สองวันถัดมา ณ.ตำหนักเหลียงซิน ที่พำนักของไทเฮาหลิวอี้หง
“ไทเฮา ได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไร้ความสามารถ ศึกษาสิ่งใดก็ไม่เคยสำเร็จ อายุอานามก็ล่วงเลยมามากแล้ว เกรงว่าการไปเทียนถูหวู่จะทำให้ราชสำนักต้องขายหน้า เสด็จอาต้องเสื่อมเสียเกียรติ” เสียงร้องโอดครวญชักแม่น้ำทั้งห้าของชินอ๋องดังทั่วตำหนักเหลียงซิน ด้วยเสียงดังที่กลัวว่าจะดังพอกลัวว่าผู้คนจะไม่ได้ยินทั่วถึง จะไม่รับรู้การปฏิเสธของตน ราวกับอยากให้มันได้ยินถึงพระกรรณผู้ออกราชโองการด้วยซ้ำไป แต่ท่าทีนิ่งเฉยที่ได้รับกลับมาจากผู้เป็นย่า ไม่ว่าเยี่ยหยางจะร้องอาละวาด หรือ โวยวายเพียงใดก็ตาม “เยี่ยหยางเจ้ามีกี่หัวกัน? อายเจีย [3] ไม่ยุ่งเรื่องราวในราชสำนักมานานแล้ว” น้ำเสียงเรียบเย็นสบายเอ่ยถาม “ราชโองการไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถขัดได้ แล้วก็เทียนถูหวู่ก็เป็นสำนักฝึกเซียนยุทธอันดับหนึ่งในใต้หล้า” “เสด็จย่า หยางเอ๋อไม่อยากห่างจากท่านไปไหนไกล หลานอยากอู่มองหน้าเสด็จย่าทุกวัน ท่านไม่รักหยางเอ๋อแล้วหรอถึงไล่หลานไปอยู่ห่างไกล ไม่เห็นแม้แต่เงาหลาน” ทั้ง ๆ ที่อาศัยเส้นสายลับ ๆ กระจายข่าวกระจายลมปากให้ถึงพระเนตรพระกรรณ์ของโอรสสวรรค์ถึงเรื่องแย่ ๆ ที่โหมเข้าไป ให้พังพอนเหลืองหวาดหวั่น เพื่อที่จะถอดพระราชโองการถอนรับสั่งกลับคืนมา แต่ก็ไม่ได้ผล จนต้องตีอกชกหัวอยู่ที่นี่ แต่แผนรับมือทุกอย่างที่ร่ายออกไปกลับไม่ได้ผล ชินอ๋องเรียกใช้กลยุทธ์แผนลูกแมวขี้อ้อนต่อทันที พร้อมบีบน้ำตาเรียกสั่งได้ประกอบเรียกความเห็นใจให้เห็น เด็กหนุ่มใช้วิธีเกาะเข่า ออดอ้อน ซบตักคนเป็นย่าราวกับเด็กสองขวบ “ท่านย่า ท่านว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม้หวานใช่หรือไม่ขอรับ” “เหลวไหล ข้าเป็นคนให้ฮ่องเต้ช่วยออกราชโองการนี้เอง เจ้าคงไม่ต้องให้ข้าต้องถอนคำพูด ถอนหงอกตัวเองใช่หรือไม่” ไทเฮาถังอี้หงมองเยี่ยหยางด้วยสายตาเอ็นดู นางชอบที่หลานชายมาออดอ้อนนัก แต่ต้องใจแข็งจัดการนิสัยเสียไม่เอาถ่านนี้ทิ้งให้ได้ เมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉยของไทเฮา “หลิวกูกู [4] ท่านช่วยข้าอธิบายเหตุผลของข้าให้เสด็จย่าฟังหน่อยน้า” เยี่ยหยางส่งสายตาวิบวับขอความช่วยเหลือด่วนจากนางกำนัลอาวุโสคนสนิทของไทเฮาอี้หงอีกคน “หม่อมฉันช่วยชินอ๋องไม่ได้จริง ๆ เพคะ” ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ พลางเดินยกขนมหวานมาให้เป็นของปลอบใจ “อาหยาง เวลานี้แค่ช่วงปีใหม่เอง กว่าเจ้าจะไปก็หลังเทศกาลไหว้บรรพบุรุษ มีเวลาให้เจ้าให้เที่ยวเล่นอีกมากมาย เจ้าจะโวยวายไปไย” ประโยคตัดคำของหญิงสูงวัยที่รูปร่างต่างจากช่วงวัยสาวไปเล็กน้อยอย่างคนดูแลตัวเองเป็นอย่างดีของอดีตโฉมงามอันดับหนึ่ง ทำให้หลานชายตัวแสบจนคำพูด พร้อมปฏิเสธตัดบทฉับ “มา มาทานขนมกับย่าดีกว่า” เยี่ยหยางเดินออกจากพระตำหนักของไทเฮาด้วยอารมณ์เซ็งจัดแถมหงุดหงิดไม่น้อย เขาไม่ต้องการวิถีหรือหนทางใดที่แสดงให้เห็นว่า ตัวเองเก่งกาจมากความสามารถต้องการอำนาจแม้แต่น้อย การแสดงออกถึงความไม่เอาไหนของตัวเอง มีจุดมุ่งหมายหวังหลีกเลี่ยง เขาไม่ต้องการไม่อยากยุ่งเกี่ยวเรื่องราวในราชสำนักอย่างชัดเจน สิบปีแห่งการตรากตรำอันหนาวเหน็บ จนได้ชื่อเสีย (ง) กระฉ่อนทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนที่ยืนยันความเหนื่อยยาก แต่ก็ยังถูกดึงกลับเข้าไปในวังวนอยู่ร่ำไป เพราะความจริงเขาเป็นคนจากแดนไกล ไกลมากห่างกันคนละระนาบคนละแผ่นดิน ด้วยการยืมคราบร่างตัวตนของชินอ๋องน้อยผู้นี้ แม้การกินความเป็นอยู่ดี แต่หาใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่ ตัวตนนี้ชวนหงุดหงิดน่ารำคาญชวนวุ่นวายจริง ๆ …เสียงฝีเท้าเร่งรีบเดินเข้าใกล้มาหาชินอ๋อง เป็นพระสนมและกลุ่มนางกำนัลที่เขาไม่ทราบระดับตำแหน่ง มีสีหน้าเหมือนถูกกระชากของรัก ใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียวแทบจะวิ่งพุ่งเข้ามาหาเขา ทำให้เยี่ยหยางหยุดมือลง
ตอนนี้รอบกายเขาเต็มไปด้วยกลีบบุปผาสีสวยสดถูกฉีก บดขย้ำ เหยียบขยี้ นอนเกลื่อนกลาด น่าสงสารบนพื้นหญ้ากลีบดอกหลุดร่วงกระจัดกระจายช้ำมือไม่น้อย ล้อมไปด้วยใบไม้ที่ถูกเด็ด ถอน ดึง ทึ้ง เขย่า จนร่วงกราวเหมือนฤดูใบไม้ผลิที่ผลัดใบจนโกร๋นเหลือแค่กิ่งก้านหัก ๆเด็กหนุ่มยืนกะพริบตาปริบ ๆ มองมือตัวเองที่ตอนนี้อยู่บนกิ่งไม้ที่พร้อมเด็ดดอกไม้แรกแย้มดอกเดียวและดอกสุดท้ายที่เหลืออยู่บนต้นครั้นได้สติ หลุดจากพะวง เยี่ยหยางยังไม่วายเด็ดบุปผาที่หลงเหลือ เดินเข้าไปหาพระสนมนางนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่รู้สิ่งที่ตนกระทำ“ถวายพระพรพระสนม พระองค์ทรงรีบร้อนไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพบบุปผาแรกแย้มสวยงดงาม ช่างเหมาะกับโฉมงามสวยสะคราญเช่นท่านเหลือเกิน จึงตั้งใจนำมาถวายด้วยใจ ทรงโปรดรับน้ำใจของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เยี่ยหยางยิ้มกว้างยัดเยียดกิ่งประดับบุปผาใส่มือสาวงามที่ยืนนิ่งช็อก สายตามองตาดอกไม้แสนรักที่ถูกคนบัดซบย่ำยีเด็ดชีวิตเข็นฆ่า นอนไร้ชีวิตอย่างสงบในมือ แล้วหันหลังกลับ รุดชิ่งหนีจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่รอฟังเสียงชื่นชมที่กรีดร้องทะลวงแก้วหูปี้ดจนเต้นระริกดังไปทั้งวังหลวงฮ่องเต้มู่หรงหย่งสือที่ทรงงานในห้องอักษรถึงกับสะดุ้งตกใจ พู่กันในมือตวัดปืดจากบนลงล่างขีดฆ่าสิ่งที่เขียนมาหลายเค่อทิ้งหัวคิ้วกระตุ
ในขณะที่ตัวก่อเหตุชิ่งหนีความโกลาหลที่ตัวก่อไว้ เยี่ยหยางตบอกปลอบใจตัวเองยกแขนเสื้อซับเหงื่อไคล พยายามปรับลมหายใจให้คงที่ เขาวิ่งสาวเท้าออกมากลับตำหนักอ๋องอย่างรวดเร็ว ไม่หวังดูผลงานที่ตัวเองก่อวีรกรรมชอกช้ำให้ผู้อื่นไว้ เฮ้อ...คิดว่าต้องฟังเสียงแหลมเล็กนั่นกรีดร้องให้ทรมานหูน้อย ๆ ของเปิ่นหวางแล้วสักอีก ดีที่เผ่นออกมาได้ทัน เจ้าตัวรีบร้อนไม่ทันระวังชนเข้ากับหัวขบวนมนุษย์ไม่เบา เซจนหน้าแทบซบพื้น แต่มนุษย์ผู้นั้นกับยืนนิ่งตั้งตระหง่านดั่งกำแพงเมืองไม่ไหวติง เยี่ยหยางอาศัยเกาะกำแพงมนุษย์พยุงตัวขึ้นเองพร้อมส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับไท่จื่อมู่หรงลู่เฉินญาติผู้น้องไร้อารมณ์ของเขา“ไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน”“ชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยาง” น้ำเสียงเรียบนิ่งลึก ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ สีหน้าเรียบยิ่งกว่าน้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยใบหน้าอ่อนเยาว์นุ่มนวลดูแข็งกระด้างไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความหล่อเหลาสง่างามที่ฉายแววออกมาทั้งที่เยาว์วัย ดูทรงคุณวุฒิมากกว่าเยี่ยหยางอีก ทั้ง ๆ ที่อายุอ่อนกว่าเกือบสองปีเต็ม เขาเหลือบมองเยี่ยหยางอย่างเอือมระอาลูกพี่ลูกน้องผู้พี่คนนี้ที่ทำตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย“จริงสิ เรื่องที่
ระนาบหวู่เซียนเป็นระนาบที่มีพลังปราณยุทธเป็นใหญ่ แตกต่างจากระนาบมนตราที่พลังเวทมนตร์เป็นใหญ่และเขาก็หาทางกลับไม่ได้แต่ก็เป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องตาย เด็กหนุ่มปลงกับตัวเอง เป้าหมายในชีวิตตอนนี้สำหรับเยี่ยหยางคือการกลับไปในที่ของตัวเอง และฟื้นชีวิตสหายที่เป็นเหมือนพี่น้องเป็นคู่อริของเขา เยี่ยหยางเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเรือน หน้าต่างทุกบานปิดสนิทเหมือนเจ้าของไม่ค่อยจะเข้ามาใช้งาน ซึ่งเป็นความจริงห้องนี้เป็นแค่ทางผ่านสำหรับเดินเข้าห้องใต้ดินที่เขาสั่งคนทำขึ้น โดยไม่มีใครรู้ว่าใต้ตำหนักแห่งนี้มีดินแดนใต้ดินอยู่ ผู้ที่รู้เรื่องราวถูกลบความจำทั้งหมดด้วยเวทมนตร์อย่างถาวร ดินแดนใต้ดินตำหนักชินอ๋องมีทางเข้าหลายทาง ซึ่งเยี่ยหยางสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของเขา แต่ละทางเข้าก็มีวิธีเข้าไปที่แตกต่างกัน ไม่มีทางที่ผู้คนทั่วไป แม้กระทั่งเจ้ายุทธภพของที่นี่จะผ่านเข้าไปได้ ถ้าไม่มีพลังเวทและรู้วิธีเข้ามาที่ถูกต้อง ดีไม่ดีกลายเป็นผีเฝ้ายามให้เขาใช้สอยบรรยากาศดินแดนด้านล่างต่างจากด้านบนลิบลับ กลิ่นอายต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เครื่องเรือนหลายชิ้นดูแปลกตา กลับตกแต่งหรูหราอย่างเข้ากันด้วยสีขาวเป็นส่วนให
เยี่ยหยางเดินออกจากห้องใหญ่ที่เคยเป็นห้องปรุงยา มุ่งเข้าสู่ห้องนอนโปร่งกว้างสบายไม่เหมือนห้องที่อยู่ใต้ดิน เขาเอนตัวลงบนเตียงนุ่มสบายผิดกับตั่งเตียงของคนที่นี่นิยมกัน มันแข็งจนเขาปวดหลังไปหมด หลังจากทรมานตัวเองอยู่พักใหญ่ เขาเลยสร้างอาณาจักรใต้ดินของตัวเองขึ้น ผ้าปูเตียงสีน้ำเงินเข้มเด้งขึ้นยุบลงตามน้ำหนักเจ้าของที่โถมลงมา เชิงเทียนที่ถูกจุดเป็นแสงสว่างแทนไข่มุกฉายตะวันดับลงทั้งหมดด้วยมือที่โบกร่ายของเจ้าของห้องเฮ้อ...ในวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยไม่น้อยกับการสวมหน้ากาก เป็นมนุษย์ผู้รักการเสเพล ทำตัวเหลาะแหละ ทำตัวแย่ ๆ ไปวัน ๆ หน้ากากชั้นแล้วชั้นเล่าที่เขาต้องสวมไว้หนาจนด้านไปแล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องฐานะ ตัวตนนี้สร้างความหนักใจไม่น้อย ...แต่ช่างมันเถอะ...เปิ่นหวางชินแล้วล่ะเวลาเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วเดือนกว่าที่เยี่ยหยางเก็บเนื้อเก็บตัวตั้งแต่มีราชโองการฟาดลงมาที่เขา เจ้าตัวก็ไม่สร้างเรื่องให้ทหาร ชาวบ้านได้หวาดหวั่น นับเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ที่สงบสุขไม่มีเสียงร้องเรียนจนฎีกาสูงล้นศีรษะฮ่องเต้ ณ. ศาลาพักบริเวณ ประตูเสินอู่เหมินด้านทิศเหนือของวังหลวง“เฮอะ!
เยี่ยหยางขี่ม้าเหยาะ ๆ ออกนอกเมืองอย่างอาลัยอาวรณ์ อย่างน้อยเขาก็ใช้ชีวิตได้ดีอย่างสงบสุขหลายปีอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีชาวบ้านคนไหนที่เด็กหนุ่มไม่เคยคลุกคลีด้วย เขาย่างเท้าม้าช้าลงซึมซับบรรยากาศรอบ ๆเฮ้อ...อยู่ที่นี่มาเป็นสิบปี กลายเป็นบ้านอีกหลังของเขาไปแล้ว น่าเสียดายที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ด้วย ถ้าหากเพื่อนรักสองคนของเขาอยู่ที่นี่ เขาคงไม่เหงาขนาดนี้เยี่ยหยางมองตึกรามบ้านเรือนที่ต่างจากระนาบมนตรา วัฒนธรรมที่แตกต่าง ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่ระนาบมิติแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้วถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวดูไร้สาระในสายตาผู้อื่น ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใด ๆ แต่ความในใจกับมีมากมายเขาปิดดวงตาลงเก็บซ่อนความคิด ลืมตาขึ้นมาก็เห็นผู้คนยืนอออัดแน่นถนนตลอดเส้นดูท่าจะมีละครให้เขาเล่นอีกเรื่อง...“ท่านอ๋อง ท่านไปศึกษาที่เทียนถูหวู่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักไฉนถึงมีสีหน้าเช่นนั้น” เหล่าฮุ่ยผู้จัดการเหลาสุรา...รีบเปิดปากพูดคุยอย่างสนินสนม ขณะที่เดินเคียงข้างก้าวไปข้างหน้า ด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังสนทนากับสหาย แต่ฟันที่ขบบดในปากแทบแตกต่างส่งเสียงน่าหวาดหวั่นว่ามันจะสึกหรอไม่น้อย ไม่ใช่ว่ามันอยากเสนอหน้ามาสนทนา
การเดินทางผ่านมาหลายชั่วยามตัดป่าเขาเลี่ยงตัวเมือง เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายตามความประสงค์ของไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน แต่ดูเหมือนว่าความต้องการของรัชทายาทหนุ่มจะไม่เป็นดั่งที่หวังเสียงฆ่าฟันแว่วเข้ามาให้ได้ยินจากที่ไกล ๆ กลิ่นคาวเลือดลอยคุ้งมาตามสายลม โชยปะทะจมูกบ่งบอกให้พวกเขารู้ว่าข้างหน้ามีเรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วม“ไทจื่อ ด้านหน้า…” สือหลงโหยวหันไปหาองค์รัชทายาทมู่หรงลู่เฉิน เขามอบหน้าที่ตัดใจให้ผู้มีศักดิ์สูงสุดในที่นี้ในการตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อ แต่ยังไม่ทันได้ตกลงหรือกล่าวสิ่งใด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางเลือก และต้องติดร่างแหไปด้วยแล้วเพราะ…เหล่าชายชุดดำที่เหมือนจะเป็นผู้ร้าย หันมาสนใจเหยื่อผู้มาใหม่ วิ่งกรูเข้ามาหวังฉกชิงทรัพย์สิน พวกมันพุ่งเข้ามาหาผู้ที่คิดว่าจัดการง่ายที่สุดก่อนใคร และคนที่อ่อนปวกเปียกในสายตาพวกมัน เห็นทีจะเป็นชินอ๋องที่สวมหน้ากากจอมเสเพลไร้แรงฆ่าไก่ชื่อดังผู้นี้“อย่า ๆ อย่าเข้ามาใกล้ข้า”เสียงร้องแหกปากโวยวายดังออกมาจากริมฝีปากของชินอ๋องเจ้าแห่งความว
ชายชุดดำเห็นสหายร่วมงาน ถูกเล่นงานก็กรูคมดาบเข้าหาทุกทิศทาง แต่จำนวนคนและฝีมือแค่นี้ไม่คณามืออดีตคุณชายวินเซอร์จอมเวทผู้เก่งกาจที่หนึ่งในรุ่นของสถานศึกษาเวทรามิเรสหรอก “ไม่ได้ออกบู๊มานานสงสัยสนิมจะเกาะกระดูกกระเดี้ยว” เสียงกระดูกต้นคอดังกรอบแกรบยืดเส้นยืดสายเตรียมออกกำลัง พร้อมเสียงบ่นอุบอิบของเยี่ยหยางที่พึมพรำกับตัวเองเหมือนผู้สูงอายุ แต่ก็ไม่แปลก เพราะถ้ารวมอายุวิญญาณจริง ๆ ของชินอ๋องผู้นี้ก็ใกล้เข้าวัยทองอยู่รอมร่อ เยี่ยหยางกระโดดลอยตัวขึ้น กิ่งไม้เรียวตวัดรอบเป็นวงด้านล่างจนฝุ่นฟุ้งไม่เห็นสภาพ ยังไม่หันกลับไปมองผลลัพธ์ ก็ทะยานตัวออกไปสู่จุดที่เขาจับไอเวทได้ ยิ่งใกล้เข้าไปมากเท่าไหร่เยี่ยหยางก็สัมผัสได้ถึงพลังสายหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างยิ่งที่เมื่อครู่สัมผัสได้บางเบา จึงต้องเล่นละครวิ่งหลบลู่เฉินมาเพื่อตรวจสอบ เวทมนตร์ ไม่ผิดแน่!! ควันฝุ่นเบาบางลง ภาพที่ปรากฏเหลือเพียงชายชุดดำ ที่นอนสลบหมดสภาพระเกะระกะสุมกันอย่างไม่มีสติ หน้ากากสีดำสนิทปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันทีในพริบตาที่ไม่มีใครจับสังเกตเห็น พร้อมเสื้อคลุมแบบจอมเวทสีดำสนิทปกปิดตัวตน เยี่ยหยางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร แ
หลังจากมองอีกฝ่ายทรมานจนพอใจแล้ว เยี่ยหยางตัดสินใจช่วยเหลือ แม้ว่าจะรู้สึกคันยุบยิบที่ความรู้สึกกับศีลธรรมของตัวเองกำลังต่อต้านกัน แต่เขาก็แยกแยะออกระหว่างเรื่องงานราษฎร์กับเรื่องส่วนตัว อีกฝ่ายกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาวบ้านราษฎร เขาที่เป็นถึงอ๋องแม้จะบัดซบแค่ไหนก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ“แกเป็นใคร” เสียงแหบแห้งของชายชุดดำตวาดใส่เยี่ยหยางที่เสือกเข้ามาขัดขวางมันอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา“ข้าจะเป็นใครก็เรื่องของข้า! ไอ้แก่” มาดบุคลิกที่เก็บลงกุใส่กุญแจถูกดึงมาใช้ แววตาคมสมกับผู้นำตระกูลวินเซอร์ น้ำเสียงท่าทางสง่าสูงส่ง ติดกวนโทสะผู้อื่นเล็กน้อย ผิดกับชินอ๋องที่ทุกคนรู้จัก เยี่ยหยางสังเกตเห็นว่าไม้กายาสิทธิ์ที่อยู่ในมือของมัน สามารถร่ายได้เพียงคาถาเดียวตั้งแต่ที่เขาสังเกตดู ชายผู้นี้ไม่มีพลังเวทในตัวแม้แต่น้อย แต่สามารถร่ายคาถากรีดใจที่ต้องอาศัยพลังเวท และทักษะสูงอยู่พอตัวถึงจะไล่สาปชาวบ้านได้ กลับมายืนสาป ข่มขู่กู่เทียนเย่าได้ น่าจะมีสาเหตุมาจากคาถาสุดท้ายที่ผู้วิเศษคนก่อนร่ายตกค้างในไม้กายาสิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ ใช่แล้ว...ไม้กายาสิทธิ์ในมือของมัน ไม่ใช่ไม้ที่มีสภาพพร้อมใช้งา