“เปิ่นหวางเพิ่งทราบว่าผู้คนของราชอาณาจักรเป่ยฉินเถื่อน สถุล ไร้มารยาทในสังคม ไม่รู้จักแม้กระทั่งการให้เกียรติผู้อื่น อีกทั้งสามารถวางอำนาจในราชอาณาจักรซีเว่ยที่ไม่ใช่ผืนดินของเป่ยฉินได้” เยี่ยหยางหุบพัดที่พัดโบกในมือลง ปั้นสีหน้าเรียบขรึมอย่างง่ายดายเอ่ยพูดแผ่บรรยากาศกดดันออกมา เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่างานนี้จะจบอย่างไร “นั่นไง ข้าว่าคนผู้นั้นคือชินอ๋อง…” เสียงซุบซิบยังคงแว่วมาไม่ขาด แต่ก็ไม่กลบเสียงการปะทะกันคนคู่นี้ “อย่างแกเป็นอ๋อง? ถ้าแกเป็นอ๋อง ข้าคงเป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ไอ้สวะ” คุณชายจูพูดเสียงดังก้อง “หึ...” “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” บรรดามือปราบที่กำลังรวบรวมข้อมูลครั้งสุดท้ายเพื่อสรุปสำนวนคดี ได้ยินข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ ก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็วเอ่ยถามเหตุการณ์ตรงหน้า “คุณชายจูของข้าต้องการชมการแสดงที่ลานกว้าง แต่ไอ้สวะผู้นี้กับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกับขวางทางเดิน” บ่าวรับใช้ยังคงไม่รู้ตัว แจ้งมือปราบด้วยท่าทีหยิ่งยโสไม่ต่างจากผู้เป็นนาย จนทำให้สองมือปราบไม่ทันได้สนใจคู่กรณีอีกคน เยี่ยหยางมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างสมเพช เขาควงเหวี่ยงแผ่นป้ายหยกประจำตัวในมืออย่างไม่สนใจ เพรา
สวะไร้ลมปราณ? โอ๊ย! ข้าจะเป็นลม...ไม่จริงใช่หรือไม่!!! เผิงเหล่ยมองท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อพร้อมกับตรวจสอบลมปราณคนตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าข่าวลือ...จะเป็นจริง หมายความว่า… เถ้าแก่ผู้ขึ้นบัญชีหนังหมาของเยี่ยหยางเหงื่อแตกพลั่กเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างลึกซึ้งขึ้นมา นี่เขาทำอะไรลงไป… อยู่ดีไม่ว่าดีอัญเชิญเทพหายนะมาดูแลตัวเอง เผิงเหล่ยได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ในลำคอ จะร้องไห้ก็ไม่ได้จะพูดก็ไม่ออก “เอ่อ…” ตอนนี้เถ้าแก่เผิงมีเวลาว่าง ว่างมาก ๆ เพราะร้านที่ต้องดูแลหายวับไปกับควันไฟ จะฟ้องร้องบอกใครคงไม่มีใครเชื่อ ดีไม่ดีอาจจะคอขาดไม่รู้ตัว ใครให้เขาไปกล้ากระตุกเส้นขนของท่านอ๋องบัดซบกัน? “ไม่เป็นไร วันหลังเปิ่นหวางจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเอง คงต้องขอรบกวนเถ้าแก่อีกครั้ง” เยี่ยหยางกล่าวแล้วเดินจากไปอย่างทิ้งนัย ทิ้งเผิงเหล่ยน้ำตาตกใน ไม่ต้องมาแล้ว ได้โปรดแค่นี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว... อุบัติเหตุเมื่อคืนเถ้าแก่เผิงเสียหายขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก จับมือใครก็ดมไม่ได้ แต่ไม่ต้องคาดเดาเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองไปแหย่คนที่ไม่ควรแตะต้อง หนี้สินที่กู้ยืมหมุนเวียนในการค้าทับถมจนต้องขายร้านที่เหลือแต่ขี้เถ้า เพร
การสอบแข่งขันเข้าเรียนของที่นี่เป็นมาตรฐานของทุกแคว้น ยากที่จะทำการโกงและการใช้เส้นสายอำนาจเพื่อที่จะเข้ามาศึกษา แม้กระทั่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ยังต้องทำการทดสอบเหมือนคนธรรมดาสามัญ จึงทำให้สถานศึกษาแห่งนี้ได้การยอมรับทั้งในและต่างแคว้นว่ามีคุณภาพกว่าที่อื่น ๆ โดยในแต่ละปีจะรับผู้ที่มีปราณยุทธเข้ามาศึกษาเพียงปีละเจ็ดร้อยคน การศึกษาของที่นี่แบ่งออกเป็นสี่ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน ระดับเริ่มต้น ระดับสามัญ และ ระดับอาชีพ แต่ละระดับจะต้องเรียนรู้ไม่เกินสามปี โดยที่ระดับพื้นฐานและระดับเริ่มต้นจะเป็นเพียงศิษย์สายนอก ระดับสามัญเป็นศิษย์สายใน และระดับอาชีพเป็นศิษย์หลักที่มีจำนวนคนน้อยกว่านักนั้นไม่กำหนดเวลาเรียนรู้ แต่ใช้แต้มคะแนนแลกเปลี่ยนในการดำเนินชีวิตในเทียนถูหวู่ จากการทำภารกิจต่าง ๆ ของสำนักเป็นการแลกเปลี่ยน เพื่อนำคะแนนสะสมไปwแลกผลึกปราณหรือคัมภีร์ทักษะต่าง ๆ รวมถึงเม็ดยาโอสถแต่ถ้าศิษย์นอกศึกษาเกินเกณฑ์จะถูกเชิญออกจากเทียนถูหวู่ เพื่อต้องการให้ผู้ศึกษาตั้งใจศึกษาคนอื่นเข้ามาเรียนรู้ต่อ เพราะที่แห่งนี้นั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
หลังจากนั่ง ๆ นอน ๆ จนพอใจที่เมืองเจียงตงอยู่สามคืน เยี่ยหยางก็ส่งสาสน์ให้ลู่เฉินมีใจความว่า...ไม่ต้องรอ.. ไม่หนี…เพราะเขาขี้เกียจปั้นหน้าตาปัญญาอ่อนต่อหน้าใคร ๆ ถึงแม้ว่าจะยืดเวลาสวมหน้ากากออกได้นิดหน่อยก็ตาม ยิ่งกว่านั้นขี่ไม้กวาดยังเร็วกว่าสะดวกกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งอยู่บนหลังม้า จากครึ่งวันเหลือเพียงหนึ่งชั่วยามก็ถึงหน้าผายโหลวสายตาดูหมิ่นของคุณชายจูผู้นี้ไม่สามารถสร้างความหวาดหวั่นใด ๆ ให้เยี่ยหยางแม้แต่น้อย อีกฝ่ายมองหน้าเขาอย่างแค้นเคืองอย่างคนทำอะไรไม่ได้ทันทีที่สังเกตเห็นเขาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั่น...มาจ้องตาขวางใส่เขาทำไม?ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว ดูท่าแล้วจะมีเป้าหมายใหม่เมื่อจูเฉิงเยว่เดินเข้าไปหาคนผู้หนึ่ง โดยมีเด็กตัวโตดันคนอื่น ๆ ที่ขวางทางนายน้อยของมัน“ยินดีที่ได้พบพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมู่หรลู่เฉินแห่งซีเว่ย” ประโยคที่ได้ยินเหมือนจะทำความเคารพ แม้ว่าแผ่นหลังจะโน้มลง แต่แข็งกร้าวหยิ่งยโสมากนัก “ข้าน้อย จูเฉิงเยว่ บุตรชายอัครมหาเสนาบดีจูเหวินฟงแห่งราชอาณาจักรเป่ยฉินพ่
“ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะคัดเลือกผู้ที่จะศึกษาในปีการศึกษานี้ ขอเชิญว่าที่ผู้ศึกษาทุกท่านเข้าประตูจิงเฉินฉือไท่คง” ด้วยพลังเสียงลมปราณ ทำให้ได้ยินกันอย่างทั่วถึง ประตูจิงเฉินฉือไท่คงเป็นประตูที่มีม่านพลังปราณวิญญาณในตัวเอง มีความรู้สึกนึกคิด สามารถแยกบุคคลที่ความสามารถ คุณธรรม ยุติธรรม ปัญญา และ ความรักอย่างแท้จริง โดยการเดินผ่านซุ้มประตูแห่งนี้ เข้าไปยังเทียนถูหวู่ที่อยู่แยกในหุบเขาแห่งนี้ โดยผู้ที่เคยผ่านซุ้มประตูมาแล้ว ต่างเล่าประสบการณ์ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ว่าตนผ่านเข้ามาได้แบบใด อีกทั้งไม่มีใครรู้ว่าประตูบานนี่มีต้นกำเนิดความเป็นมาเป็นอย่างไร มันเป็นประตูค่ายกลโบราณ ที่แม้แต่ตอนนี้ปรมาจารย์ด้านค่ายกลก็ยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ภายในค่ายกลสามารถให้ประสบการณ์ทั้งดีและเลวร้าย ฝึกฝนทักษะผู้ที่ผ่านเข้ามา อีกทั้งยังมีสมบัติที่ซ่อนอยู่ แต่น้อยคนที่จะพบ ผู้ใดที่พบมักกลายเป็นอัจฉริยะเพียงชั่วข้ามคืน แต่ดูเหมือนว่าซุ้มประตูจิงเฉินฉือไท่คงแห่งนี้จะเจอคราวเคราะห์มาเยือน เมื่อเจอตัวบัดซบที่ชอบเก็บค่าแรงพร้อมดอกเบี้ยแพงยิ่งกว่าปล
เนื่องจากบริเวณลานใกล้ซุ้มประตูมีขนาดเล็กคล้ายคอขวด จนเป็นภาพที่ดูแล้วน่าขันสิ้นดีจากการสละสิทธิ์แบบไร้ข้อกังหา ทั้ง ๆ ที่จะเดินเข้าไปแบบมีมารยาทมีวัฒนธรรมก็สามารถเข้าไปได้ทุกคนก็ตามนี่ยังไม่ทันได้ผ่านเข้าประตูเพื่อทดสอบ ก็ถูกเขี่ยออกมาซะงั้นจะไม่เขาขำได้ไงกันเยี่ยหยางมองคนอื่นเบียดเสียดพยายามที่จะเดินเข้าประตูร่วมสองชั่วยาม เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น อาศัยร่มเงาบดบังแดดจ้าในช่วงกลางวันที่ร้อนจัด ไม่สนใจลู่เฉินที่ยังยืนนิ่งเป็นก้อนหินและสือหลงโหยวที่มองเขาด้วยสายตาว่าเขาเป็นตัวปัญหา จนได้รู้จักกับเด็กชายหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มผู้ที่ส่งเสียงหัวเราะในเหตุการณ์เมื่อช่วงสายหนุ่มน้อยวัยย่างสิบหนาวอายุรุ่นเดียวกับคุณชายจูเฉิงเยว่ แต่นิสัยบุคลิกแสดงออกมาแตกต่างราวกับฟ้ากับดินเขาดูเหมือนเด็กชายชาวบ้านธรรมทั่วไป เครื่องแต่งกายเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าที่สวมใส่กับเป็นเนื้อผ้าอย่างดีไม่แพ้บุตรชายขุนนางใหญ่อีกทั้งปิ่นหยกเมฆขาวแม้ไร้ลวดลาย แต่ราคาของมันไม่ใช่ชาวบ้านสามัญสามารถใช้ได้ดูแล้วสบายตาเป็นธรรมชาติ ลักษณะภายนอกดูเป็นมิตรน่าคบหาแต่ลึกลงไปในแววตากับแฝงควา
ฉงหยิ๋นคลายสมบัติออกมาจากทะเลปราณของมันมากองด้านหน้ามีผืนพรมเก่า ๆ ลวดลายประหลาด กาน้ำชาผลึกอัญมณีจิ๋วที่มองแล้วไม่เหมือนกาน้ำชา ตำราอักษรรูนที่ไม่ควรปรากฏบนใบนี้ ทักษะยุทธที่เขาไม่ใส่ใจ และผลึกที่ผู้ฝึกปราณยุทธต่างเรียกว่าผลึกปราณ ที่พวกเขาต่างต้องการเพื่อช่วยเพิ่มระดับลมปราณอีกกองใหญ่แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่ค่อยสนมันแล้ว เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขาอีกแล้ว ตั้งแต่แก่นเวทมนตร์เขาฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ ผลึกพวกนี้เลยกลายเป็นขนมขบเขี้ยวแก้เหงาปากของฉงฉงสักส่วนใหญ่เยี่ยหยางกวาดสมบัติที่ฉงหยิ๋นเก็บได้ และผลึกหินเซียนหนึ่งในสาม อีกสองส่วนแบ่งให้จอมโจรสลัดสี่ขาอย่างยุติธรรม เพราะสมบัติอย่างอื่นไร้ความหมายสำหรับกิเลน เก็บไว้ก็ทำประโยชน์อะไรให้มันไม่ได้“แล้วเรื่องค่ายกล?”แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญกับดักเวทมนตร์ แต่ค่ายกลที่ใช้ปราณยุทธขับเคลื่อนเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา ให้ฉงหยิ๋นจัดการจะเร็วกว่าเขาลงมือ“แน่นอนว่าระดับข้า ไม่มีค่ายกลไหนตบตาข้าได้ เร็ว! ให้ข้ารีบบอกเจ้า ข้าจะได้รีบไปนอน ในห้วงมิติเย็นสบายกว่าข้า
ว่าทำไมไม่บอกเขาด้วยว่ามีหนอนยักษ์อยู่ด้วยเพราะ…ข้าเกลียดหนอน!!!‘ก็เจ้าไม่ถาม’ เสี่ยวฉงส่งเสียงเอื่อยไม่แยแสดังในหัวเยี่ยหยางในขณะที่สือหลงโหยวชักดาบออกจากฝักออกมาเตรียมตัว ท่าร่างเตรียมพร้อมบุกฝ่าออกไป ทว่าทุกทิศล้วนถูกล้อมด้วยหนอนสีเลือดเยี่ยหยางกลับกุมขมับทันทีที่เห็นท่าทางสู้ตายของสือหลงโหยว“นี่เจ้าจะเอาดาบไปจิ้มมันหรือไง ดาบขนาดเท่าไม้แคะฟันของพวกมัน จะไปทำอะไรมันได้?”“งั้นเจ้าก็จัดการสิ” สือหลงโหยวพูดพร้อมทำการผลักชินอ๋องผู้หลบหลังเขาออกไปเผชิญหน้า“เหวอ!!! ไม่ ๆๆๆ เจ้าบ้าหรือไงข้าจะจัดการพวกมันได้ยังไง” เยี่ยหยางที่ถูกผลักไม่ทันตั้งตัว คว้าตัวลู่เฉินตามสัญชาตญาณ “ญาติผู้น้องคนเก่งเร็ว ๆ สิ เจ้ารีบหาวิธีอย่าให้มันได้กลิ่นพวกเราไม่งั้นเสร็จกันหมดแน่”ชินอ๋องพล่ามไปก็เขย่าตัวองค์รัชทายาทไป จนเจ้าตัวต้องเอามือทั้งคู่ของพี่ชายออกไปจากตัวแล้วรีบหาวิธีเยี่ยหยางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วบอกลักษณะของหนอนสีเลือดออกมาอย่างไม่ต้องแสร้งโง่งมอีกต
ข่าวรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ยถูกอสูรเทาเทียทำร้ายและชินอ๋องบาดเจ็บสาหัส ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ย จนวุ่นวายไปทั่วราชสำนักเหล่าขุนนางต่างออกมาโต้แย้งสนทนาซุบซิบเรื่องนี้ บรรดาฮูหยินตราตั้งยันชาวบ้านต่างหยิบยกมาพูดคุยเรื่องรัชทายาท นินทาชินอ๋อง บ้างก็ว่าถึงคราต้องตั้งรัชทายาทคนใหม่ บ้างก็ว่าบ้านเมืองจะสงบเพราะชินอ๋องนอนเป็นผักปลาแต่ข่าวลือย่อมมีความจริงผสมอยู่ มู่หรงหย่งสือฮ่องเต้แห่งราชอาณาจักรซีเว่ยรับสารมาจากสือหลงโหยว ผู้ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นสหายและองครักษ์ประจำตัวของพระโอรสเพียงองค์เดียว เนื้อความในสารเล่ารายงานตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของชินอ๋องผู้เลื่องชื่อเจ็ดส่วนสิบ ซึ่งแต่ละเรื่องผู้นั่งบัลลังก์มังกรก็คาดไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้นตามปกติส่วนตอนนี้อาการของมู่หรงลู่เฉินรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ย ก็พ้นขีดอันตรายไม่มีบาดแผลภายนอก เพราะโอสถพิเศษของเส้าหยาง จะมีก็แต่พิษเทาเทียที่ยังค้างอยู่ในร่างกาย ต้องใช้เวลารักษาให้พิษค่อย ๆ สลายจือจาง ส่วนหลานชายตัวปัญหาตอนนี้ก็กระโดดโลดเต้นก่อเรื่องได้แล้วซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดข
ชินอ๋องตะโกนเรียกคนที่รอรับคำสั่งอยู่ด้านนอก“ส่งคนพวกนี้ไปให้กู้ซีเจ๋อดูแล ให้พวกเขาฝึกร่วมกลับกลุ่มของเหวินชา อย่าให้เสด็จอาทราบ ส่วนค่าใช้จ่ายทุกอย่างทำบัญชีอย่าละเอียด”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉีหลินเหลียงรับคำสั่ง แล้วเดินออกไปเตรียมการตามคำสั่งชินอ๋อง“ไปกัน”“โอ๊ะเสร็จแล้ว กลับกันเถอะ” หูลี่เซียนเริ่มมึนแล้วลุกขึ้นยืน นางอยากไปซบอกลู่เฉินนอน“งานเรายังไม่เสร็จนะ ข้ายังไม่รู้เลยว่าใครเป็นตัวการ เกิดมันลงมือก่อเรื่องอีก เราจะตั้งรับไม่ทัน” เยี่ยหยางที่แม้ดื่มสุราไปมาก แต่เขาไม่รู้สึกเมาเลยสักนิด เอ่ยจุดประสงค์ที่เขากลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง“แล้วเราจะทำยังไง?”“ลี่เซียนเจ้าเมาแล้ว?”เยี่ยหยางมองหน้าเพื่อนสาว ที่เหมือนความคิดหยุดลงพร้อมสุราที่เข้าปาก “เจ้าพวกนี้ไม่รู้ แต่หัวหน้าพวกมันรู้ เราก็ไปถามหัวหน้าพวกมันสิ”“ต่อให้ตาย ก็ต้องปลุกมาถามก่อน ใครให้พวกมันรับงานนี้ล่ะ? รับงานมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ”“เยี่ย
หวงฉีเจิ้งเริ่มทำการสอดส่องความทรงจำของผู้หลับใหล ค่อย ๆ แผ่จิตแทรกเข้าไปในห้วงความฝัน ย้อนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เขามองดูความฝันของคนหลายร้อยคน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้วพวกมันแค่ต้องการอาวุธวิญญาณร้อยปีเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง คนเหล่านี้เป็นแค่ลูกกระจ๊อกของกลุ่มโจรหลาย ๆ กลุ่ม ที่ถูกหัวหน้าพวกมันสั่งมาเท่านั้น ไม่แม้จะเห็นหรือได้ยินเสียงตัวการสั่งการแม้แต่น้อยหวงฉีเจิ้งสั่นหัว หลังจากถอนจิตคืนกลับมา “ไม่มีประโยชน์ พวกมันไม่รู้อะไรเลย แต่พวกมันถูกหัวหน้าพวกมันใช้วิชาพิสดารลงอักขระเลือดไว้ หากคิดจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาคือตาย”“อักขระเลือด?”“อืม พวกหัวหน้าโจรภูเขาพวกนี้เป็นคนทำให้ลูกน้องมันเอง แต่ว่าใครเป็นคนสอน ข้าไม่รู้”“เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อีกฝ่ายสามารถหาเทาเทียมาลงมือด้วย คิดว่ามันคงวางแผนการมาอย่างดี” หูลี่เซียนครุ่นคิด“เก็บคนพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เปลืองค่าข้าวตำหนักข้า” เยี่ยมยางบ่นหงุดหงิดไม่พอใจที่ไม่ได้เรื่อ
หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ข่าวคราวของผู้บุกรุกเงียบหายไปสืบสาวหาต้นเหตุไม่ได้ เพราะทันทีที่สอบปากคำ พวกมันต่างไม่ยอมปริปากแม้แต่น้อยแม้ว่าบางคนที่ถูกอาจารย์จ้าวเป็นคนสอบสวนต้องยอมเอ่ยวาจา แต่เพียงแค่คิดจะพูด ก็กลายเป็นศพต่อหน้าต่อตาจ้าวถิงเซียวด้วยพิษกลืนวิญญาณอย่างไม่รู้ตัวด้วยวิธีปกปิดความลับที่โหดเหี้ยมอำมหิต จึงได้แต่ปล่อยผู้บุกรุกที่มีชีวิตที่เหลือไป เนื่องจากคนที่รู้ต้นตอเรื่องราวตายเรียบหมดแล้วแน่นอนว่าเยี่ยหยางไม่ยอมแพ้ จอมเวทสามคนแอบกลับไปที่เมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ย่องเข้าตำหนักชินอ๋อง“นี่เยี่ยหยาง ทำไมเจ้าจะต้องย่องแอบเข้าบ้านตัวเอง?” จอมเวทสาวถามเจ้าของบ้าน“แม่นางหูลี่เซียน แม่นางรู้หรือไม่ว่าเปิ่นหวางเป็นผู้ใด”เยี่ยหยางถามทีเล่นทีจริงกับอลิซาเบธ หรือ หูลี่เซียน นามที่แม่บุญธรรมตั้งให้นาง นามที่มีความหมายเทพธิดาที่งดงามเฮอะ ๆ …ส่วนญาติผู้น้องเขาก็เรียกนางว่าลี่ลี่ นามที่มีความหมายว่า น่ารักงดงามความงดงามเอย เทพธิดาเอย ความน่ารักเอย เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพื่อนสาวเขาควรมีชื่อที่มีค
ร่างจิ้งจอกแดงเรืองแสงสว่างขนาดตัวที่ค่อย ๆ ขยายขึ้นจากยืนสี่ขาเป็นสองเท้า หลังที่ขนานกับพื้นดินค่อย ๆ เหยียดตรง เงาของสตรีอยู่ท่ามกลางเงาควัน เส้นผมยาวสลวยจรดพื้น“เฮ้ย! ลืม!!! เสื้อ ๆ อยู่ไหน”เยี่ยหยางที่เห็นเงาร่างเปลือยเปล่าของเพื่อนสาว ก็รีบปิดตาเรียกเสื้อผาวตัวใหญ่ลอยไปคลุมสาวเจ้าไม่ให้อุจาดตาเขา เขาไม่อยากฝันร้ายเพราะเห็นร่างแม่มดโป๊ขี้วีน“ไอ้...ไอ้บ้า...เกรก นายทำบ้าอะไร”เสียงแหบแห้งตะกุกตะกักเพราะไม่ได้พูดมานานโวยขึ้น เสื้อผาวตัวใหญ่คลุมหัวปิดหน้าปิดตาจนมองไม่เห็นไรอะไรแสงและควันจางหายนางดึงเสื้อมาคลุมร่างไร้อาภรณ์ เสื้อผาวนุ่มลื่นเว้าไปตามส่วนโค้ง จนเห็นทรวดทรงโฉมงามล่มเมือง นิ้วมือเรียวยาวดังกิ่งหลิวรวบเส้นผมยาวลากออกมานอกอาภรณ์ สองหนุ่มเห็นหน้าตาคุ้นเคยยืนหน้าหงิกกลบความสวยจนหมด“ไง ยังอยู่ดีนิพ่อคุณชาย” คำทักทายแรกหลังจากด่าทอของแม่มดสาวนามอลิซาเบธ“ไม่เลวเลยสหายข้า ได้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของที่นี่ ตอแหลเนียนได้ตลอด”อลิซาเบธตบไหล่เพื่อนชายคนนี้ ที่ชอบทำหน้าเ
เยี่ยหยางเห็นโอกาสคืนฐานะ ก็สลับตัวกับร่างหลอมแร่แปรธาตุทันทีที่พ้นสายตาอาจารย์ประจำวิชาปรุงโอสถ เขาถอดหน้ากากออกดื่มน้ำยารสชาติย่ำแย่ลงคอ กลับมาเป็นชินอ๋องตามเดิมส่วนร่างปลอมก็โยนเข้าห้วงมิติเก็บรักษาไว้เผื่อคราวหน้ามีโอกาสได้ใช้ในห้องหนึ่งของมิติที่เต็มไปด้วยร่างหลอมที่รูปลักษณ์ต่างกันไปจ้าวถิงเซียวเมื่อเข้ามาอีกครั้งก็ไม่เห็นศิษย์ผู้สวมหน้ากากแล้ว เขายอมปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนในตอนนี้ แต่ไม่มีทางที่จะไม่สืบหาราวเรื่องอาจารย์ปรุงโอสถเดินผ่านเตียงของศิษย์ชายที่อาการหนัก เพราะโดนพิษเทาเทียเหมือนกันที่นอนอยู่ด้านข้างผู้ที่เข้ามาใหม่ ยาเม็ดใหญ่ถูกป้อนเข้าปากลู่เฉินเพื่อสลายพิษ จากนั้นก็ไปดูอาการอีกคนที่ตอนนี้นั่งหันซ้ายหันขวาไม่มีอาการเจ็บปวด คือ ชินอ๋องจอมเสเพลที่เขาอยากจะสั่งสอนหนัก ๆ เหลือเกิน“ไม่เป็นอะไรแล้ว ก็กลับไปนอนที่ห้องตัวเอง อย่ามาเกะกะ” ผู้เป็นใหญ่ในจวนเยียวยาไล่ศิษย์ที่ไม่ต้องดูแลแล้วออกไป แต่ก็เห็นสายตามองคนเจ็บไม่ไปไหน“เขาไม่เป็นอะไรมากแล้วพิษในกายจะค่อย ๆ สลายไปเอง”“ขอบคุณที่ท่านอาจารย์จ้าวดูแล
ดวงตาของสัตว์เทพกวาดตามองเทาเทียหลายร้อยตัวที่ยังไม่สงบอ้าปากกว้างน้ำลายไหลยืดตามคมเคี้ยวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันรู้สึกว่าปากพวกนี้เหม็นสุด ๆ พวกไม่รักษาความสะอาดของช่องปากเลย‘แหยะ...ข้าไม่อยากฟัดกับพวกหมาบ้าน้ำลายอย่างเทาเทียเลยหยางหยาง’‘เจ้าไม่ฟัด ข้าฟัดกับพวกมันเอง’เยี่ยหยางตอบกลับสัตว์เทพคู่ตัวเองเสียงเย็น เขารู้ว่าฉงหยิ๋นพูดแบบนี้กำลังเรียกสติให้เขาควบคุมอารมณ์ เขาไม่คลุ้มคลั่งตอนนี้หรอก ยังมีอะไรให้ต้องจัดการอีกมากเขาส่งญาติผู้น้องให้สือหลงโหยวดูแลอย่างดีแล้ว ก่อนจะร่ายเกราะเวทคุ้มกายให้พวกเขา จากเก็บไม้กายสิทธิ์และเรียกไม้เท้าออกมาจัดการกับหมาบ้าน้ำลาย ทั้งยกทั้งฟาดทั้งสาปส่ง จนพวกมันแน่นิ่งไปหลายสิบตัวมือซ้ายก็ถือดาบประจำตระกูลวินเซอร์จ้วงแทงไม่ยั้ง เทาเทียแม้จะรู้สึกสัมผัสถึงอันตราย แต่มันก็ช้าไป แม้ว่ารวมกำลังพลต่อสู้เยี่ยหยางที่ฆ่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อย่างโกรธแค้น ก็ไม่อาจสู้จอมเวทที่โทสะเดือดดาลพุ่งสะท้านฟ้าได้ ต่อให้เขาแสดงตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย กลั่นแกล้งคน จนอายฟ้าดิน ย่อมขีดกำจัดขีดไว้ฝ่ายผู้บุกรุกเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด
เส้นผมสีเงินสะท้อนแสงตกกระทบสว่างเป็นเด่นชัด เดินออกมาเป็นคนแรกตามด้วยคนอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ในชุดของศิษย์เทียนถูหวู่ ทุกคนไม่มีล่องลอยของการบาดเจ็บมีเพียงอาการเหนื่อยล้าเมื่อยกล้ามเนื้อเท่านั้น ใบหน้า หน้าตา สีหน้าแจ่มใสไม่มีแววตาหวาดกลัวใด ๆ เดินออกมาเหมือนคนเพิ่มออกมาจากห้องนอนดวงตาผู้คนที่อยู่นอกตำหนักทั้งสองฝ่ายเบิกกว้างตกใจ จนลูกตาแทบกระเด็นกระบี่ทวนง้าวร่วงหล่นจากมือกระทบพื้น ส่งเสียงเคร้งคร้างดังเป็นทอด ๆ ภาพเลวร้ายต่าง ๆ ที่คิดไปไกลได้กลับตาลปัตรความหวังของฝ่ายบุกรุกเหมือนปีนถึงยอดผากลับถูกถีบลงมาเหยียบขยี้เละไม่เหลือซาก ผู้ที่บุกเข้าไปภายในตำหนักที่เหลืออีกครึ่งจากการเก็บไว้สอบปากคำด้วยอำนาจชินอ๋อง ตอนนี้ถูกมัดมือมัดปากไม่กล้าหืออือเดินเรียงแถวกันมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งกว่าทหารในกองทัพ สีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเดินคอตกหมดอาลัยตายอยากกันทุกคน“เกิดอะไรขึ้น”น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยเรียบ ๆ ดวงตาคมหรี่มองภาพด้านนอก บุคลิกของผู้สวมหน้ากากอำพรางตัวตนคนนี้ ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างรู้สึกว่ามีอำนาจอัดแน่นในร่างสูงสง่า จนทำให้ดูน่าเกรงขาม แต่น
ถึงพังพอนเหลืองที่เคารพหลานชายสุดที่รักของท่านถูกพวกมันรังแกย่ำยี พวกมันกระทืบข้า ลวนลามข้า เหยียดหยามวงศ์ตระกูลข้า จนไม่มีหน้ารักษา อีกทั้งกล่าวหาว่าท่านไม่มีน้ำยาสั่งสอนข้า จนกลายเป็นสวะรกแผ่นดินเท่ากับพวกมันลบหลู่เบื้องสูงเท่ากับเหยียบหน้าฝ่าบาท พวกมันเป็นคนของตาเฒ่าหลี่ที่หวังสร้างคลื่นใต้น้ำก่อเรื่อง มีโทษสมควรตาย เรื่องนี้ไท่จื่อเป็นสักขีพยานได้ ยังเคราะห์ดีที่มีผู้แข็งแกร่งช่วยเหลือข้าเอาไว้ และเป็นผู้ส่งตัวพวกมันและจดหมายฉบับนี้มาให้ฝ่าบาทพิจารณา ป.ล พวกมันเป็นคนของพรรคมารอสูรที่ตาแก่หลี่อยู่เบื้องหลังกล้าเหิมเกริมบุกเทียนถูหวู่ ข้าส่งพวกมันให้ท่านนอนกกกอดได้เพียงเท่านี้จาก ชินอ๋อง หลานรักของเสด็จอาฮ่องเต้ฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยที่กำลังประชุมขุนนางหารือเรื่องบ้านเมืองอ่านสารจบหนวดกลับกระตุกไม่หยุด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ สายตาคมมองไปที่บรรดาร่างล่อนจ้อนที่มีผ้าปกปิดกันอุจาด รอยสักบอกยี่ห้อเจ้านายถูกเยี่ยหยางพรางไว้“ทหารจับพวกมันไปขังคุกของชินอ๋อง ร