“บังอาจ!!!”
เสียงพูดคุยจอแจหยุดลงทันควัน ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจดังเฮือกตกใจหัวใจแทบร่วงอยู่ที่พื้น แต่เมื่อหันมากับพบชินอ๋องเชื้อพระวงศ์ระดับสูงผู้ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับฮ่องเต้ตวาดเสียงดังขึ้นกลางวง เหล่าเจ้าของเสียงนินทาทั้งหลายลูบอกอย่างโล่งใจ ทันทีที่พบว่าเป็นผู้ใด ต่างปรับสีหน้าท่าทางไม่ใส่ใจผู้มาใหม่เช่นเดิม ก่อนหน้านี้พวกเขากลัวว่าจะเป็นผู้อื่น ล่วงเกินเบื้องสูงท่านอื่น แต่เป็นคนผู้นี้… เหอะ ๆ ผู้ไม่อาจหยุดปากเหล่าสหายเสเพลที่ร่วมดื่มกินเที่ยวเล่นของคนผู้นี้ได้ และเปิดหัวข้อสนทนาที่หมิ่นประมาทเชื้อพระวงศ์ของราชอาณาจักรซีเว่ยที่มีเพียงผู้เดียวที่สามารถเอ่ยปากนินทาได้ต่อ คือ…ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยางแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย ชินอ๋องผู้นี้เป็นทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของชินอ๋องมู่หรงหลงหมิงกับพระชายาเอกป๋ายหยู่ถงที่ประสบเคราะห์กรรม ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์กบฏแถบคาบสมุทรชิงไห่เมื่อสิบปีก่อน เขารับสืบทอดตำแหน่งของบิดาตั้งแต่เยาว์วัยไม่รู้ความ และเป็นเพียงผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมออกประพาสครั้งโน้น เนื่องจากบิดาเป็นน้องชายแท้ ๆ โดยสายเลือดที่มีพระมารดาคนเดียวกันกับอดีตไท่จื่อ [1] มู่หรงเพ่ยจวินที่ตอนนี้ผู้คนต่างคาดว่าสิ้นลมไปตั้งแต่เยาว์วัย แต่สวรรค์ยังคงปรานีให้เด็กหนุ่มเหลือญาติสนิทอีกคน อย่างฉีอ๋องมู่หรงหย่งสือผู้เป็นน้องชายอีกคนของมู่หรงหลงหมิง ที่ตอนนี้เป็นฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย คอยคุ้มกะลาหัวให้ท่านอ๋องผู้ว่างงานผู้นี้ หลังเหตุการณ์ครานั้น ทำให้อ๋องน้อยน่ารักผู้เป็นที่รักของทุกคนเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างสิ้นเชิง จากเด็กที่ร่าเริง สนุกสนาน กลายเป็นเด็กเงียบขรึมไม่พูดไม่จากับผู้ใด เป็นดั่งเรือใบไม้ล่องลอยเพียงลำพัง ทุกคนรอบข้างต่างอดสงสารไม่ได้ และคิดว่าท่านอ๋องน้อยผู้นี้คงวิปลาส สติหลุดลอยไปกับภาพพระบิดาและพระมารดาที่ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา ทำให้ปิดกั้นตัวเองจากผู้อื่น โศกนาฏกรรมในตอนนั้นกว่าจะหาตัวของอ๋องน้อยพบ ก็อีกสองปีต่อมาสภาพของเด็กชาย ก็ใกล้เส้นชีวิตขาดอยู่รอมล่อ เด็กน้อยถูกฉุดแย่งเยื้อออกมาจากขอบเหวห้วงอเวจี ร่างกายทรุดโทรมซูบผอม เนื้อตัวสกปรกมอมแมน จนยากจะแยกได้ว่าเขา คือเชื้อพระวงศ์องค์น้อยที่ถูกตามหา มีเพียงสร้อยหยกขาวกรงเล็บมังกรที่คล้องอยู่บนคอ เป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันว่าพระองค์ คือ มู่หรงเยี่ยหยาง และใบหน้าที่ฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือและไทเฮาหลิวอี้หงไม่เคยลืมเลือน ใบหน้าที่เป็นตัวแทนพี่ชายและลูกชายของพวกเขา เยี่ยหยางกลายเป็นเด็กเงียบขรึมอยู่หลายปี จนทุกคนรอบข้างต่างกังวลเป็นห่วง จนห้าขวบเริ่มตีคน เจ็ดขวบดื่มเหล้า เก้าขวบกล้าเหยียบหอโคมเขียวโคมแดง กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มเกเร เป็นคนเหลาะแหละ ดูไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวที่สุด นำหน้าเหล่าคุณชายที่วัน ๆ เอาแต่กินเล่นผลาญเงินทอง เป็นยอดคุณชายเสเพล สำมะเลเทเมา ที่ผู้คนในเมืองหลวงต่างด่าลับหลัง บางคราก็โพล่งต่อหน้าเจ้าตัว สร้างข่าวคราวชื่อเสียงเสียหาย จนไม่มีหน้าให้เสียได้อีก ไม่ว่าจับปลา ชนไก่ แข่งลูกเต๋า ตีจิ้งหรีด ทุบตีเตะคนโดยไม่รู้สึกรู้สา ไม่มีความเกรงกลัว เขาล้วนทำมาแล้วทุกสิ่ง ความสามารถด้านนักเลงอันธพาล เขากลับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า เหล้านารีแดงยันพยัคฆ์คำรามไม่อาจทำให้เด็กชายดื่มแล้วเมามายแม้แต่น้อย คอทองแดงเหมือนยกซดน้ำแกง ชินอ๋อง-มู่หรงเยี่ยหยางเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหมู่ของพวกเสเพลในเมืองหลวง โจรผู้ร้าย นักต้มตุ๋นหลอกลวงกับชิดเชื้อสนิทสนมท่านอ๋องผู้นี้ดังสหาย นักเลงอันธพาลไม่มีใครที่ไม่เคยเสวนากับเขา คำว่าตัวบัดซบที่ดีเป็นอย่างไร คงมีแค่ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยางเท่านั้นที่สามารถอธิบายได้ถึงแก่นแท้ของความหมายได้ แต่ถึงแม้เขาจะเลวร้ายบัดซบถึงแก่นเพียงใด ผู้คนด่าว่าสาดเสียเทเสียเพียงใด ก็ไม่เคยมีใครตายในน้ำมือฝ่าเท้าของชินอ๋อง ทำให้ฮ่องเต้ได้แต่จนใจ ปิดตาข้างหนึ่งหลับตาอีกข้างโบกมือปล่อย ๆ เขาไปอย่างช่วยไม่ได้[1] องค์ไท่จื่อ หรือ หวงไท่จื่อ (皇太子) เป็นตำแหน่งองค์รัชทายาทมีสิทธิ์เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์คนถัดไป มักมีคำเรียกแทนตัวเองว่า “เปิ่นไท่จื่อ”
“ชินอ๋องมาแล้ว นั่ง ๆ” เหล่าคุณชายสหายเสเพลตบเก้าอี้ชวนนั่งอย่างเป็นกันเอง คุณชายทั้งหลายนี้เป็นกลุ่มคนประเภทกินอิ่มทั้งวัน ไร้ประโยชน์เสียจริง“เปิ่นหวาง [2] มาแล้ว” มู่หรงเยี่ยหยางที่ส่งเสียงดังมาตั้งแต่หน้าประตูก้าวฉับ ๆ นั่งลงตรงเก้าอี้ว่างอย่างไม่ถือยศศักดิ์ไม่ห่วงภาพพจน์ มือคว้าป้านสุรายกขึ้นดื่มแต่หัววัน แล้วค่อยต่อบทสนทนาสบถว่าสหายปากไร้หูรูดชุดใหญ่“นี่! พักนี้พวกเจ้าเหิมเกริม ปากกล้าขึ้นไม่น้อย นินทาเปิ่นหวางโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว ๆ”“ไม่ว่าอย่างไร เปิ่นหวางก็ยังเป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง หากปากพวกเจ้าไม่มีรูด จับจูงขาตัวเองขึ้นศาล ดาบพาดลำคอ ก็ไม่ต้องมาร้องห่มร้องไห้พามารดาพี่สาวน้องสาวมาอ้อนวอนข้าเลยนะ!”ชินอ๋องหุบพัดยกมันตบกะโหลกสหายเสเพลที่พูดจาไม่เข้าหูเขาอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ แต่ความจริงก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดนินทาของเหล่าสหายคุณชายทั้งหลาย ทั้งไม่ถือตัวพูดเล่นสนทนากันอย่างสนิทสนม“โถ่!!! ท่านอ๋อง”“หยุด! ข้าขี้เกียจฟังพวกเจ้าพล่ามจนน้ำลายแตกฟอง” ท่านอ๋องยื่นมือเอื้อมหยิบจับตะเกียบคีบจ้วงอาหารเข้าปาก“อื้อ... ฝีมือเหล่าเหยียนไม่ผิดหวังจริง ๆ รสชาติเลิศรสกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอยังคง
สองวันถัดมา ณ.ตำหนักเหลียงซิน ที่พำนักของไทเฮาหลิวอี้หง “ไทเฮา ได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไร้ความสามารถ ศึกษาสิ่งใดก็ไม่เคยสำเร็จ อายุอานามก็ล่วงเลยมามากแล้ว เกรงว่าการไปเทียนถูหวู่จะทำให้ราชสำนักต้องขายหน้า เสด็จอาต้องเสื่อมเสียเกียรติ” เสียงร้องโอดครวญชักแม่น้ำทั้งห้าของชินอ๋องดังทั่วตำหนักเหลียงซิน ด้วยเสียงดังที่กลัวว่าจะดังพอกลัวว่าผู้คนจะไม่ได้ยินทั่วถึง จะไม่รับรู้การปฏิเสธของตน ราวกับอยากให้มันได้ยินถึงพระกรรณผู้ออกราชโองการด้วยซ้ำไป แต่ท่าทีนิ่งเฉยที่ได้รับกลับมาจากผู้เป็นย่า ไม่ว่าเยี่ยหยางจะร้องอาละวาด หรือ โวยวายเพียงใดก็ตาม “เยี่ยหยางเจ้ามีกี่หัวกัน? อายเจีย [3] ไม่ยุ่งเรื่องราวในราชสำนักมานานแล้ว” น้ำเสียงเรียบเย็นสบายเอ่ยถาม “ราชโองการไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถขัดได้ แล้วก็เทียนถูหวู่ก็เป็นสำนักฝึกเซียนยุทธอันดับหนึ่งในใต้หล้า” “เสด็จย่า หยางเอ๋อไม่อยากห่างจากท่านไปไหนไกล หลานอยากอู่มองหน้าเสด็จย่าทุกวัน ท่านไม่รักหยางเอ๋อแล้วหรอถึงไล่หลานไปอยู่ห่างไกล ไม่เห็นแม้แต่เงาหลาน” ทั้ง ๆ ที่อาศัยเส้นสายลับ ๆ กระจายข่าวกระจายลมปากให้ถึงพระเนตรพระกรรณ์ของโอรสสวร
กลีบดอกหลุดร่วงกระจัดกระจายช้ำมือไม่น้อย ล้อมไปด้วยใบไม้ที่ถูกเด็ด ถอน ดึง ทึ้ง เขย่า จนร่วงกราวเหมือนฤดูใบไม้ผลิที่ผลัดใบจนโกร๋นเหลือแค่กิ่งก้านหัก ๆเด็กหนุ่มยืนกะพริบตาปริบ ๆ มองมือตัวเองที่ตอนนี้อยู่บนกิ่งไม้ที่พร้อมเด็ดดอกไม้แรกแย้มดอกเดียวและดอกสุดท้ายที่เหลืออยู่บนต้นครั้นได้สติ หลุดจากพะวง เยี่ยหยางยังไม่วายเด็ดบุปผาที่หลงเหลือ เดินเข้าไปหาพระสนมนางนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่รู้สิ่งที่ตนกระทำ“ถวายพระพรพระสนม พระองค์ทรงรีบร้อนไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพบบุปผาแรกแย้มสวยงดงาม ช่างเหมาะกับโฉมงามสวยสะคราญเช่นท่านเหลือเกิน จึงตั้งใจนำมาถวายด้วยใจ ทรงโปรดรับน้ำใจของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยหยางยิ้มกว้างยัดเยียดกิ่งประดับบุปผาใส่มือสาวงามที่ยืนนิ่งช็อก สายตามองตาดอกไม้แสนรักที่ถูกคนบัดซบย่ำยีเด็ดชีวิตเข็นฆ่า นอนไร้ชีวิตอย่างสงบในมือ แล้วหันหลังกลับ รุดชิ่งหนีจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอฟังเสียงชื่นชมที่กรีดร้องทะลวงแก้วหูปี้ดจนเต้นระริกดังไปทั้งวังหลวงฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือที่ทรงงานในห้องอักษรถึงกับสะดุ้งตกใจ พู่กันในมือตวัดปืดจากบนลงล่างขีดฆ่าสิ่งที่เขียนมาหลายเค่อทิ้งหัวคิ้วกระตุ
ในขณะที่ตัวก่อเหตุชิ่งหนีความโกลาหลที่ตัวก่อไว้ เยี่ยหยางตบอกปลอบใจตัวเองยกแขนเสื้อซับเหงื่อไคล พยายามปรับลมหายใจให้คงที่ เขาวิ่งสาวเท้าออกมากลับตำหนักอ๋องอย่างรวดเร็ว ไม่หวังดูผลงานที่ตัวเองก่อวีรกรรมชอกช้ำให้ผู้อื่นไว้ เฮ้อ...คิดว่าต้องฟังเสียงแหลมเล็กนั่นกรีดร้องให้ทรมานหูน้อย ๆ ของเปิ่นหวางแล้วสักอีก ดีที่เผ่นออกมาได้ทัน เจ้าตัวรีบร้อนไม่ทันระวังชนเข้ากับหัวขบวนมนุษย์ไม่เบา เซจนหน้าแทบซบพื้น แต่มนุษย์ผู้นั้นกับยืนนิ่งตั้งตระหง่านดั่งกำแพงเมืองไม่ไหวติง เยี่ยหยางอาศัยเกาะกำแพงมนุษย์พยุงตัวขึ้นเองพร้อมส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับไท่จื่อมู่หรงลู่เฉินญาติผู้น้องไร้อารมณ์ของเขา“ไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน”“ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยาง” น้ำเสียงเรียบนิ่งลึก ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ สีหน้าเรียบยิ่งกว่าน้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยใบหน้าอ่อนเยาว์นุ่มนวลดูแข็งกระด้างไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความหล่อเหลาสง่างามที่ฉายแววออกมาทั้งที่เยาว์วัย ดูทรงคุณวุฒิมากกว่าเยี่ยหยางอีก ทั้ง ๆ ที่อายุอ่อนกว่าเกือบสองปีเต็ม เขาเหลือบมองเยี่ยหยางอย่างเอือมระอาลูกพี่ลูกน้องผู้พี่คนนี้ที่ทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย“จริงสิ เรื่องที่
ระนาบหวู่เซียนเป็นระนาบที่มีพลังปราณยุทธเป็นใหญ่ แตกต่างจากระนาบมนตราที่พลังเวทมนตร์เป็นใหญ่และเขาก็หาทางกลับไม่ได้แต่ก็เป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องตาย เด็กหนุ่มปลงกับตัวเอง เป้าหมายในชีวิตตอนนี้สำหรับเยี่ยหยางคือการกลับไปในที่ของตัวเอง และฟื้นชีวิตสหายที่เป็นเหมือนพี่น้องเป็นคู่อริของเขา เยี่ยหยางเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเรือน หน้าต่างทุกบานปิดสนิทเหมือนเจ้าของไม่ค่อยจะเข้ามาใช้งาน ซึ่งเป็นความจริงห้องนี้เป็นแค่ทางผ่านสำหรับเดินเข้าห้องใต้ดินที่เขาสั่งคนทำขึ้น โดยไม่มีใครรู้ว่าใต้ตำหนักแห่งนี้มีดินแดนใต้ดินอยู่ ผู้ที่รู้เรื่องราวถูกลบความจำทั้งหมดด้วยเวทมนตร์อย่างถาวร ดินแดนใต้ดินตำหนักชินอ๋องมีทางเข้าหลายทาง ซึ่งเยี่ยหยางสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของเขา แต่ละทางเข้าก็มีวิธีเข้าไปที่แตกต่างกัน ไม่มีทางที่ผู้คนทั่วไป แม้กระทั่งเจ้ายุทธภพของที่นี่จะผ่านเข้าไปได้ ถ้าไม่มีพลังเวทและรู้วิธีเข้ามาที่ถูกต้อง ดีไม่ดีกลายเป็นผีเฝ้ายามให้เขาใช้สอยบรรยากาศดินแดนด้านล่างต่างจากด้านบนลิบลับ กลิ่นอายต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เครื่องเรือนหลายชิ้นดูแปลกตา กลับตกแต่งหรูหราอย่างเข้ากันด้วยสีขาวเป็นส่วนให
เยี่ยหยางเดินออกจากห้องใหญ่ที่เคยเป็นห้องปรุงยา มุ่งเข้าสู่ห้องนอนโปร่งกว้างสบายไม่เหมือนห้องที่อยู่ใต้ดิน เขาเอนตัวลงบนเตียงนุ่มสบายผิดกับตั่งเตียงของคนที่นี่นิยมกัน มันแข็งจนเขาปวดหลังไปหมด หลังจากทรมานตัวเองอยู่พักใหญ่ เขาเลยสร้างอาณาจักรใต้ดินของตัวเองขึ้น ผ้าปูเตียงสีน้ำเงินเข้มเด้งขึ้นยุบลงตามน้ำหนักเจ้าของที่โถมลงมา เชิงเทียนที่ถูกจุดเป็นแสงสว่างแทนไข่มุกฉายตะวันดับลงทั้งหมดด้วยมือที่โบกร่ายของเจ้าของห้องเฮ้อ...ในวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยไม่น้อยกับการสวมหน้ากาก เป็นมนุษย์ผู้รักการเสเพล ทำตัวเหลาะแหละ ทำตัวแย่ ๆ ไปวัน ๆ หน้ากากชั้นแล้วชั้นเล่าที่เขาต้องสวมไว้หนาจนด้านไปแล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องฐานะ ตัวตนนี้สร้างความหนักใจไม่น้อย ...แต่ช่างมันเถอะ...เปิ่นหวางชินแล้วล่ะเวลาเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วเดือนกว่าที่เยี่ยหยางเก็บเนื้อเก็บตัวตั้งแต่มีราชโองการฟาดลงมาที่เขา เจ้าตัวก็ไม่สร้างเรื่องให้ทหาร ชาวบ้านได้หวาดหวั่น นับเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ที่สงบสุขไม่มีเสียงร้องเรียนจนฎีกาสูงล้นศีรษะฮ่องเต้ ณ. ศาลาพักบริเวณ ประตูเสินอู่เหมินด้านทิศเหนือของวังหลวง“เฮอะ!
เยี่ยหยางขี่ม้าเหยาะ ๆ ออกนอกเมืองอย่างอาลัยอาวรณ์ อย่างน้อยเขาก็ใช้ชีวิตได้ดีอย่างสงบสุขหลายปีอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีชาวบ้านคนไหนที่เด็กหนุ่มไม่เคยคลุกคลีด้วย เขาย่างเท้าม้าช้าลงซึมซับบรรยากาศรอบ ๆเฮ้อ...อยู่ที่นี่มาเป็นสิบปี กลายเป็นบ้านอีกหลังของเขาไปแล้ว น่าเสียดายที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ด้วย ถ้าหากเพื่อนรักสองคนของเขาอยู่ที่นี่ เขาคงไม่เหงาขนาดนี้เยี่ยหยางมองตึกรามบ้านเรือนที่ต่างจากระนาบมนตรา วัฒนธรรมที่แตกต่าง ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่ระนาบมิติแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้วถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวดูไร้สาระในสายตาผู้อื่น ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใด ๆ แต่ความในใจกับมีมากมายเขาปิดดวงตาลงเก็บซ่อนความคิด ลืมตาขึ้นมาก็เห็นผู้คนยืนอออัดแน่นถนนตลอดเส้นดูท่าจะมีละครให้เขาเล่นอีกเรื่อง...“ท่านอ๋อง ท่านไปศึกษาที่เทียนถูหวู่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักไฉนถึงมีสีหน้าเช่นนั้น” เหล่าฮุ่ยผู้จัดการเหลาสุรา...รีบเปิดปากพูดคุยอย่างสนินสนม ขณะที่เดินเคียงข้างก้าวไปข้างหน้า ด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังสนทนากับสหาย แต่ฟันที่ขบบดในปากแทบแตกต่างส่งเสียงน่าหวาดหวั่นว่ามันจะสึกหรอไม่น้อย ไม่ใช่ว่ามันอยากเสนอหน้ามาสนทนา
การเดินทางผ่านมาหลายชั่วยามตัดป่าเขาเลี่ยงตัวเมือง เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายตามความประสงค์ของไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน แต่ดูเหมือนว่าความต้องการของรัชทายาทหนุ่มจะไม่เป็นดั่งที่หวังเสียงฆ่าฟันแว่วเข้ามาให้ได้ยินจากที่ไกล ๆ กลิ่นคาวเลือดลอยคุ้งมาตามสายลม โชยปะทะจมูกบ่งบอกให้พวกเขารู้ว่าข้างหน้ามีเรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วม“ไทจื่อ ด้านหน้า…” สือหลงโหยวหันไปหาองค์รัชทายาทมู่หรงลู่เฉิน เขามอบหน้าที่ตัดใจให้ผู้มีศักดิ์สูงสุดในที่นี้ในการตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อ แต่ยังไม่ทันได้ตกลงหรือกล่าวสิ่งใด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางเลือก และต้องติดร่างแหไปด้วยแล้วเพราะ…เหล่าชายชุดดำที่เหมือนจะเป็นผู้ร้าย หันมาสนใจเหยื่อผู้มาใหม่ วิ่งกรูเข้ามาหวังฉกชิงทรัพย์สิน พวกมันพุ่งเข้ามาหาผู้ที่คิดว่าจัดการง่ายที่สุดก่อนใคร และคนที่อ่อนปวกเปียกในสายตาพวกมัน เห็นทีจะเป็นชินอ๋องที่สวมหน้ากากจอมเสเพลไร้แรงฆ่าไก่ชื่อดังผู้นี้“อย่า ๆ อย่าเข้ามาใกล้ข้า”เสียงร้องแหกปากโวยวายดังออกมาจากริมฝีปากของชินอ๋องเจ้าแห่งความว