้แข็งแกร่งช่วยเหลือข้าเอาไว้ และเป็นผู้ส่งตัวพวกมันและจดหมายฉบับนี้มาให้ฝ่าบาทพิจารณา ป.ล พวกมันเป็นคนของพรรคมารอสูรที่ตาแก่หลี่อยู่เบื้องหลังกล้าเหิมเกริมบุกเทียนถูหวู่ ข้าส่งพวกมันให้ท่านนอนกกกอดได้เพียงเท่านี้จาก ชินอ๋อง หลานรักของเสด็จอาฮ่องเต้ฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยที่กำลังประชุมขุนนางหารือเรื่องบ้านเมืองอ่านสารจบหนวดกลับกระตุกไม่หยุด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ สายตาคมมองไปที่บรรดาร่างล่อนจ้อนที่มีผ้าปกปิดกันอุจาด รอยสักบอกยี่ห้อเจ้านายถูกเยี่ยหยางพรางไว้“ทหารจับพวกมันไปขังคุกของชินอ๋อง ร