ระนาบหวู่เซียนเป็นระนาบที่มีพลังปราณยุทธเป็นใหญ่ แตกต่างจากระนาบมนตราที่พลังเวทมนตร์เป็นใหญ่และเขาก็หาทางกลับไม่ได้แต่ก็เป็นเรื่องดีที่เขาไม่ต้องตาย เด็กหนุ่มปลงกับตัวเอง เป้าหมายในชีวิตตอนนี้สำหรับเยี่ยหยางคือการกลับไปในที่ของตัวเอง และฟื้นชีวิตสหายที่เป็นเหมือนพี่น้องเป็นคู่อริของเขา เยี่ยหยางเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเรือน หน้าต่างทุกบานปิดสนิทเหมือนเจ้าของไม่ค่อยจะเข้ามาใช้งาน ซึ่งเป็นความจริงห้องนี้เป็นแค่ทางผ่านสำหรับเดินเข้าห้องใต้ดินที่เขาสั่งคนทำขึ้น โดยไม่มีใครรู้ว่าใต้ตำหนักแห่งนี้มีดินแดนใต้ดินอยู่ ผู้ที่รู้เรื่องราวถูกลบความจำทั้งหมดด้วยเวทมนตร์อย่างถาวร ดินแดนใต้ดินตำหนักชินอ๋องมีทางเข้าหลายทาง ซึ่งเยี่ยหยางสร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของเขา แต่ละทางเข้าก็มีวิธีเข้าไปที่แตกต่างกัน ไม่มีทางที่ผู้คนทั่วไป แม้กระทั่งเจ้ายุทธภพของที่นี่จะผ่านเข้าไปได้ ถ้าไม่มีพลังเวทและรู้วิธีเข้ามาที่ถูกต้อง ดีไม่ดีกลายเป็นผีเฝ้ายามให้เขาใช้สอยบรรยากาศดินแดนด้านล่างต่างจากด้านบนลิบลับ กลิ่นอายต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เครื่องเรือนหลายชิ้นดูแปลกตา กลับตกแต่งหรูหราอย่างเข้ากันด้วยสีขาวเป็นส่วนให
เยี่ยหยางเดินออกจากห้องใหญ่ที่เคยเป็นห้องปรุงยา มุ่งเข้าสู่ห้องนอนโปร่งกว้างสบายไม่เหมือนห้องที่อยู่ใต้ดิน เขาเอนตัวลงบนเตียงนุ่มสบายผิดกับตั่งเตียงของคนที่นี่นิยมกัน มันแข็งจนเขาปวดหลังไปหมด หลังจากทรมานตัวเองอยู่พักใหญ่ เขาเลยสร้างอาณาจักรใต้ดินของตัวเองขึ้น ผ้าปูเตียงสีน้ำเงินเข้มเด้งขึ้นยุบลงตามน้ำหนักเจ้าของที่โถมลงมา เชิงเทียนที่ถูกจุดเป็นแสงสว่างแทนไข่มุกฉายตะวันดับลงทั้งหมดด้วยมือที่โบกร่ายของเจ้าของห้องเฮ้อ...ในวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยไม่น้อยกับการสวมหน้ากาก เป็นมนุษย์ผู้รักการเสเพล ทำตัวเหลาะแหละ ทำตัวแย่ ๆ ไปวัน ๆ หน้ากากชั้นแล้วชั้นเล่าที่เขาต้องสวมไว้หนาจนด้านไปแล้ว ตั้งแต่รู้เรื่องฐานะ ตัวตนนี้สร้างความหนักใจไม่น้อย ...แต่ช่างมันเถอะ...เปิ่นหวางชินแล้วล่ะเวลาเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วเดือนกว่าที่เยี่ยหยางเก็บเนื้อเก็บตัวตั้งแต่มีราชโองการฟาดลงมาที่เขา เจ้าตัวก็ไม่สร้างเรื่องให้ทหาร ชาวบ้านได้หวาดหวั่น นับเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ที่สงบสุขไม่มีเสียงร้องเรียนจนฎีกาสูงล้นศีรษะฮ่องเต้ ณ. ศาลาพักบริเวณ ประตูเสินอู่เหมินด้านทิศเหนือของวังหลวง“เฮอะ!
เยี่ยหยางขี่ม้าเหยาะ ๆ ออกนอกเมืองอย่างอาลัยอาวรณ์ อย่างน้อยเขาก็ใช้ชีวิตได้ดีอย่างสงบสุขหลายปีอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ ไม่มีชาวบ้านคนไหนที่เด็กหนุ่มไม่เคยคลุกคลีด้วย เขาย่างเท้าม้าช้าลงซึมซับบรรยากาศรอบ ๆเฮ้อ...อยู่ที่นี่มาเป็นสิบปี กลายเป็นบ้านอีกหลังของเขาไปแล้ว น่าเสียดายที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ด้วย ถ้าหากเพื่อนรักสองคนของเขาอยู่ที่นี่ เขาคงไม่เหงาขนาดนี้เยี่ยหยางมองตึกรามบ้านเรือนที่ต่างจากระนาบมนตรา วัฒนธรรมที่แตกต่าง ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ที่ระนาบมิติแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้วถึงแม้ว่าเขาจะทำตัวดูไร้สาระในสายตาผู้อื่น ไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใด ๆ แต่ความในใจกับมีมากมายเขาปิดดวงตาลงเก็บซ่อนความคิด ลืมตาขึ้นมาก็เห็นผู้คนยืนอออัดแน่นถนนตลอดเส้นดูท่าจะมีละครให้เขาเล่นอีกเรื่อง...“ท่านอ๋อง ท่านไปศึกษาที่เทียนถูหวู่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนักไฉนถึงมีสีหน้าเช่นนั้น” เหล่าฮุ่ยผู้จัดการเหลาสุรา...รีบเปิดปากพูดคุยอย่างสนินสนม ขณะที่เดินเคียงข้างก้าวไปข้างหน้า ด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังสนทนากับสหาย แต่ฟันที่ขบบดในปากแทบแตกต่างส่งเสียงน่าหวาดหวั่นว่ามันจะสึกหรอไม่น้อย ไม่ใช่ว่ามันอยากเสนอหน้ามาสนทนา
การเดินทางผ่านมาหลายชั่วยามตัดป่าเขาเลี่ยงตัวเมือง เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายตามความประสงค์ของไท่จื่อมู่หรงลู่เฉิน แต่ดูเหมือนว่าความต้องการของรัชทายาทหนุ่มจะไม่เป็นดั่งที่หวังเสียงฆ่าฟันแว่วเข้ามาให้ได้ยินจากที่ไกล ๆ กลิ่นคาวเลือดลอยคุ้งมาตามสายลม โชยปะทะจมูกบ่งบอกให้พวกเขารู้ว่าข้างหน้ามีเรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วม“ไทจื่อ ด้านหน้า…” สือหลงโหยวหันไปหาองค์รัชทายาทมู่หรงลู่เฉิน เขามอบหน้าที่ตัดใจให้ผู้มีศักดิ์สูงสุดในที่นี้ในการตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อ แต่ยังไม่ทันได้ตกลงหรือกล่าวสิ่งใด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางเลือก และต้องติดร่างแหไปด้วยแล้วเพราะ…เหล่าชายชุดดำที่เหมือนจะเป็นผู้ร้าย หันมาสนใจเหยื่อผู้มาใหม่ วิ่งกรูเข้ามาหวังฉกชิงทรัพย์สิน พวกมันพุ่งเข้ามาหาผู้ที่คิดว่าจัดการง่ายที่สุดก่อนใคร และคนที่อ่อนปวกเปียกในสายตาพวกมัน เห็นทีจะเป็นชินอ๋องที่สวมหน้ากากจอมเสเพลไร้แรงฆ่าไก่ชื่อดังผู้นี้“อย่า ๆ อย่าเข้ามาใกล้ข้า”เสียงร้องแหกปากโวยวายดังออกมาจากริมฝีปากของชินอ๋องเจ้าแห่งความว
ชายชุดดำเห็นสหายร่วมงาน ถูกเล่นงานก็กรูคมดาบเข้าหาทุกทิศทาง แต่จำนวนคนและฝีมือแค่นี้ไม่คณามืออดีตคุณชายวินเซอร์จอมเวทผู้เก่งกาจที่หนึ่งในรุ่นของสถานศึกษาเวทรามิเรสหรอก “ไม่ได้ออกบู๊มานานสงสัยสนิมจะเกาะกระดูกกระเดี้ยว” เสียงกระดูกต้นคอดังกรอบแกรบยืดเส้นยืดสายเตรียมออกกำลัง พร้อมเสียงบ่นอุบอิบของเยี่ยหยางที่พึมพรำกับตัวเองเหมือนผู้สูงอายุ แต่ก็ไม่แปลก เพราะถ้ารวมอายุวิญญาณจริง ๆ ของชินอ๋องผู้นี้ก็ใกล้เข้าวัยทองอยู่รอมร่อ เยี่ยหยางกระโดดลอยตัวขึ้น กิ่งไม้เรียวตวัดรอบเป็นวงด้านล่างจนฝุ่นฟุ้งไม่เห็นสภาพ ยังไม่หันกลับไปมองผลลัพธ์ ก็ทะยานตัวออกไปสู่จุดที่เขาจับไอเวทได้ ยิ่งใกล้เข้าไปมากเท่าไหร่เยี่ยหยางก็สัมผัสได้ถึงพลังสายหนึ่งที่คุ้นเคยอย่างยิ่งที่เมื่อครู่สัมผัสได้บางเบา จึงต้องเล่นละครวิ่งหลบลู่เฉินมาเพื่อตรวจสอบ เวทมนตร์ ไม่ผิดแน่!! ควันฝุ่นเบาบางลง ภาพที่ปรากฏเหลือเพียงชายชุดดำ ที่นอนสลบหมดสภาพระเกะระกะสุมกันอย่างไม่มีสติ หน้ากากสีดำสนิทปรากฏขึ้นบนใบหน้าทันทีในพริบตาที่ไม่มีใครจับสังเกตเห็น พร้อมเสื้อคลุมแบบจอมเวทสีดำสนิทปกปิดตัวตน เยี่ยหยางไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเป็นใคร แ
หลังจากมองอีกฝ่ายทรมานจนพอใจแล้ว เยี่ยหยางตัดสินใจช่วยเหลือ แม้ว่าจะรู้สึกคันยุบยิบที่ความรู้สึกกับศีลธรรมของตัวเองกำลังต่อต้านกัน แต่เขาก็แยกแยะออกระหว่างเรื่องงานราษฎร์กับเรื่องส่วนตัว อีกฝ่ายกำลังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาวบ้านราษฎร เขาที่เป็นถึงอ๋องแม้จะบัดซบแค่ไหนก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ“แกเป็นใคร” เสียงแหบแห้งของชายชุดดำตวาดใส่เยี่ยหยางที่เสือกเข้ามาขัดขวางมันอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา“ข้าจะเป็นใครก็เรื่องของข้า! ไอ้แก่” มาดบุคลิกที่เก็บลงกุใส่กุญแจถูกดึงมาใช้ แววตาคมสมกับผู้นำตระกูลวินเซอร์ น้ำเสียงท่าทางสง่าสูงส่ง ติดกวนโทสะผู้อื่นเล็กน้อย ผิดกับชินอ๋องที่ทุกคนรู้จัก เยี่ยหยางสังเกตเห็นว่าไม้กายาสิทธิ์ที่อยู่ในมือของมัน สามารถร่ายได้เพียงคาถาเดียวตั้งแต่ที่เขาสังเกตดู ชายผู้นี้ไม่มีพลังเวทในตัวแม้แต่น้อย แต่สามารถร่ายคาถากรีดใจที่ต้องอาศัยพลังเวท และทักษะสูงอยู่พอตัวถึงจะไล่สาปชาวบ้านได้ กลับมายืนสาป ข่มขู่กู่เทียนเย่าได้ น่าจะมีสาเหตุมาจากคาถาสุดท้ายที่ผู้วิเศษคนก่อนร่ายตกค้างในไม้กายาสิทธิ์ที่ไม่สมบูรณ์ ใช่แล้ว...ไม้กายาสิทธิ์ในมือของมัน ไม่ใช่ไม้ที่มีสภาพพร้อมใช้งา
“นี่ ๆ ลู่เฉินเข้าเมืองพักโรงเตี๊ยมเถอะนะ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว” เสียงบ่นกระเปาะกะแปะดังตลอดทางสร้างความรำคาญกับผู้ร่วมเดินทางไม่น้อย “เจ้าจะบ่นอะไรไม่หยุดปากเสียที น่ารำคาญ” “โหยวโหยว ข้าเหนื่อย…เหนื่อยมาก ๆ เลย” เสียงหวานออดอ้อนแต่ชวนกวนประสาทมากกว่า ทำเอาองครักษ์พ่วงฐานะสหายร่วมเรียนคิ้วกระตุก ขบฟันกรอดข่มอารมณ์ความรู้สึกอยากลงไม้ลงมือกับเชื้อพระวงศ์สักทีสองที “ไท่จื่อ ข้าน้อยขออนุญาตไปสำรวจทางเบื้องหน้าพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงลู่เฉินพยักหน้ารับทราบ เขาอนุญาตให้คนที่จะเก็บกดอารมณ์จากการถูกยั่วโทสะให้ไปสงบสติ สือหลงโหยวชักม้าไปทางข้างหน้า สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ พยายามอย่างยิ่งยวดอดทนอดกลั้นอย่างยอดเยี่ยมว่าตัวเองจะไม่เผลอลงไม้ลงมือกับชินอ๋องแห่งราชอาณาจักรซีเว่ย หลังจากพาท่านอ๋องบัดซบออกจากวงโคจรความวุ่นวาย ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอันตรายอะไรให้ลู่เฉินและสือหลงโหยวเสี่ยงอีก นอกจากเสียงบ่นที่เหมือนเสียงนกเสียงกาที่ร้องชวนรำคาญอยู่บ้าง “ถึงเมืองข้างหน้าค่อยพักที่โรงเตี๊ยม” ในที่สุดลู่เฉินเอ่ยอนุญาต เนื่องจากขบวนเดินทางใกล้ถึงจุดหมายในอีกไม่กี่วันก่อนกำหนดการที่คาด
ประตูห้องหับถูกเปิดออกอีกครั้ง เยี่ยหยางออกจากห้องไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นและสนใจเป็นผลมาจากเวทมนตร์ให้เบี่ยงเบนสายตา เขาเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้ม เป็นเนื้อผ้าอย่างนักเดินทางทั่วไป การแต่งกายของเขาแต่เดิมเยี่ยหยางก็นิยมชมชอบชุดสีเข้ม ที่ส่งเสริมให้บุคลิกของเขาดูสง่างามน่าเกรงขาม กลับต้องมาใส่เสื้อผ้าสีแดงโดดเด่นแสบตา เพื่อให้การแสดงเสแสร้งของเขาสุดตาเรียกร้องความสนใจผู้คนแสดงจุดยืนที่มั่นคงไม่หวั่นไหวนั้นก็ทรมานตัวเองไม่น้อยเช่นกัน เมื่อสบโอกาสที่ไม่ต้องเล่นงิ้วบทชินอ๋องผู้หาความสามารถที่ดีไม่ได้ เยี่ยหยางก็สลัดอาภรณ์สีแดงเพลิงออก เปลี่ยนชุดที่เข้มที่ชอบมากกว่าทันที ไม่เพียงความชอบสีเสื้อผ้าอาภรณ์จะต่างกัน แต่ท่าทางที่แสดงออกล้วนขัดแย้งแตกต่าง ท่วงท่าการเดินเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน จนไม่มีใครจับมาเปรียบเทียบคู่กันได้ เส้นผมสีเงินยวงถูกเปลี่ยนกลับมา หลังจากน้ำยาหมดฤทธิ์ ทรงผมถูกรัดจับทรงอย่างสบาย ๆ มองภายนอกผู้คนคงคิดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสที่มีกำลังยุทธแก่กล้าด้วยใบหน้าดูอ่อนเยาว์ที่เส้นผมขาวโพลน แต่มันก็ถูกปกปิดจนมิดด้วยหมวกปีกกว้างใบใหญ่ที่อำพรางใบหน้าไปส่วนหนึ่งจนเหมือนคุณ