หลังจากมองอีกฝ่ายทรมานจนพอใจแล้ว เยี่ยหยางตัดสินใจช่วยเหลือ แม้ว่าจะรู้สึกคันยุบยิบที่ความรู้สึกกับศีลธรรมของตัวเองกำลังต่อต้านกัน แต่เขาก็แยกแยะออกระหว่างเรื่องงานราษฎร์กับเรื่องส่วนตัว อีกฝ่ายกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาวบ้านราษฎร เขาที่เป็นถึงอ๋องแม้จะบัดซบแค่ไหนก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ“แกเป็นใคร” เสียงแหบแห้งของชายชุดดำตวาดใส่เยี่ยหยางที่เสือกเข้ามาขัดขวางมันอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา“ข้าจะเป็นใครก็เรื่องของข้า! ไอ้แก่” มาดบุคลิกที่เก็บลงกุใส่กุญแจถูกดึงมาใช้ แววตาคมสมกับผู้นำตระกูลวินเซอร์ น้ำเสียงท่าทางสง่าสูงส่ง ติดกวนโทสะผู้อื่นเล็กน้อย ผิดกับชินอ๋องที่ทุกคนรู้จัก เยี่ยหยางสังเกตเห็นว่าไม้กายาสิทธิ์ที่อยู่ในมือของมัน สามารถร่ายได้เพียงคาถาเดียวตั้งแต่ที่เขาสังเกตดู ชายผู้นี้ไม่มีพลังเวทในตัวแม้แต่น้อย แต่สามารถร่ายคาถากรีดใจที่ต้องอาศัยพลังเวท และทักษะสูงอยู่พอตัวถึงจะไล่สาปชาวบ้านได้ กลับมายืนสาป ข่มขู่กู่เทียนเย่าได้ น่าจะมีสาเหตุมาจากคาถาสุดท้ายที่ผู้วิเศษคนก่อนร่ายตกค้างในไม้กายาสิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ ใช่แล้ว...ไม้กายาสิทธิ์ในมือของมัน ไม่ใช่ไม้ที่มีสภาพพร้อมใช้งา
“นี่ ๆ ลู่เฉินเข้าเมืองพักโรงเตี๊ยมเถอะนะ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว” เสียงบ่นกระเปาะกะแปะดังตลอดทางสร้างความรำคาญกับผู้ร่วมเดินทางไม่น้อย “เจ้าจะบ่นอะไรไม่หยุดปากเสียที น่ารำคาญ” “โหยวโหยว ข้าเหนื่อย…เหนื่อยมาก ๆ เลย” เสียงหวานออดอ้อนแต่ชวนกวนประสาทมากกว่า ทำเอาองครักษ์พ่วงฐานะสหายร่วมเรียนคิ้วกระตุก ขบฟันกรอดข่มอารมณ์ความรู้สึกอยากลงไม้ลงมือกับเชื้อพระวงศ์สักทีสองที “ไท่จื่อ ข้าน้อยขออนุญาตไปสำรวจทางเบื้องหน้าพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงลู่เฉินพยักหน้ารับทราบ เขาอนุญาตให้คนที่จะเก็บกดอารมณ์จากการถูกยั่วโทสะให้ไปสงบสติ สือหลงโหยวชักม้าไปทางข้างหน้า สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ พยายามอย่างยิ่งยวดอดทนอดกลั้นอย่างยอดเยี่ยมว่าตัวเองจะไม่เผลอลงไม้ลงมือกับชินอ๋องแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย หลังจากพาท่านอ๋องบัดซบออกจากวงโคจรความวุ่นวาย ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอันตรายอะไรให้ลู่เฉินและสือหลงโหยวเสี่ยงอีก นอกจากเสียงบ่นที่เหมือนเสียงนกเสียงกาที่ร้องชวนรำคาญอยู่บ้าง “ถึงเมืองข้างหน้าค่อยพักที่โรงเตี๊ยม” ในที่สุดลู่เฉินเอ่ยอนุญาต เนื่องจากขบวนเดินทางใกล้ถึงจุดหมายในอีกไม่กี่วันก่อนกำหนดการที่คาด
ประตูห้องหับถูกเปิดออกอีกครั้ง เยี่ยหยางออกจากห้องไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นและสนใจเป็นผลมาจากเวทมนตร์ให้เบี่ยงเบนสายตา เขาเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม เป็นเนื้อผ้าอย่างนักเดินทางทั่วไป การแต่งกายของเขาแต่เดิมเยี่ยหยางก็นิยมชมชอบชุดสีเข้ม ที่ส่งเสริมให้บุคลิกของเขาดูสง่างามน่าเกรงขาม กลับต้องมาใส่เสื้อผ้าสีแดงโดดเด่นแสบตา เพื่อให้การแสดงเสแสร้งของเขาสุดตาเรียกร้องความสนใจผู้คนแสดงจุดยืนที่มั่นคงไม่หวั่นไหวนั้นก็ทรมานตัวเองไม่น้อยเช่นกัน เมื่อสบโอกาสที่ไม่ต้องเล่นงิ้วบทชินอ๋องผู้หาความสามารถที่ดีไม่ได้ เยี่ยหยางก็สลัดอาภรณ์สีแดงเพลิงออก เปลี่ยนชุดที่เข้มที่ชอบมากกว่าทันที ไม่เพียงความชอบสีเสื้อผ้าอาภรณ์จะต่างกัน แต่ท่าทางที่แสดงออกล้วนขัดแย้งแตกต่าง ท่วงท่าการเดินเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน จนไม่มีใครจับมาเปรียบเทียบคู่กันได้ เส้นผมสีเงินยวงถูกเปลี่ยนกลับมา หลังจากน้ำยาหมดฤทธิ์ ทรงผมถูกรัดจับทรงอย่างสบาย ๆ มองภายนอกผู้คนคงคิดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่มีกำลังยุทธแก่กล้าด้วยใบหน้าดูอ่อนเยาว์ที่เส้นผมขาวโพลน แต่มันก็ถูกปกปิดจนมิดด้วยหมวกปีกกว้างใบใหญ่ที่อำพรางใบหน้าไปส่วนหนึ่งจนเหมือนคุณ
เยี่ยหยางหางคิ้วกระตุกทันทีที่ได้ยิน เหลือบตามองคุณชายน้อยผู้สวมอาภรณ์เนื้อดีหรูหราปักลวดลายอู้ฟู่ เนื้อตัวสวมใส่เครื่องประดับมากเกินราวกับหญิงสาวดูน่าขบขัน “นี่เจ้ายังไม่รีบขายสมุนไพรให้คุณชายจูของเราอีก!!!” บ่าวรับใช้จอมประจบตะคอกเบ่งอำนาจราวกับตัวมันเป็นนาย คนถูกหยามหน้าไม่แยแสสนใจเด็กหนุ่มที่ทีท่าดั่งเด็กน้อย หันมาดูสมุนไพรที่นำออกมา “นี่คือรากหญ้าหิมะสวรรค์อายุร้อยปี?” “ใช่ขอรับ ราคาทั้งหมดห้าสิบตำลึงทอง” เยี่ยหยางมองสมุนไพรที่อยู่ข้างหน้า มันไม่ได้มีอายุร้อยปีดังที่ราคาขายอยู่ อายุของมันมีเพียงแค่แปดสิบกว่าปีในสภาพสมบูรณ์ มองจากภายนอกทั้งสีทั้งกลิ่นอายุสมุนไพรที่ต่างกันเพียงยี่สิบปียากที่จะแยกออก แต่เขาสามารถจำแนกได้อาศัยความสามารถประสบการณ์ปรุงยา “ข้าให้เจ็ดสิบตำลึงทอง เพิ่มอีกห้าตำลึงทองข้ายกให้เจ้า” คุณชายจูพูดเสนอราคาตัดหน้า เพื่อแย่งซื้อสมุนไพร “เอ่อ...แต่ทางร้านของเราเหลือแค่รากเดียว” พนักงานอึดอัดใจมองหน้าลูกค้าสองคนสลับไปมา เยี่ยหยางวางห้าสิบตำลึงทองลงไม่สนใจคุณชายจูที่มาทีหลัง เขามองพนักงานให้จัดการสมุนไพรให้ แต่บ่าวขอบคุณชายจูกลับเข้ามาแย่งของไปหน้าตาเฉย “ห
ในคืนกลางดึกคืนนั้นไฟโหมลุกไหม้กระหน่ำที่ร้านขายสมุนไพรจนมอดไหม้เป็นเถ้าตอนตะโกน ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งเศษเหรียญทองแดงกลายเป็นที่ว่างเปล่า แต่ด้านข้างร้านขายสินค้าอื่นกลับไม่เป็นไร ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย ชาวบ้านกลุ่มใหญ่รุมล้อมมองดูเอ่ยปากเล่าเรื่องมากมาย ไม่รู้เรื่องไหนเป็นความจริง เถ้าแก่เผิงจอมประจบล้มทั้งยืน ทรุดเข่าลงอยู่หน้าอดีตร้านขายสมุนไพรของตนอย่าน่าสมเพช ขุนนางเจ้าหน้าที่มือปราบค้นหาสืบต้นเพลิงกับไม่พบสิ่งใดที่เป็นต้นเหตุ หลักฐานวัตถุและบุคคลไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ครานี้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกจัดการด้วยเวทมนตร์ ที่แม้แต่กระแสเวทก็ถูกลบจนแทบไม่เหลือไอเวทให้เหล่าเจ้าหน้าที่ค้นหา ยังไงก็ยากที่จะจับตัวการได้ จอมยุทธหญิงนั่งจิบชาทานของว่างบนเหลาอาหารตรงข้ามร้านที่เกิดเหตุ นางตั้งใจรุดมาสังเกตการณ์ที่นี่โดยเฉพาะ นานมากแล้วนามมากจริง ๆ ที่เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถเกิดขึ้นปรากฏอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเบาะแสใดเพิ่มนอกจากความว่าเปล่า ดูท่านางคงต้องปักหลักอยู่ที่นี่พักใหญ่แล้ว “นี่ ๆ พี่ชาย ที่เปิดการแสดงสัตว์อสูรที่ประกาศเมื่อวันก่อนอ
“เปิ่นหวางเพิ่งทราบว่าผู้คนของราชอาณาจักรเป่ยฉินเถื่อน สถุล ไร้มารยาทในสังคม ไม่รู้จักแม้กระทั่งการให้เกียรติผู้อื่น อีกทั้งสามารถวางอำนาจในราชอาณาจักรซีเว่ยที่ไม่ใช่ผืนดินของเป่ยฉินได้” เยี่ยหยางหุบพัดที่พัดโบกในมือลง ปั้นสีหน้าเรียบขรึมอย่างง่ายดายเอ่ยพูดแผ่บรรยากาศกดดันออกมา เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่างานนี้จะจบอย่างไร “นั่นไง ข้าว่าคนผู้นั้นคือชินอ๋อง…” เสียงซุบซิบยังคงแว่วมาไม่ขาด แต่ก็ไม่กลบเสียงการปะทะกันคนคู่นี้ “อย่างแกเป็นอ๋อง? ถ้าแกเป็นอ๋อง ข้าคงเป็นฮ่องเต้ไปแล้ว ไอ้สวะ” คุณชายจูพูดเสียงดังก้อง “หึ...” “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” บรรดามือปราบที่กำลังรวบรวมข้อมูลครั้งสุดท้ายเพื่อสรุปสำนวนคดี ได้ยินข่าวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ ก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็วเอ่ยถามเหตุการณ์ตรงหน้า “คุณชายจูของข้าต้องการชมการแสดงที่ลานกว้าง แต่ไอ้สวะผู้นี้กับไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกับขวางทางเดิน” บ่าวรับใช้ยังคงไม่รู้ตัว แจ้งมือปราบด้วยท่าทีหยิ่งยโสไม่ต่างจากผู้เป็นนาย จนทำให้สองมือปราบไม่ทันได้สนใจคู่กรณีอีกคน เยี่ยหยางมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างสมเพช เขาควงเหวี่ยงแผ่นป้ายหยกประจำตัวในมืออย่างไม่สนใจ เพรา
สวะไร้ลมปราณ? โอ๊ย! ข้าจะเป็นลม...ไม่จริงใช่หรือไม่!!! เผิงเหล่ยมองท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อพร้อมกับตรวจสอบลมปราณคนตรงหน้าที่ดูเหมือนว่าข่าวลือ...จะเป็นจริง หมายความว่า… เถ้าแก่ผู้ขึ้นบัญชีหนังหมาของเยี่ยหยางเหงื่อแตกพลั่กเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างลึกซึ้งขึ้นมา นี่เขาทำอะไรลงไป… อยู่ดีไม่ว่าดีอัญเชิญเทพหายนะมาดูแลตัวเอง เผิงเหล่ยได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ในลำคอ จะร้องไห้ก็ไม่ได้จะพูดก็ไม่ออก “เอ่อ…” ตอนนี้เถ้าแก่เผิงมีเวลาว่าง ว่างมาก ๆ เพราะร้านที่ต้องดูแลหายวับไปกับควันไฟ จะฟ้องร้องบอกใครคงไม่มีใครเชื่อ ดีไม่ดีอาจจะคอขาดไม่รู้ตัว ใครให้เขาไปกล้ากระตุกเส้นขนของท่านอ๋องบัดซบกัน? “ไม่เป็นไร วันหลังเปิ่นหวางจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตัวเอง คงต้องขอรบกวนเถ้าแก่อีกครั้ง” เยี่ยหยางกล่าวแล้วเดินจากไปอย่างทิ้งนัย ทิ้งเผิงเหล่ยน้ำตาตกใน ไม่ต้องมาแล้ว ได้โปรดแค่นี้ข้าไม่เหลืออะไรแล้ว... อุบัติเหตุเมื่อคืนเถ้าแก่เผิงเสียหายขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก จับมือใครก็ดมไม่ได้ แต่ไม่ต้องคาดเดาเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองไปแหย่คนที่ไม่ควรแตะต้อง หนี้สินที่กู้ยืมหมุนเวียนในการค้าทับถมจนต้องขายร้านที่เหลือแต่ขี้เถ้า เพร
การสอบแข่งขันเข้าเรียนของที่นี่เป็นมาตรฐานของทุกแคว้น ยากที่จะทำการโกงและการใช้เส้นสายอำนาจเพื่อที่จะเข้ามาศึกษา แม้กระทั่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ยังต้องทำการทดสอบเหมือนคนธรรมดาสามัญ จึงทำให้สถานศึกษาแห่งนี้ได้การยอมรับทั้งในและต่างแคว้นว่ามีคุณภาพกว่าที่อื่น ๆ โดยในแต่ละปีจะรับผู้ที่มีปราณยุทธเข้ามาศึกษาเพียงปีละเจ็ดร้อยคน การศึกษาของที่นี่แบ่งออกเป็นสี่ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน ระดับเริ่มต้น ระดับสามัญ และ ระดับอาชีพ แต่ละระดับจะต้องเรียนรู้ไม่เกินสามปี โดยที่ระดับพื้นฐานและระดับเริ่มต้นจะเป็นเพียงศิษย์สายนอก ระดับสามัญเป็นศิษย์สายใน และระดับอาชีพเป็นศิษย์หลักที่มีจำนวนคนน้อยกว่านักนั้นไม่กำหนดเวลาเรียนรู้ แต่ใช้แต้มคะแนนแลกเปลี่ยนในการดำเนินชีวิตในเทียนถูหวู่ จากการทำภารกิจต่าง ๆ ของสำนักเป็นการแลกเปลี่ยน เพื่อนำคะแนนสะสมไปwแลกผลึกปราณหรือคัมภีร์ทักษะต่าง ๆ รวมถึงเม็ดยาโอสถแต่ถ้าศิษย์นอกศึกษาเกินเกณฑ์จะถูกเชิญออกจากเทียนถูหวู่ เพื่อต้องการให้ผู้ศึกษาตั้งใจศึกษาคนอื่นเข้ามาเรียนรู้ต่อ เพราะที่แห่งนี้นั้นไม่ว่าจะยากดีมีจนก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น