“ชินอ๋องมาแล้ว นั่ง ๆ” เหล่าคุณชายสหายเสเพลตบเก้าอี้ชวนนั่งอย่างเป็นกันเอง คุณชายทั้งหลายนี้เป็นกลุ่มคนประเภทกินอิ่มทั้งวัน ไร้ประโยชน์เสียจริง
“เปิ่นหวาง [2] มาแล้ว” มู่หรงเยี่ยหยางที่ส่งเสียงดังมาตั้งแต่หน้าประตูก้าวฉับ ๆ นั่งลงตรงเก้าอี้ว่างอย่างไม่ถือยศศักดิ์ไม่ห่วงภาพพจน์ มือคว้าป้านสุรายกขึ้นดื่มแต่หัววัน แล้วค่อยต่อบทสนทนาสบถว่าสหายปากไร้หูรูดชุดใหญ่ “นี่! พักนี้พวกเจ้าเหิมเกริม ปากกล้าขึ้นไม่น้อย นินทาเปิ่นหวางโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว ๆ” “ไม่ว่าอย่างไร เปิ่นหวางก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง หากปากพวกเจ้าไม่มีรูด จับจูงขาตัวเองขึ้นศาล ดาบพาดลำคอ ก็ไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้พามารดาพี่สาวน้องสาวมาอ้อนวอนข้าเลยนะ!” ชินอ๋องหุบพัดยกมันตบกะโหลกสหายเสเพลที่พูดจาไม่เข้าหูเขาอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ แต่ความจริงก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดนินทาของเหล่าสหายคุณชายทั้งหลาย ทั้งไม่ถือตัวพูดเล่นสนทนากันอย่างสนิทสนม “โถ่!!! ท่านอ๋อง” “หยุด! ข้าขี้เกียจฟังพวกเจ้าพล่ามจนน้ำลายแตกฟอง” ท่านอ๋องยื่นมือเอื้อมหยิบจับตะเกียบคีบจ้วงอาหารเข้าปาก “อื้อ... ฝีมือเหล่าเหยียนไม่ผิดหวังจริง ๆ รสชาติเลิศรสกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเคย” มู่หรงเยี่ยหยางเอ่ยปากชมพ่อครัวประจำบ่อนซีเป่าชางที่เขาเข้ามาใช้บริการจนเป็นลูกค้าประจำ “จริงสิ เมื่อครู่พวกเจ้าคุยเรื่องอะไรกัน” “ก็เรื่องที่องค์รัชทายาทไง เขาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้ไปศึกษาวิถีทางเต๋ายุทธที่เทียนถูหวู่” หนึ่งในผู้ร่วมวงโต๊ะทานอาหารบอก “พวกเราเลยกำลังเปรียบเทียบท่านกับไท่จื่ออยู่พอดี” “นี่พวกเจ้า!!! ข้าระดับไหนกัน ลู่เฉินไม่มีทางเทียบข้าได้อยู่แล้ว” มู่หรงเยี่ยหยางแย้งทันควัน พร้อมยืดอกภาคภูมิใจในตัวเอง เพื่อนร่วมโต๊ะที่เห็นท่าทางนั้น ก็กลอกตามองบนมองเอือมพร้อมกัน จากนั้นค่อยเอ่ยชมเชยท่านอ๋องสหายสูงศักดิ์ และคนผู้นั้นก็คือ คุณชายเซียว บุตรชายหัวหน้าองครักษ์วังหลวง ผู้ขึ้นชื่อความเสเพลไม่แพ้กัน เป็นลูกไล่ลูกตามจอมบัดซบไปทุกหนทุกแห่งอย่างเซียวอวี้ “ไม่มี ๆ ไม่มีใครเทียบท่านได้หรอก ยอดคุณชายเสเพลแห่งวังหลวง” “เฮอะ… เจ้าพูดไม่ดูหนังหน้าตัวเอง” เยี่ยหยางแขวะ จากนั้นชินอ๋องหลานรักฮ่องเต้ก็อยู่กินอยู่เล่นกับแก๊งคุณชายเสเพลของเมืองหลวงจนมืดค่ำ ได้พาตัวเองกลับตำหนักชินอ๋อง กลับไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า ตัวเองก็กำลังถูกจับมัดไปร่ำเรียนพร้อมกับองค์รัชทายาท ด้วยพระราชโองการของฮ่องเต้ เพื่อดัดนิสัยสันดานเสียที่ยากจะแก้ไขของเขาเอง “เจียงกงกง วันรุ่งไปส่งราชโองการให้ชินอ๋องให้เจิ้นด้วย” มู่หรงหย่งสือฮ่องเต้แห่งราชอาณาจักรซีเว่ย ตวัดพู่กันอักษรในราชโองการตัวสุดท้ายด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง สายตามีเลศนัยจ้องมองราชโองการ หึ ๆ หยางเอ๋อร์ คราวนี้เจ้าเสร็จเจิ้นแน่! …. รัชสมัยหย่งสือปีที่สิบ มีพระราชโองการถึงชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยาง “ด้วยโองการแห่งฟ้า รัชสมัยปีที่สิบ เดือนอ้าย ฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือทรงมีพระราชบัญชาให้ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยางแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย เดินทางไปศึกษาร่ำเรียนวิชาที่เทียนถูหวู่สมาพันธ์พิทักษ์ฟ้าดินและมาตุภูมิ พร้อมกับไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน หากขัดขืนราชโองการให้เข้ารับตำแหน่งขุนนางขั้นหก เจ้าหน้าที่ตรวจสอบราชการแผ่นดิน และเข้ารับหน้าที่ตั้งแต่วันนี้ นี่คือราชโองการ!!!” ...ตุบ… ผู้ที่ต้องรับราชโองการหมดสติทั้ง ๆ ที่อยู่ในท่าคุกเข่ารับราชโองการหน้าตำหนักชินอ๋อง “เอ่อ… น้อมรับราชโองการ ขอพระองค์อายุยืนหมื่น ๆ ปีหมื่น ๆ ปี” เจี้ยนฝู๋พ่อบ้านประจำจวนชินอ๋องอดีตองครักษ์ใบหน้าทะมึนทึมคิ้วเข้ม มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่ทำใจปลงตก เดินออกไปรับราชโองการแทนเจ้านายของตน จนกระทั่งเหล่ากงกงขันทีของฮ่องเต้จากไปแล้ว ถอนหายใจเบา ๆ เอ่ยปากบอกกล่าวท่านอ๋องนายท่านของตนที่ยังเสแสร้งเป็นลมหมดสติสมจริงสมจังอยู่ที่พื้นให้กลับเข้าจวนได้เสียที เพราะคนดูงิ้วของพระองค์แยกย้ายกลับไปหมดแล้วด้วยวิธี… “ท่านอ๋องมีหนอนอยู่ที่พื้นขอรับ” “อ๊าก! ไหนหนอน ๆ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าเร็วกว่านี้” “ข้าเกลียดหนอน!!!” เจี้ยนฝู๋เหนื่อยใจปลงตกกับนายท่านของตน เขาไม่อยากให้เจ้านายเล่นงิ้วหลอกลวงผู้คนเลย แต่ทำยังไงได้ ชีวิตเชื้อพระวงศ์อยู่ยากจริง ๆ เล่นละครกันทุกวัน เล่นจนเขาไม่รู้แล้วว่านิสัยไหนของท่านอ๋องจริง นิสัยไหนเสแสร้ง เพราะมันดูเสแสร้งไปหมดแล้ว เฮ้อ…เหนื่อยใจจริง ๆ หากวิญญาณนายท่านมองเห็น เขาหวังว่าท่านจะเข้าฝันไปอบรมสั่งสอนโอรสท่านบ้าง… ข่าวสารแพร่สะพัดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งในวงการซุบซิบตอนนี้รู้กันตั้งแต่ชนชั้นสูงยันขอทานชวบ้านมีสองเรื่อง คือ หนึ่ง...ไท่จื่อมู่หรงลู่เฉินเตรียมตัวเดินทางไปศึกษาวิชาเซียนยุทธตามวิถีทางเต๋ายุทธที่เทียนถูหวู่ สอง...ชินอ๋องทรงเป็นลมทันทีที่ได้พระราชโองการคำสั่งฟ้าดิน ที่ให้หวางเย่ท่านนี้ร่วมเดินทางไปศึกษาที่เทียนถูหวู่พร้อมกับองค์รัชทายาทและสือหลงโหยวบุตรชายหัวหน้าองครักษ์หน่วยพิเศษสือสองวันถัดมา ณ.ตำหนักเหลียงซิน ที่พำนักของไทเฮาหลิวอี้หง “ไทเฮา ได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไร้ความสามารถ ศึกษาสิ่งใดก็ไม่เคยสำเร็จ อายุอานามก็ล่วงเลยมามากแล้ว เกรงว่าการไปเทียนถูหวู่จะทำให้ราชสำนักต้องขายหน้า เสด็จอาต้องเสื่อมเสียเกียรติ” เสียงร้องโอดครวญชักแม่น้ำทั้งห้าของชินอ๋องดังทั่วตำหนักเหลียงซิน ด้วยเสียงดังที่กลัวว่าจะดังพอกลัวว่าผู้คนจะไม่ได้ยินทั่วถึง จะไม่รับรู้การปฏิเสธของตน ราวกับอยากให้มันได้ยินถึงพระกรรณผู้ออกราชโองการด้วยซ้ำไป แต่ท่าทีนิ่งเฉยที่ได้รับกลับมาจากผู้เป็นย่า ไม่ว่าเยี่ยหยางจะร้องอาละวาด หรือ โวยวายเพียงใดก็ตาม “เยี่ยหยางเจ้ามีกี่หัวกัน? อายเจีย [3] ไม่ยุ่งเรื่องราวในราชสำนักมานานแล้ว” น้ำเสียงเรียบเย็นสบายเอ่ยถาม “ราชโองการไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถขัดได้ แล้วก็เทียนถูหวู่ก็เป็นสำนักฝึกเซียนยุทธอันดับหนึ่งในใต้หล้า” “เสด็จย่า หยางเอ๋อไม่อยากห่างจากท่านไปไหนไกล หลานอยากอู่มองหน้าเสด็จย่าทุกวัน ท่านไม่รักหยางเอ๋อแล้วหรอถึงไล่หลานไปอยู่ห่างไกล ไม่เห็นแม้แต่เงาหลาน” ทั้ง ๆ ที่อาศัยเส้นสายลับ ๆ กระจายข่าวกระจายลมปากให้ถึงพระเนตรพระกรรณ์ของโอรสสวร
กลีบดอกหลุดร่วงกระจัดกระจายช้ำมือไม่น้อย ล้อมไปด้วยใบไม้ที่ถูกเด็ด ถอน ดึง ทึ้ง เขย่า จนร่วงกราวเหมือนฤดูใบไม้ผลิที่ผลัดใบจนโกร๋นเหลือแค่กิ่งก้านหัก ๆเด็กหนุ่มยืนกะพริบตาปริบ ๆ มองมือตัวเองที่ตอนนี้อยู่บนกิ่งไม้ที่พร้อมเด็ดดอกไม้แรกแย้มดอกเดียวและดอกสุดท้ายที่เหลืออยู่บนต้นครั้นได้สติ หลุดจากพะวง เยี่ยหยางยังไม่วายเด็ดบุปผาที่หลงเหลือ เดินเข้าไปหาพระสนมนางนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่รู้สิ่งที่ตนกระทำ“ถวายพระพรพระสนม พระองค์ทรงรีบร้อนไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพบบุปผาแรกแย้มสวยงดงาม ช่างเหมาะกับโฉมงามสวยสะคราญเช่นท่านเหลือเกิน จึงตั้งใจนำมาถวายด้วยใจ ทรงโปรดรับน้ำใจของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยหยางยิ้มกว้างยัดเยียดกิ่งประดับบุปผาใส่มือสาวงามที่ยืนนิ่งช็อก สายตามองตาดอกไม้แสนรักที่ถูกคนบัดซบย่ำยีเด็ดชีวิตเข็นฆ่า นอนไร้ชีวิตอย่างสงบในมือ แล้วหันหลังกลับ รุดชิ่งหนีจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอฟังเสียงชื่นชมที่กรีดร้องทะลวงแก้วหูปี้ดจนเต้นระริกดังไปทั้งวังหลวงฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือที่ทรงงานในห้องอักษรถึงกับสะดุ้งตกใจ พู่กันในมือตวัดปืดจากบนลงล่างขีดฆ่าสิ่งที่เขียนมาหลายเค่อทิ้งหัวคิ้วกระตุ
ในขณะที่ตัวก่อเหตุชิ่งหนีความโกลาหลที่ตัวก่อไว้ เยี่ยหยางตบอกปลอบใจตัวเองยกแขนเสื้อซับเหงื่อไคล พยายามปรับลมหายใจให้คงที่ เขาวิ่งสาวเท้าออกมากลับตำหนักอ๋องอย่างรวดเร็ว ไม่หวังดูผลงานที่ตัวเองก่อวีรกรรมชอกช้ำให้ผู้อื่นไว้ เฮ้อ...คิดว่าต้องฟังเสียงแหลมเล็กนั่นกรีดร้องให้ทรมานหูน้อย ๆ ของเปิ่นหวางแล้วสักอีก ดีที่เผ่นออกมาได้ทัน เจ้าตัวรีบร้อนไม่ทันระวังชนเข้ากับหัวขบวนมนุษย์ไม่เบา เซจนหน้าแทบซบพื้น แต่มนุษย์ผู้นั้นกับยืนนิ่งตั้งตระหง่านดั่งกำแพงเมืองไม่ไหวติง เยี่ยหยางอาศัยเกาะกำแพงมนุษย์พยุงตัวขึ้นเองพร้อมส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับไท่จื่อมู่หรงลู่เฉินญาติผู้น้องไร้อารมณ์ของเขา“ไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน”“ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยาง” น้ำเสียงเรียบนิ่งลึก ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ สีหน้าเรียบยิ่งกว่าน้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยใบหน้าอ่อนเยาว์นุ่มนวลดูแข็งกระด้างไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความหล่อเหลาสง่างามที่ฉายแววออกมาทั้งที่เยาว์วัย ดูทรงคุณวุฒิมากกว่าเยี่ยหยางอีก ทั้ง ๆ ที่อายุอ่อนกว่าเกือบสองปีเต็ม เขาเหลือบมองเยี่ยหยางอย่างเอือมระอาลูกพี่ลูกน้องผู้พี่คนนี้ที่ทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย“จริงสิ เรื่องที่
ระนาบหวู่เซียนเป็นระนาบที่มีพลังปราณยุทธเป็นใหญ่ แตกต่างจากระนาบมนตราที่พลังเวทมนตร์เป็นใหญ่และเขาก็หาทางกลับไม่ได้แต่ก็เป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องตาย เด็กหนุ่มปลงกับตัวเอง เป้าหมายในชีวิตตอนนี้สำหรับเยี่ยหยางคือการกลับไปในที่ของตัวเอง และฟื้นชีวิตสหายที่เป็นเหมือนพี่น้องเป็นคู่อริของเขา เยี่ยหยางเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเรือน หน้าต่างทุกบานปิดสนิทเหมือนเจ้าของไม่ค่อยจะเข้ามาใช้งาน ซึ่งเป็นความจริงห้องนี้เป็นแค่ทางผ่านสำหรับเดินเข้าห้องใต้ดินที่เขาสั่งคนทำขึ้น โดยไม่มีใครรู้ว่าใต้ตำหนักแห่งนี้มีดินแดนใต้ดินอยู่ ผู้ที่รู้เรื่องราวถูกลบความจำทั้งหมดด้วยเวทมนตร์อย่างถาวร ดินแดนใต้ดินตำหนักชินอ๋องมีทางเข้าหลายทาง ซึ่งเยี่ยหยางสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของเขา แต่ละทางเข้าก็มีวิธีเข้าไปที่แตกต่างกัน ไม่มีทางที่ผู้คนทั่วไป แม้กระทั่งเจ้ายุทธภพของที่นี่จะผ่านเข้าไปได้ ถ้าไม่มีพลังเวทและรู้วิธีเข้ามาที่ถูกต้อง ดีไม่ดีกลายเป็นผีเฝ้ายามให้เขาใช้สอยบรรยากาศดินแดนด้านล่างต่างจากด้านบนลิบลับ กลิ่นอายต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เครื่องเรือนหลายชิ้นดูแปลกตา กลับตกแต่งหรูหราอย่างเข้ากันด้วยสีขาวเป็นส่วนให
เยี่ยหยางเดินออกจากห้องใหญ่ที่เคยเป็นห้องปรุงยา มุ่งเข้าสู่ห้องนอนโปร่งกว้างสบายไม่เหมือนห้องที่อยู่ใต้ดิน เขาเอนตัวลงบนเตียงนุ่มสบายผิดกับตั่งเตียงของคนที่นี่นิยมกัน มันแข็งจนเขาปวดหลังไปหมด หลังจากทรมานตัวเองอยู่พักใหญ่ เขาเลยสร้างอาณาจักรใต้ดินของตัวเองขึ้น ผ้าปูเตียงสีน้ำเงินเข้มเด้งขึ้นยุบลงตามน้ำหนักเจ้าของที่โถมลงมา เชิงเทียนที่ถูกจุดเป็นแสงสว่างแทนไข่มุกฉายตะวันดับลงทั้งหมดด้วยมือที่โบกร่ายของเจ้าของห้องเฮ้อ...ในวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยไม่น้อยกับการสวมหน้ากาก เป็นมนุษย์ผู้รักการเสเพล ทำตัวเหลาะแหละ ทำตัวแย่ ๆ ไปวัน ๆ หน้ากากชั้นแล้วชั้นเล่าที่เขาต้องสวมไว้หนาจนด้านไปแล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องฐานะ ตัวตนนี้สร้างความหนักใจไม่น้อย ...แต่ช่างมันเถอะ...เปิ่นหวางชินแล้วล่ะเวลาเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วเดือนกว่าที่เยี่ยหยางเก็บเนื้อเก็บตัวตั้งแต่มีราชโองการฟาดลงมาที่เขา เจ้าตัวก็ไม่สร้างเรื่องให้ทหาร ชาวบ้านได้หวาดหวั่น นับเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ที่สงบสุขไม่มีเสียงร้องเรียนจนฎีกาสูงล้นศีรษะฮ่องเต้ ณ. ศาลาพักบริเวณ ประตูเสินอู่เหมินด้านทิศเหนือของวังหลวง“เฮอะ!
เยี่ยหยางขี่ม้าเหยาะ ๆ ออกนอกเมืองอย่างอาลัยอาวรณ์ อย่างน้อยเขาก็ใช้ชีวิตได้ดีอย่างสงบสุขหลายปีอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีชาวบ้านคนไหนที่เด็กหนุ่มไม่เคยคลุกคลีด้วย เขาย่างเท้าม้าช้าลงซึมซับบรรยากาศรอบ ๆเฮ้อ...อยู่ที่นี่มาเป็นสิบปี กลายเป็นบ้านอีกหลังของเขาไปแล้ว น่าเสียดายที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ด้วย ถ้าหากเพื่อนรักสองคนของเขาอยู่ที่นี่ เขาคงไม่เหงาขนาดนี้เยี่ยหยางมองตึกรามบ้านเรือนที่ต่างจากระนาบมนตรา วัฒนธรรมที่แตกต่าง ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่ระนาบมิติแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้วถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวดูไร้สาระในสายตาผู้อื่น ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใด ๆ แต่ความในใจกับมีมากมายเขาปิดดวงตาลงเก็บซ่อนความคิด ลืมตาขึ้นมาก็เห็นผู้คนยืนอออัดแน่นถนนตลอดเส้นดูท่าจะมีละครให้เขาเล่นอีกเรื่อง...“ท่านอ๋อง ท่านไปศึกษาที่เทียนถูหวู่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักไฉนถึงมีสีหน้าเช่นนั้น” เหล่าฮุ่ยผู้จัดการเหลาสุรา...รีบเปิดปากพูดคุยอย่างสนินสนม ขณะที่เดินเคียงข้างก้าวไปข้างหน้า ด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังสนทนากับสหาย แต่ฟันที่ขบบดในปากแทบแตกต่างส่งเสียงน่าหวาดหวั่นว่ามันจะสึกหรอไม่น้อย ไม่ใช่ว่ามันอยากเสนอหน้ามาสนทนา
การเดินทางผ่านมาหลายชั่วยามตัดป่าเขาเลี่ยงตัวเมือง เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายตามความประสงค์ของไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน แต่ดูเหมือนว่าความต้องการของรัชทายาทหนุ่มจะไม่เป็นดั่งที่หวังเสียงฆ่าฟันแว่วเข้ามาให้ได้ยินจากที่ไกล ๆ กลิ่นคาวเลือดลอยคุ้งมาตามสายลม โชยปะทะจมูกบ่งบอกให้พวกเขารู้ว่าข้างหน้ามีเรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วม“ไทจื่อ ด้านหน้า…” สือหลงโหยวหันไปหาองค์รัชทายาทมู่หรงลู่เฉิน เขามอบหน้าที่ตัดใจให้ผู้มีศักดิ์สูงสุดในที่นี้ในการตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อ แต่ยังไม่ทันได้ตกลงหรือกล่าวสิ่งใด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางเลือก และต้องติดร่างแหไปด้วยแล้วเพราะ…เหล่าชายชุดดำที่เหมือนจะเป็นผู้ร้าย หันมาสนใจเหยื่อผู้มาใหม่ วิ่งกรูเข้ามาหวังฉกชิงทรัพย์สิน พวกมันพุ่งเข้ามาหาผู้ที่คิดว่าจัดการง่ายที่สุดก่อนใคร และคนที่อ่อนปวกเปียกในสายตาพวกมัน เห็นทีจะเป็นชินอ๋องที่สวมหน้ากากจอมเสเพลไร้แรงฆ่าไก่ชื่อดังผู้นี้“อย่า ๆ อย่าเข้ามาใกล้ข้า”เสียงร้องแหกปากโวยวายดังออกมาจากริมฝีปากของชินอ๋องเจ้าแห่งความว
ชายชุดดำเห็นสหายร่วมงาน ถูกเล่นงานก็กรูคมดาบเข้าหาทุกทิศทาง แต่จำนวนคนและฝีมือแค่นี้ไม่คณามืออดีตคุณชายวินเซอร์จอมเวทผู้เก่งกาจที่หนึ่งในรุ่นของสถานศึกษาเวทรามิเรสหรอก “ไม่ได้ออกบู๊มานานสงสัยสนิมจะเกาะกระดูกกระเดี้ยว” เสียงกระดูกต้นคอดังกรอบแกรบยืดเส้นยืดสายเตรียมออกกำลัง พร้อมเสียงบ่นอุบอิบของเยี่ยหยางที่พึมพรำกับตัวเองเหมือนผู้สูงอายุ แต่ก็ไม่แปลก เพราะถ้ารวมอายุวิญญาณจริง ๆ ของชินอ๋องผู้นี้ก็ใกล้เข้าวัยทองอยู่รอมร่อ เยี่ยหยางกระโดดลอยตัวขึ้น กิ่งไม้เรียวตวัดรอบเป็นวงด้านล่างจนฝุ่นฟุ้งไม่เห็นสภาพ ยังไม่หันกลับไปมองผลลัพธ์ ก็ทะยานตัวออกไปสู่จุดที่เขาจับไอเวทได้ ยิ่งใกล้เข้าไปมากเท่าไหร่เยี่ยหยางก็สัมผัสได้ถึงพลังสายหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างยิ่งที่เมื่อครู่สัมผัสได้บางเบา จึงต้องเล่นละครวิ่งหลบลู่เฉินมาเพื่อตรวจสอบ เวทมนตร์ ไม่ผิดแน่!! ควันฝุ่นเบาบางลง ภาพที่ปรากฏเหลือเพียงชายชุดดำ ที่นอนสลบหมดสภาพระเกะระกะสุมกันอย่างไม่มีสติ หน้ากากสีดำสนิทปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันทีในพริบตาที่ไม่มีใครจับสังเกตเห็น พร้อมเสื้อคลุมแบบจอมเวทสีดำสนิทปกปิดตัวตน เยี่ยหยางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร แ